วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 02:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 39 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2015, 15:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ศิริพงศ์ เขียน:
Rosarin เขียน:

ไม่ว่าธรรมยุติหรือมหานิกายไม่เป็นปัญหาในการเข้าถึงธรรม
ขึ้นอยู่กับว่าจิตผู้รู้เข้าถึงความจริงหรือไม่เพราะการรู้แจ้ง
หมายถึงรู้ความจริงแล้วหายสงสัยไม่ใช่ต้องไปเรียง
ลำดับญาณแล้วพยายามที่จะไปบังคับให้ถึงญาณ
ต้องเริ่มจากรักษาศีลที่กายกับวาจาให้บริสุทธิ์
ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา เป็นการละอัตโนมัติ
การกำหนดเพื่อบังคับจะทำให้เกิดจิตหดหู่
ความพร้อมทาน ศีล ภาวนาอัตโนมัติ
จิตบริสุทธิ์เกิดเองบังคับบัญชาไม่ได้
ต้องถึงพร้อมด้วยความไม่อยาก
เน้นการเจตนาศีล5บริสุทธิ์
สัจจะ จาคะ เนกขัมมะ
เพียรสุตะ จิตตภาวนา
จิตสว่างไสวเกิด :b12:
ไม่ใช่เห็นแสงสว่างน๊า
แต่เป็นจิตดวงเข้าใจความจริงที่แท้จริง
กุศลจิตรู้แจ้งหายสงสัยด้วยความหมดอยาก
:b16: :b16:
onion onion onion

ถ้านังไม่พบแสงสว่างก็ยังไม่บรรลุธรรมหรอกนะ

ชั่วขณะการครู่หนึ่งนั้น เสียงกระฉ่อนขึ้นไปจนถึงพรหมโลก ด้วยประการฉะนี้แล.
ทั้งหมื่นโลกธาตุนี้ได้หวั่นไหวสะเทือนสะท้าน ทั้งแสงสว่างอันยิ่งใหญ่หาประมาณมิได้
ได้ปรากฏแล้วในโลก
ล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเปล่งพระอุทานว่า ท่านผู้เจริญ โกณฑัญญะ ได้รู้แล้วหนอ
ท่านผู้เจริญ โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ เพราะเหตุนั้น คำว่า อัญญาโกณฑัญญะนี้ จึงได้เป็นชื่อ
ของท่านพระโกณฑัญญะ ด้วยประการฉะนี้.
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร จบ
. ดูกรราชกุมาร นี้เป็นวิชชาที่สาม
ที่อาตมภาพได้บรรลุแล้วในปัจฉิมยามแห่งราตรี อวิชชาถูกกำจัดแล้ว วิชชาเกิดขึ้นแล้ว ความมืด
ถูกกำจัดแล้ว แสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว แก่อาตมภาพผู้ไม่ประมาท
มีความเพียร มีตนส่งไป
แล้วอยู่.

แสงสว่างนี้คงไม่เอาไปรวมกับคำว่าปัญญานะ
จักขุ. ญาน. ปัญญา. วิชา. แสงสว่าง
_________________

:b1:
เพราะจิตสะสมความละเอียดมาต่างกันสภาวะที่รู้ก็ต่าง
แสงสว่างเกิดที่ปลายทางเมื่อบรรลุนิพพานเท่านั้น
ถ้าเกิดระหว่างทางแปลว่าเป็นมิจฉาสมาธินะคะ
เพราะที่เอามาอธิบายน่ะเป็นความรู้แจ้งในจิต
และคำสอนของครูบาอาจารย์หลวงพ่อพุธ
ท่านเทศน์ไว้นะคะไม่ได้เขียนแบบด้นเดา
ลองหัดใช้สุตมยปัญญาให้มากเพื่อ
จะได้รู้ว่าที่จิตตนรู้เป็นของจริง
หรือว่าแค่เดาเอาว่าถูกต้อง
เพราะถ้ารู้จริงหายสงสัย
คือสิ่งที่หลวงพ่อพุธ
ท่านแปลว่ารู้แจ้ง
สว่างไสวน๊า
:b12:
:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2015, 16:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านเทศน์ไว้อย่างนี้นะคะ
การรู้แจ้งสว่างไสวไม่ใช่การเห็นแสงสว่าง
เพราะการเห็นแสงสว่างเป็นมิจฉาสมาธิ :b12:
รู้แจ้งในจิตแปลว่า รู้ความจริงแล้วหายสงสัย
กัณฑ์ไหนไม่รู้ฟังวิทยุวัดป่าบ้านตาดเมื่อคืนหาดู
:b8:
ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนเพราะคิดเอาเองน๊า
เพราะมันตรงกะสิ่งที่ข้าพเจ้ารู้นะคะ
ต้องปล่อยวางแสงสว่างแล้วนะ
ถ้าเห็นแสงแปลว่าจิตไม่สงบ
ชัดเจนไหมคะต้องรู้จริง
:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2015, 17:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านเทศน์ไว้อย่างนี้นะคะ
การรู้แจ้งสว่างไสวไม่ใช่การเห็นแสงสว่าง
เพราะการเห็นแสงสว่างเป็นมิจฉาสมาธิ :b12:
รู้แจ้งในจิตแปลว่า รู้ความจริงแล้วหายสงสัย
กัณฑ์ไหนไม่รู้ฟังวิทยุวัดป่าบ้านตาดเมื่อคืนหาดู
:b8:
ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนเพราะคิดเอาเองน๊า
เพราะมันตรงกะสิ่งที่ข้าพเจ้ารู้นะคะ
ต้องปล่อยวางแสงสว่างแล้วนะ
ถ้าเห็นแสงแปลว่าจิตไม่สงบ
ชัดเจนไหมคะต้องรู้จริง
:b16: :b16:
คนที่จะมั่นใจว่านั้นคือทางออกอย่างน้อยเขาต้องเห็นแสง. ถึงจะไม่มากก็ต้องเห็นครับ. สมมุติถ้าติดอยู่ในที่มืด. จะรู้และมั่นใจได้อย่างไรว่านั้นคือทางออก. อย่างน้อยก็ต้องเห็นแสงสักเล็กน้อย. และนั้นคือการเริ่มต้นเป็นโสดาบันต้องเห็นแสงสว่างตามพระสูตร. จักขุ. ณาน. ปัญญา. วิชา แสงสว่างชัดเจนครับ. และท่านไม่ต้องอ้างคำกล่าวของคนอื่นมายืนยันะครับ เพราะไม่ใช่ตรรกะที่จะยึดว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต้องได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ก.ย. 2015, 22:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
อันนี้ก็ไม่ได้มาบอกให้เชื่อ
แต่ให้เก็บเอาไปพิจารณา
คนเราทุกข์เท่ากันนั้นแหละ
เห็นคนคุยกันบอกกันทางนั้น
เราก็แค่บอกว่าไม่ใช่นะทางนี้
ก็บอกว่าตามมาสิก็เท่านั้น
ไม่ตามใครจะบังคับได้
เป็นเรื่องของเวรกรรม
ไม่ได้คิดเงินบอกฟรี
ตามใจก็ตามกิเลส
จะหาใครที่รู้จริง
มาบอกน่ะยาก
เพราะอนัตตา
ใครบังคับ
ใครได้
ว่าไหม
:b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2015, 06:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
กบไปคิดเอาเองตามปฏิจจสมุปบาทวงใหญ่ คือการตายเกิดใน ๑ ชาติของมนุษย์หรือสัตว์โลกเลยเกิดความเข้าใจบิดเบือนธรรมไปกันใหญ่เอามรณะมาขึ้นก่อนชาติ ไอ้ที่กลัวว่าจะเป็นสัทธัมปฏิรูปเลยมาเป็นกบทำสัทธรรมปฏิรูปเสียเอง ด้วยความเข้าใจผิดไม่ถ่องแท้ลึกซึ้งในปฏิจจสมุปบาทตัวภพที่ว่ามานั้นที่แท้จริงมันต่อเนื่องมาจาก อุปาทาน


ผมไม่ได้เข้าใจปฏิจจสมุปบาทผิดหรอก..ที่เขียนก็ไม่เป็นปฏิจจะสักหน่อย...
ที่เขียนนั้น..เพราะ..อโสกะอยากให้นำมาเทียบวงการเกิดแก่เจ็บตาย..ด้วยปฏิจจะ..ต่างหาก
ก็พยายามลองตามคำเชิญของอโสกะ...
แต่ไม่คิดว่าจะถูกล่อให้มาเขียนแล้วกลับมาว่ากระผมทำสัทธรรมปฏิรูป..อย่างนี้

ถึงอโสกะจะว่าผมทำสัทธรรมปฏิรูป....ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่กล่าวหาผมหรอก...1 เพราะผมไม่ได้ว่านี้เป็นปฏิจจสมุปบาท..2 ผมไม่ได้พยายามเผยแพร่ไปที่อื่น ๆ...3 ไม่มีใครเข้าใจว่านี้เป็นปฏิจจสมุปบาท

แต่..ต่างกับวงกลมของอโสกะที่เอามา...

asoka เขียน:
:
การที่กบเอาชาติกับมรณะมาต่อในช่วงของนามรูป นี่ก็เป็นวิปริตธรรมอันอาจกล่าวได้ว่าเป็นสัทธัมปฏิรูปไปด้วยก็ได้ นามรูปะปัจจัยยาสฬายตนะ สฬายตนะ ปัจจัยยาผัสโส ไม่ใช่นามรูปะปัจจัยยา ชาติ หรือมรณะ


ผมบอกที่ไหนว่าผมเขียนปฏิจจะ...
ผมเขียนตามที่อโสกะ...ขอ..ว่าลองเขียนวงเวียนการเกิดแก่เจ็บตายด้วยปัจจยาการ..ต่างหาก..อย่างหลงประเด็นว่าผมเขียนปฏิจจะ...

อย่ากล่าวหาผมง่าย ๆ ซี..อโสกะ...ไม่แมนเลย

asoka เขียน:
:
ที่กบเขียนเป็นรูปไม่ได้ก็เพราะกบเห็นปฏิจจสมุปบาทเป็นเส้นตรงไม่วนกลับมาที่เดิม ซึ่งผมเองก็ไม่เคยเห็นคนอธิบายแบบนี้มาก่อนพึ่งเห็นกบเป็นคนแรก นี้ถ้าเข้าไปอธิบายปฏิจจสมุปบาทแบบเส้นตรงอย่างที่กบคิดในประเทศเมียนม่า คงโดนโห่ไล่ลงเวทีเป็นแน่

วงปฏิจจสมุปบาทแบบพม่าเขาละเอียดถี่ถ้วนมากกว่าแบบง่ายๆที่เขียนมาให้ดูผมกำลังพยายามค้นหารูปอยู่ พบแล้วจะส่งมาให้ศึกษา
onion


นี้งัย..ผลของแผนภาพ...ทำให้อโสกะเชื่อแล้วว่า..ปฏิจจะวนเป็นวงกลม
เห็นมะ...

พระองค์กล่าวใว้รึคับอโสกะว่า..มรณะเป็นปัจจัย...อวิชชาจึงมี..นะ

บอกผมมาซิ...

ถ้าพระองค์ไม่บอก....คุณไปเขียนเป็นวง...ทำไม...เอามาสอน..เอามาเผยแพร่กันเกลือน...ถ้าไม่เป็นสัทธรรมรูป...บิดเบือนพระธรรม...แล้วจะเป็นอะไร...

จะขาดคุณสมบัติของอริยะ..เข้าให้...อุตส่าทำมาตั้งนาน..

ผมเตือนอโสกะ...ได้แค่นี้แหละ...หวังดีกับอโสะนะครับ...
และไม่อยากให้ใคร ๆ มาเป็นบาปกรรมต่อ ๆ ไปอีกด้วย

ปล....อ่อ...ที่ผมเขียนรูปให้ไม่ได้เพราะผมใช้คอมเขียนรูปไม่เป็นครับ..ขี้เกียจหัด...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2015, 06:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
อันนี้ก็ไม่ได้มาบอกให้เชื่อ
แต่ให้เก็บเอาไปพิจารณา
คนเราทุกข์เท่ากันนั้นแหละ
เห็นคนคุยกันบอกกันทางนั้น
เราก็แค่บอกว่าไม่ใช่นะทางนี้
ก็บอกว่าตามมาสิก็เท่านั้น
ไม่ตามใครจะบังคับได้
เป็นเรื่องของเวรกรรม
ไม่ได้คิดเงินบอกฟรี
ตามใจก็ตามกิเลส
จะหาใครที่รู้จริง
มาบอกน่ะยาก
เพราะอนัตตา
ใครบังคับ
ใครได้
ว่าไหม
:b16: :b16:
กลัวโดนยัดเยียดข้อหาปรามาสนะซิ. เห็นเคยทำกันบ่อยๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2015, 10:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


wink
อันนี้ก็แล้วแต่จะมีปัญญาเข้าใจค่ะ
เพราะไม่ได้มาโกหกเพื่อให้ล่วงศีล
มาให้เป็นธรรมทานไม่ได้ตังค์และ
ไม่ได้มาหวังจะเอาชื่อเสียงเกียรติยศ
อะไรเพราะดั้งบนบ่ามีอยู่แล้วทำเอาบุญ
มั่นใจว่าทำแล้วไม่เดือดร้อนใจภายหลัง
ไม่ได้ต้องการคำขอบอกขอบใจหรือลาภผล
ที่เป็นทรัพย์สินเงินทองของเหล่านี้มีหมดแล้ว
มาให้ไม่ได้มาเอาเพราะพอใจที่ได้รู้ความจริง
ใครจะมาขอซื้อก็ขายไม่ได้ก็ไม่ได้ลักขโมยใครมา
เป็นอริยทรัพย์ภายในทำเอาเองไม่ได้ไปขอกันได้น๊า
แค่มารอบอกวิธีไปและทางที่จะเดินไปต้องตั้งสติหน่อย
พระพุทธเจ้าก็บอกว่าถึงได้เมื่อรู้จักปล่อยวางไม่ใช่เหรอคะ
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.ย. 2015, 11:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.ค. 2009, 22:19
โพสต์: 271

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
wink
อันนี้ก็แล้วแต่จะมีปัญญาเข้าใจค่ะ
เพราะไม่ได้มาโกหกเพื่อให้ล่วงศีล
มาให้เป็นธรรมทานไม่ได้ตังค์และ
ไม่ได้มาหวังจะเอาชื่อเสียงเกียรติยศ
อะไรเพราะดั้งบนบ่ามีอยู่แล้วทำเอาบุญ
มั่นใจว่าทำแล้วไม่เดือดร้อนใจภายหลัง
ไม่ได้ต้องการคำขอบอกขอบใจหรือลาภผล
ที่เป็นทรัพย์สินเงินทองของเหล่านี้มีหมดแล้ว
มาให้ไม่ได้มาเอาเพราะพอใจที่ได้รู้ความจริง
ใครจะมาขอซื้อก็ขายไม่ได้ก็ไม่ได้ลักขโมยใครมา
เป็นอริยทรัพย์ภายในทำเอาเองไม่ได้ไปขอกันได้น๊า
แค่มารอบอกวิธีไปและทางที่จะเดินไปต้องตั้งสติหน่อย
พระพุทธเจ้าก็บอกว่าถึงได้เมื่อรู้จักปล่อยวางไม่ใช่เหรอคะ
onion onion onion

คิดว่านั้นคือการบอกวิธีหรือว่าหาคนยืนยันว่าสิ่งที่ตนทำอยู่มันถูกทางครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2015, 02:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
สอนวิปัสสนาอย่างละเอียด ย่อหน้าที่16 พิจารณาดู อนัตตาไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร
:b16:
อ้างคำพูด:
คงได้เนื้อความว่า อวิชชาดับสิ่งเดียวเท่านั้น สังขาร วิญญาณ นามรูป ตลอดไปถึง ชรา มรณะ ดับตามกันไปหมด ที่แสดงความดับแห่ง อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรุปเป็นต้นในปฏิจจสมุปบาทนี้ ไม่ได้หมายคนตาย หมายดับที่คนเป็น ๆ เรานี้เอง มีพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นตัวอย่าง สมัยที่พระองค์จะตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ได้ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาทเป็นทางวิปัสสนา เมื่ออวิชชาเกิดขึ้น อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป ตลอดถึงชรา มรณะดับหมด แต่พระองค์หาได้นิพพานไม่ ยังอยู่โปรดเวไนยสัตว์ถึง ๔๕ พรรษา จึงเสด็จเข้าสู่พระนิพพาน เมื่อสังขารดับหมดแล้ว ตนของพระองค์ก็ยังเต็มที่ แต่ส่วนที่เหลืออยู่นั้นจะเรียกว่าวิสังขารก็ได้ จะเรียกว่า อนุปาทินนกสังขารก็ได้ จะเรียกว่า อเนญชาภิสังขารก็ได้ จะเรียกว่า อสังขตธรรมก็ได้ จะเรียกว่า สังขารธรรมก็ได้ จะเรียกว่า โลกุตรธรรมก็ได้ ไม่เห็นเป็นปัญหาอะไรกับชื่อนามกร ข้อสำคัญคือตัวอวิชชาดับ เกิดเป็นวิชชาขึ้นเท่านั้น ส่วนธรรมที่ยังเหลืออยู่นี้ เป็นธรรมพิเศษ ไม่มีอนิจจัง ไม่มีทุกขัง คงมีอยู่แต่อนัตตาเท่านั้น เพราะไม่ใช่ตัวตน เป็นธรรมต่างหาก อนิจฺจํ ทุกขํ อนตฺตา ดับไปตามอุปาทินนกสังขาร ถ้าไตรลักษณ์อย่างนี้ไม่ดับ ไม่รู้จักวิโมกข์ ๓ แสดง วิโมกข์ ๓ ไม่ได้ แสดงได้ก็ไม่ได้ความ ถ้าสังขารไม่ดับ แสดงนิโรธก็ไม่ได้ แสดงได้ก็ไม่ได้ความเหมือนกัน ถ้ายังแสดงว่าตัวของตัวยังเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อยู่ตราบใด พึงรู้เถิดว่า ตัวยังจมอยู่ในกองทุกข์ตราบนั้น เพราะ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เป็นตัวทุกข์ เพราะเป็นสังขาร เมื่อสังขารดับหมดแล้ว ยังเหลืออยู่แต่วิสังขาร เป็นนาถกรณธรรม คือทำตนให้เป็นแก่นสาร เกิดศรัทธาความเชื่อตนขึ้นเป็นอจลศรัทธา ไม่งมงายหลงเชื่อแต่คนอื่น คนเราโดยมากมักเชื่อแต่ตำรา เชื่อตามเขาว่า หาได้น้อมธรรมเข้ามาในตน ให้เห็นจริงที่ตน เกิดความเชื่อขึ้นในตนไม่ จึงออกจากสมมติไม่ได้ ติดสมมติตายอยู่นี้เอง สมมติกับสังขารอันเดียวกัน จะแสดงความดับแห่งสังขารหรือดับแห่งสมมติไว้เป็นตัวอย่าง

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=2&t=44608


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 39 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร