วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 06:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 911 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 44, 45, 46, 47, 48, 49, 50 ... 61  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2015, 05:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




กระบวนการทำงานของมรรค 8_100.1 Kb_resize.jpg
กระบวนการทำงานของมรรค 8_100.1 Kb_resize.jpg [ 45.99 KiB | เปิดดู 1952 ครั้ง ]
เช่นนั้น เขียน:
เข้าถึงนิพพาน 2-3 ขณะจิต
พอออกจากนิพพาน กิเลสก็เกาะกุมต่อได้ จนต้องรีบทำ สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตมรรค
หรือครับ อโศกะ

ไปรู้มาจากไหน วิธีการเข้าออกนิพพาน

:b12:
ถามอยากรู้จริงหรือถามเพื่อลองภูมิครับ คุณเช่นนั้น

ก็รู้มาจากการบอกเล่าของครูบาอาจารย์ กัลยาณมิตร กับลงมือพิสูจน์ด้วยตัวเองยังไงครับ ทุกทฤษฎีที่เราเห็นว่าใช่ ต้องพิสูจน์ด้วยการทำจริง

จากโสดาปัตติมรรคไปสู่ สกิทาคา อนาคา อรหันตมรรคนั้นเร็วมากถ้าผู้ปฏิบัติมีเวลาต่อเนื่องและไม่ละความเพียรเสียก่อน เพราะจิตที่ถอนจากการเข้าเสวยวิมุติสุขจะแจ่มใสเรืองปัญญามาก สติปัญญาจะคมกล้าละเอียดลึกซึ้งสูงสุด กิเลสอนุสัยทั้งหลายที่ยังคงเหลือค้างอยู่ไม่อาจจะรอดพ้นไปจากสายตาของวิปัสสนาปัญญาไปได้

แต่ถ้าไม่มีเวลาและโอกาสปฏิบัติต่อเนื่องทันที ท่านเหล่านั้นจะไปติดอยู่แค่สุขจากผลสมาบัติตามชั้นของตนอย่างเช่นนางวิสาขากับอนาบิณฑกะเศรษฐี จนไม่คิดทำความเพียรต่อ แต่ท่านก็เป็นผู้ที่ปลอดภัยไม่ถอยหลังกลับไปสู่อบายภูมิหรืออาจจะมนุษย์ภูมิอีกด้วยซ้ำ เป็นผู้นั่งแท่นทางธรรมแล้ว เที่ยงแท้แน่นอนที่จะดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานภายในเวลาไม่เกิน 7 ชาติ

:b38:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2015, 14:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
ความรู้พื้นฐานที่ชาวพุทธควรจะรู้ เพราะถ้าไม่รู้ก็จะใช้ชีวิตแบบมดเดินทาง
แต่ถ้ารู้ ก็จะใช้ชีวิตอย่างถูกทางตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้

ยาก 5 อย่าง
ทาง 5 เส้น
บุคคล 5 จำพวก

ยาก 5 อย่าง
1.ความเกิดมีพระพุทธเจ้าขึ้นมาในโลก
2.ความได้เกิดมาเป็นมนุษย์
3.การได้พบพระพุทธศาสนา
4.การได้ฟังข้อธรรมคำสอนอันถูกต้องของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
5.การได้โอกาสน้อมนำคำสอนอันถูกต้องของพระพุทธเจ้ามาใส่ใจลงมือประพฤติปฏิบัติดัดกายใจจนได้เข้าถึงมรรค ผล นิพพาน ที่สงบเย็น

:b36:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2015, 16:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
ไปเอามาจากไหน
อนิจจัง >อนิมิตตนิพาน
ทุกขัง >อัปปนิหิตนิพพาน
อนัตตา > สุญญตนิพพาน

รู้มาจากพระสูตรไหน พระวินัยไหนครับ อโศกะ

:b12:
รู้มาจากคำสอนคำบอกเล่าของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ เขียนเป็นภาพให้เข้าใจง่ายภายใต้การดูแลของครูบาอาจารย์ครับ ไปสอบกับคัมภีร์ภายหลังก็คล้องจองลงตัวกัน
:b38:
คุณเช่นนั้นคงจะพยายามบอกว่าที่สุดก็มาจากตำราหรือเปล่าครับ

ดูเหมือนผมจะเคยบอกว่าผมไม่ปฏิเสธตำราผมเชื่อพระพุทธเจ้าถึงลำดับของการเรียนรู้และบรรลุธรรม ผมก็เดินมาตามทางสายนี้ เห็นทั้งประโยชน์และโทษของตำราแล้ว

ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวท

แต่ผมสะกิดสะเกาคนที่บรรลุธรรมโดยการคิดเอาตามตำราเพื่อให้เขาเฉลียวใจบ้างว่า นิพพานคิดเอา กับนิพพานปฏิบัติเอานั้นมันต่างกันลิบลับ

อีกประการหนึ่งก็เพื่อเตือนบอกว่าตำรานั้นอย่าเอามาก อย่ายึดตำราแน่นเกินไป ให้รู้จักหยิบมาใช้และวางลงไปให้เหมาะสมตามสถานการณ์จริง

คนที่จะปฏิบัติธรรมจนได้ถึงผลนั้น วันเวลาที่ลงมือปฏิบัติจริงต้องทิ้งตำราเอาตำรามากองไว้ข้างนอกใจให้หมดก่อนจึงจะเห็นความจริง

:b38:

นิพพานคิดเอา ถึงเขียนออกมา เช่นอโศกะ ทำอยู่ ^ ^
อโศกะ รู้ไม้ พระธรรมวินัยที่ถ่ายทอดลงมาถึงเราๆนี่ ไม่ใช่ตำรานะครับ

อย่ายึดติดกับคำสอนครูอาจารย์ภายหลังที่ไม่บริบูรณ์ นะครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2015, 16:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
เข้าถึงนิพพาน 2-3 ขณะจิต
พอออกจากนิพพาน กิเลสก็เกาะกุมต่อได้ จนต้องรีบทำ สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตมรรค
หรือครับ อโศกะ

ไปรู้มาจากไหน วิธีการเข้าออกนิพพาน

:b12:
ถามอยากรู้จริงหรือถามเพื่อลองภูมิครับ คุณเช่นนั้น

ก็รู้มาจากการบอกเล่าของครูบาอาจารย์ กัลยาณมิตร กับลงมือพิสูจน์ด้วยตัวเองยังไงครับ ทุกทฤษฎีที่เราเห็นว่าใช่ ต้องพิสูจน์ด้วยการทำจริง

จากโสดาปัตติมรรคไปสู่ สกิทาคา อนาคา อรหันตมรรคนั้นเร็วมากถ้าผู้ปฏิบัติมีเวลาต่อเนื่องและไม่ละความเพียรเสียก่อน เพราะจิตที่ถอนจากการเข้าเสวยวิมุติสุขจะแจ่มใสเรืองปัญญามาก สติปัญญาจะคมกล้าละเอียดลึกซึ้งสูงสุด กิเลสอนุสัยทั้งหลายที่ยังคงเหลือค้างอยู่ไม่อาจจะรอดพ้นไปจากสายตาของวิปัสสนาปัญญาไปได้

แต่ถ้าไม่มีเวลาและโอกาสปฏิบัติต่อเนื่องทันที ท่านเหล่านั้นจะไปติดอยู่แค่สุขจากผลสมาบัติตามชั้นของตนอย่างเช่นนางวิสาขากับอนาบิณฑกะเศรษฐี จนไม่คิดทำความเพียรต่อ แต่ท่านก็เป็นผู้ที่ปลอดภัยไม่ถอยหลังกลับไปสู่อบายภูมิหรืออาจจะมนุษย์ภูมิอีกด้วยซ้ำ เป็นผู้นั่งแท่นทางธรรมแล้ว เที่ยงแท้แน่นอนที่จะดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานภายในเวลาไม่เกิน 7 ชาติ

:b38:


อ้อ ครูอาจารย์มั่วๆ นี่เองที่สั่งสอนลูกศิษย์ให้เข้าออกนิพพาน 2-3 ขณะจิต
ถอนตัวออกมาตอนนี้ยังทันนะ อโศกะ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2015, 14:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004
คุณเช่นนั้นเข้าได้หลายขณะจิตก็ลองนำมาเล่าสู่กันฟังบ้างสิ อยากรู้ว่าคนที่เข้าไม่มั่วนั้นเขาเข้าอย่างไร
s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2015, 21:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เข้านิพพานมีทางเดียวคือ อริยสัจ4

ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

จะ4รอบ 12รอบ อะไรก็ตามแต่ หากเป็นอริยสัจ4 ก็คือทางนั่นเอง

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ต.ค. 2015, 01:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004
คุณเช่นนั้นเข้าได้หลายขณะจิตก็ลองนำมาเล่าสู่กันฟังบ้างสิ อยากรู้ว่าคนที่เข้าไม่มั่วนั้นเขาเข้าอย่างไร
s006

ไปรู้มาจากไหนอีก ว่า เช่นนั้น เข้าได้หลายขณะจิต

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2015, 05:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
asoka เขียน:
s004
คุณเช่นนั้นเข้าได้หลายขณะจิตก็ลองนำมาเล่าสู่กันฟังบ้างสิ อยากรู้ว่าคนที่เข้าไม่มั่วนั้นเขาเข้าอย่างไร
s006

ไปรู้มาจากไหนอีก ว่า เช่นนั้น เข้าได้หลายขณะจิต

:b16:
ก็แล้วเช่นนั้นไปรู้มาจากไหนล่ะ เข้าไปเสวยนิพพาน2-3 ขนะจิตนั้นมันไม่ใช่ มันมั่ว โปรดแสดงหลักฐาน
s006
เมื่อมรรคเกิดผลเกิดครั้งแรกนั้นมันชั่วพริบตาเดียว หลังจากปัจจเวกขณะญาณจบไปแล้วชีวิตจิตใจของคนผู้นั้นก็เปลี่ยนไปเหมือนคนที่ตายแล้วเกิดมาใหม่ใด้ชีวิตใหม่ คำสั่งต่างๆสำหรับชีวิตก็เปลี่ยนไป ภายในจิตในใจก็กลวงโบ๋ไร้ความเป็นอัตตาตัวตนอย่างหยาบขึ้นมาตอบโต้กับผัสสะทั้งปวง จะมีเหลือแต่เหตุผลกับอัตตาตัวละเอียดที่เรียกว่า มานะทิฏฐิขึ้นมาทำงานแทน

onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2015, 17:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ก็แล้วเช่นนั้นไปรู้มาจากไหนล่ะ เข้าไปเสวยนิพพาน2-3 ขนะจิตนั้นมันไม่ใช่ มันมั่ว โปรดแสดงหลักฐาน

เมื่อมรรคเกิดผลเกิดครั้งแรกนั้นมันชั่วพริบตาเดียว หลังจากปัจจเวกขณะญาณจบไปแล้วชีวิตจิตใจของคนผู้นั้นก็เปลี่ยนไปเหมือนคนที่ตายแล้วเกิดมาใหม่ใด้ชีวิตใหม่ คำสั่งต่างๆสำหรับชีวิตก็เปลี่ยนไป ภายในจิตในใจก็กลวงโบ๋ไร้ความเป็นอัตตาตัวตนอย่างหยาบขึ้นมาตอบโต้กับผัสสะทั้งปวง จะมีเหลือแต่เหตุผลกับอัตตาตัวละเอียดที่เรียกว่า มานะทิฏฐิขึ้นมาทำงานแทน


ผู้ที่หลุดพ้นแล้ว หรือผู้ที่เข้าถึงนิพพานแล้ว คือผู้ทีได้อรหัตผลแล้วเท่านั้น ได้แล้วได้เลยไม่เข้าๆออกๆ

โสดาบันบุคคล
สกทามีบุคคล
อนาคามีบุคคล
กัลยาณปุถุชน
สัทธานุสารี
ธัมมานุสารี
หรือบุคคลนอกศาสนาอื่นใดก็ตาม(อันไม่มีความเลื่อมใสใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์)
ไม่เข้าถึงวิมุติหรือนิพพานเลย
เพียงพบความสงบเย็น ไม่ใช่ความดับเย็นคือนิพพาน

ผู้เพียงพบความสงบเย็น เป็นผู้ไม่เข้าถึงวินิบาตเท่านั้น ยังต้องมีความเกิดอยู่ต่อไป
ผู้เข้าถึงนิพพาน จึงพ้นจากชาติชรามรณะ

http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php ... agebreak=0
พระสูตรดังกล่าว จะแสดงว่า บุคคลใดประกอบด้วยวิมุติ บุคคลใดไม่ประกอบด้วยวิมุติ

นิพพาน เข้าถึงแล้วถึงเลย ไม่มีเข้าๆ ออกๆ นะครับอโศกะ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2015, 05:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
อ้างคำพูด:
ผู้เข้าถึงนิพพาน จึงพ้นจากชาติชรามรณะ

http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php ... agebreak=0
พระสูตรดังกล่าว จะแสดงว่า บุคคลใดประกอบด้วยวิมุติ บุคคลใดไม่ประกอบด้วยวิมุติ
เช่นนั้นกล่าว


เป็นการไปยกพระสูตรและตีความพระสูตรมาสนับสนุนความเห็นผิดของตนเองของคุณเช่นนั้น

มันเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นกัน


อันหนึ่งเป็นการกล่าวถึงผู้ได้วิมุติโดยสิ้นเชิงคือพระอรหันต์ ย่อมไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก

อีกอันหนึ่งเป็นเรื่องการบรรลุธรรมของพระอริยเจ้าแต่ละชั้นตั้งแต่พระโสดาบันเป็นต้นไปทุกท่านย่อมได้รับผลสมบัติตามชั้นของตนเอง แต่ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือการที่จะได้บรรลุถึงความเป็นอริยชนตั้งแต่โสดาบันบุคคลขึ้นไปจนถึงพระอนาคามีนั้นท่านจะต้องได้พบกับสภาวะวิมุติคือได้เข้าถึงพระนิพพาน ได้ชิมรสแห่งพระนิพพานมาแล้วด้วยตนเอง สามารถจะเข้าไปเสวยผลคือนิพพานได้ตามกำลังชั้นของตนเอง ที่เรียกว่า "เข้าพละสมาบัติ" แต่ผลที่ได้ยังไม่ถาวรเพราะมียังมีกิเลสอนุสัยหรือสังโยชน์ที่ยังชำระไม่หมดคอยกั้นขวางอยู่

การเข้าไปสัมผัสพระนิพพานครั้งแรกนั้นต้องไปศึกษาจากเรื่องของญาณ 16 ที่ท่านพระพุทธโกศาจารย์มีเมตตาและกรุณาแจงไว้ให้ฟังโดยละเอียด
ในขั้นตอนของญาณตั้งแต่ญาณที่ 10 คือสังขารุเปกขาญาณขึ้นไปถึง ผลญาณๆที่ 15 เป็นขั้นตอนของการบรรลุธรรม อันมีผลญาณคือการบรรลุถึงนิพพานหรือเข้าถึงนิพพาน 2-3 ขณะจิตดังที่กล่าวไว้เป็นผล

หลังจากนั้นจึงไปเกิดปัจจเวกขณญาณ คือการทบทวนน้อมพิจารณาเหตุผลแห่งการบรรลุธรรม ผลที่ได้ อนุสัยที่เหลือทั้งหมดและความเข้าใจถ่องแท้ในปฏิจจสมุปบาทจนสิ้นความสงสัยในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ กฎแห่งกรรมต่างๆ จนทำลายวิจิกิจฉาให้ตายขาดตามและเป็นผลทำให้ไม่เป็นสีลัพพัตปรามาส

พระอริยะบุคคลชั้นต้นทั้ง 3 ชั้นท่านสามารถที่จะเข้าไปสู่พระนิพพานหรือเสวยผลสมบัติของตนได้ตามชั้นและกำลังความสามารถของแต่ละท่าน คือจะเข้าได้เร็ว ช้า มาก น้อย ทนนานได้แค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับกำลังแห่งสมถะและวิปัสสนาที่ต้นได้สร้างสมมา

พระอนาคามีและพระอรหันต์นั้นจะมีพิเศษหน่อยคือท่านสามารถเข้านิโรธสมาบัติได้ แต่ก็อาจจะไม่ทุกองค์

ลำดับเรื่องของการเข้าเสวยผลหรือนิพพานนี้ท่านที่สนใจต้องไปพึ่งอาจารย์กูเกิ้ลช่วยอธิบายต่อ โดยพิมพ์"การเสวยวิมุติสุขของพระโสดาบัน" หรือ "การเสวยนิพพานของพระโสดาบัน"ลงไปในช่องกูเกิ้ลแล้วท่านจะค้นมาให้อ่านหลายสำนวนครับ แต่สำนวนที่ดีและตรงประเด็นมากคือสำนวนของท่านอาจารย์ปยุต ปยุตโตนะครับ ลองค้นอ่านกันดู

อนึ่งการเข้าไปสัมผัสนิพพานหรือ การเข้าผลสมาบัติ นิโรธสมาบัติเหล่านี้จะไม่ค่อยมีในคัมภีร์หลัก ส่วนใหญ่จะได้จากอรรถกถาจารย์และคำบอกเล่าประสบการณ์ของพ่อแม่ครูบาอาจารย์เสียเป็นส่วนใหญ่ ใครไม่ค่อยได้คลุกคลีกับพระปฏิบัติมักจะไม่ค่อยได้รู้ได้ยินกันนะครับ

:b37:
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2015, 08:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อโศกะ.ยกพุทธวจนะออกมาครับ
อาจาริยาวาทะ ไม่เอาครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2015, 13:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
อโศกะ.ยกพุทธวจนะออกมาครับ
อาจาริยาวาทะ ไม่เอาครับ

s004
ผมหาไม่เป็นครับ ท่านใดเก่งการค้นหาในคัมภีร์กรุณาช่วยค้นมาแบ่งปันกันด้วยครับ เรื่องพระโสดาบันหรืออริยะชั้นต้นเสวยวิมุติสุข หรือเข้าผลสมาบัติ
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2015, 15:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
อโศกะ.ยกพุทธวจนะออกมาครับ
อาจาริยาวาทะ ไม่เอาครับ

s004
ผมหาไม่เป็นครับ ท่านใดเก่งการค้นหาในคัมภีร์กรุณาช่วยค้นมาแบ่งปันกันด้วยครับ เรื่องพระโสดาบันหรืออริยะชั้นต้นเสวยวิมุติสุข หรือเข้าผลสมาบัติ
:b8:


การเข้าผลสมาบัติ ต่างกันไกลกับ เสวยวิมุตติสุขอย่างสิ้นเชิง
อโศกะ
อย่าเข้าใจว่า เข้าผลสมาบัติ คือเข้านิพพาน พอออกจากผลสมาบัติ คือการออกจากนิพพาน

อาจารย์อโศกะ ท่านใดสอนเข้าๆ ออก ๆ นิพพานสองสามขณะจิต จำไว้เลยครับมั่ว

อโศกะ ควรศึกษาพุทธวจนะให้มากนะครับ
อย่าโยนให้กัลยาณมิตรท่านอื่นช่วยหา
จงมีฉันทะขวนขวายเองครับ

เจริญธรรม

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2015, 21:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


onion
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [๑] [๒] [๓] [๔]
อรรถกถา ขุททกนิกาย อุทาน โพธิวรรคที่ ๑ โพธิสูตรที่ ๑
หน้าต่างที่ ๔ / ๔.

วิมุตติสุขนี้นั้นมี ๒ อย่าง โดยการจำแนกความเป็นไปของผลจิต คือ ในมรรควิถี ๑ ในกาลอื่น ๑. ผลจิต ๓ หรือ ๒ (ขณะ) ที่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ อันเป็นผลของวิมุตติสุขนั้นๆ ย่อมเกิดขึ้นในลำดับอริยมรรคแต่ละมรรค เพราะโลกุตรกุศลมีวิบากในลำดับ.
ในคราวที่อนุโลมจิต ๒ ดวงเกิดในชวนวารที่อริยมรรคเกิดขึ้น จิตดวงที่ ๓ จัดเป็นโคตรภูจิต ดวงที่ ๔ จัดเป็นมรรคจิต ต่อแต่นั้นไปเป็นผลจิต ๓ ดวง. แต่ในคราวที่อนุโลมจิตเกิดขึ้น ๓ ดวง จิตดวงที่ ๔ เป็นโคตรภูจิต ดวงที่ ๕ เป็นมรรคจิต ต่อแต่นั้นไปเป็นผลจิต ๒ ดวง. จิตดวงที่ ๔ ที่ ๕ ย่อมเป็นไปด้วยอำนาจอัปปนา ด้วยประการฉะนี้ ต่อแต่นั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะใกล้ต่อภวังคจิต.
แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า แม้จิตดวงที่ ๖ ก็เป็นอัปปนา. คำนั้นท่านค้านไว้ในอรรถกถาแล้ว.
พึงทราบผลจิตในมรรควิถีด้วยประการฉะนี้.
แต่ผลจิตในกาลอื่น ย่อมเป็นไปด้วยผลสมาบัติ และที่เกิดขึ้นแก่ท่านผู้ออกจากนิโรธสมาบัติ ท่านสงเคราะห์ด้วยผลสมาบัตินั้นเอง. ก็ผลสมาบัตินี้นั้นว่าโดยอรรถ เป็นวิบากแห่งโลกุตรกุศลจิต อันมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ พึงทราบว่าเป็นอัปปนา.
ถามว่า ผลสมาบัตินั้น พวกไหนเข้าได้ พวกไหนเข้าไม่ได้?
ตอบว่า ปุถุชนทั้งหมดเข้าไม่ได้เพราะยังไม่ได้บรรลุ อนึ่ง พระอริยเจ้าชั้นต่ำก็เหมือนกัน เข้าผลสมาบัติชั้นสูงไม่ได้ แม้พระอริยเจ้าชั้นสูงก็ไม่เข้าผลสมาบัติชั้นต่ำเหมือนกัน เพราะท่านสงบระงับด้วยการเข้าถึงความเป็นบุคคลอื่น. พระอริยเจ้านั้นๆ ย่อมเข้าผลสมาบัติของตนๆ เท่านั้น. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า พระโสดาบันบุคคลและพระสกทาคามีบุคคล ย่อมไม่เข้าผลสมาบัติ พระอริยบุคคลชั้นสูง ๒ พวกเท่านั้น ย่อมเข้าได้ เพราะท่านกระทำให้บริบูรณ์ในสมาธิ. ข้อนั้นไม่ใช่เหตุ เพราะแม้ปุถุชนก็เข้าโลกิยสมาธิที่ตนได้ อีกอย่างหนึ่ง จะป่วยกล่าวไปไยด้วยการคิดถึงเหตุในข้อนี้.
สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ในปฏิสัมภิทาว่า สังขารุเบกขาญาณ ๑๐ เหล่าไหน เกิดขึ้นด้วยวิปัสสนา โคตรภูธรรม ๑๐ เหล่าไหน เกิดขึ้นด้วยวิปัสสนา. ในการแก้ปัญหาดังกล่าวนี้ ท่านกล่าวถึงการเข้าผลสมาบัติของพระอริยเจ้าเหล่านั้นว่า เพื่อประโยชน์แก่โสดาปัตติผลสมาบัติ เพื่อประโยชน์แก่สกทาคามิผลสมาบัติ. เพราะฉะนั้น จึงตกลงกันในข้อนี้ว่า พระอริยเจ้าแม้ทั้งปวงย่อมเข้าผลสมาบัติตามที่เป็นของตน.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระอริยเจ้าเหล่านั้นจึงเข้าสมาบัติ?
ตอบว่า เพื่ออยู่เป็นสุขในปัจจุบัน. เหมือนอย่างว่า พระราชาทั้งหลายเสวยสุขในราชสมบัติ เทวดาทั้งหลายเสวยทิพยสุข ฉันใด พระอริยเจ้าทั้งหลายก็ฉันนั้น ย่อมกำหนดกาลว่า จักเสวยโลกุตรสุข จึงเข้าผลสมาบัติในขณะที่ต้องการ.
ถามว่า ก็ผลสมาบัตินั้น เข้าอย่างไร หยุดอย่างไร ออกอย่างไร?
ตอบว่า ก่อนอื่นการเข้าผลสมาบัตินั้นมี ๒ อย่าง คือ ไม่มนสิการอารมณ์อื่นจากพระนิพพาน และมนสิการถึงพระนิพพาน เหมือนดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
ท่านผู้มีอายุ ปัจจัยแห่งการเข้าเจโตวิมุตติสมาบัติ
อันไม่มีนิมิต มี ๒ อย่าง คือการไม่มนสิการถึงนิมิตทั้งปวง
และการใส่ใจถึงธาตุที่หานิมิตมิได้.
ก็ในที่นี้ มีลำดับการเข้าผลสมาบัติดังต่อไปนี้ พระอริยสาวกผู้ต้องการผลสมาบัติ ไปในที่ลับ หลีกเร้นอยู่ พึงพิจารณาสังขารด้วยอุทยัพพยญาณเป็นต้น. เมื่อท่านมีวิปัสสนาญาณโดยลำดับ อันดำเนินไปอย่างนี้ จิตย่อมเป็นอัปปนาในนิโรธด้วยอำนาจผลสมาบัติ ในลำดับโคตรภูญาณมีสังขารเป็นอารมณ์. ก็ผลจิตเท่านั้นเกิดมรรคจิตไม่เกิดแม้แก่พระเสกขบุคคล เพราะท่านน้อมไปในผลสมาบัติ.
ส่วนอาจารย์เหล่าใดกล่าวว่า พระโสดาบันคิดว่าจักเข้าผลสมาบัติของตนแล้วเจริญวิปัสสนาเป็นพระสกทาคามี และพระสกทาคามีคิดว่าจักเข้าผลสมาบัติของตนแล้วเจริญวิปัสสนา ได้เป็นอนาคามี ดังนี้
อาจารย์เหล่านั้นพึงถูกต่อว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น พระอนาคามีก็จักเป็นพระอรหันต์, พระอรหันต์ก็จักเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า, พระปัจเจกพุทธเจ้าก็จักเป็นพระสัมพุทธเจ้า ดังนี้ เพราะฉะนั้น วิปัสสนาจึงให้สำเร็จประโยชน์ตามความยินดีในจิตสันดานตามอัธยาศัย ด้วยเหตุนั้น แม้สำหรับพระเสกขบุคคลก็เกิดแต่ผลจิตเหมือนกัน มรรคจิตไม่เกิด. ถ้าท่านบรรลุมรรคจิตที่สัมปยุตด้วยปฐมฌานไซร้ แม้ผลจิตที่สัมปยุตด้วยปฐมฌานเท่านั้น ก็เกิดแก่ท่าน ถ้าท่านบรรลุมรรคจิตที่สัมปยุตด้วยฌานอย่างใดอย่างหนึ่ง ในบรรดาทุติยฌานเป็นต้นไซร้ ผลจิตที่สัมปยุตด้วยฌานอย่างใดอย่างหนึ่ง ในบรรดาทุติยฌานเป็นต้น ก็ย่อมเกิด.
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร ในที่นี้ โคตรภูญาณจึงไม่มีนิพพานเป็นอารมณ์ เหมือนญาณที่เป็นปุเรจาริกของมรรคญาณ?
ตอบว่า เพราะผลญาณไม่เป็นนิยยานิกธรรม. ความจริง ธรรมคืออริยมรรคเท่านั้นเป็นนิยยานิกธรรม. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า ธรรมเหล่าไหนเป็นนิยยานิกธรรม? อริยมรรค ๔ ที่เป็นอปริยาปันนะ เป็นนิยยานิกธรรม.
เพราะฉะนั้น ญาณอันเป็นอนันตรปัจจัยแห่งสภาวธรรมที่เป็นนิยยานิกะโดยส่วนเดียว ซึ่งดำเนินไปโดยสภาวะที่ออกจากทั้งสองฝ่าย พึงออกจากนิมิตได้เลย เพราะฉะนั้น โคตรภูญาณนั้น มีพระนิพพานเป็นอารมณ์จึงจะถูก แต่ว่า ญาณที่เป็นปุเรจาริกของผลญาณ ซึ่งมีสภาวะไม่ออกไป เพราะไม่เป็นนิยยานิกธรรม เหตุที่ไม่ตัดขาดกิเลส ซึ่งกำลังเป็นไปโดยเป็นวิบากของอริยมรรคนั้น เพราะได้เจริญอริยมรรคไว้ แม้บางคราวจะมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ก็ไม่ถูกไม่ควร เพราะอนุโลมญาณในทั้ง ๒ ฝ่าย มีอาการไม่เสมอกัน.
จริงอยู่ อนุโลมญาณในอริยมรรควิถี อันถึงความบริบูรณ์อย่างอุกฤษฏ์ด้วยโลกิยญาณ อันเป็นเครื่องทำลายกองโลภะเป็นต้น อันมากมายซึ่งไม่เคยแทงตลอดได้อย่างดี เกิดขึ้นอนุโลมแก่มรรคญาณ ส่วนในผลสมาบัติวิถีอนุโลมญาณนั้นๆ ไม่มีความขวนขวายในอริยมรรควิถีนั้น เพราะตัดกิเลสนั้นๆ ได้เด็ดขาด เกิดเป็นเพียงบริกรรมแห่งความพรั่งพร้อม ด้วยสุขอันเกิดแต่ผลสมาบัติของพระอริยเจ้าทั้งหลายอย่างเดียว เพราะฉะนั้น อนุโลมญานเหล่านั้น จึงไม่มีการออกจากปัจจัยไหนๆ เพราะญาณในที่สุดแห่งอนุโลมญานเหล่านั้น อันมีสังขารเป็นนิมิต พึงมีพระนิพพานเป็นอารมณ์จากการออกจากสมาบัติ.
ก็เพราะทำคำอธิบายดังว่านี้ เมื่อพระเสกขบุคคลพิจารณาสังขารทั้งหลายด้วยอุทยัพพยญาณเป็นต้น เพื่อจะใช้ผลสมาบัติของตน ผลจิตเท่านั้นจึงเกิดขึ้นในลำดับวิปัสสนาญาณ มรรคไม่เกิด. ฉะนั้น เนื้อความดังกล่าวมานี้แล จึงเป็นอันสมบูรณ์แล้ว.
พึงทราบการเข้าผลสมาบัติดังกล่าวมาอย่างนี้ก่อน.
ก็ผลสมาบัตินั้นมีการตั้งอยู่โดยอาการ ๓ อย่าง เพราะพระบาลีว่า
ผู้มีอายุ ปัจจัยแห่งการตั้งอยู่ของเจโตวิมุตติอันหานิมิตมิได้มี ๓ อย่างแล คือ
การไม่มนสิการถึงนิมิตทั้งปวง ๑
การมนสิการถึงธาตุอันหานิมิตมิได้ ๑
การปรุงแต่งในกาลก่อน ๑.
ใน ๓ อย่างนั้น บทว่า ปุพฺเพ จ อภิสงฺขาโร ได้แก่ การกำหนดเวลาในกาลก่อนเข้าสมาบัติ. ก็ผลสมาบัตินั้นไม่มีการออกตราบเท่าที่ยังไม่ถึงเวลานั้น เพราะท่านกำหนดไว้ว่าจักออกในเวลาโน้น.
อนึ่ง ผลสมาบัตินั้นย่อมมีการออกโดยอาการ ๒ อย่าง เพราะพระบาลีว่า
ผู้มีอายุ ปัจจัยแห่งการออกของเจโตวิมุตติ อันหานิมิตมิได้มี ๒ อย่างแล คือ
มนสิการถึงนิมิตทั้งปวง ๑
ไม่มนสิการถึงธาตุอันหานิมิตมิได้ ๑.
ใน ๒ อย่างนั้น บทว่า สพฺพนิมิตฺตานํ ได้แก่ รูปนิมิต เวทนานิมิต สัญญานิมิต สังขารนิมิต และวิญญาณนิมิต. พระโยคาวจรไม่มนสิการรวมกันซึ่งนิมิตเหล่านั้นก็จริง ถึงอย่างนั้น ท่านกล่าวไว้อย่างนั้น ด้วยการรวมนิมิตทั้งปวง. เพราะฉะนั้น อารมณ์ของภวังคจิตอันใดมีอยู่ การออกจากผลสมาบัติย่อมมีโดยมนสิการถึงอารมณ์นั้น พึงทราบการออกจากผลสมาบัตินั้นด้วยประการอย่างนี้.
ท่านกล่าวว่า วิมุตฺติสุขํ ปฏิสํเวที ดังนี้ หมายเอาการเข้า การตั้งอยู่ และการออกจากผลสมาบัติ ดังกล่าวมานี้นั้น จัดเป็นอรหัตผลอันสงบระงับความกระวนกระวาย มีอมตะเป็นอารมณ์ เป็นสุข คายโลกามิส สงบ เป็นสามัญผลอันสูงสุด. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า บทว่า วิมุตฺติสุขํ ปฏิสํเวที ได้แก่ ประทับนั่งเสวยวิมุตติสุข คือผลสมาบัติสุข.
:b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2015, 21:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


onion
คุณวิเศษที่พระโสดาบันได้รับมีดังนี้
1. สามารถเข้าผลสมาบัติตามฐานของพระโสดาบันได้
2. จะไม่ไปเกิดในอบายภูมิ คือ สัตว์เดรัชฉาน เปรต อสุรกาย และสัตว์นรก อีกเลย เพราะกิเลสที่จะก่อให้เกิดทำอกุศลกรรม
ที่ร้ายแรงที่ต้องให้ไปเกิดในอบายภูมิ ย่อมไม่มีอีกแล้ว
3. จะเกิดในภพมนุษย์ หรือ สวรรค์ หรือ พรหม ตามบุญกุศล หรือตามกำลังสมาธิ ของแต่ละท่าน
4. จะมาเกิดในภพมนุษย์อย่างมากที่สุดไม่เกิด 7 ชาติ ก็จะบรรลุเป็นพระอรหันเข้าสู่พระนิพพาน

ประเภทของพระโสดาบันบุคคลแบ่งได้ 3 ประเภท
1. เอกพิชีโสดาบัน คือจะกับมาเกิดในโลกมนุษย์เพียงชาติเดียว แล้วปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานต่อจนบรรลุเป็นพระอรหัน
แล้วดับขันธ์ปรินิพพานในชาตินั้น
2. โกลังโกละโสดาบัน คือท่านที่จะมาเกิดบนโลกมนุษย์อีก 2 ถึง 3 ชาติ แล้วมีโอกาศได้บรรลุเป็นพระอรหัน
ดับขันธ์สู่พระนิพพาน
3. สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน คือท่านที่จะมาเกิดบนโลกมนุษย์ มากกว่า 3 ชาติ แต่ไม่เกิน 7 ชาติ
แล้วมีโอกาศบรรลุเป็นพระอรหัน ดับขันธ์นิพพาน

พระอริยะบุคคลประเภทที่ 2. พระสกิทาคามี คือพระอริยะบุคคลที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานครบ 16
ญาณในรอบแรกแล้วแล้วยังเพียรกำหนดวิปัสสนากรรมฐานต่อ จนวิปัสสนาญานบังเกิดขึ้นในรอบที่ 2 ตั้งแต่ญาณที่ 4
อุทยัพพยญาณจนญานที่ 12 อนุโลมญาณ
ชึ่งวิปํสสนาญาณนั้นเกิดขึ้นอย่างละเอียดอ่อนแจ่มแจ้งกว่าสภาวญาณที่เคยฝ่านมาแล้ว และติดตามด้วย โวทานะ
โวทานะแทนโคตรภูญาณ เพราะท่านเป็นอริยะบุคคลแล้ว หลังจากนั้นบรรลุถึงพระสกิทาคามีมรรค และเมื่อฝ่านตลอดทั้ง
16 ญาณในรอบที่ 2 กิเลสที่มีอยู่จะเบาบางจากเดิมที่มีอยู่ในทันที่
แต่ไม่สามารถละสัญโญชน์ทีเหลืออยู่ให้ตัวใดตัวหนึ่งขาดหายโดยสิ้นเชิ่ง
แต่กิเลสของท่านเบาบางกว่าพระโสดาบันอย่างมาก ดำรงค์ฐานะเป็นพระสกิทาคามีบุคคล

คุณวิเศษที่พระสกิทาคามีได้รับมีดังนี้
1. สามารถเข้าผลสมาบัติตามฐานของพระสกิทาคามีได้
2. จะไม่ไปเกิดในอบายภูมิ คือ สัตว์เดรัชฉาน เปรต อสุรกาย และสัตว์นรก อีกเลย เพราะกิเลสที่จะก่อให้เกิดทำอกุศลกรรม
ที่ร้ายแรงที่ต้องให้ไปเกิดในอบายภูมิ ย่อมไม่มีอีกแล้ว
3. จะเกิดในภพมนุษย์ หรือ สวรรค์ หรือ พรหม ตามบุญกุศล หรือตามกำลังสมาธิ ของแต่ละท่าน
4. จะมาเกิดในภพมนุษย์อย่างมากที่สุดเพียง 1 ชาติ ก็จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ดับขันธ์นิพพาน

พระอริยะบุคคลประเภทที่ 3. พระอนาคามีบุคคล คือพระอริยะบุคคลที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานครบ 16 ญาณในรอบที่ 2 แล้ว
ก็ยังกำหนดวิปัสสนากรรมฐานต่อ จนวิปัสสนาญานบังเกิดขึ้นในรอบที่ 3 ตั้งแต่ญาณที่ 4 อุทยัพพยญาณจนญานที่ 12
อนุโลมญาณ ชึ่งวิปํสสนาญาณนั้นเกิดขึ้นอย่างละเอียดอ่อนแจ่มแจ้งกว่าสภาวญาณที่เคยฝ่านมาแล้ว และติดตามด้วย
โวทานะ โวทานะแทนโคตรภูญาณ เพราะท่านเป็นอริยะบุคคลแล้ว ก็บรรลุถึงพระอนาคามีมรรค และเมื่อฝ่านตลอดทั้ง 16
ญาณในรอบที่ 3 กิเลสที่มีอยู่จะเบาบางจากเดิมที่มีอยู่ในทันที่ และสามารถละสัญโญชน์ทีเหลืออยู่ได้อีก 2
สัญโญชน์อย่างสิ้นเชิ่ง ได้แก่ กามราคะสัญโญชน์ และปฏิคะสัญโญชน์ ก็คือละกามและโทษะได้อย่างะเด็ดขาด
ดำรงค์ฐานะเป็นพระอนาคามีบุคคล

คุณวิเศษที่พระอนาคามีได้รับมีดังนี้
1. สามารถเข้าผลสมาบัติตามฐานของพระอนาคามีได้ แต่ท่านที่เคยฝึกสมาธิถึงฌานที่ 4 ท่านสามารถเข้านิโรธสมาบัติได้
หรือบางท่านบังเกิดมีวิชา 3 อภิญญา 5 สามารถสำแดงฤทธิ์เดชได้
2. ถ้ายังไม่บรรลุเป็นพระอรหันจะไปเกิดใน พรหมโลก ชั้นสุทาวาสพรหม อย่างเดียว จะไม่มาเกิดในมนุษย์โลกนี้อีกเลย
แล้วจะบรรลุเป็นพระอรหันดับขันธ์นิพพานบนสุทาวาสพรหมนั้น
ชั้นสุทาวาสพรหม เป็นชั้นของพระพรหมที่เป็นที่จุติของพระอนาคามีอริยะบุคคลในพระพุทธศาสนาอย่างเดียวเท่านั้น
ซึ่งสามารถแบ่งลำดับชั้นในสุทาวาสพรหมได้อีก 5 ชั้น จากลำดับล่างไปสู่ชั้นสูง ดังนี้
1 ชั้นอวิหาภูมิ
2.ชั้นอตัปปาภูมิ
3.ชั้นสุทัสสาภูมิ
4.ชั้นสุทัสสีภูมิ
5.ชั้นอกนิฏฐกาภูมิ
ซึ่งพระอนาคามีท่านจะไปจุติตามชั้นต่างๆ ตามกำลังพละ 5 ของท่านที่เด่นชัด

พระอริยะบุคคลประเภทที่ 4. พระอรหันต์บุคคล คือพระอริยะบุคคลที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานครบ 16 ญาณในรอบที่ 3 แล้ว
ก็ยังกำหนดวิปัสสนากรรมฐานต่อ จนวิปัสสนาญานบังเกิดขึ้นในรอบที่ 4 ตั้งแต่ญาณที่ 4 อุทยัพพยญาณจนญานที่ 12
อนุโลมญาณ ชึ่งวิปัสสนาญาณนั้นเกิดขึ้นอย่างละเอียดอ่อนแจ่มแจ้งเป็นที่สุดด้วยบารมีที่เต็มบริบูรณ์ และติดตามด้วย
โวทานะ โวทานะแทนโคตรภูญาณ เพราะท่านเป็นอริยะบุคคลแล้ว ก็บรรลุถึงพระอรหัตมรรค
สามารถตัดกิเลสทั้งหมดได้สิ้นเชิง และเมื่อฝ่านตลอดทั้ง 16 ญาณในรอบที่ 4
กิเลสที่ตัดขาดโดยอรหัตมรรคได้แก่สัญโญชน์ที่เหลืออยู่ 5 อย่างคือ
6. รูปราคะสัญโญชน์ คือความยินดีในรูปภพ
7. อรูปราคะสัญโญชน์ คือความยินดีในอรูปภพ
8. มานะสัญโญชน์ คือความถือตัว
9. อุทธัจจะสัญโญชน์ คือความที่จิตฟุ้งไป ไม่สามารถตั้งอยู่อารมณ์เดียวได้นาน
10. อวิชชาสัญโญชน์ คือสภาพไม่รู้ ความมืดหลงของจิต หรือ โง่ หรือ โมหะ

คุณวิเศษของพระอรหันต์ได้รับมีดังนี้
1. สามารถเข้าผลสมาบัติตามฐานของพระอรหันต์ได้
2. ไม่มีกิเลสเหลือในจิตใจแม้แต่เพียงนิดเดียว
3. เมื่อดับขันธ์ต้องปรินิพพานอย่างเดียว
:b53:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 911 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 44, 45, 46, 47, 48, 49, 50 ... 61  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร