วันเวลาปัจจุบัน 21 ส.ค. 2025, 23:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2015, 23:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้เฒ่าผู้แก่..เชื่อว่า..การทำบุญสาทเดือน 9 ญาติที่เป็นสัมภเวสี...จะมารับส่วนบุญได้โดยตรง..ได้เลย..จะได้รับผลเร็ว

ไม่รู้ว่า...ความเชื่ออย่างนี้...จริงมั้ย?...เป็นมิจฉาทิฏฐิหรือไม่เป็น??


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2015, 03:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมคิดว่าเป็นความเชื่อครับ

ไม่น่าจะเป็นความจริงเสียทั้งหมด

เพราะผู้ที่ยังมีภพใหม่ย่อมโคจรไปตามกรรม

เช่น สวรรค์ นรก เกิดใหม่เป็นคน เป็นอะไรก็ตามแต่ในวินาทีที่ขันธ์5แตกสลาย

ความเห็นผมคือ คนทุกคนที่ตายไป ไม่ได้หิวโหยเสียทั้งหมด

แต่เนื่องจากเป็นประเพณี จึงไม่เข้าไปสรุปว่าเป็นมิจฉาทิฎฐิหรือไม่อย่างไร

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2015, 04:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


แถวหมู่บ้านผม จะทำถ้วยใบตองกล้วยเล็กๆ

หลายๆอัน ใส่กับข้าวลงไป แล้วไปวางตามโคนต้นไม้ดึกๆ แล้วเดินไม่หันกลับมามอง

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2015, 05:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004
น่าจะมีพระสูตรหนึ่งที่กล่าวถึงเรื่องการปล่อยวิญญาณผีสางมารับส่วนบุญในวันเพ็ญเดือนเก้าเดือนสิบหรือ

เดือนสิบสองเป็งทางภาคเหนือ

ท่านนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญการค้นคัมภีร์กรุณาค้นมาให้อ่านและอ้างอิงกันหน่อยครับ


สาธุ
:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2015, 05:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
ผมคิดว่าเป็นความเชื่อครับ

ไม่น่าจะเป็นความจริงเสียทั้งหมด

เพราะผู้ที่ยังมีภพใหม่ย่อมโคจรไปตามกรรม

เช่น สวรรค์ นรก เกิดใหม่เป็นคน เป็นอะไรก็ตามแต่ในวินาทีที่ขันธ์5แตกสลาย

ความเห็นผมคือ คนทุกคนที่ตายไป ไม่ได้หิวโหยเสียทั้งหมด

แต่เนื่องจากเป็นประเพณี จึงไม่เข้าไปสรุปว่าเป็นมิจฉาทิฎฐิหรือไม่อย่างไร


เขาเน้นว่าเป็นการทำบุญอุทิศให้คนที่เกิดในแดนนทุกข์ยากลำบากนะครับ....

ส่วนพวกเกิดเป็นคน..เป็นเทวดา..ไม่ได้อยู่ในเป้าประสงค์ของประเพณีนี้..คับ.. :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2015, 06:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เดือนเก้า
บุญข้าวประดับดิน

http://www.lib.ubu.ac.th/html/report/ub ... bdin-9.htm

บุญเดือนเก้า บุญข้าวประดับดิน คือ บุญที่ทำในวันแรมสิบสี่ค่ำ เดือนเก้า(ประมาณเดือนสิงหาคม) เป็นการนำข้าวปลา อาหาร คาวหวาน ผลไม้ หมาก พลู บุหรี่ อย่างละเล็ก อย่างละน้อย แล้วห่อด้วยใบตองทำเป็นห่อเล็กๆ นำไปวางตามโคนต้นไม้ใหญ่หรือตามพื้นดินบริเวณรอบๆ เจดีย์หรือโบสถ์ เป็นการทำบุญที่ชาวบ้าน จัดขึ้นเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว

ความเป็นมา
มีเรื่องเล่าไว้ในพระธรรมบทว่าญาติของพระเจ้าพิมพิสารกินของสงฆ์เมื่อตาย
แล้วไป เกิดในนรก ครั้นพระเจ้าพิมพิสารถวายทานแด่พระพุทธเจ้าแล้วมิได้อุทิศ
ให้ญาติที่ตาย กลางคืนพวกญาติที่ตายมาแสดงตัวเปล่งเสียงน่ากลัวให้ปรากฏ
ใกล้พระราชนิเวศน์ รุ่งเข้าได้เสด็จไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทูลเหตุ
ุให้ทราบ พระเจ้าพิมพิสารจึงถวายทานอีกแล้วอุทิศส่วนกุศลปไให้ญาติที่ตาย
ไปจึงได้รับส่วน กุศลการทำบุญข้าวประดับดิน ทำเพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ญาติ
ผู้ตายแล้ว ถือเป็นประเพณี ที่ต้องทำเป็นประจำทุกปี


มูลเหตุที่ทำ
เนื่องจากคนลาวและไทยอีสาน มีความเชื่อถือสืบต่อกันมาแต่โบราณกาลแล้วว่า กลางคืนของเดือนเก้าดับ(วันแรม 14 ค่ำ เดือน 9)เป็นวันที่ประตูนรกเปิด ยมบาลจะปล่อยให้ผีนรกออกมาเยี่ยมญาติในโลกมนุษย์ ในคืนนี้คืนเดียวเท่านั้นในรอบปี ดังนั้นจึงพากันจัดห่อข้าวไว้ให้แก่ญาติพี่น้องที่ตายไปแล้ว ถือว่าเป็นงานบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติพี่น้องผู้ล่วงลับไปแล้ว
พิธีกรรม
ในตอนเย็นของวันแรม 13 ค่ำ เดือน 9 ญาติโยมเตรียมจัดอาหารคาวหวาน และหมากพลู บุหรี่ไว้กะให้ได้ 4 ส่วน ส่วนหนึ่งเลี้ยงดูกันภายในครอบครัว ส่วนที่สองแจกให้ญาติพี่น้อง ส่วนที่สามอุทิศให้ญาติที่ตายไปแล้ว และส่วนที่สี่นำไปถวายพระสงฆ์ ในส่วนที่สาม ญาติโยมจะห่อข้าวน้อย ซึ่งมีวิธีการห่อคือ ใช้ใบตองห่อ ขนาดเท่าฝ่ามือ ส่วนความยาวนั้นให้ยาวสุดซีกของใบตอง
อาหารคาวหวาน ที่ใส่ห่อนั้นจะจัดใส่ห่ออย่างละเล็กละน้อย อาทิ
1. ข้าวเหนียวที่นึ่งสุกแล้วปั้นเป็นก้อนเล็กๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือ 1 ก้อน
2. เนื้อปลา เนื้อไก่ หมู และใส่ลงไปเล็กน้อย ถือว่าเป็นอาหารคาว
3. กล้วย น้อยหน่า ฝรั่ง มะละกอ มันแกว อ้อย มะละกอสุก หรือขนมหวานอื่นๆ ลงไป (ถือเป็นอาหารหวาน)
4. หมากหนึ่งคำ บุหรี่หนึ่งมวน เมี่ยงหนึ่งคำ
หลังจากนั้นนำใบตองมาห่อเข้ากันแล้วใช้ไม้กลัดหัวท้ายและตรงกลางก็จะได้ห่อข้าวน้อย ที่มีลักษณะยาวๆ
หมาก พลู หมากหนึ่งคำ บุหรี่หนึ่งมวน เมี่ยงหนึ่งคำ สีเสียด แก่นคูน นำมาห่อใบตองเข้าด้วยกันแล้วไม้กลัดหัวท้าย ก็จะได้ห่อหมาก พลู หลังจากนั้นนำทั้ง 2 ห่อมาผูกกันเป็นคู่ แล้วนำไปมัดรวมเป็นพวง 1 พวง จะใส่ ห่อหมากและห่อพลูจำนวน 9 ห่อ ต่อ 1 พวง
การวางห่อข้าวน้อย หมายถึง การนำห่อข้าวน้อยไปวางอุทิศส่วนกุศลตามที่ต่างๆ พอถึงเวลาประมาณ 03.00 - 04.00 น.ของวันแรม 14 ค่ำ เดือน 9 ชาวบ้านแต่ละครัวเรือนจะนำเอาห่อข้าวน้อยที่จัดเตรียมได้แล้วไปวางไว้ตามโคนต้นไม้ในวัด วางไว้ตามดินริมกำแพงวัด วางไว้ริมโบสก์ ริมเจดีย์ในวัด การนำเอาห่อข้าวน้อยไปวางตามที่ต่างๆ ในวัดเรียกว่า การยาย(วางเป็นระยะๆ)ห่อข้าวน้อย ซึ่งเวลานำไปวางจะพากันไปทำอย่างเงียบๆ ไม่มีการตีฆ้อง ตีกลองแต่อย่างใด
หลังจากการยาย (วาง) ห่อข้าวน้อยเสร็จ ชาวบ้านจะกลับบ้านเพื่อเตรียมอาหารใส่บาตรในตอนเช้าของวันแรม 14 ค่ำ เดือน 9 หลังจากนี้น พระสงฆ์จะแสดงพระธรรมเทศนาเกี่ยวกับเรื่องอานิสงฆ์ของบุญข้าวประดับดินให้ฟัง ต่อจากนั้นชาวบ้านจะนำปัจจัยไทยทานถวายแด่พระสงฆ์ เมื่อพระสงฆ์ให้พรเสร็จ ชาวบ้านที่มาทำบุญก็จะกรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลไปให้ญาติ ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วทุกๆ คน
รูปภาพ
รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2015, 06:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แถวอิสาณ...มีสาทน้อย..ขึ้น 15 ค่ำเดือน 10 อยู่ในระหว่าง 1 เดือน..ก่อนถึงสาทใหญ่..วันแรม 14 เดือน 10

ส่วนสาทจีน วันแรม14 เดือน 9


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 27 ก.ย. 2015, 06:27, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2015, 06:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ผู้เฒ่าผู้แก่..เชื่อว่า..การทำบุญสาทเดือน 9 ญาติที่เป็นสัมภเวสี...จะมารับส่วนบุญได้โดยตรง..ได้เลย..จะได้รับผลเร็ว

ไม่รู้ว่า...ความเชื่ออย่างนี้...จริงมั้ย?...เป็นมิจฉาทิฏฐิหรือไม่เป็น??

ทำเดือนอื่นได้ป่าวล่ะกบ. กบไม่สงสัยบ้างเหรอ. มันก็ได้ทุกเดือนนะทำบุญน่ะ. ส่วนใครจะอยากให้อะไรใครคงทำได้นะในเรื่องเจตนา. แต่ถ้าเรื่องหยิบยื่นให้กันมีคนรับเห็นๆก็ต้อง ให้คน ให้สัตว์เดรัชฉาน. ส่วนภพอื่นๆก็ตอบไม่ได้นะ. แต่มีเจตนาก็ให้ไป. ส่วนใครจะได้หรือไม่ ไม่รู้


แก้ไขล่าสุดโดย ศิริพงศ์ เมื่อ 27 ก.ย. 2015, 19:36, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2015, 06:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


สาทไทย..


ประวัติ ความเชื่อ เวลาและโอกาส ประเพณีปฏิบัติ ประเพณีสังวร
กิจกรรมในวันสารทไทย ผลที่ได้จากประเพณี

วันสารทไทย ตรงกับวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 เป็นเทศกาลทำบุญเดือน 10 ของไทย ซึ่งเป็นประเพณีที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณตามหลักฐานพบว่ามีมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี

สารทเป็นคำที่มาจากภาษาอินเดีย แปลว่า ฤดู ซึ่งฤดูสารทนี้เป็นฤดูที่ต้นไม้เริ่มออกผล เมื่อถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยผู้ที่ต้องการให้พืชพันธุ์ธัญญาหารของตนเจริญงอกงามดี ก็ได้นำพืชพันธุ์เหล่านั้นไปถวายสิ่งที่ตนนับถือ ซึ่งประเทศต่างๆ นั้นก็นิยมทำเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ย เช่น ในประเทศจีน เมื่อมีการเก็บเกี่ยวผลิตผลในครั้งแรกนั้นประเพณีนิยมที่ต้องนำผลไม้ที่เก็บเกี่ยวในครั้งแรกนี้ ถวายสักการะแด่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพบูชา ทั้งนี้เพื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นจะได้ดลบันดาลให้พืชผลเจริญงอกงามดี แม้แต่ในประเทศแถบตอนเหนือของยุโรป ก็มีหลักฐานปรากฏว่ามีการนำพืชพันธุ์ธัญญาหารไปถวาย เพื่อให้ผลิตผลอุดมสมบูรณ์เช่นกัน

ส่วนในประเทศไทยประเพณีการทำบุญวันสารทเป็นพิธีกรรมที่มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ตามที่ปรากฏหลักฐานในหนังสือของนางนพมาศ เนื่องจากศาสนาพราหมณ์เผยแพร่เข้ามาในประเทศไทย คนไทยจึงรับประเพณีนี้มาจากศาสนาพราหมณ์ด้วย ดังที่ปรากฏหลักฐานในหนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือนซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
"เมื่อพราหมณ์มีสืบเนื่องกันมาช้านนานหลายพันปีเช่นนี้ จึงเป็นที่นับถือของคนทั้งปวง ในหนังสือต่าง ๆ ซึ่งชนที่นับถือพระพุทฐศาสนาแต่ง ที่สุดจนธัมมจักกับปปวัตนสูตรเป็นต้น ซึ่งอ้างว่าเป็นพุทธภาษิตแท้ก็ยังเรียกสมณะกับพราหมณ์เป็นคู่กัน พราหมณ์เป็นที่นับถือไม่มีผู้ใดอาจหมิน่ประมาท ถ้าพราหมณ์เหมือนอย่างเช่นบ้านเราอย่างนี้แล้ว ก็เห็นจะไม่ยกขึ้นเป็นคู่กับสมณะ พราหมณ์เป็นที่นับถืออย่างเอกอย่างนับถือพระสงฆ์เช่นนี้ จึงได้เป็นสำหรับผู้ซึ่งปรารถนาความเจริญ คือ อยากจะให้ข้าวในนาบริบูรณ์จึงเอาข้าวที่กำลังทอ้งมาทำยาคูเลี้ยงพราหมณ์ และกวนข้าวปายาสเลี้ยงพราหมณ์....

ทำบุญสารท คือ ฤดูข้าวรวงเป็นน้ำนมนี้แก่พราหมณ์ เมื่อการพระราชพิธีของพราหมณ์ตกข้าวมาในแผ่นดินสยาม ก็พลอยประพฤติตามลัทธิพราหมาณ์ด้วย สมคำซึ่งนางนพมาศได้กล่าวไว้ว่า เป็ฤดูที่ชนทั้งปวงกวนข้าวปายาส และทำยาคูเลี้ยงพราหมณ์ เมื่อสมณะพราหมณ์เป็นคู่กันเช่นนั้น ผู้ซึ่งนับถือพระพุทธศาสนาในชั้นแรกที่เข้ารึตใหม่เคยถือพราหมณ์เดิมได้ทำบุญตามฤดูกาลแก่พราหมณ์เดิมมาอย่างไร ครั้นเมื่อมาเข้ารึตถือพุทธศาสนาแล้ว เมื่อถึงกำหนดที่ตัวเคยทำบุญ ผู้ใดละเลยจะนิ่งเสียไม่ทำ เมื่อเชื่อว่าพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญอันวิเศษยิ่งขึ้นไปกว่าพราหมณ์ ก็ต้องมาถวายพระสงฆ์เหมือนเช่นเคยทำอยู่แก่พราหมณ์ ถ้าผู้ใดจละทิ้งศาสนาพราหมาณ์เดิมของตัวให้ขาดไม่ได้ เพราะความเกรงใจก็ลงเป็นทำทั้งสองฝ่าย ถวายทานแก่สมณะด้วยพราหมณ์ด้วย....."

ทำบุญสารทมิได้มีปรากฏแต่ในศาสนาพราหมณ์เท่านั้น การทำบุญสารทเพื่อให้เกิดสิริมงคแก่พืชพันธ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ ในศาสนาพุทธนั้นก็มีปรากฏในหนังสือพระธรรมบทเล่มหนึ่งพอสรุปใจความได้ดังนี้

เมื่อพระพุทธวิปัสสี่ ได้เกิดขึ้นในโลก มีพี่น้องสองคนชื่อ มหากาลเป็นพี่ และจุลกาลเป็นน้องทำการเกษตรกรรมร่วมกันปลูกข้าวสาลีบนที่ผืนเดียวกัน จุลกาลนั้นเห็นว่าข้าวสาลีที่กำลังท้องนั้นมีรสหวานอร่อย เห็นว่าควรนำข้าวนั้นไปถวายแด่พระสงฆ์ จึงนำความไปปรึกษากับมหากาลพี่ชาย แต่มหากาลไม่เห็นด้วยเนื่องจากไม่เคยมีผู้ใดเคยทำมาก่อน อีกทั้งก็ไม่เห็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น แต่จุบกาลมีความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะนำข้าวไปถวายแด่พระภิกษุ มหากาลจึงแบ่งที่ดินออกเป็น ๒ ส่วน ของตนส่วนหนึ่งและของจุลกาลส่วนหนึ่ง ซึ่งจะนำข้าวส่วนนั้นไปใช้กิจอันใดก็ได้ จุลกาลจึงนำเมล็ดข้าวที่กำลังตั้งท้องมาผ่านำเมล็ดข้าวต้มกับน้านมสด ใส่เนยใส น้ำผึ้ง น้ำตาลทรายกรวด เมื่อเสร็จแล้วจึงนำไปถวายแด่พระสงฆ์ เมื่อถวายภัตตาหารเหล่านี้แด่พระสงฆ์ จุลกาลได้ทูลความปราถนาของตนกับพระพุทธเจ้าว่า "ด้วยศัพภสลีทานนี้จงเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าบรรลุธรรมวิเศษก่อนชนทั้งปวง" เมื่อจุลกาลเสร็จธุระจากการถวายภัตตาหารแด่ภิกษุจึงกลับไปดูนาของตนก็พบว่าข้าวสาลีในนานั้นมีความเจริญงอกงามสมบูรณ์เป็นอย่างมากต่อมาเมื่อข้าวสาลีเจริญขึ้นจนเป็นข้าวเม่า จุลกาลก็นำไปถวายพระสงฆ์อีก และได้ทำต่อมาอีกหลายครั้ง คื อเมื่อเก็บเกี่ยวข้าว เมื่อทำเขน็ด เมื่อทำฟ่อน เมื่อขนไว้ในลาน เมื่อนวดข้าว เมื่อรวมเมล็ดข้าว เมื่อขนขึ้นฉาง รวมทั้งหมด ๙ ครั้งแต่ข้าวในนาของจุลกาลกลับอุดมสมบูรณ์ยิ่งขึ้นมิได้ขาดหายไป ต่อมาจุลกาลได้มาเกิดเป็นพระอัญญาโกณฑัญญะ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงประกาศศาสนาด้วยผลบุญห่งการถวายข้าวแด่พระสงฆ์ ท่านอัญญาโกณฑัญญะจึงเป็นบุคคลแรกที่สำเร็จมรรคผลบรรลุธรรมวิเศษก่อนคนทั้งปวงตามที่ได้ปรารถนาไว้ในแต่ชาติจุลกาล

การทำบุญสารทนั้นมิได้สำคัญว่ามาจากศาสนาใด เพียงแต่เป็นการทำบุญเพื่อส่งเสริมขวัญกำลังใจแก่เกษตรกรผู้ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหาร เพื่อให้พืขพันธุ์มีความอุดมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นไป อีกทั้งการทำบุญมิใช่เรื่องเสียหายหรือแปลกประหลาดแต่ประการใด ด้วยเหตุนี้พุทธศาสนิกชนทั้งหลายจึงนิยมทำบุญทำทานอยู่เป็นนิจ มิได้ถือวันใดเป็นพิเศษ แต่การทำบุญสารทนั้นด้วยเหตุว่าเป็นฤดูกาลแห่งการเก็บเกี่ยว จึงถือโอกาสทำบุญทำทานให้เป็นของขวัญแก่ไร่นาของตนเท่านั้น ต่อมาประเพณีสารทได้เปลี่ยนความเชื่อถือไปตามกาลเวลาและความเชื่อตามท้องถิ่นของตน บางแห่งเชื่อว่าเป็นการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว บางแห่งก็เป็นประเพณีการทำบุญเนื่องจากว่างจากภารกิจไร่นาจึงถือโอกาสทำบุญครั้งใหญ่เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง และครอบครัว เป็นต้น
พิธีของประชาชนในประเพณีเกี่ยวกับการทำบุญเนื่องใน

วันสารท ไทย ซึ่งกำหนดไว้เป็นที่แน่นอนว่า วันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ดังกล่าว มาแล้วนั้นปรากฎว่า มีประเพณีทำบุญทำนองเดียวกันในภาคอื่น ๆ ด้วย หากแต่กำหนดวันและวิธีปฏิบัติอาจแตกต่างกันดังนี้

ภาคใต้ มีประเพณีทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ปู่ย่าตายายญาติพี่น้องและ บุคคลอื่น ๆ ที่ล่วงลับไปแล้ว ในเดือน ๑๐ เป็นสองวาระคือ วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ ครั้นหนึ่ง และวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ อีกครั้งหนึ่ง โดยถือคติว่า พ่อแม่ปู่ย่าตายายและญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้วโดยเฉพาะ ผู้ที่ต้องตกนรกหรือเรียกว่าเปรตนั้น จะได้รับอนุญาตให้มาพบกับญาติ ของตนในเมืองมนุษย์ได้ในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ และกลับไปสู่นรก ดังเดิม ในวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ดังนั้น จึงมีการทำบุญในสองวาระ ดังกล่าวนี้ แต่ส่วนใหญ่ทำวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ เพราะมีความสำคัญ มากกว่า (บางท้องถิ่นทำในวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๐)
การทำบุญของชาวไทยภาคใต้ดังกล่าวนี้มีชื่อเรียกเป็น ๔ อย่างคือ
๑. ประเพณีทำบุญเดือนสิบ โดยกำหนดเอาเดือนทำบุญเป็นหลัก
๒. ประเพณีทำบุญวันสารท โดยถือหลักของการทำบุญที่มีความ สัมพันธ์กับอินเดีย เหมือนวันสารทไทยของคนไทยในภาคกลาง ดังกล่าวมาแล้ว บางครั้งก็เรียกว่า ประเพณีทำบุญสารทหรือเดือนสิบ
๓. ประเพณีจัดห.ม.รับ (สำรับ) การยกห.ม.รับ และการชิงเปรต คำว่า จัดห.ม.รับ ได้แก่ การจัดเสบียงอาหารเป็นสำรับถวายพระภิกษุ โดยให้พระภิกษุจับสลากแล้วให้ศิษย์เก็บไว้ แล้วนำถวายพระภิกษุเป็น มื้อ ๆ การยก ห.ม.รับที่จัดเรียบร้อยแล้วไปวัดพร้อมทั้งภัตตาหารไปถวาย พระภิกษุในช่วงเวลาเช้าก่อนเพล จะจัดเป็นขบวนแห่ใหญ่โตก็ได้ บาง แห่งแต่งตัวเป็นเปรตเข้าร่วมไปในขบวนด้วย ส่วนชิงเปรตหรือตั้งเปรต นั้น
เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการทำบุญ กล่าวคือ เมื่อจัดห.ม.รับ ยก ห.ม.รับไปถวายพระภิกษุแล้วจะเอาอาหารที่จัดไว้ซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่ง ต่างหากไปจัดตั้งไว้ให้เปรต โดยมากเป็นอาหารที่ผู้ล่วงลับไปแล้วชอบ ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ที่ขาดไม่ได้ก็คือขนม ๕ อย่าง คือ ขนมพอง ขนมลา ขนมกง ขนมดีซำ และขนมบ้า สถานที่ตั้งอาหาร เป็นร้านสูง พอสมควร เรียกว่า ร้านเปรตหรือหลา (ศาลา) เปรต มีสายสิญจน์วงรอบ โดยให้ปลายสายสิญจน์อีกข้างหนึ่งโยงมาสำหรับพระภิกษุชักบังสุกุล ซึ่งชาวบ้านจะกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ พบเก็บสายสิญจน์แล้ว ก็จะมีการแย่งอาหารและขนมที่ตั้งเปรตไว้นั้นอย่างสนุกสนานเรียกว่า ชิงเปรต แล้วนำมากิน ถือว่าได้กุศลแรงและเป็นสิริมงคล การทำบุญด้วย วิธีตั้งเปรตและชักบังสุกุลอุทิศส่วนกุศลนี้ บางครั้งเรียกว่า การฉลอง ห.ม.รับและบังสุกุล ถือว่าสำคัญเพราะถือว่าเป็นวันส่งญาติผู้ล่วงลับไป แล้วด้วย
๔. ประเพณีทำบุญตายายหรือประเพณีรับส่งตายาย โดยถือคติ ว่า ญาติที่ล่วงลับไปแล้วกลับมาเยี่ยมลูกหลานในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๐ และกลับนรกตามเดิมในวันแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ แต่มีบางแห่งถือว่า ญาติที่ล่วงลับ

ไปแล้ว เหล่านี้เป็นตายาย เมื่อท่านมาก็ทำบุญรับ เมื่อท่าน กลับก็ส่งกลับ จึงเรียกประเพณีดังกล่าวนี้ว่า ทำบุญตายาย ของทำบุญก็ เหมือนกับที่กล่าวไว้ในข้อ ๓

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาค อีสาน มีประเพณีการทำบุญในเดือน ๑๐ เหมือนกัน คือ ทำในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ แต่แบ่งระยะเวลาของประเพณีการทำบุญออกไปเป็น ๒ ระยะ ดังนี้

ระยะแรก ก่อนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ ชาวบ้านจะเตรียม ข้าวเม่าพอง และข้าวตอก (บางแห่งเรียกดอกแตก) ขนมและอาหาร หวานคาวอื่น ๆ เพื่อจะทำบุญในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ มาถึงโดย เฉพาะ ข้าวเม่าพอง กับข้าวตอกนั้น จะคลุกให้เข้ากันแล้วใส่น้ำอ้อย น้ำตาล ถั่วงา มะพร้าวให้เป็นข้าวสาก ซึ่งตรงกับคนไทยภาคกลาง เรียกว่า กระยาสารท เมื่อเตรียมของทำบุญไว้เรียบร้อย ก็จะเอาข้าว ปลาอาหารไปส่งญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ถ้าหากบุคคลเหล่านั้นอยู่ห่างไกล ก็จะไปค้างคืน นอกจากมอบของแล้วจะถือโอกาสเยี่ยมเยียนถามทุกข์ สุขเป็นประเพณีที่เรียกว่า ส่งเขาส่งเรา ผลัดกันไปผลัดกันมา เป็นการ แลกเปลี่ยนกัน
ส่วนข้าวสารหรือกระยาสารทนั้น จะส่งก่อนวันทำบุญหรือใน วันทำบุญก็ได้ เรียกว่า ส่งข้าวสาก


ระยะที่สอง คือวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๐ เวลาเช้าชาวบ้านไป ทำบุญตักบาตรที่วัด อุทิศส่วนกุศลให้ญาติผู้ใหญ่ที่ล่วงลับไปแล้ว แต่ อาจมีบางคนอยู่วัดรักษาศีล ฟังเทศน์ก็ได้ ครั้นถึงเวลาใกล้เพล ก็เตรียม ภัตตาหารไปวัดอีกครั้งหนึ่ง มีห่อข้าวน้อย ห่อข้าวใหญ่ ข้าวสาก และ อาหารอื่น ๆ บางแห่งอาจจัดของที่จะถวายเป็นกัณฑ์เทศน์ไปด้วย เมื่อถึงวัดแล้ว ก็จะจัดภัตตาหารและของพี่จะถวายพระภิกษุ ถวายเสียก่อน บางแห่งนิยมทำเป็นสลาก ชาวบ้านคนไหนจับสลากถูก ชื่อพระภิกษุรูปใด ก็ถวายรูปนั้น ทำนองเดียวกับการทำบุญสลากภัต จึงเป็นเหตุให้เกิดความเข้าใจว่า การทำบุญข้าวสาก ก็คือทำบุญด้วยวิธี ถวายตามสลาก ส่วนห่อข้าวน้อย ห่อข้าวใหญ่ ชาวบ้านแจกกันเอง ห่อข้าวน้อย นั้น เมื่อแจกแล้วก็แก้ห่อออกกินกันในวัดทีเดียว ถือกันว่าเป็นการกินใน ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ส่วนห่อข้าวใหญ่เอากลับไปบ้าน เก็บไว้ ในเวลาต่อไป เพราะอาหารในห่อนั้นเป็นพวกของแห้ง เช่น ปลาแห้ง เนื้อแห้ง ซึ่งสามารถเก็บไว้ได้เป็นเวลานาน ๆ ถือคติว่าเอาไปกินใน ปรโลก ประเพณีแจกห่อข้าวน้อยและห่อข่าวใหญ่นี้ ปัจจุบันเกือบไม่มี แล้ว จะจัดเพียงภัตตาหารไปถวายพระภิกษุพร้อมด้วยข้าวสากหรือ ถวายกระยาสารทเท่านั้น

สำหรับข้าวสากที่จะนำไปแจกกันเหมือนกระยาสารทของคนไทย ภาคกลางนั้นวิธีห่อผิดกับทางภาคกลาง เพราะห่อด้วยใบตองกลัดด้วย ไม้กลัด หัวท้ายมีรูปลักษณะคล้ายข้าวต้มมัด แต่ตรงปลายทั้งสองข้าง ที่เรียกว่าสันตองไม่ต้องพับเข้ามา ของที่ใส่ในห่อ มีข้าวต้ม (ข้าว เหมือนแบบข้าวต้มผัด) ข้าวสาก แกงเนื้อ แกงปลา หมาก พลู บุหรี่ ห่อแล้วเย็บติดกันเป็นคู่ ๆ เอาไปห้อยไว้ตามต้นไม้ รั้วบ้าน เมื่อห้อยไว้ แล้วก็ตีกลองหรือโปง เป็นสัญญาณให้เปรตมาเอาไปและปล่อยทิ้งไว้ ชั่วพักหนึ่งกะเวลาที่เปรตได้มารับเอาอาหารที่ห้อยไว้นั้นไปแล้ว ชาวบ้าน ก็แย่งกันชุลมุน ใครแย่งเก่งก็ได้มากกว่าคนอื่น เรียกว่า แย่งเปรต

ของที่แย่งเปรตไปได้นี้ ชาวบ้านจะเอาไปไว้ตามไร่นา เพื่อเลี้ยง ตาแฮก (ยักษินีหรือเทพารักษ์ รักษาไร่นาซึ่งเคยเลี้ยงมาเมื่อตอนเริ่ม ทำนาในเดือน ๖ มาครั้งหนึ่งแล้ว) นอกจากเลี้ยงตาแฮกแล้วก็เอาไปให้ เด็กรับประทาน เพราะถือว่าเด็กที่รับประทานแล้วจะอ้วนท้วนสมบูรณ์ ไม่เจ็๋บไข้ได้ป่วย

วันสารท เป็นวันที่ถือเป็นคติและเชื่อสืบกันมาว่า ญาติที่ล่วงลับไปแล้วจะมีโอกาสได้กลับมารับส่วนบุญจากญาติพี่น้องที่ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้น จึงมีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ญาติในวันนี้และเชื่อว่า หากทำบุญในวันนี้ไปให้ญาติแล้วญาติจะได้รับส่วนบุญได้เต็มที่และมีโอกาสหมดหนี้กรรม และได้ไปเกิดหรือมีความสุข

อีกประการหนึ่งสังคมไทยเป็นสังคมเกษตรกรรม ทำนาเป็นอาชีพหลักในช่วงเดือน 10 นี้ ได้ปักดำข้าวกล้าลงในนาหมดแล้ว กำลังงอกงาม และรอเก็บเกี่ยวเมื่อสุก จึงมีเวลาว่างพอที่จะทำบุญเพื่อเลี้ยงตอบแทน และขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือแม่พระโพสพ หรือผีไร่ ผีนา ที่ช่วยรักษาข้าวกล้าในนาให้เจริญงอกงามดี และออกรวงจนสุกให้เก็บเกี่ยวได้ผลผลิตมาก

การกำหนดทำบุญวันสารท มีความคลาดเคลื่อนกันบ้างในแต่ละท้องถิ่นของไทย เช่น

ภาคกลาง กำหนดในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10
ภาคใต้ กำหนดในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 เป็นวันรับตายาย และวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 เป็นวันส่งตายาย
ชาวมอญ กำหนดวันขึ้น 15 ค่ ำ เดือน 11
อย่างไรก็ตาม สารทไทยโดยทั่วไป ในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 เนื่องจากนับถัดจากวันสงกรานต์ ตามจันทรคติจนถึงวันสารทจะครบ 6 เดือน พอดี

ก่อนวันงาน ชาวบ้านจะทำขนมที่เรียกว่า กระยาสารท และขนมอื่น ๆ แล้วแต่ความนิยมของแต่ละท้องถิ่น
ในวันงาน ชาวบ้ายจัดแจงนำข้าวปลา อาหาร และข้าวกระยาสารทไปทำบุญตักบาตรที่วัดประจำหมู่บ้าน
ทายก ทายิกา ไปถือศีล เข้าวัด ฟังธรรม และรักษาอุโบสถศีล
นำข้าวกระยาสารท หรือขนมอื่นไปฝากซึ่งกันและกันยังบ้านใกล้เรือนเคียง หรือหมู่ญาติมิตรที่อยู่บ้านไกลหรือถามข่าวคราวเยี่ยมเยือนกัน
บางท้องถิ่นทำขนมสำหรับบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แม่พระโพสพ ผีนา ผีไร่ด้วย เมื่อถวายพระสงฆ์เสร็จแล้วก็นำไปบูชาตามไร่นา โดยวางตามกิ่งไม้ต้นไม้ หรือที่จัดไว้เพื่อการนั้นโดยเฉพาะ

วิธีปฏิบัติ

ในการทำบุญวันสารทจะมีความแตกต่างกันออกไป แล้วแต่หมู่ชน และขนบธรรมเนียมประเพณีตามภูมิภาค ควรยอมรับว่าแต่ละท้องถิ่นมีความแตกต่างกัน และปฏิบัติตามแต่ละท้องถิ่นจะนิยม
การทำบุญวันสารท ควรถือเป็นการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ญาติสนิทมิตรสหายทั้งที่ล่วงลับไปแล้วและยังมี ชีวิตอยู่เพราะเป็นช่วงที่ว่างจากการทำนาบ้างหรือไม่เร่งรัดเหมือนกับช่วงปักดำ หรือช่วงเก็บเกี่ยว
การไปวัดฟังธรรมในอดีต มักเป็นเรื่องของคนเฒ่าคนแก่เป็นส่วนใหญ่ในวันเช่นนี้ควรส่งเสริมให้เด็ก เยาวชนและคนหนุ่มสาว ไปวัดทำบุญและรักษาศีลให้มากขึ้น เพราะเป็นวัยที่ยังมีพลังที่จะเป็นหลักต่อไปในอนาคต และเป็นช่วงเวลาที่ไม่เร่งรัดงานมากนัก
พระสงฆ์ควรเป็นกำลังสำคัญในการเผยแพร่ประเพณีวันสารทให้ประชาชนเข้าใจและรู้ซึ้งถึงวัตถุประสงค์ที่แท้จริง เพื่อส่งเสริมให้สามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
ควรส่งเสริมฟื้นฟูประเพณีวันสารท ให้มีการปฏิบัติกันอย่างกว้างขวางในหมู่คนไทยทุกกลุ่ม เพื่อเป็นที่รู้จักและแพร่หลายต่อไป

http://www.tungsong.com/Important_Day/Sart10/index.asp


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2015, 06:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


บางส่วนในเทศนา..หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม

viewtopic.php?f=2&t=40061
...........................
รูปภาพ

พระธรรมโอวาท
ของ
พระอาจารย์ตื้อ อจลธมฺโม
วัดป่าอรัญญวิเวก
ต.บ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม



สำหรับวันนี้ พวกเราก็มีเจตนาดีออกมาจากบ้านช่องเข้ามาสู่วัดวาสู่ศาสนา
เพื่อมาสร้างคุณงามความดี มาประกอบศีลวัตร ทานวัตร ภาวนาวัตร
มาประกอบกาลมหากุศล เพื่ออุทิศบุญกุศล
ด้วยการไหว้พระ ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยซึ่งเสร็จสิ้นลงไปแล้ว

ต่อจากนี้ ก็เป็นหน้าที่ที่จะอบรมจิตใจ
เพื่อเอาธรรมะมาอบรมจิตใจให้มันสงบจากบาป
โดยเฉพาะวันนี้ก็เรียกว่าเป็นอภิลักขิตสมัย เป็นวันข้าวประดับดิน
เรียกว่า อุทิศกุศลให้แก่ บุพพเปตพลี คือ ผู้ที่ล้มหายตายจากไป
จะเป็นเครือญาติ เป็นพ่อแม่ญาติพี่น้อง ผู้ล้มหายตายจากไป
ถ้าวิถีวิญญาณยังเป็นสัมภเวสีอยู่ ก็จะได้มาอนุโมทนารับส่วนบุญส่วนกุศล
ที่กุลบุตร กุลธิดา ลูกหลาน อุทิศบุญกุศลไปให้

คืออย่างวันนี้ ใครๆก็สนใจเหมือนอย่างเมื่อเช้านี่แหละ
มีคนมาบำเพ็ญ บุญกุศลมาก มาร่วม ๓๐๐ คน ไม่ใช่น้อยๆ
ผู้ที่เป็นเปรตเป็นผีก็มาอนุโมทนา สาธุการ
ดีอกดีใจที่เห็นลูกเห็นหลานได้มาบำเพ็ญกองกาลมหากุศลให้

บางคนนับตั้งแต่ต้นปี ๒๕๑๕ ขึ้นมา
คือ ตั้งแต่วันที่ ๑มกรา เพิ่งจะได้มาใส่บาตรวันนี้เป็นครั้งแรกก็มี
นั่นก็เพราะว่าระลึกถึงคุณบิดามารดา เครือญาติที่ล้มหายตายจากไปแล้ว

อันนี้เรียกว่าเป็นประเพณีมาแต่ครั้งโน้น
ครั้งพุทธกาลนั่นแหละ มาตั้งแต่ศาสนาพระเจ้าวิปัสสีนั่นแหละจึงไม่ใช่ธรรมดา

ในคราวกาลครั้งนั้น พระพุทธองค์เจ้าพระโคดมของเรา
ได้เกิดเป็นชายทุกขตา ชื่อว่า ติณปาละ เป็นคนทุกข์
เกิดขึ้นมาแล้วพ่อแม่ก็ล้มหาย ตายจากไป ไร่นาก็บ่มี
เที่ยวรับจ้างเขากินอย่างนั้นแหละ
ได้ข้าวมาก็พอได้มาหุงกินมื้อเช้ามื้อเย็นพอประทังชีวิตไป

เมื่อถึงเดือน ๙ ดับนี่แหละ ก็หุงข้าวใส่ก่องไว้แล้ว
ก็เลยว่าจะกินแล้วจะออกไปหารับจ้าง
เลยพอดีเห็นประชาชนผู้ใจบุญใจกุศลเดินทางไปใส่บาตร ไปถวายบุพพเปตพลี
สมัยพระพุทธเจ้าชื่อว่า พระมหากัสสปะ หรอก

เห็นคนไปมาก ก็เลยร้องถามเขา
พ่อแม่พี่น้อง ป้าลุงพากันไปไหนมากมายจัง
อ้อ! วันนี้เป็นวันถวายบุพพเปตพลี
จะไปทำบุญใส่บาตรวัดกัน ว่าอย่างนั้นแหละ

คิดในใจ ชะรอยเราเกิดมาที่เป็นคนทุกข์คนจน พ่อแม่ล้มหายตายจากไป
เราคงไม่เคยให้ทานสักทีละมั้ง ว่างั้นก็เลยสะพายก่องข้าวอันนั้นแล้วข้าวหุงใส่ก่องไว้
แล้วไปตามหลังคนกลุ่มนั้น ผ้าก็ขาดๆ
ครั้นจะไปใกล้หมู่เขาก็ย่านเขาจะเห็นหำแหละ เดินตามห่างๆไป

พอไปถึงวัดแล้ว เขาก็ทำพิธีไหว้พระ สมาทานศีล
แล้วก็ว่าตามพระนั่นแหละ ศีล ๕ ประการนั้น
เมื่อถึงเวลาพระเจ้าพระสงฆ์เขาก็ตั้งแถวกัน
เหมือนกับพวกเราตั้งแถวกันเมื่อตอนเช้าวันนี้แหละ

พระมหากัสสปะพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสงฆ์ ๕๐๐ ออกบิณฑบาตร

แกก็ไม่ใส่หลายองค์ แกใส่หมดก่องเลย
ใส่องค์พระศาสดาหัวหน้านั่น ข้าวไม่เหลือสักเม็ดเลย
ใส่แล้วก็เลยปรารถนา ขึ้นชื่อว่า ความทุกข์ ความจน ความหิว อย่าได้มี
จากวันนั้นจนข้าพเจ้าสิ้นภพนั่นแหละ

คิดอธิษฐานในใจไม่ได้ให้ใครได้ยินด้วยดอก
แล้วสะพายก่องข้าวเปล่ากลับเลย ไม่ได้คอยพระยะถาสัพพี
ไม่ได้คอยกินข้าวก้นบาตรเหมือนพวกเราหรอก ไปเลย

ไปถึงที่พักแล้ว เอาก่องข้าวห้อยไว้ แล้วก็เอาผ้าห่มมาห่มนอน
ถ่วงท้ายถ่วงหัวว่าจะกินบุญวันนี้ อิ่มบุญแล้วไม่ต้องออกไปรับจ้าง
นอนหลับ พอตื่นขึ้นมามันก็หิวซีทีนี้

คิดในใจว่า ข้าวไม่เหลือติดก่องสักเม็ดเลยหรือ พอได้มาอมแก้หิวบ้าง
ใจหนี่งบอกว่าจะยังยังไง เอาใส่บาตรหมดแล้วนี่ เถียงกันอยู่นั่นแหละ

ใจหนึ่งบอกว่ามันหมดแล้ว เอาใส่บาตรหมดแล้วนี่
เถียงกันอยู่นั่นแหละ ใจหนึ่งมันบอกว่าหมดแล้ว ใจหนึ่งบอกว่าดูเหมือนยังมีอยู่

พอหิวแล้วก็ลุกไปเปิดก่องข้าวดู
เปิดฝาก่องมีข้าวเต็มอ้อล่อหอมกรุ่นเชียว

มันเป็นข้าวทิพย์ ว่างั้นเถอะ กินไม่เหลือสักเม็ด
อิ่มแอแหลเลย กินแล้วก็นอน ก็มีข้าวเต็มก่องให้กินทุกมื้อเลย
ในชาตินั้นเลยไม่อดกิน

นั่น อานิสงส์ของติณปาละ
พอคิดอยากกินไปเปิดก่องข้าวแล้วได้กินเลย มีข้าวเต็มเลย
ไม่อดไม่อยาก ไม่ต้องไปทำชั่ว ศีลก็เลยบริสุทธิ์
ไม่ได้ฆ่า ไม่ได้ลักทรัพย์ ไม่ได้ประพฤติผิดในกาม
ไม่ได้พูดเท็จ ไม่ได้กินเหล้า
แล้วรักษากาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อยตลอดเวลา

วนว่ายตายเกิดวัฏสงสาร เที่ยวไปโง่มา
สุดท้ายก็มาเกิดเป็น สิทธัตถะกุมาร
ออกบวชในพระศาสนาสัมฤทธิ์เป็นพระพุทธเจ้า บรมครูนั่งนิ่งเหมือนก้อนหิน
ให้พวกเรากราบไหว้อยู่บนนั้นแหละ

นั่น ! ต้องบำเพ็ญอย่างนั้น พระบรมครูนั่นนะ
แต่ครั้งเกิดเป็น ติณปาละ ในศาสนา พระมหากัสสปะพุทธเจ้าโน่น

ท่านก็เป็นคนทุกข์คนจนเหมือนกับพวกเรานี้แหละ
ทุกข์กว่าพวกเรานี่ด้วย ซ้ำไป แต่ท่านเจตนาดี

...........................


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2015, 06:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=40061
(ต่อ)
เพราะฉะนั้น บุญกุศลก็อยู่ที่การกระทำ ทำด้วยเจตนา
คือ วันนี้ก็พวกท่านทั้งหลายที่เจตนามาทำบุญสุนทานให้ทานการกุศล
เมื่อเช้านี้ก็อุทิศกุศล ส่วนบุญไปให้บุพพเปตพลี
มีบิดามารดา ปู่ย่าตายาย กุลบุตร กุลธิดา ผู้ล้มหายตายจากไป
เขาก็อนุโมทนา


หากบิดามารดา ปู่ย่าตายาย ญาติพี่น้องของเราขึ้นไปอยู่บนสวรรค์
อานิสงส์นั้นก็สะท้อนกลับคืนมานั่นแหละ มาสู่พวกเราเหมือนกับติณปาละ


อันนี้ก็ขอให้ท่านทั้งหลายได้ภูมิใจ
พอตอนค่ำมา เราก็ได้บำเพ็ญกองกาล มหากุศล ก็รักษาศีลตลอดวัน
ผู้รักษาศีลห้าก็รักษาตลอดวัน ผู้รักษาศีลอุโบสถก็รักษาตลอดวัน

ค่ำมาก็ได้มาบำเพ็ญกองกาลมหากุศล
สดับตรับฟังพระธรรมเทศนา
นั่งภาวนาพุทโธ ดูใจของเจ้าของ
นั่นมันก็ยิ่งเป็นบุญเป็นกุศลเพิ่ม

เพราะฉะนั้น วันนี้เราได้ศีลวัตร คือ รักษาศีลบริสุทธิ์
ทานวัตร เราก็ได้ บริจาคทานการกุศลตามกำลังศรัทธา
ภาวนาวัตร เราก็ได้ภาวนาพุทโธ ตามดูลมเข้า-ลมออกให้จิตใจของเราสงบ
ตลอดทั้งการสดับตรับฟังพระสัทธรรมเทศนา หาความดีเข้าสู่ใจ
ซึ่งถือว่ายากนักที่บุคคลที่เกิดมาในโลกนี้
ที่จะมาบำเพ็ญกุศลพร้อมเพรียงกัน
สร้างวัตรทั้ง ๓ ประการ ให้ครบบริบูรณ์ ในวันเดียวกันนั้นมันยาก


เพราะฉะนั้น วันนี้เราได้มาประสบความสำเร็จ
ทานวัตร เราก็ได้บริจาคทาน ตามสติกำลัง
ศีลวัตร เราก็ได้รักษาศีล บางคนก็รักษาศีลห้า บางคนก็รักษาศีลอุโบสถ
ภาวนาวัตร เราก็ได้ภาวนาแล้ว ดูจิตใจของเรา ให้มันเกิดเป็นบุญกุศลขึ้น

ก็แปลว่าพวกเรานั้น
ดำเนินตามรอยพระยุคลบาทขององค์สมเด็จศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้ชื่อว่าเราสร้างพระพุทธศาสนาเข้าสู่จิตใจ
เป็นการปฏิปฏิปูชา คือ ปฏิบัติบูชา

ปฏิบัติคืออะไร ปฏิบัติกาย ปฏิบัติวาจา
และปฏิบัติดวงใจของเจ้าของให้หมดจากความเห็นผิด
สร้างจิตใจของตนให้มันมีความเห็นถูก
เห็นถูกในทางพระพุทธศาสนา ผลสุดท้ายก็เอาธรรมพินิจ
จิตของพวกเราก็เลยสูงขึ้น
สูงกว่าความโลภ สูงกว่าความโกรธ สูงกว่าความหลง
ผลสุดท้ายจิตก็เป็น กองกาลกุศล คือ จิตเป็นบุญ


ต้นทุนที่เราได้บำเพ็ญ คือ ปฏิบัติชอบทางกาย ทางวาจา จิตใจ
โดยบำเพ็ญศีลวัตร ทานวัตร ภาวนาวัตร
กำจัดอาสวกิเลส ความหลง ออกจากจิตใจนั้นหนะ
พระพุทธเจ้าถือว่าเป็นผู้ประเสริฐ มันเป็นอย่างนั้น
เป็นมนุษย์ที่ดี เรียกว่า มนุสฺสธมฺโม มีธรรมประจำจิตประจำใจ

เพราะฉะนั้น ให้เราทั้งหลายได้พากันภูมิใจโดยเฉพาะปีนี้
เราก็บำเพ็ญ กองกาลมหากุศลเป็นต้นมา
เรียกว่า ในพรรษานี้เป็นเวลา ๔๕ วัน
บางคนก็ได้รักษาศีลเป็นนิจ สร้างศีลวัตรก็เป็นนิจนั่นแหละ ๔๕ วัน
งดจากการฆ่า การลัก การประพฤติผิดในกาม การพูดเท็จ การกินเหล้า

บางคนก็ได้ทานวัตรแล้วทีนี้ สร้างทานเป็นประจำ
คือ ให้ทาน ทุกวัน นั่นอานิสงส์มันก็ถึงใจ
บางคนก็มีภาวนาวัตร แล้วทีนี้ ทำภาวนาทุกคืน
ไหว้พระสวดมนต์ นั่งหลับตาภาวนาพุทโธ นั่นแหละ

ผู้มีศีลเป็นนิจ มีทานเป็นนิจ ภาวนาพุทโธเป็นนิจ
สร้างจิตใจ ของตนให้สงบ เรียกว่าจิตพบพระพุทธศาสนา
คือ จิตติดพระพุทธศาสนา
จิตติดศีล จิตติดทาน จิตของพวกเราติดภาวนา
ติดพระพุทธ ติดพระธรรม ติดพระสงฆ์แล้ว
ติดทางที่เป็นบุญเป็นกุศลขึ้นนั่นแหละ
ว่าอย่างนั้น มันก็เลยเป็นบุญเป็นกุศล


เพราะฉะนั้นทุกคนจงอย่าได้น้อยใจ
ถ้าเข้ามาบำเพ็ญกุศลในทางพระพุทธศาสนาแล้วมันไม่ขาดทุนหรอก
บุญกุศลมันก็ได้ ขออย่าได้ทำเล่น เท่านั้นแหละ
ครั้นรักษาศีลจริงๆ คือรักษากาย รักษาวาจา ให้เรียบร้อย
เว้นจากโทษทั้งห้า อานิสงส์มันก็ถึงใจ


ทานก็เหมือนกัน ครั้นเราบริจาคทานเป็นประจำ
ทานจริงๆ ไม่มีความตระหนี่หวงแหน ไม่มีความเสียดาย
ไม่ได้หวังวัตถุภายนอก ทานเพื่อประดับจิตใจของตน
ในใจของตนรู้ นั่นอานิสงส์ของการบริจาค ทานมันก็ถึงใจ
ถ้าเหลียวดูในใจของเราก็เห็นแล้วอานิสงส์ทานที่ตนบริจาคนั่นหนะ
อย่างให้ทานวันนี้ ใครทานน้อยก็รู้ว่าเจ้าของทานน้อย
ใครทานมากก็รู้ตัวเจ้าของว่าทานมากต่างก็รู้กันทั้งนั้นที่คนมาบริจาค

การภาวนาก็โดยนัย ถ้าเราตั้งใจภาวนาพุทโธตามลมเข้าลมออกแล้ว
พุทโธก็เอาไปตั้งอยู่ในใจจริงๆ ทำอะไรมันก็จริงขึ้นที่ใจ


เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ให้อบรมใจให้เป็นใจที่จริง
ไม่ให้ใจปลอม ถ้าใจปลอมแล้วมันปลอมไปหมด
รักษาศีลมันก็เป็นศีลปลอม ให้ทานก็ทานปลอม ภาวนาพุทโธก็พุทโธปลอมๆ นั้นแหละ
เข้าไปอยู่ในจิตใจนั่นแหละ ถ้าเราไม่สามารถให้ใจเป็นบุญกุศลนั่นแหละ
บุญกุศลมันก็เลยไม่เกิดขึ้นที่ใจ เหมือนกับที่เราเคยพบเคยเห็นนั่นแหละ
........................................
Hanako

:b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 27 ก.ย. 2015, 06:46, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2015, 06:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


บรรดาสัตว์ทั้งหลายที่ได้ล่วงลับไปแล้ว ต่างก็ไปเกิดอยู่ในนรกบ้าง เป็นดิรัจฉานบ้าง
เป็นเปรตที่อยู่ห่างไกลจากหมู่มนุษย์บ้าง เป็นเทวดาบ้าง เป็นพรหมบ้าง
ส่วนญาติทั้งหลายที่อยู่ภายหลังต่างก็ชวนกันทำบุญอุทิศให้แก่บุคคลเหล่านี้อยู่เสมอๆ
ก็ตาม ก็ไม่สำเร็จประโยชน์อันใดแก่บุคคลที่ได้ไปถือกำเนิดในที่ต่างๆ เช่นนั้นได้

แต่คงเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่อุทิศให้เท่านั้น เช่นญาติคนหนึ่งของเราถึงแก่ความตายลง
และเกิดเป็นหมาแมวอยู่ในบ้าน ถึงแม้ว่าญาติจะทำบุญแล้วอุทิศให้ก็จริง แต่บุญนั้นก็ไม่สำเร็จ
ประโยชน์อะไรให้แก่สุนัขนั้นได้ ถึงแม้เป็นเทวดาหรือเป็นพรหมก็เช่นเดียวกัน
เพียงแต่รู้ว่าญาติของตนทำบุญและอุทิศส่วนบุญมาให้เท่านั้น บุญนั้นไม่สำเร็จประโยชน์อันใด
ให้แก่เทวดาและพรหมทั้งหลายเลย

เพราะเขาเหล่านั้นได้มีอาหารของเขาอยู่แล้ว เช่นว่า ญาติของเราได้ตายลงไปเป็นสัตว์
มี วัว ควาย เหล่านี้ เป็นต้น เขาเหล่านั้นก็มีพืชและหญ้าเป็นอาหารอยู่แล้ว อาหารที่เราทำบุญอุทิศ
ส่วนกุศลให้เขาก็ไม่สามารถจะรับได้

ส่วนผู้ที่ทำบุญอุทิศให้แก่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว ถึงแม้ญาตินั้นจะไม่ได้รับส่วนบุญอุทิศไปให้
บุญที่ผู้กระทำได้อุทิศไปให้นั้นก็ไม่สูญหายไปไหน คงเป็นบุญติดตัวอยู่แก่ผู้กระทำเสมอ
ทั้งในชาตินี้ชาติหน้าและชาติต่อๆ ไป

บรรดาสัตว์ทั้งหลายที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ก็มีผู้ที่ตายแล้วได้ไปเกิดเป็นเปรต
และเปรตก็มีถึง ๒๑ ชนิด มีเปรตที่มีโอกาสจะได้รับส่วนบุญจากญาติอุทิศให้ก็มีแต่
ปรทัตตูปชีวิกเปรตจำพวกเดียวเท่านั้น ส่วนเปรตอื่นๆ ที่นอกจากนี้ไม่สามารถจะรับส่วนบุญ
ที่ญาติอุทิศไปให้ได้ เพราะเหตุว่าเปรตเหล่านี้อยู่ห่างไกลจากหมู่มนุษย์

ส่วนปรทัตตูปชีวิกเปรตนั้น เป็นเปรตที่เกิดอยู่ในบริเวณบ้าน เช่น บุคคลบางคนถูกฆ่าตาย
โดยปัจจุบัน หรือผู้ที่ตายตามธรรมดาก็ตาม แต่มีความห่วงใยอาลัย ก็เกิดเป็นเปรตอยู่ใน
บริเวณบ้านนั้นเอง และปรากฏตนให้บรรดาญาติหรือบุคคลอื่นๆ เห็นได้
ตามที่ชาวบ้านเขานิยมพูดกันว่าผีหรือเปรต ผีหรือเปรตเหล่านี้ก็ได้แก่ ปรทัตตูปชีวิกเปรตนั้นเอง

แต่ถึงแม้ว่าปรทัตตูปชีวิกเปรตจะเป็นเปรตที่เกิดอยู่ในบริเวณบ้านทั้งหลายได้ก็ตาม
แต่ถ้าไม่รู้ว่าเขาแผ่ส่วนบุญให้ หรือรู้แล้วแต่ไม่ตั้งใจอนุโมทนาในส่วนบุญนั้น ก็ไม่สามารถที่
จะรับส่วนบุญนั้นได้เหมือนกัน ฉะนั้นในเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า บุคคลที่มีจิตใจที่ไม่รู้ถึงคุณงามความดี
ปล่อยให้อวิชชา มิจฉาทิฏฐิ ครอบงำจิตใจหนาแน่น เมื่อถึงคราวตกต่ำ แล้วแม้มีผู้ต้องการช่วยเหลือ
ตนเองก็ไม่อาจจะรับความช่วยเหลือนั้นได้ เพราะความเห็นผิดของตนนั้นนั่นเอง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2015, 06:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ปุพพเปตพลี...

ชาวบ้านเชื่อว่า....เป็นช่วงที่มีการปล่อย...ให้ผู้ที่เกิดในทุคติ..น่าจะเป็นเปรตทั้งหลาย...ไม่รู้รวมสัตว์นรก..อสุรกายด้วยมั้ยนะ..มารับบุญโดยตรง...

เชื่ออย่างนี้..เป็นมิจฉาทิฏฐิ...รึไม่...ก้อไม่รู้..

:b1: :b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2015, 09:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ศึกษาวิเคราะห์ปุพพเปตพลีที่ปรากฏในคัมภีร์ใบลานในล้านนา :
กรณีศึกษาคัมภีร์เปตตพลีฉบับวัดหลวงราชสัณฐาน



พระครูใบฎีกาเฉลิมพล อริยวํโส (คำเชื้อ)
วิทยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา
ตามหลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาพระพุทธศาสนา
บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
พุทธศักราช ๒๕๕๔
(ลิขสิทธิ์เป็นของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย)
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อนุมัติให้นับวิทยานิพนธ์
ฉบับนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา
พระพุทธศาสนา

........................................................

ชื่อวิทยานิพนธ์ : ศึกษาวิเคราะห์ปุพพเปตพลีที่ปรากฏในคัมภีร์ใบลานล้านนา :
กรณีศึกษาคัมภีร์เปตตพลีฉบับวัดหลวงราชสัณฐาน
ผู้วิจัย : พระครูใบฎีกาเฉลิมพล อริยวํโส (คำเชื้อ)
ปริญญา : พุทธศาสตรมหาบัณฑิต (สาขาวิชาพระพุทธศาสนา)
คณะกรรมการควบคุมวิทยานิพนธ์
: พระครูพิศาลสรกิจ, ดร. พธ.บ., M.A., M.Phil., Ph.D.
: พระครูโสภณปริยัติสุธี, ผศ., ป.ธ. ๖, รบ., M.PA., M.A.
: ดร.ใจ บุญชัยมิ่ง ป.ธ. ๔, พธ.บ., M.A., Ph.D.
วันสาเร็จการศึกษา : ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๔
http://www.mcu.ac.th/userfiles/file/lib ... 222554.pdf

บทคัดย่อ

การศึกษาวิจัยเรื่อง “การศึกษาวิเคราะห์ปุพพเปตพลีที่ปรากฏในคัมภีร์ใบลานล้านนา
กรณีศึกษาคัมภีร์เปตตพลีฉบับวัดหลวงราชสัณฐาน” มีวัตถุประสงค์ ๓ ประการ คือ ๑) เพื่อศึกษา
หลักปุพพเปตพลีที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ๒) เพื่อศึกษาความเป็นมาของการทำบุญปุพพเปตพลีที่
ปรากฏในคัมภีร์เปตตพลีฉบับวัดหลวงราชสัณฐาน ๓) เพื่อวิเคราะห์หลักการทำบุญปุพพเปตพลีที่
ปรากฏในคัมภีร์เปตตพลีฉบับวัดหลวงราชสัณฐานที่มีอิทธิพลต่อชาวล้านนา การศึกษาครั้งนี้เป็น
การวิจัยเชิงเอกสาร และนำเสนอข้อมูลในรูปแบบการเขียนพรรณนา พร้อมเสนอแนวคิดของผู้วิจัย
โดยมุ่งตอบวัตถุประสงค์ และปัญหาที่การทราบหลักปุพพเปตพลีที่ปรากฏในพระไตรปิฎก

จากการศึกษาพบว่า เป็นหลักการทำบุญที่พระเจ้าพิมพิสาร ราชาแห่งแคว้นมคธ ได้กระทำไว้ในครั้งพุทธกาล เพื่ออุทิศส่วนบุญไปให้เหล่า
ญาติของพระองค์ที่ไปเกิดเป็นเปรต เมื่อพิจารณาตามหลักการทางพระพุทธศาสนาแล้วสามารถ
สงเคราะห์การทำบุญนี้เข้าในหัวข้อธรรมที่ชื่อว่า หลักพลี ๕ ประการ ของโภคาอาทิยะ ๕ ที่ปรากฏ
ในอาทิยสูตรและปัตตกัมมสูตร แห่งอังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต และจตุกกนิบาต ตามลำดับซึ่ง
ปุพพเปตพลี คือ การทำบุญอุทิศให้ผู้ล่วงลับ เป็นหนึ่งในพลีทั้ง ๕ นอกจากหลักการทำบุญปุพพ
เปตพลีจะมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นการอุทิศส่วนบุญที่ตนได้บำเพ็ญแล้วแผ่ไปให้เหล่าญาติผู้ที่เสียชีวิต
แล้ว ยังเป็นการแสดงออกถึงซึ่งความกตัญญูกตเวทิตา ต่อญาติผู้ล่วงลับไปแล้วอีกด้วย


ผลจากการศึกษา ความเป็นมาของการทำบุญปุพพเปตพลีที่ปรากฏในคัมภีร์เปตตพลี
ฉบับวัดหลวงราชสัณฐาน พบว่า โครงเรื่องตามที่ปรากฏในเนื้อหาของคัมภีร์เปตตพลี มาจาก
เหตุการณ์ที่พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงกระทำไว้เป็นแบบอย่างในสมัยพุทธกาล นอกจากนั้นยังพบ
หลักธรรมในทางพระพุทธศาสนาที่พุทธศาสนิกชนควรนำไปประพฤติปฏิบัติ เช่น ศีล, ความเชื่อ
เรื่องบุญบาป, ทาน, ความกตัญญู, อริยธนทั้ง ๗, ศรัทธา, ภาวนา, และความไม่ประมาท ซึ่งเป็น
หลักธรรมที่ทำให้ผู้ปฏิบัติได้รับความสงบสุข ตลอดถึงส่งผลให้สังคมโดยรวมเกิดสันติสุข

จากการวิเคราะห์หลักการทำบุญปุพพเปตพลีของชาวล้านนาที่ปรากฏในคัมภีร์เปตตพลี
ฉบับวัดหลวงราชสัณฐาน ยังพบว่า ได้ส่งผลต่อสังคมในล้านนาหลายด้าน คือ
(๑)ในด้านสังคม
คัมภีร์ดังกล่าวทำหน้าที่ เป็นเครื่องมือควบคุมทางสังคมโดยการยกเรื่องอบายภูมิมานำเสนอให้คน
ในสังคมได้รับรู้ เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมให้สังคมมีความเจริญมั่นคง สร้างความเป็นปึกแผ่น
ให้กับสถาบันครอบครัวและสังคมให้มีความสามัคคีกลมเกลียวกัน ก่อให้เกิดสันติสุขแก่สังคม
โดยรวม ช่วยแก้ไขปัญหาความรุนแรงในสังคมได้

(๒)ในส่วนของประเพณีนั้น ส่งผลให้ชาว
ล้านนาถือเป็นประเพณีปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่องแต่ครั้งโบราณ นอกจากจะเป็นการทำบุญอุทิศให้
เหล่าญาติแล้ว ยังได้ถวายศาสนูปถัมภ์แด่พระภิกษุ-สามเณรผู้เป็นศาสนทายาท ถือเป็นการอุปถัมภ์
บำรุงส่งเสริมพระพุทธศาสนาอีกทางหนึ่ง

นอกจากนั้นในช่วงเวลาดังกล่าวพุทธศาสนิกชนในภาคอื่นๆ ของประเทศไทยก็มีการทำบุญในลักษณะเช่นเดียวกัน กล่าวคือ ในภาคกลางมีประเพณีสราทเดือนสิบ ภาคใต้มีประเพณีชิงเปรต และภาคอีสานมีบุญข้าวประดับดิน ที่ต่างก็ถือคติและช่วงเวลา เดียวกันในการทำบุญแล้วอุทิศส่วนบุญไปให้ญาติของตน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ย. 2015, 09:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


วันนี้...ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ญาติ ๆ...ของคุณแล้วรึยัง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร