วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 18:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 911 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 51, 52, 53, 54, 55, 56, 57 ... 61  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ธ.ค. 2015, 19:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
เละ


asoka เขียน:
:b12:
มีปัญญาพูดได้แค่นี้หละหรือ

ไม่ลองแจงให้ฟังหน่อยหรือว่า เละยังไง ตุ้มเป๊ะยังไง

อย่างนี้ถือว่าไม่รู้จริงแล้วพูด
:b34:


:b17: :b17: :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2015, 06:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
เละ


asoka เขียน:
:b12:
มีปัญญาพูดได้แค่นี้หละหรือ

ไม่ลองแจงให้ฟังหน่อยหรือว่า เละยังไง ตุ้มเป๊ะยังไง

อย่างนี้ถือว่าไม่รู้จริงแล้วพูด
:b34:


:b17: :b17: :b17:

:b17:
แล้วตุ้มเป๊ะล่ะใครพูด?
s006
ก็มาเออออห่อหมกไปกับ bigtoo ก็ต้องถือว่าอยู่ในคลาสและสปีซี่เดียวกันได้

สำหรับ bigtoo นั้นอาจจะเผลอใจร้อนพลั้งปากไป ให้อภัย ยังไม่แกะหรือแขวะวิเคราะห์

:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2015, 06:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
เละ


asoka เขียน:
:b12:
มีปัญญาพูดได้แค่นี้หละหรือ

ไม่ลองแจงให้ฟังหน่อยหรือว่า เละยังไง ตุ้มเป๊ะยังไง

อย่างนี้ถือว่าไม่รู้จริงแล้วพูด
:b34:


:b17: :b17: :b17:

:b17:
แล้วตุ้มเป๊ะล่ะใครพูด?
s006
ก็มาเออออห่อหมกไปกับ bigtoo ก็ต้องถือว่าอยู่ในคลาสและสปีซี่เดียวกันได้

สำหรับ bigtoo นั้นอาจจะเผลอใจร้อนพลั้งปากไป ให้อภัย ยังไม่แกะหรือแขวะวิเคราะห์

:b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2015, 07:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
เละ


asoka เขียน:
:b12:
มีปัญญาพูดได้แค่นี้หละหรือ

ไม่ลองแจงให้ฟังหน่อยหรือว่า เละยังไง ตุ้มเป๊ะยังไง

อย่างนี้ถือว่าไม่รู้จริงแล้วพูด
:b34:


:b17: :b17: :b17:


asoka เขียน:
:b17:
แล้วตุ้มเป๊ะล่ะใครพูด?
s006
ก็มาเออออห่อหมกไปกับ bigtoo ก็ต้องถือว่าอยู่ในคลาสและสปีซี่เดียวกันได้

สำหรับ bigtoo นั้นอาจจะเผลอใจร้อนพลั้งปากไป ให้อภัย ยังไม่แกะหรือแขวะวิเคราะห์

:b13:

:b32: :b32:
ตุ้มเป๊ะ..นะ..ว่าคนที่กล่าวหาคนอื่นว่า..เละ..นะคราบ..อโสกะ

แฮ่ม..ทำคุณบูชาโทษ..ซะแล้ว.. :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2015, 12:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




067dsq_resize.jpg
067dsq_resize.jpg [ 28.99 KiB | เปิดดู 1696 ครั้ง ]
กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
เละ


asoka เขียน:
:b12:
มีปัญญาพูดได้แค่นี้หละหรือ

ไม่ลองแจงให้ฟังหน่อยหรือว่า เละยังไง ตุ้มเป๊ะยังไง

อย่างนี้ถือว่าไม่รู้จริงแล้วพูด
:b34:


:b17: :b17: :b17:


asoka เขียน:
:b17:
แล้วตุ้มเป๊ะล่ะใครพูด?
s006
ก็มาเออออห่อหมกไปกับ bigtoo ก็ต้องถือว่าอยู่ในคลาสและสปีซี่เดียวกันได้

สำหรับ bigtoo นั้นอาจจะเผลอใจร้อนพลั้งปากไป ให้อภัย ยังไม่แกะหรือแขวะวิเคราะห์

:b13:

:b32: :b32:
ตุ้มเป๊ะ..นะ..ว่าคนที่กล่าวหาคนอื่นว่า..เละ..นะคราบ..อโสกะ

แฮ่ม..ทำคุณบูชาโทษ..ซะแล้ว.. :b9: :b9:

s004
อ้อ!....

เป็นอย่างงั้นเหรอ ต้องขออภัยด้วยถ้าเข้าใจผิด เพราะมันตกบันไดพลอยกระโจน
คำมันเคยอยู่ด้วยกัน

"เละตุ้มเป๊ะ"

ว่าไปเสียยาว คงไม่ถือสากันนะ

tongue
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2015, 18:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2015, 05:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




ทาง 5 เส้น_resize.jpg
ทาง 5 เส้น_resize.jpg [ 45.59 KiB | เปิดดู 1681 ครั้ง ]
asoka เขียน:
:b44:
กระบวนการที่จะไปเห็นและยอมรับ อนัตตา นั้นสิจะต้องทำอย่างไร?

เรื่องนี้แหละที่จะต้องขยายความออกมาอีกนิดหนึ่งสู่ปริยัติธรรมอันมีกล่าวไว้ในพระสูตร

หัวใจการค้นพบและนำมาสอนของพระพุทธเจ้าคือ " อริยสัจ 4 "


ธรรมะทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ล้วนแล้วแต่เกิดและงอกเงยมาจากอริสัจ 4 ทั้งสิ้น เรื่องอริสัจ 4 นี้ได้วิเคราะห์สู่กันฟังค่อนข้างละเอียดแล้วในตอนต้นๆนะครับลองกลับไปอ่านดู

ที่มาเกี่ยวข้องกับทางเดิน 5 เส้นของสัตว์โลกนี่ซิครับที่จะต้องวิเคราะห์สู่กันฟังต่อไป

:b38:
อริสัจ 4 คือ หลักความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณและได้ค้นพบหลักความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ หรือ อริยสัจ 4 ซึ่งเป็นหลักธรรมหรือหลักความจริงแห่งการพ้นทุกข์ทั้งปวง
อริยสัจ 4 ประกอบด้วย…
1. ทุกข์ คือ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เป็นสภาพของความลำบากทั้งทางกายและทางใจ ทั้งรัก โลภ โกรธ หลง ความเศร้าโศกเสียใจทั้งปวง เป็นต้น
2. สมุทัย คือ สาเหตุแห่งทุกข์นั้น ซึ่งความทุกข์ทั้งปวงมักเกิดจากความไม่รู้ ความไม่เข้าใจในโลก ความอ่อนประสบการณ์ในชีวิต ซึ่งความไม่รู้เหล่านี้เป็นสาเหตุแห่งทุกข์ทั้งปวง
3. นิโรธ คือ ความไม่มีทุกข์ ซึ่งก็หมายถึงการเข้าใจในสมุทัย ความเข้าใจสาเหตุแห่งทุกข์ ความเศร้ามัวหมองทั้งปวง
4. มรรค คือ หนทางแห่งการดับทุกข์ ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า มรรคมีองค์ 8 หรือ วิธีการดับทุกข์ทั้งปวงนั้นมีอยู่ 8 ประการนั่นเอง

มรรค 8 ประกอบด้วย
1. สัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญาเห็นชอบ
2. สัมมาสังกัปปะ คือ ดำริชอบ
3. สัมมาวาจา คือ เจรจาชอบ
4. สัมมากัมมันตะ คือ การประพฤติดีงาม
5. สัมมาอาชีวะ คือ การทำมาหากินอย่างสุจริตชน
6. สัมมาวายามะ คือ ความอุตสาหะพยายาม
7. สัมมาสติ คือ การไม่ปล่อยให้เกิดความพลั้งเผลอ
8. สัมมาสมาธิ คือ การฝึกจิตให้ตั้งมั่น

:b45:
อริยสัจ 4 มาเกี่ยวข้องกับทาง 5 เส้น ตรงมรรคมีองค์ 8

มรรคมีองค์ 8 คือทางดำเนินไปให้ถึงความดับทุกข์ เป็นทางสายกลางระหว่างความตึงเกินไป กับหย่อนเกินไป

ทางสายตึงคือ ทางสมถะภาวนา มีรูปกุศลกับอรูปกุศล (นิ้วกลางกับนิ้วชี้)

ทางสายหย่อนคือทางกามกุศล (นิ้วนาง)และทางสายบาปอกุศล(นิ้วก้อย)

ส่วนทางสายกลางคือเส้นทางโลกุตรกุศล ทางพ้นจากโลก(นิ้วหัวแม่มือ)

ในทาง 5 เส้นนั้นเอง (ดูรูปทาง 5 เส้นเปรียบเทียบกับนิ้ว 5 นิ้ว จะเข้าใจและจำง่าย)

มรรค 8 เมื่อย่อลงมาคือ วิปัสสนาภาวนา

สติปัฏฐาน 4 คือการเจริญมรรค 8

เจริญสติอยู่กับปัจจุบันอารมณ์ คือการเจริญสติปัฏฐาน 4

การเจริญสติอยู่กับ ผู้รู้ คือการเจริญสติอยู่กับปัจจุบันอารมณ์

การรู้กายรู้ใจลงปัจจุบัน ก็เป็นอันเดียวกับ การเจริญสติอยู่กับปัจจุบันอารมณ์


เพราะฉนั้น
1. การรู้กายรู้ใจลงปัจจุบัน
2.การเจริญสติอยู่กับผู้รู้
3.การเจริญสติอยู่กับปัจจุบันอารมณ์
4.การเจริญสติปัฏฐาน 4
5.การเจริญมรรค 8
คือการเจริญวิปัสสนาภาวนา
คือโลกุตรกุศล
คือการเดินทางสายกลางไปสู่ความพ้นโลกคือนิพพาน

:b36:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2015, 06:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




คน 5 จำพวก_resize_resize.jpg
คน 5 จำพวก_resize_resize.jpg [ 41.23 KiB | เปิดดู 1667 ครั้ง ]
:b37:
ความรู้พื้นฐานเรื่องที่3 ที่ชาวพุทธควรรู้คือ

บุคคล 5 จำพวก

วันนี้ดูรูปไปก่อนนะครับ
:b36:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ธ.ค. 2015, 06:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
บุคคล 5 จำพวก นับจากล่างไปบนได้แก่

1.ปุถุชน ผู้หนาด้วยกิเลส ตัณหา อัตตา ล่วงศีล 5 เป็นนิจ ใช้อารมณ์เป็นใหญ่

2.กัลยาณชน คนดี ผู้มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป ไม่ล่วงศีล 5 รู้จักทำบุญให้ทาน ใช้เหตุผลเป็นหลักในการกระทำการต่างๆ

3.เตรียมชาวพุทธ ผู้กำลังศึกษา ค้นหาข้อธรรมคำสอนอันถูกต้องของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

4.ชาวพุทธ คือผู้ที่ได้พบข้อธรรมคำสอนอันถูกต้องของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเอามาใส่ใจลงมือประพฤติปฏิบัติ ดัดกายใจตนเองเพื่อให้พ้นจากทุกข์ถึงสุขอมตะคือพระนิพพาน

5.อริยะชน ผู้ประเสริฐแล้ว ถ้าแปลตามศัพท์น่าจะแปลว่า "ผู้ฆ่าศัตรู คือ กิเลส ตัณหา อัตตา ตายแล้ว

อริยชนแบ่งออกเป็น 4 จำพวก มีใครบ้างมาฟังมาอ่านต่อวันพรุ่งนี้นะครับ

:b37:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ธ.ค. 2015, 05:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b39:
อริยชน แบ่งออกเป็น 4 จำพวกคือ

1.โสดาบันบุคคล คือผู้ที่ทำลายความเห็นผิดคือสักกายทิฏฐิตายขาดแล้วมีชาติภพที่จะต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติก็จักได้บรรลุถึงอรหัตผล หมดสิ้นความเวียนว่ายตายเกิดดับขันธ์เข้าปรินิพพาน

2.สกิทาคามีบุคคลคือผู้ที่ทำลายความเห็นผิดคือสักกายทิฏฐิตายขาดแล้วมีกิเลสโลภะ โทสะ โมหะ เบาบางยิ่งไปกว่าพระโสดาบัน มีชาติที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกไม่เกิน 3 ชาติ

3.อนาคามีบุคคล คือผู้ที่ทำลายความยึดถือในกายและมานะทิฏฐิอย่างหยาบ กามราคะ ปฏิฆะได้ นิวรณ์ 5 ตายเกือบหมดสิ้น มีชาติภพที่จะต้องไปเวียนว่ายตายเกิดเหลือเพียงชาติเดียวคือการไปเกิดเป็นพรหมในชั้นสุทธาวาส แล้วดับขันธ์นิพพานที่นั่น

4.อรหันตบุคคล ผู้ฆ่ากิเลส ตัณหา อัตตา มานะทิฏฐิและความยึดถือในจิตตายเกลี้ยง สิ้นสุดความเวียนว่ายตายเกิด จักต้องดับขันธ์เข้าปรินิพพานในชาติปัจจุบัน

:b27:
ท่านผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ความได้บรรลุถึงการเป็นอริยบุคคลทั้ง 4 นี้ตามลำดับ เป็นความเพียรชอบ เป็นกุศลใหม่ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นในจิตในใจของเรา เป็นสิ่งที่ต้องเพียรทำให้เกิดให้จนได้

ชาตินี้หากทำอะไรได้ไม่มากก็ขอเพียงแต่ให้สามารถปิดประตูอบายได้ทัน คือให้ได้บรรลุถึงความเป็นโสดาบันบุคคล ก็เพียงพอเป็นหลักประกันได้แล้วว่าเราได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่ากับการที่ได้มาเกิดเป็นคน เป็นมนุษย์ พบพุทธศาสนาและข้อธรรมคำสอนอันถูกต้องของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ธ.ค. 2015, 04:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




ผังทางไปนิพพาน_0001_resize_resize.jpg
ผังทางไปนิพพาน_0001_resize_resize.jpg [ 39.93 KiB | เปิดดู 1630 ครั้ง ]
Kiss
เราได้ความรู้พื้นฐานสำคัญที่ชาวพุทธทั้งหลายควรจะได้รู้กันแล้ว 3 หมวดใหญ่คือ
ยาก 5 อย่าง

ทาง 5 เส้น

บุคคล 5 จำพวก

เมื่อรู้ 3 ย่างนี้เรียบร้อย เราจะเกิดสัมปชัญญะ รู้ตัว รู้คุณค่าของความได้เกิดมาเป็นคน พบพระพุทธศาสนา รู้เส้นทางเดินของชีวิตที่แน่ชัด จนตัดสินใจเดินตามรอยเท้ารอยบาทของพระศาสดา คือเดินตามเส้นทางนิ้วหัวแม่โป้ง คือทางสาย โลกุตรกุศล ทางพ้นโลกเพื่อไปสู่ความเป็นบุคคลประเภทที่ 5 คือ อริยะบุคคล

ต่อจากนี้ไปเราก็จะได้ศึกษาละเอียด ลึก กันลงไปในการเดินบนเส้นทางโลกุตรกุศลที่พระพุทธเจ้าและพระอริยเจ้าทั้งหลายท่านพากันเดินไปสู่อมตะสุขคือพระนิพพาน

ดูภาพประกอบข้างบนไปก่อนแล้วลองตีความหมายจับประเด็นออกมาให้ได้กันดูนะครับ

:b38: :b37:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2015, 06:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




มาจากไหน_resize_resize.jpg
มาจากไหน_resize_resize.jpg [ 54.38 KiB | เปิดดู 1613 ครั้ง ]
:b44:
เรามาจากไหน?

และจะไปสู่ที่ใด?

เรามาจากกรรมเหตุในอดีต

กำลังรับกรรมผล(วิบาก)ในปัจจุบัน และกำลังทำกรรมเหตุในปัจจุบัน

เราจะไปสู่กรรมผล(วิบาก)ของกรรมเหตุในปัจจุบัน

กรรมเหตุในอดีตชาติที่แล้วเราได้ทำกุศลไม่ล่วงศีล 5 ไว้จึงมาได้รับผลหรือวิบากเกิดเป็นมนุษย์ในชาติปัจจุบันนี้ แต่ในขณะเดียวกันกุศลและอกุศลกรรมที่เราทำไว้ในอดีตนับชาติไม่ถ้วนได้พ่วงติดตามมาด้วยเป็นพรวน เพราะฉนั้น วิบาก ที่เราจะต้องเสวยหรือรับผลในปัจจุบันจึงมีทั้งทุกข์และสุข ตามอำนาจของกุศลและอกุศลกรรมที่เราได้เคยทำไว้

ชีวิตในปัจจุบันของเรานั้นเป็นการมารับผลกรรมเก่าและสร้างกรรมใหม่ไปภายใต้อำนาจอิทธิพลของวิบากกรรมเก่าที่คอยส่งแรงดันให้เป็นไป

จึงเป็นเรื่องที่เราทั้งหลายพึงนำมาวิเคราะห์ วิจัยวิจารณ์ธรรมกันดูให้ละเอียดลึกซึ้งจึงจะได้ประโยชน์ในการปฏิบัติธรรมของเรามาก เพราะ คำว่า "กงกรรมกงเกวียน" หรือ การหมุนเวียนจมอยู่ในวัฏฏะสงสารอันไม่รู้จบสิ้นนี้มันมีจุดกำเนิดมาจากรอยต่อของ อดีตกาล ปัจจุบันกาลและอนาคตกาลที่เล่ากล่าวมานี้

onion
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ธ.ค. 2015, 05:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




มาจากไหน_resize_resize.jpg
มาจากไหน_resize_resize.jpg [ 54.38 KiB | เปิดดู 1594 ครั้ง ]
:b16:
เราจะไปสู่ที่ใด คำตอบอยู่ในด้านล่างของแผ่นภาพที่แสดง ซึ่งก็คือทาง 5 เส้นที่ได้กล่าวไว้แล้วนั่นเองแต่ในแผ่นภาพได้แสดงรายละอียดของการเดินทางบนทางเส้น โลกุตรกุศลไว้ด้วย ลองขยายภาพแล้วสังเกตอ่านและตีความจับประเด็นดูนะครับ
tongue smiley
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2015, 04:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




ปาติโมกข์ 45.3 kb.jpg
ปาติโมกข์ 45.3 kb.jpg [ 45.34 KiB | เปิดดู 1576 ครั้ง ]
:b48:
วันนี้จะได้สนทนากันถึงเรื่อง ปริยัติเพื่อการปฏิบัติครับ
เรื่องแรกก็คือเรื่องของโอวาทปาติโมกข์

ในโอวาทปาติโมกข์ มีข้อสรุปเรื่องธรรม 3 อย่างและธรรม 6 อย่าง

1.สัพพะปาปัสสะ อะกรณัง การไม่ทำบาปทั้งปวง (ละชั่ว)หลักใหญ่ได้แก่การไม่ล่วงศีล 5 ข้อ การไม่ทำอกุศลกรรมบท 10 อย่าง ไม่เสพข้องอบายมุข 6 อย่าง

2.กุสลัสสูปสัมปทา การทำกุศลให้ถึงพร้อม (ทำดี)หลักใหญ่คือการเจริญบุญกิริยาวัตถุ 10 อย่าง

3.สะจิตตะปริโยทะปะนัง การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ ด้วยวิปัสสนาภาวนา

2 ข้อแรก มีสอนคล้ายกันในทุกศาสนา แต่ ข้อที่ 3 นั้นมีสอนเฉพาะในพุทธศาสนา และต้องถือว่าเป็นเอกลักษณ์ของพุทธศาสนา

onion
โอวาทปาติโมกข์ ถือว่าเป็นสรุปคำสอนหรือวิธีสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ที่มาอุบัติขึ้นในโลก
:b39:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2015, 05:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004
การละชั่วกับการทำดีนั้น ได้บอกแล้วว่ามีสอนคล้ายกันทุกชาติทุกศาสนาแต่รายละเอียดของการละชั่วทำดีนั้นแตกต่างกันไปโดยขึ้นแล้วแต่การบัญญัติของศาสดาหรืออาจารย์ของศาสนานั้นๆ

ดังนั้นถ้าใครยังประพฤติ ปฏิบัติ อยู่ในระดับการละชั่ว ทำดี จึงยังไม่อาจจะเรียกตนเองได้ว่า "ชาวพุทธ" ได้อย่างแท้จริง


เมื่อไหร่มาเจริญการประพฤติปฏิบัติตามโอวาทปาติโมกข์ ข้อที่ 3 คือรู้จักวิธีการชำระจิตของตนให้ขาวรอบ คือรู้จักวิปัสสนาภาวนาและการภาวนาวิปัสสนาภาวนา แล้วและลงมือทำวิปัสสนาภาวนาเป็นเมื่อใด เมื่อนั้นแหละถึงจะพอเรียกตนเองว้าเป็น ชาวพุทธ ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
onion


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 911 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 51, 52, 53, 54, 55, 56, 57 ... 61  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร