วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 00:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 911 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 33, 34, 35, 36, 37, 38, 39 ... 61  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 01 ต.ค. 2015, 17:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




เหตุ ปัจจัย นิพพาน_82kb_resize.jpg
เหตุ ปัจจัย นิพพาน_82kb_resize.jpg [ 35.2 KiB | เปิดดู 2884 ครั้ง ]
กบนอกกะลา เขียน:
:b8: :b8: :b8:
กล่าวได้ดี...กล่าวได้ดี...

ทั้งอโสกะ..และ..เอกอน..
:b17: :b17:

แต่ขอแก้ไข...ความเข้าใจ..อโสกะ..นิดหน่อย...

ตรง...

ที่ไปหาต้นตอว่าใครยิงธนู..นั้นแหละ..คือ..หาอวิชชา

ส่วนเห็นแล้วหลบ...เห็นแล้วหลบ...ไม่คิดสืบหาผู้ยิงธนู...นั้นแหละ...สมถะ

:b12:
:b13:
5555555555
กบกำลังปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อแล้วนะ

พระโสดาบันต้องดับอวิชชาเลยหรือผิดธรรมไปแล้วนะกบไปดูเรื่องสังโยชน์ 10. ให้ดีๆ

สังโยชน์ตัวแรกและเป็นเป้าหมายแรกที่ผู้เจริญวิปัสสนาภาวนาต้องไปถึงก่อน
ก็คือการดับหรือทำลายหรือฆ่าให้ตายซึ่ง สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดว่าเป็นกูเป็นเรา

อวิชชาเป็นสังโยชน์ตัวสุดท้ายจะดับสิ้นได้ก็ต้องด้วยอรหัตมรรค

นายพรานผู้ยิงศรคือ อัตตาหรือสักกายทิฏฐิ ไม่ใช่อวิชชาอย่างที่กบเข้าใจ
และรู้เลยว่าที่กบเข้าใจอย่างนั้นก็เพราะไปติดยึดตำราติดยึดบัญญัติหรือคิดเอามโนเอาตามเรื่องปฏิจจสมุปบาทที่ไปจำมา ว่าต้องดับอวิชชาก่อน นี่เป็นการคิดเอาตามตำรา

แต่ปฏิบัติการจริงๆนั้นต้องเอาเหตุทุกข์คือความเห็นผิดว่าเป็นกูเป็นเราออกให้ได้ก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยขุดถอนสังโยชน์ที่ลึกละเอียดกว่าด้วยสกิทาคา อนาคา และอรหัตมรรคตามลำดับ อวิชชาจะดับหมดในมรรคสุดท้ายคืออรหัตมรรคนะครับ

onion
โพสต์ เมื่อ: 01 ต.ค. 2015, 17:40 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


idea เขียน:
อ้างคำพูด:
.ไปอ่านกระทู้ ลุงหมาน นะ
แล้วจะรู้ว่า จิตที่มีวิปัสสนาเป็นอุปนิสัยนั้น จิตเขาเข้าไปยกธรรมมาพิจารณาอย่างไร

Kiss Kiss
อย่างไรหรือคะพี่เอก้อน :b20: :b20:
..ต่อยอดอีกนิดซิ????
:b8:
ทำตามแล้ว..ยังไม่เข้าใจ..อีกนิดน่าา..นะคะ :b2:


:b1: ...ไปสนทนากันต่อที่กระทู้ลุงหมานดีมั๊ย

กระทู้นี้มันหลายเรื่องแล้ว เปะปะไปหมด..

:b1: :b1: :b1:


โพสต์ เมื่อ: 01 ต.ค. 2015, 17:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
idea เขียน:
อ้างคำพูด:
.ไปอ่านกระทู้ ลุงหมาน นะ
แล้วจะรู้ว่า จิตที่มีวิปัสสนาเป็นอุปนิสัยนั้น จิตเขาเข้าไปยกธรรมมาพิจารณาอย่างไร

Kiss Kiss
อย่างไรหรือคะพี่เอก้อน :b20: :b20:
..ต่อยอดอีกนิดซิ????
:b8:
ทำตามแล้ว..ยังไม่เข้าใจ..อีกนิดน่าา..นะคะ :b2:


:b1: ...ไปสนทนากันต่อที่กระทู้ลุงหมานดีมั๊ย

กระทู้นี้มันหลายเรื่องแล้ว เปะปะไปหมด..

:b1: :b1: :b1:

แฮ้มๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

เอก้อนมาว่าเขาเปะปะไปหมดโดยไม่พิจารณาให้ดีระวังบาปนะครับ

ดูชื่อกระทู้ให้ดีๆ


"วิเคราะห์ธรรมตามแบบชาวโลกธรรมด้าธรรมดา"

นะครับไปได้ทั่วถ้าธรรมมันเกี่ยวโยงกัน

ดีอยู่ที่ไปแยกคุยกันในกระทู้เฉพาะเรื่อง เชิญครับ

smiley

:b36:
บอกน้องไอเดียนิดหนึ่งครับว่า

เมื่อได้ฝึกหัดสติ สมาธิ ปัญญากับกรรมฐานต่างๆมาดีแล้ว. จิตตั้งมั่นควรแก่งานแล้ว คือทำให้นิวรณ์ 5 สงบรำงับไปได้ชั่วคราวครั้งละประมาณไม่น้อยกว่า 1. ชั่วโมง มีแต่ผู้รู้บริสุทธิ์ตั้งรู้อยู่ในกายในจิต ก็สามารถยกขึ้นสู่วิปัสสนาภาวนาได้

วิปัสสนาภาวนาจะทำอย่างไร

วิ มาจากคำว่า วิเศษ สิ่งวิเศษที่มีอยู่ในกายในใจของเราก็คือธรรมหรืออนัตตาธรรม

ปัสสนา มาจากคำว่า "ทัศนา". แปลว่าดู เห็น รู้ สังเกต พิจารณา

ภาวนา แปลว่า เจริญ ทำให้งอกงาม ก้าวหน้า

วิปัสสนาภาวนาจึงแปลหรือมีความหมายว่า

การเจริญการเฝ้าดูเฝ้าเห็นเฝ้ารู้ เฝ้าสังเกตพิจารณาเข้าไปในกายและจิต

เฝ้าดูที่ไหน

ให้เฝ้าดูเฝ้าสังเกตที่ "ปัจจุบันอารมณ์"

เพราะชีวิตนี้มีความจริงอยู่แค่ตรงที่ปัจจุบันอารมณ์ การจะคิดทำแก้ไขสิ่งใดต้องกระทำที่ปัจจุบันอารมณ์ที่เดียวจึงจะเกิดความเปลี่ยนแปลงในกายและจิตได้ ผู้เจริญวิปัสสนาภาวนาจึงต้องทำความเข้าใจและรู้จักปัจจุบันอารมณ์ให้ชัดเจนถูกต้องที่สุด

สูตรสำเร็จในวิธีเจริญวิปัสสนาภาวนาท่านเขียนไว้แบบย่อๆว่า

"สำรวมกายใจมานิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์จนมันดับไปต่อหน้าต่อตา"

ปัจจุบันอารมณ์จะแสดงธรรมสำคัญอันเป็นหัวใจของวิปัสสนาภาวนาคือ

ทุกขัง ทนอยู่ไม่ได้

อนิจจัง จึงต้องเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา

อนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ไม่ใช่ตัวตนเราเขา

รวมเรียกสิ่งนี้ว่า "ไตรลักษณ์". หรือสามัญลักษณะ 3

ถ้าเห็นไตรลักษณ์นี้ชัดเจนแจ่มแจ้งดีตลอดเวลา นิพพิทาญาณความเบื่อหน่ายคลายจางจนเกิดการละวางความเห็นผิดยึดผิดในรูปนามกายใจจะเกิดขึ้น เมื่อละอัตตา กู และมานะทิฎฐิได้ เหตุทุกข์ก็จะดับ ได้รับผลสุขคือนิโรธหรือนิพพานเป็นรางวัล

นี่เป็นเพียงแซมเปิ้ลๆ

หากน้องไอเดียพอเห็นเค้าและเข้าท่าก็มาสนทนากันต่อในกระทู้นี้ไม่ต้องไปที่ไหนให้ไกลและลำบากก็ได้นะครับ

:b8:


แก้ไขล่าสุดโดย asoka เมื่อ 01 ต.ค. 2015, 18:32, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 01 ต.ค. 2015, 18:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


[quote
:b1: ...ไปสนทนากันต่อที่กระทู้ลุงหมานดีมั๊ย

กระทู้นี้มันหลายเรื่องแล้ว เปะปะไปหมด..

:b1: :b1: :b1: [/quote]

จัดมาเลยค่ะ :b27:
ปูเสื่อรอนะ...อิอิ
เอาโดยรวมเลยค่ะ..อะไร..ยังไง..ประมาณไหนก็ได้
:b17: :b17:

s005 กำลัง..ติด..ติดไรไม่รู้ :b9: :b9:
พี่เอก้อนพูดแล้วไอเดียพอจะรู้เรื่องและเข้าใจง่ายดีมากเลยค่ะ^^

:b8:ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ :b19: :b19:

:b16:


โพสต์ เมื่อ: 01 ต.ค. 2015, 19:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




ทางออกสู่นิพพาน2_resize.jpg
ทางออกสู่นิพพาน2_resize.jpg [ 41.02 KiB | เปิดดู 2861 ครั้ง ]
smiley
น้องไอเดียกลับมาอ่านทบทวนใหม่อีกทีก่อนนะครับ
tongue
โพสต์ เมื่อ: 01 ต.ค. 2015, 19:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b8: :b8: :b8:
กล่าวได้ดี...กล่าวได้ดี...

ทั้งอโสกะ..และ..เอกอน..
:b17: :b17:

แต่ขอแก้ไข...ความเข้าใจ..อโสกะ..นิดหน่อย...

ตรง...

ที่ไปหาต้นตอว่าใครยิงธนู..นั้นแหละ..คือ..หาอวิชชา

ส่วนเห็นแล้วหลบ...เห็นแล้วหลบ...ไม่คิดสืบหาผู้ยิงธนู...นั้นแหละ...สมถะ


asoka เขียน:
:b12:
:b13:
5555555555
กบกำลังปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อแล้วนะ

พระโสดาบันต้องดับอวิชชาเลยหรือผิดธรรมไปแล้วนะกบไปดูเรื่องสังโยชน์ 10. ให้ดีๆ

สังโยชน์ตัวแรกและเป็นเป้าหมายแรกที่ผู้เจริญวิปัสสนาภาวนาต้องไปถึงก่อน
ก็คือการดับหรือทำลายหรือฆ่าให้ตายซึ่ง สักกายทิฏฐิ ความเห็นผิดว่าเป็นกูเป็นเรา

อวิชชาเป็นสังโยชน์ตัวสุดท้ายจะดับสิ้นได้ก็ต้องด้วยอรหัตมรรค

นายพรานผู้ยิงศรคือ อัตตาหรือสักกายทิฏฐิ ไม่ใช่อวิชชาอย่างที่กบเข้าใจ
และรู้เลยว่าที่กบเข้าใจอย่างนั้นก็เพราะไปติดยึดตำราติดยึดบัญญัติหรือคิดเอามโนเอาตามเรื่องปฏิจจสมุปบาทที่ไปจำมา ว่าต้องดับอวิชชาก่อน นี่เป็นการคิดเอาตามตำรา

แต่ปฏิบัติการจริงๆนั้นต้องเอาเหตุทุกข์คือความเห็นผิดว่าเป็นกูเป็นเราออกให้ได้ก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยขุดถอนสังโยชน์ที่ลึกละเอียดกว่าด้วยสกิทาคา อนาคา และอรหัตมรรคตามลำดับ อวิชชาจะดับหมดในมรรคสุดท้ายคืออรหัตมรรคนะครับ

onion


5 5 5

เอาแค่โสดาบัน...นี้เอง


โพสต์ เมื่อ: 01 ต.ค. 2015, 20:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เมื่อได้ฝึกหัดสติ สมาธิ ปัญญากับกรรมฐานต่างๆมาดีแล้ว. จิตตั้งมั่นควรแก่งานแล้ว คือทำให้นิวรณ์ 5 สงบรำงับไปได้ชั่วคราวครั้งละประมาณไม่น้อยกว่า 1. ชั่วโมง มีแต่ผู้รู้บริสุทธิ์ตั้งรู้อยู่ในกายในจิต ก็สามารถยกขึ้นสู่วิปัสสนาภาวนาได้

:b8: :b8: :b8:
กราบขอบคุณในความเมตตาค่ะ
แต่นิวรณ์รำงับไป1ชม.คงยังไม่ได้
สติ+สมาธิมีน้อยๆแค่พอเห็นอารมณ์ชัดเจนขึ้นในการใช้ชีวิตประจำวันเรื่อยๆ
อาศัยการเผชิญหน้าจริงๆในแต่ละวันแค่นี้เป็นหลักค่ะ
คือ..อาศัยแบบมันเป็นอัตโนมัติ
.......ไม่ได้มีความใส่ใจตั้งใจรู้....แย่จังค่ะ แต่ชีวิตตอนนี้วุ่นวายมาก
ว่างก็นั่งสมาธิบ้างแค่นั้น ห่างๆบ้าง

เรื่องแผนผังไม่ค่อยเข้าใจค่ะแยกแยะไม่ค่อยออก
สนใจแค่อารมณ์ปฏิบัติ..
ถ้าสนใจเรื่องอื่นเพิ่มมาละยุ่ง..เป็นคนเข้าใจอะไรยากค่ะ

ที่สนใจเรื่องนี้เพราะ...เวลาทำสมาธิ....อารมณ์มันแปลกไป
คือ..
เข้าใจนะคะ..เป็นเรื่องที่พยายามอยู่..ว่าควรปล่อยวาง
ปฏิบัติไปแล้วจะสิ้นสงสัยเอง
แต่อยากศึกษาเก็บรายละเอียดบางอย่าง
อยากรู้อยากเห็นยังมีอยู่


โพสต์ เมื่อ: 01 ต.ค. 2015, 21:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


การปฎิบัติถ้าเราไม่ฟังคำพระองค์เราจะไม่มีทางรู้เลยว่าเราจะต้องทำอะไรบ้าง. พระองค์กล่าว ชนเหล่าใดบริโภคกายคตาสติชื่อว่าบริโภคอมตะ ชนเหล่าใดไม่บริโภคกายคตาสติชนเหล่านั้นชื่อว่าอมตะหลงลืม. ตามเห็นการเกิดดับของรูปและนามกิจอื่นให้ทำยิ่งไปกว่านี้ไม่มี. เรื่องราวของพระองค์ว่าเฉพาะเรื่องสูญญตา. พระองค์สอน.มรรค8ย่อเหลือ3 ศิล. สมาธิ. ปัญญา.(อนิจจัง. ทุกขัง. อนัตตา) ย่อเหลือ2สมถะวิปัสนา. ย่อ1เดียว อานาปานสติ. เนี่ยได้ยินได้ฟังแค่นี้ก็กำจัดความหลงได้เยอะแล้ว. มีมั้ยรดน้ำมนต์. ท่องคาถาเงินล้าน แขวนของขลังเอามาจากไหนกัน. แล้วจะเอานิพพานมันจะได้เหรอ. สอนอย่างทำอย่าง. หรือสอนอย่างทำสองอย่างกันเหนียวเผื่อไว้กลัวลบหลู่. ไม่เชื่ออย่าลบหลู่คำนี้ใครทิ้งไม่ได้. อย่าหวังนิพพาย

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 01 ต.ค. 2015, 22:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: ...

:b8: :b8: :b8:


โพสต์ เมื่อ: 01 ต.ค. 2015, 22:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


...ราชสีห์มันโผล่มาให้นายพรานยิงทำไม...

:b6: :b6: ราชสีห์โง่ :b6: :b6:


... นายพรานเห็น หัวเราะชอบใจ ...

:b32: :b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 01 ต.ค. 2015, 23:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


idea เขียน:
อ้างคำพูด:
เมื่อได้ฝึกหัดสติ สมาธิ ปัญญากับกรรมฐานต่างๆมาดีแล้ว. จิตตั้งมั่นควรแก่งานแล้ว คือทำให้นิวรณ์ 5 สงบรำงับไปได้ชั่วคราวครั้งละประมาณไม่น้อยกว่า 1. ชั่วโมง มีแต่ผู้รู้บริสุทธิ์ตั้งรู้อยู่ในกายในจิต ก็สามารถยกขึ้นสู่วิปัสสนาภาวนาได้

:b8: :b8: :b8:
กราบขอบคุณในความเมตตาค่ะ
แต่นิวรณ์รำงับไป1ชม.คงยังไม่ได้
สติ+สมาธิมีน้อยๆแค่พอเห็นอารมณ์ชัดเจนขึ้นในการใช้ชีวิตประจำวันเรื่อยๆ
อาศัยการเผชิญหน้าจริงๆในแต่ละวันแค่นี้เป็นหลักค่ะ
คือ..อาศัยแบบมันเป็นอัตโนมัติ
.......ไม่ได้มีความใส่ใจตั้งใจรู้....แย่จังค่ะ แต่ชีวิตตอนนี้วุ่นวายมาก
ว่างก็นั่งสมาธิบ้างแค่นั้น ห่างๆบ้าง

เรื่องแผนผังไม่ค่อยเข้าใจค่ะแยกแยะไม่ค่อยออก
สนใจแค่อารมณ์ปฏิบัติ..
ถ้าสนใจเรื่องอื่นเพิ่มมาละยุ่ง..เป็นคนเข้าใจอะไรยากค่ะ

ที่สนใจเรื่องนี้เพราะ...เวลาทำสมาธิ....อารมณ์มันแปลกไป
คือ..
เข้าใจนะคะ..เป็นเรื่องที่พยายามอยู่..ว่าควรปล่อยวาง
ปฏิบัติไปแล้วจะสิ้นสงสัยเอง
แต่อยากศึกษาเก็บรายละเอียดบางอย่าง
อยากรู้อยากเห็นยังมีอยู่


พอจะเห็นหัวข้อของลุงหมาน เรื่องประมาณว่า สิ้นหวัง รึเปล่า

:b1:

บางครั้ง อารมณ์บางอย่างมันปรากฎขึ้นได้ เวลาที่คนปรากฎอารมณ์ สิ้นหวัง


โพสต์ เมื่อ: 02 ต.ค. 2015, 05:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


idea เขียน:
อ้างคำพูด:
เมื่อได้ฝึกหัดสติ สมาธิ ปัญญากับกรรมฐานต่างๆมาดีแล้ว. จิตตั้งมั่นควรแก่งานแล้ว คือทำให้นิวรณ์ 5 สงบรำงับไปได้ชั่วคราวครั้งละประมาณไม่น้อยกว่า 1. ชั่วโมง มีแต่ผู้รู้บริสุทธิ์ตั้งรู้อยู่ในกายในจิต ก็สามารถยกขึ้นสู่วิปัสสนาภาวนาได้

:b8: :b8: :b8:
กราบขอบคุณในความเมตตาค่ะ
แต่นิวรณ์รำงับไป1ชม.คงยังไม่ได้
สติ+สมาธิมีน้อยๆแค่พอเห็นอารมณ์ชัดเจนขึ้นในการใช้ชีวิตประจำวันเรื่อยๆ
อาศัยการเผชิญหน้าจริงๆในแต่ละวันแค่นี้เป็นหลักค่ะ
คือ..อาศัยแบบมันเป็นอัตโนมัติ
.......ไม่ได้มีความใส่ใจตั้งใจรู้....แย่จังค่ะ แต่ชีวิตตอนนี้วุ่นวายมาก
ว่างก็นั่งสมาธิบ้างแค่นั้น ห่างๆบ้าง

เรื่องแผนผังไม่ค่อยเข้าใจค่ะแยกแยะไม่ค่อยออก
สนใจแค่อารมณ์ปฏิบัติ..
ถ้าสนใจเรื่องอื่นเพิ่มมาละยุ่ง..เป็นคนเข้าใจอะไรยากค่ะ

ที่สนใจเรื่องนี้เพราะ...เวลาทำสมาธิ....อารมณ์มันแปลกไป
คือ..
เข้าใจนะคะ..เป็นเรื่องที่พยายามอยู่..ว่าควรปล่อยวาง
ปฏิบัติไปแล้วจะสิ้นสงสัยเอง
แต่อยากศึกษาเก็บรายละเอียดบางอย่าง
อยากรู้อยากเห็นยังมีอยู่

s004
อืม!........

วิธีที่แนะนำนั้นเป็นการทำสมาธินำวิปัสสนา (สมถะนำวิปัสสนา)

ถ้าเป็นอย่างที่น้องไอเดียพูดมาแสดงว่าน้องต้องใช้วิธีทำสมาธิควบคู่ไปกับวิปัสสนา หรือทำวิปัสสนานำหน้าสมาธิ

วิธีทำสมาธิควบคู่ไปกับวิปัสสนา(สมถะควบคู่วิปัสสนา)นั้น อานาปานสติภาวนา16 ขั้นตอนดังในอานาปานสติสูตรนั้นดีที่สุดพระพุทธเจ้าทรงรับรองลองไปศึกษาเพิ่มเติมดูจากอาจารย์กูเกิ้ลนะครับ

วิธีทำวิปัสสนานำหน้าสมาธิ(วิปัสสนานำหน้าสมาธิ)นั้น

ก็คือการลงมือเจริญวิปัสสนาภาวนาไปทันทีตั้งแต่เริ่มแรกโดยอาศัยสมาธิตามธรรมชาติเท่าทีเรามีอยู่ ที่ภาษาบาลีเรียกว่า "ขณิกกะสมาธิ". คือสมาธิที่รวมตัวได้เป็นพักๆครั้งละไม่กี่นาที ตอนที่รวมตัวก็เอามาสังเกตพิจารณาธรรม
ตอนที่ฟุ้งออกไม่รวมตัวก็เอาไปยึดอารมณ์กรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นที่พักจิต เช่นกลับไปที่พุทโธ สัมมาอรหัง หนอ อนัตตา ลมหายใจ เป็นต้น พอจิตมีกำลังรวมตัวได้ใหม่ก็กลับมาทำงานวิปัสสนาอีกสลับกันไปมาอย่างนี้ คล้ายอานาปานสติแต่เอากรรมฐานอื่นเป็นที่พักใจ

อุปมาเหมือนคนขายเนื้อหมูในตลาด เขาจะลับมีดมาจากบ้านให้คม และที่ข้างเขียงหมูเขาจะมีหินลับมีดก้อนเล็กๆวางไว้ เริ่มต้นครั้งแรกมีดยังคมอยู่ก็เฉือนหมูแบ่งขายเป็นกิโลๆไป ทำได้สักพักหนึ่งมีดเริ่มทื่อ เขาก็จะเอามีดไปกรีดผ่านหินลับใกล้ๆเขียงให้คมกลับมาแล้วก็ปาดหมูแบ่งขายต่อไปจนมีดเริ่มไม่คมก็กลับมาลับใหม่สลับกันไปมาอย่างนี้

แต่เดี๋ยวนี้พ่อค้าหมูมีตังเขาจะซื้อมีดมาใช้หลายๆด้ามลับให้คมๆจากบ้านแล้วเอามาเปลี่ยนใช้กันจนหมดจำนวนมีดที่เตรียมมาก็ขายหมูได้หมดวัน

แต่เราผู้ปฏิบัติธรรมไม่มีมีดหลายด้ามไว้ทำงานแทนกัน ต้องใช้มีดด้ามเดียวนี้แหละคือมีดสติปัญญาที่พ่อแม่ให้มาคนละด้ามนี้คอยลับให้คมกริบอยู่เสมอเพื่อจะได้หั่นฟันชำแหละหมูกิเลสตัณหาอัตตาแบ่งแจกไปจนกว่าจะหมดสิ้นทั้งตัว

วิธีเจริญวิปัสสนาภาวนาก็ดังได้บอกให้ทราบไว้แล้วคือ

"สำรวมกายใจมานิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์จนมันดับไปต่อหน้าต่อตา"

ที่ปัจจุบันอารมณ์นั้นมันเป็นที่รวมของวิธีปฏิบัติธรรมทั้งหมด เป็นสติปัฏฐาน 4. โดยธรรมชาติแท้ๆ เป็นอานาปานสติแท้ๆ ลัดสั้นเข้าไปเห็นไตรลักษณ์อย่างรวดเร็วเกริ่นไว้อีกหน่อยเท่านี้ หากมีผู้สนใจก็จะมาอธิบายรายละเอียดต่อครับ
:b8:


โพสต์ เมื่อ: 02 ต.ค. 2015, 19:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ปฎิจสมุปบาท. วงจรการเกิดดับของรูปนาม

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 03 ต.ค. 2015, 18:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
...ราชสีห์มันโผล่มาให้นายพรานยิงทำไม...

:b6: :b6: ราชสีห์โง่ :b6: :b6:


... นายพรานเห็น หัวเราะชอบใจ ...

:b32: :b32: :b32:

:b12:
ราชสีห์เปรียบเหมือนจิตใจ จิตใจของปุถุชนคนไม่รู้ไม่ได้ศึกษาธรรมไม่ได้ปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงเป็นจิตโง่หรือราชสีห์โง่อย่างที่เอก้อนพูด

ทุกวันนี้นายพรานคือความเห็นผิดว่ากายใจนี้เป็นอัตตาตัวกูของกู มันหัวเราะชอบใจทุกวัน เพราะคนที่มีใจดุจราชสีห์โง่มันดิ้นรนแก้กันแต่ผล ไม่รู้จักแก้ที่เหตุ

แทนที่จะค้นหาและฆ่านายพรานผู้ยิงศรซึ่งเปรียบเป็นอัตตาหรือสักกายทิฎฐิเป็นตัวสมุทัยหรือเหตุทุกข์ ราชสีห์โง่กลับไปมัวค้นหาว่าลูกศรทำมาจากอะไร คมศรใช้เหล็กหรือทองแดง ครีบศรใช้ขนนกหรือขนไก่ คันธนูเป็นไม้หรือเป็นเหล็ก (อาสวะ กิเลส1,500. ตัณหา 108 กุศล อกุศล ปฏิจจสมุปปบาท
ฯลฯ

onion


โพสต์ เมื่อ: 03 ต.ค. 2015, 18:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


...

ราชสีห์ โง่

กะ

ราชสีห์ ไม่โง่

ความโง่มันปรากฎที่ไหนก็ดับที่นั่น

อวิชชาปรากฏที่ไหนก็ดับที่นั่น

อวิชชาปรากฎที่ไหน ความเห็นผิดก็ปรากฎที่นั้น

:b1:

แค่ ประเด็นเดียว มองกันไปได้ต่าง ๆ นานา

ในทางพุทธ ต้นเหตุคือ อุปทานขันธ์ 5 แก้ที่ตรงนี้
ไม่ได้ต้องไปแก้ที่ ตรงอื่นเลย...

....

ถ้าติดตามพิจารณาธรรมอยู่เนือง ๆ ในเรื่อง ปัจจยการ
สิ่งที่เป็นปัจจการที่ควรแก่การพิจารณา ก็ ธาตุ4 ขันธ์ 5 อายตนะ 6
ถ้ารู้แจ้งแทงใน ธาตุ 4 ขันธ์ 5 อายตนะ 6

ก็ไม่ต้องไปอะไรกับนายพรานเลย

:b1:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 911 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 33, 34, 35, 36, 37, 38, 39 ... 61  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร