วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 17:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 911 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 40, 41, 42, 43, 44, 45, 46 ... 61  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2015, 04:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
อ้างคำพูด:
ผู้ปฏิบัติ ที่พิจารณา จิต
จะเห็นว่า จิตรู้ อารมณ์

และผู้รู้ก็ไปหมายอารมณ์ที่รู้(สิ่งที่ถูกรู้)นั้นเป็นเรา
และพอบอกว่า สิ่งที่ถูกรู้ไม่ใช่เรา
ก็จะหันไปมองว่า สิ่งที่เข้าไปรู้นั้นเป็นเรา เราคือ จิต
แต่ถ้าไม่มีผัสสะกระทบ จิตไม่เข้ารับอารมณ์ เราเอาอะไรมาหมายมั่นอะไร

ดังนั้นการปฏิบัติเข้าไปพิจารณาการเข้าไปรู้อารมณ์ของจิต
เราต้องอาศัยคุณลักษณะของ โสภณเจตสิก
เพราะมันจะเหมือน น้ำนิ่ง ที่ใส เมื่อมีแรงกระเพื่อมเพียงนิด
ทีละระลอก มันก็จะเห็นร่องรอยชัดเจน บนฐานของมัน (พื้นน้ำ)

ไม่ใช่ คุณลักษณะของ การคิดนะ
คุณลักษณะของการคิด มันจะเหมือนลูกคลื่นหลายระลอกตีรวนกันอยู่
เมื่อเห็น มันจะเห็นฐานคลื่นที่เกิดต่อยอดกัน
คือ ภวังค์ที่มีแรงสืบเนื่อง มีแรงตัดรอน
ซึ่งภวังค์ในลักษณะนี้ เอกอนก็มองไมออก เพราะมันเร็วมาก
เราจะทันได้แค่เอะใจว่า "เฮ้ย...จิตมันเปลี่ยนเรื่องแล้วเว้ยเฮ้ย"

:b20: s006
เราเอาอะไรมาหมายมั่นอะไร?

เป็นคำถามที่ดีแต่คำตอบต้องละเอียดอ่อนมากๆ

คุณเอก้อนตอบว่าต้องใช้โสภณเจตสิก

ควรระบุให้ชัดเจนขึ้นไปอีกว่าเป็นโสภณเจตสิกตัวไหน

ถ้าเราทำความสังเกตของเราให้มีความละเอียดอ่อนได้สูงสุดเราจะได้พบว่า สตินทรีย์และปัญญินทรีย์เจตสิกเขาทำงานซ้อนอยู่เบื้องหลังตลอดเวลาอย่างการไปเห็นไปรู้

อ้างคำพูด:
น้ำนิ่ง ที่ใส เมื่อมีแรงกระเพื่อมเพียงนิด
ทีละระลอก มันก็จะเห็นร่องรอยชัดเจน บนฐานของมัน (พื้นน้ำ)


ใครไปรู้ไปเห็น

สตินทรีย์เจตสิก ไป รู้ทัน (ระลึกได้ ไม่ลืม) การเกิดอาการหรือสภาวะทั้งหลายที่ว่ามา

ปัญญินทรีย์เจตสิก ไปดู เห็น รู้ (สัมมาทิฏฐิ) ไปสังเกต พิจารณา(สัมมาสังกัปปะ)สภาวะทั้งหลายที่ปรากฏ

หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดจบลงแล้ว ธัมมวิจัยสัมโภชฌงค์ ก็จะมาประมวลเรื่องทั้งหมดสรุปออกมารายงาน ดังที่เอก้อนได้รายงานผลการวิจัยต่อผู้อ่านกระทู้นี้ทั้งหมด

หวังว่าการวิเคราะห์เชิงวิทยาศาสตร์ทางจิตนี้จะพอทำให้คุณเอก้อนและผู้ศึกษาทั้งหลายพอมองเห็นโครงเค้าเรื่องและกระบวนการทำงานของจิต เจตสิก ในเรื่องและกระทู้นี้ได้พอสมควรนะครับ

เจริญสุข เจริญธรรมกันทุกคนนะครับ

smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2015, 12:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

:b38:

เราเอาอะไรมาหมายมั่นอะไร?

เป็นคำถามที่ดีแต่คำตอบต้องละเอียดอ่อนมากๆ

คุณเอก้อนตอบว่าต้องใช้โสภณเจตสิก

ควรระบุให้ชัดเจนขึ้นไปอีกว่าเป็นโสภณเจตสิกตัวไหน

ถ้าเราทำความสังเกตของเราให้มีความละเอียดอ่อนได้สูงสุดเราจะได้พบว่า สตินทรีย์และปัญญินทรีย์เจตสิกเขาทำงานซ้อนอยู่เบื้องหลังตลอดเวลาอย่างการไปเห็นไปรู้

อ้างคำพูด:
น้ำนิ่ง ที่ใส เมื่อมีแรงกระเพื่อมเพียงนิด
ทีละระลอก มันก็จะเห็นร่องรอยชัดเจน บนฐานของมัน (พื้นน้ำ)


ใครไปรู้ไปเห็น

สตินทรีย์เจตสิก ไป รู้ทัน (ระลึกได้ ไม่ลืม) การเกิดอาการหรือสภาวะทั้งหลายที่ว่ามา

ปัญญินทรีย์เจตสิก ไปดู เห็น รู้ (สัมมาทิฏฐิ) ไปสังเกต พิจารณา(สัมมาสังกัปปะ)สภาวะทั้งหลายที่ปรากฏ

หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดจบลงแล้ว ธัมมวิจัยสัมโภชฌงค์ ก็จะมาประมวลเรื่องทั้งหมดสรุปออกมารายงาน ดังที่เอก้อนได้รายงานผลการวิจัยต่อผู้อ่านกระทู้นี้ทั้งหมด

หวังว่าการวิเคราะห์เชิงวิทยาศาสตร์ทางจิตนี้จะพอทำให้คุณเอก้อนและผู้ศึกษาทั้งหลายพอมองเห็นโครงเค้าเรื่องและกระบวนการทำงานของจิต เจตสิก ในเรื่องและกระทู้นี้ได้พอสมควรนะครับ


เจริญสุข เจริญธรรมกันทุกคนนะครับ
smiley


:b1: ...เรื่องบางเรื่อง แม้ท่านอโศกะจะอยากอธิบายอะไร ก็ต้องละไว้นะ ... :b5: :b5: :b5:

นอกเสียจากว่าท่านแสดงทักษะของท่านออกมาให้เห็นก่อน
ว่าท่านนั้นทำความละเอียดของจิตได้ถึงระดับเป็นนักโต้คลื่นได้แล้วนั่นล่ะ

ถ้ายัง เรื่องทำนองนี้ ถือว่าเป็นทัศนะที่เกินกำลังท่านอยู่น่ะ

ถ้าด้วยโสภณเจตสิก คือ ถ้าหากว่าหนทางที่ท่านปฏิบัติอยู่
แล้วท่านมีจิตที่โนม้เพื่อจะไปให้ถึง สภาวะหนึ่ง เมื่อยังไม่ถึงก็จะรู้เองนั่นล่ะ
ว่า ต้องใช้โสภณตัวไหนบ้าง (ต้องการให้จิตแสดงคุณลักษณะเช่นไรออกมาบ้าง)

ซึ่งโดยหลัก ๆ แล้ว ลักษณะแห่งโสภณเจตสิกทั้งหมด ต้องปรากฎ
บางตัวต้องปรากฏด้วยกำลังที่เด่น บางตัวไม่เด่นมากนัก แต่ไม่ใช่ไม่ต้องมี ไม่ต้องใช้

อย่างเช่น "อัปปมัญญาเจตสิก" ตัวนี้ ต้องได้กำลัง ขาดไม่ได้
ไม่ใช่จะอาศัยแต่ ปัญญินทรีย์ โนน่นี่นั่น

แม้ก่อนหน้า เอกอนจะไม่เคยรู้จักบัญญัติตัวนี้
แต่เมื่อต้องพูดถึง "อัปปมัญญาเจตสิก" เอกอนก็บอกได้ว่า
ต้องมีประกอบอยู่ด้วยกำลังที่จะมากพอ เพราะถ้าไม่มากพอ
เวลาอารมณ์จิตปรากฎ มันจะเหมือนเรากระโดดลงสระว่ายน้ำแล้วว่ายน้ำไปข้างหน้าอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
จนกระทั่งหัวไปชนขอบสระ

ท่านต้องเข้าใจว่า อัปปัมัญญาเจตสิก จะมีคุณลักษณะแผ่ไปอย่างไม่มีขอบเขต
ซึ่ง เมื่อปัญญาเจตสิกปรากฏ และขี่ไปบนพื้นฐานจิตที่มีคุณลักษณะนี้ ปัญญาก็จะแผ่ไป

ดังนั้น ถ้าหากว่าปฏิบัติ จิตเดินละเอียดได้จริง
ผู้ปฏิบัติจะรู้เองว่า ว่าจิต+เจตสิกที่ปรากฎอยู่ มีลักษณะเช่นไร

:b1:

อ้างคำพูด:
ต่อด้วยอุเบกขาอีกหน่อย...อันนี้เป็นงานวิจัย... :b4:
จากหนังสือ "Buddha's Brain"

อ้างคำพูด:
พื้นที่ทำงานส่วนกลางของความรู้สึกตัว

อีกแง่มุมหนึ่งของอุเบกขา คือ พื้นที่ทำงานส่วนกลางของความรู้สึกตัวที่กว้างขวางเป็นพิเศษ
พื้นที่ที่ว่านี้ได้แก่ องค์ประกอบในส่วนของระบบประสาทของความรู้สึกทางใจ
ที่ให้ความรุ้สึกเหมือนกับว่ามีพื้นที่อันกว้างใหญ่โอบอุ้มสิ่งต่าง ๆ
ที่เข้ามาในกระแสความตระหนักรู้ของคุณนั่นเอง
สิ่งนี้อาจเกิดขึ้นจากการที่เซลล์ประสาทจำนวนพัน ๆ ล้านตัวส่งกระแสประสาทออกไป
เป็นจังหวะเดียวกันในคลื่นแกมมาที่มั่นคง และแผ่ขยายออกไปเป็นวงกว้าง
ครอบคลุมบริเวณต่าง ๆ จำนวนมากในสมอง โดยยิงออกไปเป็นจังหวะพร้อม ๆ กัน
ประมาณ 30 ถึง 80 ครั้งต่อวินาที


สิ่งที่น่าสนใจก็คือ รูปแบบที่ไม่ธรรมดาของคลื่นสมองนี้เกิดขึ้นในพระภิกษุชาวธิเบตที่มีชั่วโมงการเจริญภาวนามาเป็นเวลานาน และมีจิตที่เป็นอุเบกขาสูงด้วย


ชาวนักโต้คลื่น ไม่ได้รู้จักคำว่า เจตสิก
ชาวนักโต้คลื่น รู้ได้ถึงลักษณ์ของสิ่งหนึ่ง ที่ปรากฎ
ซึ่ง ปัญญินทรีย์เจตสิก ที่ท่านอโศกะอธิบายออกมาอย่างนั้นมันไม่ได้แสดงอะไรเลย

ปัญญินทรีย์เจตสิก ที่นักโต้คลื่นรู้จัก ก็จะเป็นลักษณ์ของจิตที่เมื่อปรากฎ
จิตจะมีลักษณะอาการเช่นนี้....
คือ ถ้าคลื่นที่นักโต้คลื่นกำลังโต้อยู่แสดงลักษณะเช่นนี้

Quote Tipitaka:
[๓๑] ปัญญินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน?
ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ความวิจัย ความเลือกสรร ความวิจัยธรรม ความกำหนดหมาย
ความเข้าไปกำหนด ความเข้าไปกำหนดเฉพาะ ภาวะที่รู้ ภาวะที่ฉลาด ภาวะที่รู้ละเอียด
ความรู้แจ่มแจ้ง ความค้นคิด ความใคร่ครวญ ปัญญาเหมือนแผ่นดิน ปัญญาเครื่องทำลายกิเลส
ปัญญาเครื่องนำทาง ความเห็นแจ้ง ความรู้ชัด ปัญญาเหมือนปฏัก ปัญญา อินทรีย์คือปัญญา
ปัญญาพละ ปัญญาเหมือนศาตรา ปัญญาเหมือนปราสาท ความสว่าง คือ ปัญญา แสงสว่าง
คือ ปัญญา ปัญญาเหมือนประทีป ปัญญาเหมือนดวงแก้ว ความไม่หลง ความวิจัยธรรม
สัมมาทิฏฐิ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า ปัญญินทรีย์มีในสมัยนั้น.


ดังนั้น ขอให้เข้าใจว่า ในพื้นน้ำเช่นนั้นถ้ามีอะไรตกลงไปสู่
เจตสิก จะทำงานของเขาอย่างนั้น แหละโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม
ไม่ต้องใช้ความคิดชี้นำ เพื่อไปย้อมอะไรให้ออกมาเป็นอะไรเลย
เพราะคุณลักษณะเขาเป็นอย่างนั้นเอง

เจตสิกเขาเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ ปัญญาของเรา เป็นอย่างนั้น

ดังนั้นเจตสิกในกลุ่มโสภณเจตสิก ความจริง ไม่ได้มีอะไรต้องกังวลในเรื่องว่า
จะต้องเริ่มต้นวิปัสสนาอะไรยังไง และจะจบลงยังไง

เหมือนกับว่า บ่อหนึ่งเป็นบ่อโคลน บ่อหนึ่งเป็นบ่อน้ำใส
เมื่อ ควายตกลงไปในบ่อโคลน มองลงไปก็ไม่เห็นตัวควายที่ใต้โคลน
เมื่อควายเดินกลับขึ้นมา โคลนก็ติดตัวควายมาด้วย

ส่วนบ่อน้ำใส เมื่อควายลงไป ตัวควายใต้น้ำก็ยังมองเห็น เมื่อขึ้นมาตัวควายก็สะอาด

...

ทั้ง 2 บ่อ ให้ผลออกมาที่ต่างกัน โดยที่ผู้มองไม่ได้เป็นตัวทำอะไรเลย
เป็นผลเนื่องมาจาก เจตสิก ที่ประกอบอยู่กับ จิต ต่างกัน

ซึ่งเมื่อ ควายก่อนลงน้ำ ไม่ใช่ควายของเรา
ควายหลังจากที่ขึ้นมา ก็ไม่ใช่ควายของเรา

ดังนั้น ควาย กับ ปัญญาควาย ก็ไม่ใช่สิ่งที่เราจะยึดได้ว่าเป็นเราเป็นของเรา
มันเป็น เหตุ กับ จิต+เจตสิก และ ผล


:b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 13 ต.ค. 2015, 20:55, แก้ไขแล้ว 5 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2015, 12:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านต้องฟัง คลิปให้ดี ๆ

ว่า คลื่นมันมีการซ้อนทับกันอยู่ ....

ซึ่งเสียงสูง เสียงต่ำ เสียงทุ้ม เสียงกังวาล
เสียงโด เร มี ฟา ซอล ลา ซี

เรารับรู้ความต่างของเสียงต่างกัน เพราะ ลักษณะคลื่นของเขาต่างกัน
แต่เขาต่างเป็นคลื่น

ดนตรีออร์เคสตร้า ล้วนเต็มไปด้วยคลื่นต่าง ๆ มาประชุมกัน
อาศัยจังหวะและท่วงทำนองที่สอดประสานกัน จึงออกมาเป็นเพลง

โสภณเจตสิกที่ปรากฎประกอบกับจิต ก็จะมีลักษณะเช่นนั้นล่ะ

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2015, 15:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004
ผมกำลังสงสัยว่าสิ่งละเอียดละอออย่างที่เอก้อนยกมาสนทนานี้ จะมีคนสนใจเข้าใจรู้เรื่องได้สักกี่คนกันครับ

ธรรมะมันใกล้กับคำว่าธรรมดามากอยู่แล้ว มันน่าจะรู้ง่าย เห็นง่าย เข้าใจง่ายๆกว่านี้นะครับ

s004


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2015, 15:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


[๗] ครั้นล่วง ๗ วัน พระผู้มีพระภาคทรงออกจากสมาธินั้นแล้ว เสด็จจากควงไม้
ราชายตนะ เข้าไปยังต้นไม้อชปาลนิโครธ. ทราบว่า พระองค์ประทับอยู่ ณ ควงไม้อชปาลนิโครธ
นั้น และพระองค์เสด็จไปในที่สงัด หลีกเร้นอยู่ ได้มีพระปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า ธรรม
ที่เราได้บรรลุแล้วนี้ เป็นคุณอันลึก เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก เป็นธรรมสงบ ประณีต ไม่หยั่ง
ลงสู่ความตรึก ละเอียด เป็นวิสัยที่บัณฑิตจะพึงรู้แจ้ง ส่วนหมู่สัตว์นี้เริงรมย์ด้วยอาลัย ยินดีใน
อาลัย ชื่นชมในอาลัย ฐานะคือความที่อวิชชาเป็นปัจจัยแห่งสังขารเป็นต้นนี้ เป็นสภาพอาศัย
ปัจจัยเกิดขึ้นนี้ อันหมู่สัตว์ผู้เริงรมย์ด้วยอาลัย ยินดีในอาลัย ชื่นชมในอาลัยเห็นได้ยาก แม้
ฐานะคือธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่สิ้น
กำหนัด เป็นที่ดับสนิท หากิเลสเครื่องร้อยรัดมิได้นี้ ก็แสนยากที่จะเห็นได้
ก็ถ้าเราจะพึงแสดง
ธรรม สัตว์เหล่าอื่นก็จะไม่พึงรู้ทั่วถึงธรรมของเรา ข้อนั้น จะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อยเปล่า
แก่เรา จะพึงเป็นความลำบากเปล่าแก่เรา.
อนึ่ง อนัจฉริยคาถาเหล่านี้ ที่ไม่เคยได้สดับในกาลก่อน ปรากฏแก่พระผู้มีพระภาค
ว่าดังนี้:-
อนัจฉริยคาถา
บัดนี้ เรายังไม่ควรจะประกาศธรรมที่เราได้บรรลุแล้ว
โดยยาก เพราะธรรมนี้อันสัตว์ผู้อันราคะและโทสะ
ครอบงำแล้วไม่ตรัสรู้ได้ง่าย สัตว์ผู้อันราคะย้อมแล้ว
ถูกกองอวิชชาหุ้มห่อแล้ว จักไม่เห็นธรรมอันละเอียด
ลึกซึ้ง ยากที่จะเห็น ละเอียดยิ่ง อันจะยังสัตว์
ให้ถึงธรรมที่ทวนกระแสคือนิพพาน.
เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงพิจารณาเห็นอยู่ ดังนี้ พระทัยก็น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย
ไม่น้อมไปเพื่อทรงแสดงธรรม.

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2015, 15:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


[๙] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงทราบคำทูลอาราธนาของพรหม และทรงอาศัย
ความกรุณาในหมู่สัตว์ จึงทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพุทธจักษุ เมื่อตรวจดูสัตว์โลกด้วยพุทธจักษุ
ได้ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลายที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อยก็มี ที่มีธุลีคือกิเลสในจักษุมากก็มี ที่มีอินทรีย์
แก่กล้าก็มี ที่มีอินทรีย์อ่อนก็มี ที่มีอาการดีก็มี ที่มีอาการทรามก็มี ที่จะสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี
ที่จะสอนให้รู้ได้ยากก็มี ที่มีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัยอยู่ก็มี.
มีอุปมาเหมือนดอกอุบลในกออุบล ดอกปทุมในกอปทุม หรือดอกบุณฑริกในกอบุณฑริก
ที่เกิดแล้วในน้ำ เจริญแล้วในน้ำ งอกงามแล้วในน้ำ บางเหล่ายังจมในน้ำ อันน้ำเลี้ยงไว้
บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ บางเหล่าตั้งอยู่พ้นน้ำ อันน้ำไม่ติดแล้ว.
พระผู้มีพระภาคทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพุทธจักษุ ได้ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลาย บางพวก
มีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อย บางพวกมีธุลีคือกิเลสในจักษุมาก บางพวกมีอินทรีย์แก่กล้า
บางพวกมีอินทรีย์อ่อน บางพวกมีอาการดี บางพวกมีอาการทราม บางพวกสอนให้รู้ได้ง่าย
บางพวกสอนให้รู้ได้ยาก บางพวกมีปกติเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัยอยู่ ฉันนั้น
เหมือนกัน
ครั้นแล้วได้ตรัสคาถาตอบท้าวสหัมบดีพรหมว่า ดังนี้:-
เราเปิดประตูอมตะแก่ท่านแล้ว สัตว์เหล่าใดจะฟัง
จงปล่อยศรัทธามาเถิด ดูกรพรหม เพราะเรา
มีความสำคัญในความลำบาก จึงไม่แสดงธรรม
ที่เราคล่องแคล่ว ประณีต ในหมู่มนุษย์.
ครั้นท้าวสหัมบดีพรหมทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงประทานโอกาสเพื่อจะแสดงธรรม
แล้ว จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคทำประทักษิณแล้ว อันตรธานไปในที่นั้นแล.

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2015, 15:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004
ผมกำลังสงสัยว่าสิ่งละเอียดละอออย่างที่เอก้อนยกมาสนทนานี้ จะมีคนสนใจเข้าใจรู้เรื่องได้สักกี่คนกันครับ

ธรรมะมันใกล้กับคำว่าธรรมดามากอยู่แล้ว มันน่าจะรู้ง่าย เห็นง่าย เข้าใจง่ายๆกว่านี้นะครับ

s004


ธรรมะ อันละเอียดละอออย่างนั้น
คนใส่ใจสนใจ ก็รู้เรื่องได้ตามกำลังอินทรีย์ของเขาครับ
และผู้ที่เข้าใจมีมากมายเป็นแสนเป็นล้านครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2015, 17:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
asoka เขียน:
s004
ผมกำลังสงสัยว่าสิ่งละเอียดละอออย่างที่เอก้อนยกมาสนทนานี้ จะมีคนสนใจเข้าใจรู้เรื่องได้สักกี่คนกันครับ

ธรรมะมันใกล้กับคำว่าธรรมดามากอยู่แล้ว มันน่าจะรู้ง่าย เห็นง่าย เข้าใจง่ายๆกว่านี้นะครับ

s004


ธรรมะ อันละเอียดละอออย่างนั้น
คนใส่ใจสนใจ ก็รู้เรื่องได้ตามกำลังอินทรีย์ของเขาครับ
และผู้ที่เข้าใจมีมากมายเป็นแสนเป็นล้านครับ

:b13:
โม้แล้วครับ

ลองทำแบบสำรวจดูในนี้สิครับว่ามีใครรู้เรื่องเข้าใจเรื่องที่คุณเอก้อนยกมาโพสต์นี้สักกี่คนกี่เปอร์เซ็นต์

s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2015, 18:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004
ผมกำลังสงสัยว่าสิ่งละเอียดละอออย่างที่เอก้อนยกมาสนทนานี้ จะมีคนสนใจเข้าใจรู้เรื่องได้สักกี่คนกันครับ

ธรรมะมันใกล้กับคำว่าธรรมดามากอยู่แล้ว มันน่าจะรู้ง่าย เห็นง่าย เข้าใจง่ายๆกว่านี้นะครับ

s004


เพราะ ธรรมดา ที่ท่านหมายคือ ความง่าย

ส่วน ธรรมดาของจิต (สามัญแห่งจิต) มันแปลว่า ความง่าย รึเปล่าล่ะ

:b1: :b1: :b1:

ธรรมดาของจิต กับ กระเพราไก่ไข่ดาวราดข้าว มันเหมือนกันรึเปล่า

:b32: :b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 13 ต.ค. 2015, 21:03, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2015, 18:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
asoka เขียน:
s004
ผมกำลังสงสัยว่าสิ่งละเอียดละอออย่างที่เอก้อนยกมาสนทนานี้ จะมีคนสนใจเข้าใจรู้เรื่องได้สักกี่คนกันครับ

ธรรมะมันใกล้กับคำว่าธรรมดามากอยู่แล้ว มันน่าจะรู้ง่าย เห็นง่าย เข้าใจง่ายๆกว่านี้นะครับ

s004


ธรรมะ อันละเอียดละอออย่างนั้น
คนใส่ใจสนใจ ก็รู้เรื่องได้ตามกำลังอินทรีย์ของเขาครับ
และผู้ที่เข้าใจมีมากมายเป็นแสนเป็นล้านครับ

:b13:
โม้แล้วครับ

ลองทำแบบสำรวจดูในนี้สิครับว่ามีใครรู้เรื่องเข้าใจเรื่องที่คุณเอก้อนยกมาโพสต์นี้สักกี่คนกี่เปอร์เซ็นต์

s006


แล้วท่านอโศกะ เข้าใจที่เอกอนสื่อมั๊ย...

:b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 13 ต.ค. 2015, 18:56, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2015, 18:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:

:b34:
ที่จำเป็นต้องอ้างคำแปลจากพม่าก็เพราะการแปลของไทยมันเพี้ยนไปจากต้นฉบับเดิมไปแล้วทำให้ความหมายอันทรงคุณค่าของธัมมจักกัปปวัตนสูตรเปลี่ยนไปเป็นอีกอย่างหนึ่ง

ความหมายของธรรม กบเข้าใจไหม?

s004

ไม่รู้นะ...

รู้แต่ว่า...ไม่ว่าใครจะแปลความหมายยังงัย..จะหมายถึงว่ากงล้อ..หรือจะหมายถึงขอบเขต...ก็ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงความเข้าใจของผมที่มีต่อพระสูตรนี้...แค่นี้แหละ..

กบจะเชื่ออย่างนั้นก็ไม่ว่ากัน. อย่าลืมความคิดนี้นะ. อย่าคิดว่าอย่างนี้จริงอย่างอื่นไม่. นี่คือการรักษาสัจจะธรรมนะ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2015, 19:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


เดือนนี้ผมได้มีโอกาสไปเยี่อมผู้ป่วยที่โรงพยาบาลบ่อยๆ ได้เพิ่มพลังเห็นอริยสัจข้อแรก(เห็นทุกข์). นึกถึงคนที่เจ็บปวดเขาคงคิดอยากหายกันทุกคน. แต่ผมกลับคิดว่า หมอมีวิธีทำใหัผมตายแบบสบายๆมีมั้ย55ยังกลัวเจ็บอยุ่นะ. แต่รู้สึกเบื่อหน่ายกับสังสารวัฎจริงๆ. อยู่อย่างไม่มีความฝันอะไรจืดสนิท. ชีวิตที่มีอยู่ถ้าไม่ได้เป็นไปเพื่อศิล สมาธิ. ภาวนาก็ไม่รู้ว่าชีวิตคนเราจะอยู่ไปเพื่ออะไรตายดีกว่า

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2015, 06:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:

:b34:
ที่จำเป็นต้องอ้างคำแปลจากพม่าก็เพราะการแปลของไทยมันเพี้ยนไปจากต้นฉบับเดิมไปแล้วทำให้ความหมายอันทรงคุณค่าของธัมมจักกัปปวัตนสูตรเปลี่ยนไปเป็นอีกอย่างหนึ่ง

ความหมายของธรรม กบเข้าใจไหม?

s004

ไม่รู้นะ...

รู้แต่ว่า...ไม่ว่าใครจะแปลความหมายยังงัย..จะหมายถึงว่ากงล้อ..หรือจะหมายถึงขอบเขต...ก็ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงความเข้าใจของผมที่มีต่อพระสูตรนี้...แค่นี้แหละ..

กบจะเชื่ออย่างนั้นก็ไม่ว่ากัน. อย่าลืมความคิดนี้นะ. อย่าคิดว่าอย่างนี้จริงอย่างอื่นไม่. นี่คือการรักษาสัจจะธรรมนะ

เขาพูดอะไรของเขา...นะ s006 s006
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2015, 06:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
เดือนนี้ผมได้มีโอกาสไปเยี่อมผู้ป่วยที่โรงพยาบาลบ่อยๆ ได้เพิ่มพลังเห็นอริยสัจข้อแรก(เห็นทุกข์). นึกถึงคนที่เจ็บปวดเขาคงคิดอยากหายกันทุกคน. แต่ผมกลับคิดว่า หมอมีวิธีทำใหัผมตายแบบสบายๆมีมั้ย55ยังกลัวเจ็บอยุ่นะ. แต่รู้สึกเบื่อหน่ายกับสังสารวัฎจริงๆ. อยู่อย่างไม่มีความฝันอะไรจืดสนิท. ชีวิตที่มีอยู่ถ้าไม่ได้เป็นไปเพื่อศิล สมาธิ. ภาวนาก็ไม่รู้ว่าชีวิตคนเราจะอยู่ไปเพื่ออะไรตายดีกว่า



ช่วงนี้..มีอะไรแปลกๆ ปะจำ..

เห็นผมบริเวณท้ายทอยหงอก..เป็นกระจุก ๆ...ก็คิดว่า..เอ้ะนี้...ทำไมหงอกเยอะจัง...แสดงว่าแก่แล้วนี้...แก่แล้วมันก็ต้องตามมาด้วยความเจ็บ..ที่สุดแล้วก็ต้องตาย...แล้วทำไมเราจะต้องรอเจ็บแล้วตายเหล่า..ไม่ตายตอนยังไม่เจ็บเสียเลยเล่า..จะรอให้เจ็บก่อนทำไม...ตายตอนนี้แหละ...

ใจหนึ่งก็ผุดคิดว่า..แล้วภรรยาที่เพิ่งแต่งงานมา..ใครจะดูแล..ลูกแมวลูกหมาที่ไม่สมประกอบ..ใครจะพาขี้พาเยี่ยว?

อีกใจก็ตอบทันที..ว่า..จะทำไงได้เล่า...ทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง...เมื่อไม่ได้อยู่ช่วย..ก็ต้องปล่อยไปตามกรรมของแต่ละคนไป..

ว่าแล้วก็กำหนดจิต...ตายตอนนี้แหละ...นิ่งดิ่ง...

ลืมตาขึ้นมา..( มองเห็นหน้าต่างห้องนอน)...หลับตาตอ..นิ่งดิง...ตายตอนนี้แหละ...ๆ...ๆ...

เช้าวันใหม่...

อ้าว...ฝันนี้หว้า..
:b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ต.ค. 2015, 10:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:

:b34:
ที่จำเป็นต้องอ้างคำแปลจากพม่าก็เพราะการแปลของไทยมันเพี้ยนไปจากต้นฉบับเดิมไปแล้วทำให้ความหมายอันทรงคุณค่าของธัมมจักกัปปวัตนสูตรเปลี่ยนไปเป็นอีกอย่างหนึ่ง

ความหมายของธรรม กบเข้าใจไหม?

s004

ไม่รู้นะ...

รู้แต่ว่า...ไม่ว่าใครจะแปลความหมายยังงัย..จะหมายถึงว่ากงล้อ..หรือจะหมายถึงขอบเขต...ก็ไม่มีผลเปลี่ยนแปลงความเข้าใจของผมที่มีต่อพระสูตรนี้...แค่นี้แหละ..

กบจะเชื่ออย่างนั้นก็ไม่ว่ากัน. อย่าลืมความคิดนี้นะ. อย่าคิดว่าอย่างนี้จริงอย่างอื่นไม่. นี่คือการรักษาสัจจะธรรมนะ

เขาพูดอะไรของเขา...นะ s006 s006
:b32: :b32:

กบคงไม่เข้าใจพระสูตรนี่แน่ๆ. การตามรักษาไว้ซึ่งความจริง "อย่าคิดว่าสิ่งนี้เท่านั้นจริงสิ่งอื่นเปล่า"
ภารท๎วาชะ ! ถ้าแม้ ความเชื่อ ของบุรุษมีอยู่ และเขาก็ ตามรักษาไว้ซึ่งความจริง กล่าวอยู่ว่า “ข้าพเจ้ามีความเชื่ออย่างนี้” ดังนี้, เขาก็ อย่าเพ่อถึงซึ่งการสันนิษฐานโดยส่วนเดียว ว่า “อย่างนี้เท่านั้นจริง, อย่างอื่นเปล่า” ดังนี้ก่อน.

ภารท๎วาชะ ! ด้วยการกระทำเพียงเท่านี้แล การตามรักษาไว้ซึ่งความจริง ย่อมมี, บุคคลชื่อว่าย่อมตามรักษาไว้ซึ่งความจริง ด้วยการกระทำเพียงเท่านี้, และเราบัญญัติการตามรักษาไว้ซึ่งความจริง ด้วยการกระทำเพียงเท่านี้ ; แต่ว่า นั่นยังไม่เป็นการตามรู้ซึ่งความจริง ก่อน.

ภารท๎วาชะ ! ถ้าแม้ ความชอบใจ ของบุรุษมีอยู่ และเขาก็ ตามรักษาไว้ซึ่งความจริง กล่าวอยู่ว่า “ข้าพเจ้ามีความชอบใจอย่างนี้” ดังนี้, เขาก็อย่าเพ่อถึงซึ่งการสันนิษฐานโดยส่วนเดียว ว่า “อย่างนี้เท่านั้นจริง, อย่างอื่นเปล่า” ดังนี้ก่อน.

ภารท๎วาชะ ! ด้วยการกระทำเพียงเท่านี้แล การตามรักษาไว้ซึ่งความจริง ย่อมมี, บุคคลชื่อว่าย่อมตามรักษาไว้ซึ่งความจริง ด้วยการกระทำเพียงเท่านี้, และเราบัญญัติการตามรักษาไว้ซึ่งความจริง ด้วยการกระทำเพียงเท่านี้ ;แต่ว่า นั่นยังไม่เป็นการตามรู้ซึ่งความจริงก่อน.


(ไทย) ม. ม. ๑๓/๔๕๒-๔๕๙/๖๕๕-๖๕๙.คลิกดูพระสูตร
(บาลี) ม. ม. ๑๓/๖๐๑-๖๐๘/๖๕๕

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 911 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 40, 41, 42, 43, 44, 45, 46 ... 61  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร