วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 00:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 54 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2015, 21:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




b1_1.jpeg
b1_1.jpeg [ 25.88 KiB | เปิดดู 4214 ครั้ง ]
ทันใจ :b8: :b8:

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2015, 21:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ใช้ศาสนาของพระองค์ไปในทางอ้อนวอนไม่ได้นะเศร้าหมองจริงๆ. เข้าใจได้คนเรามันต่างกันจริงเรื่องอินทรีย์. ทาน ศิล ภาวนาก็มีแค่นี้ ไหง!ปนกันไปหมด. ไม่เด็ดเดียวเลย จิตที่บอกว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่นี้มันแยบคลายจริงๆพญามารมีกำลังมากจริงๆ. อริยชนเกิดไม่ง่ายจริงๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2015, 21:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระสูตรนี้มีใครเชื่อบ้าง
๖. ทรงห้ามบัญญัติเพิ่มหรือตัดทอนสิ่งที่บัญญัติไว้
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุทั้งหลายจักไม่บัญญัติสิ่งที่ไม่เคยบัญญัติ จักไม่เพิก
ถอนสิ่งที่บัญญัติไว้แล้ว, จักสมาทานศึกษาในสิกขาบทที่บัญญัติไว้แล้ว อย่าง
เคร่งครัด อยู่เพียงใด, ความเจริญก็เป็นสิ่งที่ภิกษุทั้งหลายหวังได้ ไม่มีความ
เสื่อมเลย อยู่เพียงนั้น.
มหาปรินิพพานสูตร มหา. ที. ๑๐ / ๘๙ / ๖๙
พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ น. ๔๖๕


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2015, 21:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณลุงสมานยังเข้าใจว่า การสวดคาถาเงินล้าน
หมายถึงเกี่ยวกับเรื่องเงินอีกเหรอค่ะ
คุณลุงสมาน อ่านข้อความที่คุณวิริยะเขียน อีกครั้งสิคะ :b41: :b55: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2015, 21:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระสูตรนี้แสดงถึงความเสื่อมที่เสริมเพิ่มเติมอาจจะด้วยความหวังดีเพราะอาจคิดไม่ถึงว่าจะเกิดสิ่งนี้กับธรรมะของพระองค์อ
๔. ทรงบอกเหตุแห่งความอันตรธานของคำสอนเปรียบด้วยกลองศึก
ภิกษุทั้งหลาย ! เรื่องนี้เคยมีมาแล้ว : กลองศึกของกษัตริย์พวกทสารหะ เรียกว่า
อานกะ มีอยู่. เมื่อกลองอานกะนี้ มีแผลแตกหรือลิ, พวกกษัตริย์ทสารหะได้หา
เนื้อไม้อื่นทำเป็นลิ่ม เสริมลงในรอยแตกของกลองนั้น (ทุกคราวไป) ภิกษุทั้งหลาย!
เมื่อเชื่อมปะเข้าหลายครั้งหลายคราวเช่นนั้น นานเข้าก็ถึงสมัยหนึ่ง ซึ่งเนื้อไม้เดิม
ของตัวกลองหมดสิ้นไปเหลืออยู่แต่เนื้อไม้ที่ทำเสริมเข้าใหม่เท่านั้น ;
ภิกษุทั้งหลาย ! ฉันใดก็ฉันนั้น : ในกาลยืดยาวฝ่ายอนาคต จักมีภิกษุทั้งหลาย,
สุตตันตะเหล่าใด ที่เป็นคำของตถาคต เป็นข้อความลึกมีความหมายซึ่ง เป็นชั้น
โลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเรื่องสุญญตา, เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่.
เธอจักไม่ฟังด้วยดี จักไม่เงี่ยหูฟัง จักไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และจักไม่สำคัญว่า
เป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน. ส่วนสุตตันตะเหล่าใด ที่นักกวีแต่งขึ้นใหม่ เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน มีอักษรสละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรื่อง
นอกแนว เป็นคำกล่าวของสาวก, เมื่อมีผู้นำสูตรที่นักกวีแต่งขึ้นใหม่เหล่านั้นมา
กล่าวอยู่, เธอจักฟังด้วยดี จักเงี่ยหูฟัง จักตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และจักสำคัญว่า
เป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียนไป.
ภิกษุทั้งหลาย ! ความอันตรธานของสุตตันตะเหล่านั้น ที่เป็นคำของ
ตถาคต เป็นข้อความลึก มีความหมายซึ้ง เป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วย
เรื่องสุญญตา จักมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ แล.
นิทาน. สํ. ๑๖ / ๓๑๑ / ๖๗๒-๓
ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ น. ๑๐๗


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2015, 22:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณลุงสมานยังเข้าใจว่า การสวดคาถาเงินล้าน
หมายถึงเกี่ยวกับเรื่องเงินอีกเหรอค่ะ
คุณลุงสมาน อ่านข้อความที่คุณวิริยะเขียน อีกครั้งสิคะ :b41: :b55: :b48:

พี่เต้หายไปไหนมา..คุนน้องกำลังคิดถึงพี่เต้อยู่พอดี...คุนน้องจำเรื่องที่พี่เต้เล่าให้ฟังได้..เรื่องที่ครอบครัวนึงเค้าไม่เชื่อเรื่องเจ้าที่ภพภูมิอื่น แล้วรื้อศาลพระภูมิทิ้ง..แล้วพวกเค้าเป็นอย่างไรค่ะ..คือคุนน้องไปเจอมิจฉาทิฏฐิในเฟสบานเลย รื้อศาลพระภูมิบ้านตนเพราะเข้าใจ พุทธวจนแล้ว :b14: :b14: แบบท้าทายว่าคอยดูเค้าจะมีอันเป็นไปไหม...แบบนี้เหมือนกำลังลบหลู่เลยอ่ะ

ปล.ขออภัยนะค่ะนอกเรื่อง แต่มันคาใจเรื่องนี้เจ้าค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2015, 04:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 มี.ค. 2015, 02:51
โพสต์: 9

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณวิริยะเขียน

อ้างคำพูด:
ที่จริง บทสวดต่าง ๆ ที่บูรพาจารย์แต่งขึ้น จุดมุ่งหมายก็คือ ให้จิตอยู่กับบทสวด ไม่ว่าผู้สวดหรือผู้ฟัง เพื่อให้จิตสงบเป็นสมาธิ เช่น บทสวดพระปริตร บทสวดชินะบัญชร บทสวดคาถาต่าง ๆ ฯลฯ ..

อย่างคาถาเงินล้าน ก็เป็นอุบายของหลวงพ่อท่าน ไม่ใช่ว่าสวดแล้ว เงินจะหล่นตุ๊บตั๊บลงมา ท่านบอกว่า เหมาะแก่คนค้าขาย ทำสวนทำไร่ ค้าขายจะได้คล่องตัว ไม่มีอุปสรรค สวดไปจิตก็เป็นสมาธิไปด้วย

เงินจะไหลมาเทมาหรือไม่ก็ไม่เป็นปัญหา ถ้าใจสงบเป็นสมาธิแล้ว ส่วนมากก็ทิ้งสวน ทิ้งนาทิ้งเงินทอง เพื่อเอาความสงบแห่งจิตเป็นสำคัญ ทั้งนั้น ..

อย่างพุทธภาษิตที่ว่า "รสพระธรรม ชำนะรสทั้งปวง"


เห็นด้วยกับคุณ วิริยะ ค่ะ บทสวดมนต์ทุกบทอย่าลบหลู่ค่ะ สำหรับตัวเรา
ก้อเคยสวดค่ะ เพราะบทสวดคาถาเงินล้านนี่หล่ะค่ะ
ที่ทำให้เราได้รู้ว่าบทสวดนั้น เราลบหลู่หรือจะนำไปสวดแบบเล่นๆไม่ได้ค่ะ

คุณดาวส่องแสงเขียน


   
อ้างคำพูด:
เคยสวดอยู่สามปี อานิสงส์มากมาย สวดแบบไม่หวังผลตอบแทนแค่หางานให้จิตทำ
จะเดินจะนั่ง จะนอน ทำงานด้วย แต่จิตสวดไป ระยะแรก ข่มกิเลสได้
สวดๆไป สวดไป นอนก็สวดหลับไปกับบทสวด สวดกระหน่ำ
ปีที่สาม เงินทองไหลมาเทมา จะคิดจะพูดจะทำอะไร เงินเข้ามาตลอด
ไม่เชื่อ อย่าหลบลู่ กล้าท้าพิสูจน์



ที่คุณดาวส่องแสงเขียนมา พี่เต้ก้อเป็นลักษณะแบบเดียวกับคุณส่องแสงค่ะ
คือมีความรู้สึกว่า พอสวดมนต์บทนี้แล้วจิตเป็นสมาธิได้เร็ว พออ่านที่คุณดาวฯเขียนมา พี่เต้ก้อเลยนึกได้ค่ะ มีความรู้สึกว่าช่วงที่เคยสวด คาถาเงินล้านนั้น
เวลาที่ใจคิดอยากจะได้อะไร รู้สึกว่าจะสมหวังตลอด คือเหมือนเป็นปาฏิหารย์นี่หล่ะค่ะ บางครั้งคิดว่าคงไม่ได้ล่ะ หมดหวังล่ะ แต่จะได้ทุกทีค่ะ แต่เรื่องเงินนี่ก้อจำไม่ค่อยได้นะ รู้แต่ว่าช่วงนั้น คืออยากได้อะไรก้อสมหวังค่ะ คือพี่เต้คิดว่า
บทสวดทุกบท ยังไงๆ ก้อทำให้ผู้ที่สวด ได้รับผลที่ดีแน่นอนค่ะ
พี่เต้คิดว่า คงเป็นสัญญาเก่าของแต่ล่ะคนค่ะ

คือไม่ได้เว่อร์หรืออะไรนะคะ ตอนที่อ่านเจอบทสวดคาถาเงินล้าน
ก้อรู้สึกชอบ จดใส่กระดาษไว้เลย ทีนี้ตอนที่สวด เวลาสวด เสียงใหญ่มาก
ก้อหยุดเลย แต่ใจก้อยังชอบอยู่ พอมีอยู่ครั้งหนึ่งใจอยากจะสวด
ก้อจำได้ แต่คำว่า นาสังสิโม พอขึ้นคำนี้แล้วกลายเป็นว่า
เราสวดได้จนจบเลย ก้อไม่รู้ว่าสวดได้ยังไง นี่หล่ะค่ะทำให้เราเชื่อว่า
บทสวดมนต์ ทุกบทลบหลู่ไม่ได้ค่ะ :b8: :b41: :b55: :b48:


เรียนคุณเต้ ดีใจค่ะ ขอให้เจริญทางธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปน่ะ

ถ้าเราเป็นพวกศึกษาเรื่องจิต การทำงานของจิต บทสวด หรือคำภาวนา เป็นอุบายให้จิตมีงานทำ
ธรรมชาติของจิตที่ยังไม่หลุดพ้นจะต้องเกาะเกี่ยว เสพอารมณ์ ไม่ว่าทั้งหลับทั้งตื่น มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น
การหางานให้จิตทำอยู่ในกรอบ บทสวด หรือ องค์ภาวนา กิเลส นิวรณ์ ก็ไม่ค่อยจะทำงานละ อันนี้แค่ขั้นเริ่มต้นเองน่ะ ยังมีอานิสงค์มากมาย ถ้าศึกษาเรื่องจิตต่อขั้นสูง (ไม่ใช่ศึกษาจากการอ่านเอาน่ะ)
ถึงขั้นเข้าใจการทำงานของจิต การทำงานของขันธ์ต่างๆ โดยหลากหลายวิธีการของกรรมฐานแล้วแต่ของเก่าและความถนัดของแต่ละคน จนเข้าถึงคำว่า "พุทธะ" ก็หมดการโต้เถียง หรือขัดแย้งกับบุคคลอื่น เพราะผู้ที่ถนัดโต้แย้งเขาเหล่านั้นยังไม่ถึงวาระ

ผู้ที่คิดว่าตัวเองรู้ดีแล้ว แต่รู้ไม่จริง มีอยู่ในบอร์ดนี้มากมาย
แต่ผู้ที่รู้จริง ก็มีเช่นกัน แต่เขาเหล่านี้ส่วนมากจะไม่มาโต้เถียงให้เสียเวลาภาวนา และจิตเศร้าหมอง
สู้เอาเวลาที่โต้เถียงกันไปภาวนาดีกว่า ใครทำใครได้ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน :b4: :b4: :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2015, 06:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดาวส่องแสง เขียน:
bbby เขียน:
คุณวิริยะเขียน

อ้างคำพูด:
ที่จริง บทสวดต่าง ๆ ที่บูรพาจารย์แต่งขึ้น จุดมุ่งหมายก็คือ ให้จิตอยู่กับบทสวด ไม่ว่าผู้สวดหรือผู้ฟัง เพื่อให้จิตสงบเป็นสมาธิ เช่น บทสวดพระปริตร บทสวดชินะบัญชร บทสวดคาถาต่าง ๆ ฯลฯ ..

อย่างคาถาเงินล้าน ก็เป็นอุบายของหลวงพ่อท่าน ไม่ใช่ว่าสวดแล้ว เงินจะหล่นตุ๊บตั๊บลงมา ท่านบอกว่า เหมาะแก่คนค้าขาย ทำสวนทำไร่ ค้าขายจะได้คล่องตัว ไม่มีอุปสรรค สวดไปจิตก็เป็นสมาธิไปด้วย

เงินจะไหลมาเทมาหรือไม่ก็ไม่เป็นปัญหา ถ้าใจสงบเป็นสมาธิแล้ว ส่วนมากก็ทิ้งสวน ทิ้งนาทิ้งเงินทอง เพื่อเอาความสงบแห่งจิตเป็นสำคัญ ทั้งนั้น ..

อย่างพุทธภาษิตที่ว่า "รสพระธรรม ชำนะรสทั้งปวง"


เห็นด้วยกับคุณ วิริยะ ค่ะ บทสวดมนต์ทุกบทอย่าลบหลู่ค่ะ สำหรับตัวเรา
ก้อเคยสวดค่ะ เพราะบทสวดคาถาเงินล้านนี่หล่ะค่ะ
ที่ทำให้เราได้รู้ว่าบทสวดนั้น เราลบหลู่หรือจะนำไปสวดแบบเล่นๆไม่ได้ค่ะ

คุณดาวส่องแสงเขียน


   
อ้างคำพูด:
เคยสวดอยู่สามปี อานิสงส์มากมาย สวดแบบไม่หวังผลตอบแทนแค่หางานให้จิตทำ
จะเดินจะนั่ง จะนอน ทำงานด้วย แต่จิตสวดไป ระยะแรก ข่มกิเลสได้
สวดๆไป สวดไป นอนก็สวดหลับไปกับบทสวด สวดกระหน่ำ
ปีที่สาม เงินทองไหลมาเทมา จะคิดจะพูดจะทำอะไร เงินเข้ามาตลอด
ไม่เชื่อ อย่าหลบลู่ กล้าท้าพิสูจน์



ที่คุณดาวส่องแสงเขียนมา พี่เต้ก้อเป็นลักษณะแบบเดียวกับคุณส่องแสงค่ะ
คือมีความรู้สึกว่า พอสวดมนต์บทนี้แล้วจิตเป็นสมาธิได้เร็ว พออ่านที่คุณดาวฯเขียนมา พี่เต้ก้อเลยนึกได้ค่ะ มีความรู้สึกว่าช่วงที่เคยสวด คาถาเงินล้านนั้น
เวลาที่ใจคิดอยากจะได้อะไร รู้สึกว่าจะสมหวังตลอด คือเหมือนเป็นปาฏิหารย์นี่หล่ะค่ะ บางครั้งคิดว่าคงไม่ได้ล่ะ หมดหวังล่ะ แต่จะได้ทุกทีค่ะ แต่เรื่องเงินนี่ก้อจำไม่ค่อยได้นะ รู้แต่ว่าช่วงนั้น คืออยากได้อะไรก้อสมหวังค่ะ คือพี่เต้คิดว่า
บทสวดทุกบท ยังไงๆ ก้อทำให้ผู้ที่สวด ได้รับผลที่ดีแน่นอนค่ะ
พี่เต้คิดว่า คงเป็นสัญญาเก่าของแต่ล่ะคนค่ะ

คือไม่ได้เว่อร์หรืออะไรนะคะ ตอนที่อ่านเจอบทสวดคาถาเงินล้าน
ก้อรู้สึกชอบ จดใส่กระดาษไว้เลย ทีนี้ตอนที่สวด เวลาสวด เสียงใหญ่มาก
ก้อหยุดเลย แต่ใจก้อยังชอบอยู่ พอมีอยู่ครั้งหนึ่งใจอยากจะสวด
ก้อจำได้ แต่คำว่า นาสังสิโม พอขึ้นคำนี้แล้วกลายเป็นว่า
เราสวดได้จนจบเลย ก้อไม่รู้ว่าสวดได้ยังไง นี่หล่ะค่ะทำให้เราเชื่อว่า
บทสวดมนต์ ทุกบทลบหลู่ไม่ได้ค่ะ :b8: :b41: :b55: :b48:


เรียนคุณเต้ ดีใจค่ะ ขอให้เจริญทางธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปน่ะ

ถ้าเราเป็นพวกศึกษาเรื่องจิต การทำงานของจิต บทสวด หรือคำภาวนา เป็นอุบายให้จิตมีงานทำ
ธรรมชาติของจิตที่ยังไม่หลุดพ้นจะต้องเกาะเกี่ยว เสพอารมณ์ ไม่ว่าทั้งหลับทั้งตื่น มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น
การหางานให้จิตทำอยู่ในกรอบ บทสวด หรือ องค์ภาวนา กิเลส นิวรณ์ ก็ไม่ค่อยจะทำงานละ อันนี้แค่ขั้นเริ่มต้นเองน่ะ ยังมีอานิสงค์มากมาย ถ้าศึกษาเรื่องจิตต่อขั้นสูง (ไม่ใช่ศึกษาจากการอ่านเอาน่ะ)
ถึงขั้นเข้าใจการทำงานของจิต การทำงานของขันธ์ต่างๆ โดยหลากหลายวิธีการของกรรมฐานแล้วแต่ของเก่าและความถนัดของแต่ละคน จนเข้าถึงคำว่า "พุทธะ" ก็หมดการโต้เถียง หรือขัดแย้งกับบุคคลอื่น เพราะผู้ที่ถนัดโต้แย้งเขาเหล่านั้นยังไม่ถึงวาระ

ผู้ที่คิดว่าตัวเองรู้ดีแล้ว แต่รู้ไม่จริง มีอยู่ในบอร์ดนี้มากมาย
แต่ผู้ที่รู้จริง ก็มีเช่นกัน แต่เขาเหล่านี้ส่วนมากจะไม่มาโต้เถียงให้เสียเวลาภาวนา และจิตเศร้าหมอง
สู้เอาเวลาที่โต้เถียงกันไปภาวนาดีกว่า ใครทำใครได้ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน :b4: :b4: :b4: :b4:
คาถาต่างๆที่พระองค์กล่าวออกมานั้น ให้ศึกษาเข้าใจในความหมายเพื่อเข้าใจในตัวธรรมะแทงตลอดอริยสัจ ไม่ใช่ท่องให้เกิดสมาธิ.หรือท่องแล้วขอให้เกิดอะไรๆที่อยากได้ การทำสมถะภาวนาก็มีกรรมฐาน40 ทุกวันนี้คิดกันไปเองอย่างนั้นอย่างนี้. ถ้าจะเอาสมาธิอย่างเดียวไม่ต้องมาท่องคำของพระองค์หรอกนะครับ ท่องคำว่านกขุนทองมันก็เกิดสมาธิได้. และการสนทนานั้นผู้ที่รู้เขามาโต้แย้งเพื่อให้ผู้ที่ยังหลงอยู่ได้มีโอกาสได้รู้ความจริงที่มีเหตุผลตรงตามตำรา. เขาไม่ได้คิดมาอวดรู้ลมๆแล้งๆนะครับ. คำพูดเหล่านี้ไม่สมควรแสดงในบอร์ดเลยนะครับ. เพราะตัวท่านเองก็แสดงความคิดอยู่นะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2015, 07:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




image_1443141437218.jpg
image_1443141437218.jpg [ 138.69 KiB | เปิดดู 4180 ครั้ง ]
:b8: :b8:

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2015, 11:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ แม่ น้องก้อง เขียน


อ้างคำพูด:
พี่เต้หคุนน้องจำเรื่องที่พี่เต้เล่าให้ฟังได้ายไปไหนมา..คุนน้องกำลังคิดถึงพี่เต้อยู่พอดี...คุนน้องจำเรื่องที่พี่เต้เล่าให้ฟังได้..เรื่องที่ครอบครัวนึงเค้าไม่เชื่อเรื่องเจ้าที่ภพภูมิอื่น แล้วรื้อศาลพระภูมิทิ้ง..แล้วพวกเค้าเป็นอย่างไรค่ะ..คือคุนน้องไปเจอมิจฉาทิฏฐิในเฟสบานเลย รื้อศาลพระภูมิบ้านตนเพราะเข้าใจ พุทธวจนแล้ว   แบบท้าทายว่าคอยดูเค้าจะมีอันเป็นไปไหม...แบบนี้เหมือนกำลังลบหลู่เลยอ่ะ

ปล.ขออภัยนะค่ะนอกเรื่อง แต่มันคาใจเรื่องนี้เจ้าค่ะ


คุณ น้องค่ะ ถ้าพี่เต้ว่าง หรือตอนกลางคืน ค่อยคุยกันนะคะ คิดถึงเช่นกันค่ะ! :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2015, 11:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




FB_IMG_1443155349750.jpg
FB_IMG_1443155349750.jpg [ 19.95 KiB | เปิดดู 4168 ครั้ง ]
:b8: :b8: :b8:

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2015, 21:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณศิริพงศ์เขียน

อ้างคำพูด:
คาถาต่างๆที่พระองค์กล่าวออกมานั้น ให้ศึกษาเข้าใจในความหมายเพื่อเข้าใจในตัวธรรมะแทงตลอดอริยสัจ ไม่ใช่ท่องให้เกิดสมาธิ.หรือท่องแล้วขอให้เกิดอะไรๆที่อยากได้ การทำสมถะภาวนาก็มีกรรมฐาน40 ทุกวันนี้คิดกันไปเองอย่างนั้นอย่างนี้. ถ้าจะเอาสมาธิอย่างเดียวไม่ต้องมาท่องคำของพระองค์หรอกนะครับ ท่องคำว่านกขุนทองมันก็เกิดสมาธิได้. และการสนทนานั้นผู้ที่รู้เขามาโต้แย้งเพื่อให้ผู้ที่ยังหลงอยู่ได้มีโอกาสได้รู้ความจริงที่มีเหตุผลตรงตามตำรา. เขาไม่ได้คิดมาอวดรู้ลมๆแล้งๆนะครับ. คำพูดเหล่านี้ไม่สมควรแสดงในบอร์ดเลยนะครับ. เพราะตัวท่านเองก็แสดงความคิดอยู่นะครับ





ท่องบทสวดมนต์ยังไงค่ะ ท่องแล้วไม่ให้เกิดสมาธิ
ที่เราอ่าน หรือฟังธรรมมะ มีแต่หลวงพ่อท่านบอกว่า
เวลาสวดมนต์ต้องทำให้จิตเกิดสมาธิ แต่คุณพงศ์ บอกว่า
ไม่ใช่ท่องให้เกิดสมาธิ

(
อ้างคำพูด:
ถ้าจะเอาสมาธิอย่างเดียวไม่ต้องมาท่องคำของพระองค์หรอกนะครับ


ขอความรู้ตรงข้อความนี้ด้วยค่ะ เพราะเท่าที่เรารู้ ไม่ว่าเราจะไปสู่
จุดไหนได้ เราต้องฝึกการทำให้จิตเกิดสมาธิ
ให้ได้ก่อนไม่ใช่เหรอคะ

เพราะฉนั้น การที่ใครจะทำให้จิตเกิดสมาธิได้
ก้อแล้วแต่ตัวของผู้นั้นเองไม่ใช่หรือคะ
เราเคยอ่านคำสอน ของหลวงปู่ชา ท่านบอกว่า
ท่านเคยสวดเพื่อให้จิตเกิดสมาธิ แต่ท่านใช้กี่บทๆ
จิตก้อไม่เกิดสมาธิ พอตอนหลังท่านก้อเลย
ใช้คำสิ่งท่านนึกอยู่ สวดคำนั้น จิตของท่านก็เป็นสมาธิ
ท่านก็เลยรู้ว่า คำสวดนั้นคืออุบายเท่านั้น
ใครจะสวดอะไรก็ได้ คือเราจำได้อย่างนี้ค่ะ

อ้างคำพูด:
หรือท่องแล้วขอให้เกิดอะไรๆที่อยากได้


คุณพงศ์คิดว่า ผู้ที่เค้าศึกษาธรรมะ เค้าจะสวดเพื่อต้องการขอ
อะไรที่อยากได้อยู่หรือคะ สำหรับเรา เราคิดว่า ผู้ที่เค้าเข้ามาศึกษา
ธรรมะ เค้าต้องพ้นจาก การสวดเพื่อขออะไร หรือหวังสิ่งใดไปแล้วล่ะค่ะ
คงไม่มีใคร นั่งสวดมนต์แล้วขออะไร ต่ออะไรหรอกค่ะ

คือสิ่งที่เราเขียนมาทั้งหมด เราไม่เข้าใจที่คุณพงศ์ เขียนมาเท่านั้นค่ะ
ถ้ายังไง มีอะไรที่เราเข้าใจผิด เราขอคำแนะนำ
ของคุณพงศ์ กับคุณลุงสมาน และผู้รู้ท่านอื่นๆ ด้วยนะคะ เราจะได้
นำไปพิจารณา กับสิ่งที่เราเข้าใจค่ะ :b8: :b41: :b55: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2015, 21:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณศิริพงศ์เขียน

อ้างคำพูด:
คาถาต่างๆที่พระองค์กล่าวออกมานั้น ให้ศึกษาเข้าใจในความหมายเพื่อเข้าใจในตัวธรรมะแทงตลอดอริยสัจ ไม่ใช่ท่องให้เกิดสมาธิ.หรือท่องแล้วขอให้เกิดอะไรๆที่อยากได้ การทำสมถะภาวนาก็มีกรรมฐาน40 ทุกวันนี้คิดกันไปเองอย่างนั้นอย่างนี้. ถ้าจะเอาสมาธิอย่างเดียวไม่ต้องมาท่องคำของพระองค์หรอกนะครับ ท่องคำว่านกขุนทองมันก็เกิดสมาธิได้. และการสนทนานั้นผู้ที่รู้เขามาโต้แย้งเพื่อให้ผู้ที่ยังหลงอยู่ได้มีโอกาสได้รู้ความจริงที่มีเหตุผลตรงตามตำรา. เขาไม่ได้คิดมาอวดรู้ลมๆแล้งๆนะครับ. คำพูดเหล่านี้ไม่สมควรแสดงในบอร์ดเลยนะครับ. เพราะตัวท่านเองก็แสดงความคิดอยู่นะครับ





ท่องบทสวดมนต์ยังไงค่ะ ท่องแล้วไม่ให้เกิดสมาธิ
ที่เราอ่าน หรือฟังธรรมมะ มีแต่หลวงพ่อท่านบอกว่า
เวลาสวดมนต์ต้องทำให้จิตเกิดสมาธิ แต่คุณพงศ์ บอกว่า
ไม่ใช่ท่องให้เกิดสมาธิ

(
อ้างคำพูด:
ถ้าจะเอาสมาธิอย่างเดียวไม่ต้องมาท่องคำของพระองค์หรอกนะครับ


ขอความรู้ตรงข้อความนี้ด้วยค่ะ เพราะเท่าที่เรารู้ ไม่ว่าเราจะไปสู่
จุดไหนได้ เราต้องฝึกการทำให้จิตเกิดสมาธิ
ให้ได้ก่อนไม่ใช่เหรอคะ

เพราะฉนั้น การที่ใครจะทำให้จิตเกิดสมาธิได้
ก้อแล้วแต่ตัวของผู้นั้นเองไม่ใช่หรือคะ
เราเคยอ่านคำสอน ของหลวงปู่ชา ท่านบอกว่า
ท่านเคยสวดเพื่อให้จิตเกิดสมาธิ แต่ท่านใช้กี่บทๆ
จิตก้อไม่เกิดสมาธิ พอตอนหลังท่านก้อเลย
ใช้คำสิ่งท่านนึกอยู่ สวดคำนั้น จิตของท่านก็เป็นสมาธิ
ท่านก็เลยรู้ว่า คำสวดนั้นคืออุบายเท่านั้น
ใครจะสวดอะไรก็ได้ คือเราจำได้อย่างนี้ค่ะ

อ้างคำพูด:
หรือท่องแล้วขอให้เกิดอะไรๆที่อยากได้


คุณพงศ์คิดว่า ผู้ที่เค้าศึกษาธรรมะ เค้าจะสวดเพื่อต้องการขอ
อะไรที่อยากได้อยู่หรือคะ สำหรับเรา เราคิดว่า ผู้ที่เค้าเข้ามาศึกษา
ธรรมะ เค้าต้องพ้นจาก การสวดเพื่อขออะไร หรือหวังสิ่งใดไปแล้วล่ะค่ะ
คงไม่มีใคร นั่งสวดมนต์แล้วขออะไร ต่ออะไรหรอกค่ะ

คือสิ่งที่เราเขียนมาทั้งหมด เราไม่เข้าใจที่คุณพงศ์ เขียนมาเท่านั้นค่ะ
ถ้ายังไง มีอะไรที่เราเข้าใจผิด เราขอคำแนะนำ
ของคุณพงศ์ กับคุณลุงสมาน และผู้รู้ท่านอื่นๆ ด้วยนะคะ เราจะได้
นำไปพิจารณา กับสิ่งที่เราเข้าใจค่ะ :b8: :b41: :b55: :b48:
คุณต้องทิ้งความเชื่อทั้งหมดก่อนดีมั้ย ทิ้งสิ่งที่เราเคยเชื่อตามๆกันมา. แล้วเราเปิดใจเรียนรู้ในสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้
เมื่อพระองค์ตรัสรู้ก็ต้องมีคำสอนที่จะมาสอนเราถูกต้องนะครับ. คำสอนนั้นแหล่ะที่ถูกเรียกว่าคาถาหรือพระสูตร. เราก็ควรจะต้องทำความเข้าใจในคาถาหรือว่าพระสูตรให้เข้าใจว่าท่านสอนอะไรเรา ถูกต้องนะครับ เราถึงจะเข้าใจว่าท่านตรัสรู้อะไรท่านสอนอะไร. แต่ถ้าเราท่องโดยที่เราไม่รู้ความหมายเลยเราจะได้อะไรถูกต้องนะครับ. ถ้าท่านบอกว่าท่องแล้วได้สมาธิผมก็บอกว่าท่องอะไรก็ได้สมาธิเหมือนกันเพราะถ้าไม่ต้องทำความเข้าใจในเนื้อความก็ท่องอะไรก็ได้นะซิจริงมั้ย.

คาถาหรือพระสูตรท่านให้ทำความเข้าใจในเนื้อความแล้วท่องให้คล่องปากขึ้นใจแทงตลอดในเนื้อความนั้นให้ถูกต้อง.(นี่คือการท่องที่ดีที่สุดเพราะการท่องแบบนี้จะทำให้ท่านถึงจุดหมายได้แน่นอน) แต่ถ้าท่านจะมาท่องเฉยๆท่านจะไม่มีทางได้สมาธิที่ถูกต้อง. พระองค์สอนสมถะวิปัสนา มีองค์กรรมฐานอยู่40กอง ขอให้เชื่อพระองค์อย่าคิดเองและไปเชื่อใครนอกจากผู้ที่กล่าวตรงต่อพระธรรมเท่านั้น. นี่มิใช่การดูถูกใครอะไรทั้งนั้นนี่คือการรักษาพระสัทธรรมของพระองค์และเป็นการปฎิบัติที่ถูกต้อง. ถ้าท่านเคยอ่านพระสูตรที่ว่าห้ามตัดต่อแต่งเติมกรรมฐานย่อมมีแค่นั้น. และผมขอยืนยัน. และถ้าท่องแล้วขออะไรนี้เข้าข่ายหลงทางสุดเลย

และผมเคยเจอบ่อยคำสวดเป็นอุบายเพื่อสิ่งนั้นสิ่งนี้ ผมถามท่านจริงๆนะแค่40กองยังไม่เพียงพอเหรอมีใครเก่งกว่าพระองค์เหรอที่จะต้องมีอุบายอื่นๆอะไรอีก นี่ไงความผิดเพี้ยนด้วยความหวังดีทำพระสัทธรรมพระองค์ต้องเปลี่ยนไป คนที่ทำไปโดยความไม่รู้เราไม่ว่ากัน. แต่ถ้ารู้แล้วยังทำผมก็ก็ไม่รู้จะยังไงดี

ผมขอแนะนำให้อยู่แค่40กองเท่านั้นนะครับ. กองที่แนะนำเพิ่มที่คิดว่าดีคือการเมตตาภาวนา. เพราะสิ่งนี้เราได้แผ่ความสุขแก่สัตว์โลกทุกวัน ความสุขนั้นจะกลับมาหาคุณแน่นอน เป็นสมาธิได้ไว เพียงท่านคิดในใจแบบนี้ไปตลอด. ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายจงมีความสุขๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ.(คิดถึงความสุขจริงนะครัยแล้วมอบให้จะได้ผลมาก) แค่นี้ท่านก็จะพบความสุขที่แท้จริง แล้วเมื่อท่านได้สมาธิก็วิปัสนาก็ได้ หรือจะพิจารณาความเกิดดับไปเลยที่เดียวก็ได้

แต่ถ้าท่านว่างๆก็ท่องกฎอิทับปัจยตาท่องแบบทำความเข้าใจนะครับง่ายๆตรงคำสอนครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2015, 22:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณพงศ์เขียน

อ้างคำพูด:
ผมขอแนะนำให้อยู่แค่40กองเท่านั้นนะครับ. กองที่แนะนำเพิ่มที่คิดว่าดีคือการเมตตาภาวนา. เพราะสิ่งนี้เราได้แผ่ความสุขแก่สัตว์โลกทุกวัน ความสุขนั้นจะกลับมาหาคุณแน่นอน เป็นสมาธิได้ไว เพียงท่านคิดในใจแบบนี้ไปตลอด. ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายจงมีความสุขๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ. แค่นี้ท่านก็จะพบความสุขที่แท้จริง แล้วเมื่อท่านได้สมาธิก็วิปัสนาก็ได้ หรือจะพิจารณาความเกิดดับไปเลยที่เดียวก็ได้


:b8: :b41: :b55: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2015, 05:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การแผ่เมตตานั้นแม้เพียงรัดนิ้วมือก็มีอนิสงส์มากกว่าการรักษาศิลมหาศาล (พระองค์กล่าวไว้เช่นนั้น)แล้วถ้าเราแผ่เมตตาสักวันล่ะหลายๆรอบ รอบหนึ่งสัก1ชั่วโมงบรรจุความรักลงไปแบ่งปันบุญกุศลให้แกสรรพสัตว์ทั้งหลายไม่แบ่งแยก ไม่เจาะจงว่าจะต้องเป็นญาติพี่น้องเรา เท่ากับเราได้ละการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เรารัก. คำว่าสรรพสัตว์นั้นครอบคุมไปทุกทั่วตัวตนไม่ว่าใกล้หรือไกล แล้วเราพิจารณาธรรมทั้งหลายที่เกิดแก่จิตเราแม้กุศลที่เรากำลังทำนี้ก็เกิดดับ ปัญญาเห็นแจ้งตามความเป็นจริง และถ้าในระหว่างนั้นเราได้สมาธิละดับฌานเมื่อไหร่ความหลุดพ้นอยู่ไม่ไกลเลย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 54 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร