ต่างคนก็อ้างว่าทำตามหน้าที่ แต่เค้าไม่รู้ว่าหน้าที่นั้นก็มีหลากหลาย จึงแข่งดี อวดดี ไม่รู้หน้าที่ตามความเป็นจริง จริงๆ แล้วหน้าที่มีอยู่อย่างเดียวคือทำอะไรให้มันดีด้วยความรู้ทันในการพูด ด้วยการคิด ด้วยการทำ นั่นแหละเรียกว่าทำตามหน้าที่ที่ถูกต้องมีเพียงหนึ่งเท่านั้น ทำดีและเผยแพร่ดีเป็นหน้าที่ของทุกคน ใครไม่ทำดี ไม่เผยแพร่ดีก็ไม่มีหน้าที่ของความเป็นคน รู้ทันต้นคิด จะคิดดับๆ

จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์

รู้หน้าที่ตามสมมุติของมนุษย์ในอัตภาพที่ได้มาโดยยาก
ควรทำจิตตนให้เข้าถึงความจริงเพราะพร้อมแล้วอย่างยิ่ง
ทั้งอายตนะภายใน+ภายนอกที่กระทบกันแล้วเกิดการรู้
จงอยู่อย่างผู้รู้ที่เข้าใจความจริงและปล่อยวางสมมุติที่มี
เพื่อทำจิตให้ถึงกระแสพระนิพพานก่อนหมดเวลาชาตินี้
อันจะหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงตามหน้าที่ต่อสัจจะในตน
จิตไม่มีเพศไม่มีวัยเวลามีแต่มืดกับสว่างเพียรถึงในวันนี้
ดีกว่าจะต้องเริ่มต้นใหม่ทุกชาติพึงหวังนิพพานในชาตินี้

กระแสพระนิพพานอธิบายเป็นรูปธรรมได้มั้ยครับเป็นอย่างไร

ทำบุญทำทานทำความดีสม่ำเสมอทางกายทางวาจาทางใจ
เจตนาไม่ล่วงศีล5ทำสมาธิให้เข้าถึงเอกัคตาจิต
เพราะการเจตนามีศีลห้าบริสุทธิ์นั้น
หลวงตาพระมหาบัวท่านว่า
ปฏิบัติเข้าใกล้
โสดาบัน

ชื่อว่าบรรลุธรรมชั้นต้นเป็นพระโสดาบัน
หมายถึงเป็นผู้ถึงกระแสพระนิพพานก็ย่นภพ
ที่เที่ยวเกิดตายนับชาติไม่ถ้วนเหลือไม่เกิน7ชาติ

คนเราเกิดมารูปร่างหน้าตาสีผิวอุปนิสัยใจคอฐานะเชื้อชาติ
จิตใจดีร้ายหยาบคายความถ่อมตนความเอื้อเฟื้อโอบอ้อมอารี
แตกต่างกัน การได้เกิดมาแล้วพบพระพุทธศาสนาเป็นวาสนา
เป็นลาภอันประเสริฐยิ่งตามหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา
ควรหมั่นสร้างกุศลในพระรัตนตรัยชื่อว่าสร้างความดีไว้เถิด
ศรัทธาจะค่อยๆสะสมเพิ่มพูนในจิตใจจนกว่าจะไม่หวั่นไหว
การละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ไม่ได้ทำได้ในวันเดียว

เพราะจิตดวงเก่าดับไปจิตดวงใหม่เกิดขึ้น ความชั่วจะเกิดก็เกิดพร้อมจิต จะดับก็ดับพร้อมจิต เราควรรู้ทันทุกขณะ ถ้ารู้ทันก็ดี ถ้ารู้ไม่ทันก็ชั่ว คิดมากก็ชั่วมาก เพราะเป็นสังขารคือการปรุงแต่ง พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าการปรุงแต่งเป็นทุกข์อย่างยิ่ง รู้ทันได้ดับเสียเป็นสุขอย่างยิ่ง ดีเพราะรู้ทัน ชั่วเพราะรู้ไม่ทัน ปรับเปลี่ยนไวกว่าแสง พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า คิดอย่างไรได้อย่างนั้น ปราถนาความสงบเป็นอันว่าสงบแล้ว ปราถนาสมาธิเป็นอันว่าได้สมาธิแล้ว ปราถนาปัญญาหลุดพ้นเป็นอันว่าหลุดพ้นแล้ว ปราถนานิพพานเป็นอันว่าได้นิพพานแล้วเพราะรู้ทันอยู่ ปราถนาอันตพาลเป็นอันว่าได้อันตพาลเพราะรู้ไม่ทัน เรียกว่าคิดอย่างไรได้อย่างนั้น จะคิดดับๆ

จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์

             [๒๘๕] ดูกรโปฏฐปาทะ ภิกษุก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง ได้บรรลุ อากิญจัญญายตนฌานซึ่งมีอารมณ์ว่า ไม่มีอะไร สัจจสัญญาอันละเอียดประกอบด้วยวิญญาณัญจาย- *ตนฌานที่มีในก่อนของเธอย่อมดับ สัจจสัญญาอันละเอียดประกอบด้วยอากิญจัญญายตนฌาน ย่อมมีในสมัยนั้น เธอย่อมเป็นผู้มีสัจจสัญญาอันละเอียด ประกอบด้วยอากิญจัญญายตนฌาน ในสมัยนั้น สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นเพราะการศึกษา สัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไปเพราะ การศึกษา ด้วยประการอย่างนี้ แม้นี้ก็เป็นข้อที่จะพึงศึกษาอย่างหนึ่ง. การเข้าอภิสัญญานิโรธ             [๒๘๖] ดูกรโปฏฐปาทะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้เป็นผู้มิสกสัญญา เธอพ้นแล้วจากปฐมฌาน จากทุติยฌานนั้นๆ แล้ว ย่อมได้บรรลุอากิญจัญญายตนฌานโดยลำดับ เมื่อเธอตั้งอยู่ใน อากิญจัญญายตนฌานแล้ว ย่อมมีความปริวิตกอย่างนี้ว่า เมื่อเราคิดอยู่ก็ยังชั่ว เมื่อเราไม่คิดอยู่ จึงจะดี แต่ถ้าเรายัง ขืนคิดขืนคำนึง สัญญาของเราเหล่านี้พึงดับ สัญญาอย่างหยาบเหล่าอื่น พึงเกิดขึ้น ถ้ากระไร เราไม่พึงคิด ไม่พึงคำนึง. ครั้นเธอปริวิตกอย่างนี้แล้ว เธอก็ไม่คิด ไม่คำนึง เมื่อเธอไม่คิด ไม่คำนึง สัญญาเหล่านั้นก็ดับไป สัญญาที่หยาบเหล่าอื่นก็ไม่เกิดขึ้น เธอก็ได้ บรรลุนิโรธ. ดูกรโปฏฐปาทะ การเข้าอภิสัญญานิโรธแห่งภิกษุผู้มีสัมปชัญญะโดยลำดับ ย่อมมี ด้วยประการอย่างนี้แล.              พ. ดูกรโปฏฐปาทะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน การเข้าอภิสัญญานิโรธแห่งภิกษุ ผู้มีสัมปชัญญะโดยลำดับเช่นนี้ ก่อนแต่นี้เธอเคยได้ยินบ้างหรือ?              ป. หามิได้ พระเจ้าข้า ข้าพระองค์เพิ่งรู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว อย่างนี้แล.              ดูกรโปฏฐปาทะ เพราะเหตุที่ภิกษุเป็นผู้มีสกสัญญา พ้นจากปฐมฌานเป็นต้นนั้นแล้ว ย่อมบรรลุอากิญจัญญายตนฌานโดยลำดับ เธอย่อมมีความปริวิตกอย่างนี้ว่า เมื่อเรายังคิดอยู่ก็ยังชั่ว เมื่อเราไม่คิดอยู่จึงจะดี ถ้าเรายังขืนคิด ขืนคำนึง สัญญาของเราเหล่านี้พึงดับไป และสัญญา ที่หยาบเหล่าอื่นพึงเกิดขึ้น ถ้ากระไร เราไม่พึงคิด ไม่พึงคำนึง ครั้นเธอปริวิตกอย่างนี้แล้ว เธอก็ไม่คิด ไม่คำนึง เมื่อเธอไม่คิด ไม่คำนึง สัญญาเหล่านั้นก็ดับไป และสัญญาที่หยาบเหล่าอื่น ก็ไม่เกิดขึ้น เธอก็ได้บรรลุนิโรธ การเข้าอภิสัญญานิโรธแห่งภิกษุผู้มีสัมปชัญญะโดยลำดับ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้แล.

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... &preline=6