วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 12:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 911 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 18, 19, 20, 21, 22, 23, 24 ... 61  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2015, 17:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
asoka เขียน:
Rosarin เขียน:
asoka เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
asokaเหมือนจะฉลาดนะก็ทำไมไม่คิดล่ะว่า
สถานีวิทยุวัดป่าบ้านตาดเปิดธัมมะ24ชั่วโมง
มีคำเทศนาธรรมของครูบาอาจารย์หลายองค์
ล้วนแต่พระอรหันต์สายกรรมฐานที่หลวงตาลงใจ
:b12:
ก็เคารพท่านเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์องค์แรก
ในชาตินี้ที่ทำให้ข้าพเจ้ามีดวงตาเห็นธรรมนะ
ไม่ยกย่องเทิดทูนท่านจะให้เทิดทูลองค์ไหนล่ะ
ในเมื่อไม่ได้ไปเข้าใกล้ครูอาจารย์องค์อื่นเท่านี้
:b16:
แม้แต่หลวงปู่ผางอฺมัญจาคีรีจ.ขอนแก่นยังส่งพระ
ลูกวัดมาศึกษาธรรมที่วัดป่าบ้านตาดแล้วก็ส่งเทป
เทศน์ขององค์หลวงตากลับไปให้หลวงปู่ผางตลอด
ภายหลังมรณภาพจึงทราบว่าท่านฟังเทศน์บรรลุธรรม
:b12:
หลวงตามหาบัวท่านบอกว่าท่านเป็นหลวงตาป.3เปรียญ3
ข้าพเจ้าก็ลูกศิษย์ป.3ไม่เคยนั่งสมาธิเริ่มฝึกที่วัดบ้านตาด
นั่งเฉพาะตอนฟังหลวงตาเทศน์ที่วัดเท่านั้นก็ตักบาตรเช้า
วันเสาร์-อาทิตย์้เสร็จก็จะเข้าไปศาลาฟังท่านเทศน์หลังฉัน
ตั้งแต่ปี2547มาถึงปีที่นั่งแล้งได้ดวงคาเห็นธรรมปี2549 :b8:
:b16:
ครบ3ปีแน่นอนไหมล่ะอาจารย์ข้าพเจ้าจึงตั้งฉายาตัวเองว่า
ลูกศิษย์ป.3ไงล่ะ
:b32:
จะบอกให้เอาบุญจ้ะว่าท่านชำนาญที่สุด
รู้ไว้ในด้านการย่นภพชาติให้ลูกศิษย์น๊า
onion onion onion
:b53: :b44:

s004
อืม!!!!!!!!

น่าอนุโมทนาและน่าสนใจที่คุณ Rossarin ปฏิบัติตามคำสอนหลวงตามหาบัว จนได้ดวงตาเห็นธรรม

อยากเรียนขอความกรุณาช่วยเล่าสภาวะตอนได้ดวงตาเห็นธรรมมาให้ฟังสักหน่อยว่าเป็นอย่างไร ถึงอาจหาญรับรองตนเองได้ว่าเห็นธรรมแล้วและเพื่อเป็นวิทยาทานให้เกิดศรัทธาปสาทะยิ่งๆขึ้นต่อไปครับ
:b27:


Rosarin เขียน:
s005
ผิดไปแล้วก็ต้องยอมรับผิดชอบจะกลายเป็นมุสาวาจา
ขออภัยถ้ามันว่างไปหมดก็อะระหันน้อยแล้วหละ :b32:
สะดุ้งตื่นขึ้นมาจิตเตือนว่าโพสต์อะไรเกินจริงไปไหม
รู้ที่ผิดต้องแก้ไขตรงจิตกะธรรมขณะนั้นยังเหลือผู้รู้
คำบริกรรมหายไปหมด จิตได้ยินยังทำงานเสียงก็จริง
ขณะนั้นไม่กลัวตายเพราะสติมั่นคงว่านั่งสมาธิฟังเทศน์
ของพระธรรมวิสุทธิมงคล(หลวงตามหาบัวสดๆอยู่)
มาค้นตำราอ่านภายหลังจึงทราบว่าเป็นฌาน4ยังไม่ถึง
ขั้นละเอียดเพราะยังได้ยินสียงเทศน์แว่วไกลๆหูยังมิดับ
เหลือจิตผู้รู้กะสภาวะธรรม ไม่รู้อาการกายและเวทนา
แต่จิตก็ไม่หลงกายเพราะรู้ว่ากายยังมีจิตก็อยู่ครบ

ทั้งโยมและพระเต็มศาลาใหญ่วัดป่าบ้านตาด
พอหลวงตาเทศน์จบให้พรแล้วจิตถอนจากสมาธิ
บอกสิ่งที่เกิดขึ้นให้เพื่อนที่ไปด้วยกันฟังปิติมากค่ะ
จำได้ไม่ลืมแต่ไม่เคยเล่าให้หลวงตามหาบัวท่านฟังเลย
ไม่อยากออกทีวีดาวเทียมกะออกวิทยุสดๆ
สรุปขณะนั้นเป็นจิต เจตสิกและรูปด้วยค่ะ
จิตละเอียดที่รู้ความจริงมิใช่การท่องน๊า
:b13:
ขอบพระคุณที่คุณstudentให้คำแนะนำดีๆ
ไม่สงสัยใดๆในคำสอนของพระพุทธเจ้าค่ะ

:b39: :b39:
:b12:


http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=50596

สงสัยในจิตตนเถิดจะมาเพ่งโทษคนอื่นน่ะจิตตัวเองนั่นแหละที่เป็นอกุศล
:b12:

:b12:
อ้อ!!!!!!

ภาวะการได้ดวงตาเห็นธรรมของคุณRossarin เป็นอย่างนี้นี่เอง ยังไม่น่าอนุโมทนาตามนะครับเพราะอาการที่เกิดยังค่อนข้างหยาบไปนิดหนึ่ง เป็นไปแค่ลำดับแห่งฌาณ ยังไม่เป็นไปตามลำดับแห่งญาณวิปัสสนาหรือญาณ ๑๖

การได้ดวงตาเห็นธรรมบางท่านก็กล่าวว่าคือการได้โสดาปัตติมรรคเข้าถึงโสดาปัตติผล

แต่ตามสภาวจริงๆแล้วการได้ดวงตาเห็นธรรมคือการที่จิตได้รู้ชัดและเสวยสภาวะอนัตตาจริงๆชัดเจน หลังจากนั้นอีกไม่นานถ้ายังไม่เพิกถอนความเพียร จิตจะเข้าถึง สังขารุเปกขาญาณ ส่งขึ้นอนุโลมญาณ โคตรภูญาณ โสดาปัตติมรรคญาณ
ผลญาณ นิพพาน แล้วเกิดปัจจเวกญาณตามมาเป็นญาณสุดท้าย วิกิจฉาขาดสะบั้นโดยสิ้นเชิง

ที่คุณ Rossarin พูดสรุปมานั้นยังหยาบไปหรือจะมีสภาวะที่ละเอียดกว่านี้แต่พูดไม่ออกบอกไม่เป็นวันหลังนึกได้ก็เอามาเล่ากันใหม่นะครับ

ส่วนเรื่องเพ่งโทษผู้อื่น เพ่งโทษตนอะไรนั้นมันพ้นตรงนั้นไปแล้วครับ เหลือแต่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาเท่านั้นเป็นเครื่องอยู่เครื่องเตือนให้ทำกิจที่พึงทำเพื่อความสุขเย็นของชาวโลก

:b38:

:b6:
อโศกะเข้าใจคำว่าการได้ดวงตาเห็นธรรมมากแค่ไหนล่ะ
การอ่านและท่องจำได้หมดน่ะไม่ใช่ดวงตาเห็นธรรมเลย
ผลการปฏิบัติที่เข้าถึงความจริงน๊าเป็นการเห็นธรรมในจิต
แล้วที่บรรลุความไม่มีตัวตนแล้วน่ะเป็นการดับภพชาติแล้ว
ของจริงน่ะนามเกิด รูปดับ เหลือแต่จิตผู้รู้บรรลุความเกิด-ดับ
จิตดวงใหม่ที่เคยไม่รู้ว่ากายกับจิตเป็นคนละอันกันหมดไปแล้ว
จิตใหม่รู้ความจริงของปฏิจจสมุทปบาทตามที่ทรงเอื้อนพระโอษฐ์เป็นสัจจธรรม
:b1:
อ้างคำพูด:
คำบริกรรมหายไปหมด จิตได้ยินยังทำงานเสียงก็จริง
ขณะนั้นไม่กลัวตายเพราะสติมั่นคงว่านั่งสมาธิฟังเทศน์
ของพระธรรมวิสุทธิมงคล(หลวงตามหาบัวสดๆอยู่)
มาค้นตำราอ่านภายหลังจึงทราบว่าเป็นฌาน4ยังไม่ถึง
ขั้นละเอียดเพราะยังได้ยินสียงเทศน์แว่วไกลๆหูยังมิดับ
เหลือจิตผู้รู้กะสภาวะธรรม ไม่รู้อาการกายและเวทนา
แต่จิตก็ไม่หลงกายเพราะรู้ว่ากายยังมีจิตก็อยู่ครบ

:b12:
ตรงตัวแดงๆที่เป็นสภาวะที่ปรากกฏกับจิตข้าพเจ้าตรงตามตำราเปะ
เอาผลที่เกิดมาเทียบตำรากรุณาไปอ่านฌานจิตของท่านป.ปยุตโตนะ
ขณะที่เข้าไปรู้แล้วได้ดวงตาเห็นธรรมข้าพเจ้าไม่ได้รู้เรื่องฌานมาก่อน
การมารู้ทฤษฎีภายหลังนี่แหละทำให้เป็นสักขีพยานว่าคำจริงของใคร
ข้าพเจ้าเล่าความจริงที่เกิดกับจิตให้ฟังไม่ได้มาสาธยายในตำราให้อ่าน
ควรที่จะย้อนกลับไปดูจิตตัวเองว่าถึงดวงตาอันนี้บ้างหรือยังอ่านแต่ตำรา
:b44: :b44:

ถ้าคิดว่ามีดวงตาเห็นธรรมจะต้องสงสัยอะไร จะต้องบอกอะไรใครให้เขามาตรวจสอบอะไรเรา

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ย. 2015, 19:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
asoka เขียน:
Rosarin เขียน:
asoka เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
asokaเหมือนจะฉลาดนะก็ทำไมไม่คิดล่ะว่า
สถานีวิทยุวัดป่าบ้านตาดเปิดธัมมะ24ชั่วโมง
มีคำเทศนาธรรมของครูบาอาจารย์หลายองค์
ล้วนแต่พระอรหันต์สายกรรมฐานที่หลวงตาลงใจ
:b12:
ก็เคารพท่านเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์องค์แรก
ในชาตินี้ที่ทำให้ข้าพเจ้ามีดวงตาเห็นธรรมนะ
ไม่ยกย่องเทิดทูนท่านจะให้เทิดทูลองค์ไหนล่ะ
ในเมื่อไม่ได้ไปเข้าใกล้ครูอาจารย์องค์อื่นเท่านี้
:b16:
แม้แต่หลวงปู่ผางอฺมัญจาคีรีจ.ขอนแก่นยังส่งพระ
ลูกวัดมาศึกษาธรรมที่วัดป่าบ้านตาดแล้วก็ส่งเทป
เทศน์ขององค์หลวงตากลับไปให้หลวงปู่ผางตลอด
ภายหลังมรณภาพจึงทราบว่าท่านฟังเทศน์บรรลุธรรม
:b12:
หลวงตามหาบัวท่านบอกว่าท่านเป็นหลวงตาป.3เปรียญ3
ข้าพเจ้าก็ลูกศิษย์ป.3ไม่เคยนั่งสมาธิเริ่มฝึกที่วัดบ้านตาด
นั่งเฉพาะตอนฟังหลวงตาเทศน์ที่วัดเท่านั้นก็ตักบาตรเช้า
วันเสาร์-อาทิตย์้เสร็จก็จะเข้าไปศาลาฟังท่านเทศน์หลังฉัน
ตั้งแต่ปี2547มาถึงปีที่นั่งแล้งได้ดวงคาเห็นธรรมปี2549 :b8:
:b16:
ครบ3ปีแน่นอนไหมล่ะอาจารย์ข้าพเจ้าจึงตั้งฉายาตัวเองว่า
ลูกศิษย์ป.3ไงล่ะ
:b32:
จะบอกให้เอาบุญจ้ะว่าท่านชำนาญที่สุด
รู้ไว้ในด้านการย่นภพชาติให้ลูกศิษย์น๊า
onion onion onion
:b53: :b44:

s004
อืม!!!!!!!!

น่าอนุโมทนาและน่าสนใจที่คุณ Rossarin ปฏิบัติตามคำสอนหลวงตามหาบัว จนได้ดวงตาเห็นธรรม

อยากเรียนขอความกรุณาช่วยเล่าสภาวะตอนได้ดวงตาเห็นธรรมมาให้ฟังสักหน่อยว่าเป็นอย่างไร ถึงอาจหาญรับรองตนเองได้ว่าเห็นธรรมแล้วและเพื่อเป็นวิทยาทานให้เกิดศรัทธาปสาทะยิ่งๆขึ้นต่อไปครับ
:b27:


Rosarin เขียน:
s005
ผิดไปแล้วก็ต้องยอมรับผิดชอบจะกลายเป็นมุสาวาจา
ขออภัยถ้ามันว่างไปหมดก็อะระหันน้อยแล้วหละ :b32:
สะดุ้งตื่นขึ้นมาจิตเตือนว่าโพสต์อะไรเกินจริงไปไหม
รู้ที่ผิดต้องแก้ไขตรงจิตกะธรรมขณะนั้นยังเหลือผู้รู้
คำบริกรรมหายไปหมด จิตได้ยินยังทำงานเสียงก็จริง
ขณะนั้นไม่กลัวตายเพราะสติมั่นคงว่านั่งสมาธิฟังเทศน์
ของพระธรรมวิสุทธิมงคล(หลวงตามหาบัวสดๆอยู่)
มาค้นตำราอ่านภายหลังจึงทราบว่าเป็นฌาน4ยังไม่ถึง
ขั้นละเอียดเพราะยังได้ยินสียงเทศน์แว่วไกลๆหูยังมิดับ
เหลือจิตผู้รู้กะสภาวะธรรม ไม่รู้อาการกายและเวทนา
แต่จิตก็ไม่หลงกายเพราะรู้ว่ากายยังมีจิตก็อยู่ครบ

ทั้งโยมและพระเต็มศาลาใหญ่วัดป่าบ้านตาด
พอหลวงตาเทศน์จบให้พรแล้วจิตถอนจากสมาธิ
บอกสิ่งที่เกิดขึ้นให้เพื่อนที่ไปด้วยกันฟังปิติมากค่ะ
จำได้ไม่ลืมแต่ไม่เคยเล่าให้หลวงตามหาบัวท่านฟังเลย
ไม่อยากออกทีวีดาวเทียมกะออกวิทยุสดๆ
สรุปขณะนั้นเป็นจิต เจตสิกและรูปด้วยค่ะ
จิตละเอียดที่รู้ความจริงมิใช่การท่องน๊า
:b13:
ขอบพระคุณที่คุณstudentให้คำแนะนำดีๆ
ไม่สงสัยใดๆในคำสอนของพระพุทธเจ้าค่ะ

:b39: :b39:
:b12:


http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=50596

สงสัยในจิตตนเถิดจะมาเพ่งโทษคนอื่นน่ะจิตตัวเองนั่นแหละที่เป็นอกุศล
:b12:

:b12:
อ้อ!!!!!!

ภาวะการได้ดวงตาเห็นธรรมของคุณRossarin เป็นอย่างนี้นี่เอง ยังไม่น่าอนุโมทนาตามนะครับเพราะอาการที่เกิดยังค่อนข้างหยาบไปนิดหนึ่ง เป็นไปแค่ลำดับแห่งฌาณ ยังไม่เป็นไปตามลำดับแห่งญาณวิปัสสนาหรือญาณ ๑๖

การได้ดวงตาเห็นธรรมบางท่านก็กล่าวว่าคือการได้โสดาปัตติมรรคเข้าถึงโสดาปัตติผล

แต่ตามสภาวจริงๆแล้วการได้ดวงตาเห็นธรรมคือการที่จิตได้รู้ชัดและเสวยสภาวะอนัตตาจริงๆชัดเจน หลังจากนั้นอีกไม่นานถ้ายังไม่เพิกถอนความเพียร จิตจะเข้าถึง สังขารุเปกขาญาณ ส่งขึ้นอนุโลมญาณ โคตรภูญาณ โสดาปัตติมรรคญาณ
ผลญาณ นิพพาน แล้วเกิดปัจจเวกญาณตามมาเป็นญาณสุดท้าย วิกิจฉาขาดสะบั้นโดยสิ้นเชิง

ที่คุณ Rossarin พูดสรุปมานั้นยังหยาบไปหรือจะมีสภาวะที่ละเอียดกว่านี้แต่พูดไม่ออกบอกไม่เป็นวันหลังนึกได้ก็เอามาเล่ากันใหม่นะครับ

ส่วนเรื่องเพ่งโทษผู้อื่น เพ่งโทษตนอะไรนั้นมันพ้นตรงนั้นไปแล้วครับ เหลือแต่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาเท่านั้นเป็นเครื่องอยู่เครื่องเตือนให้ทำกิจที่พึงทำเพื่อความสุขเย็นของชาวโลก

:b38:

:b6:
อโศกะเข้าใจคำว่าการได้ดวงตาเห็นธรรมมากแค่ไหนล่ะ
การอ่านและท่องจำได้หมดน่ะไม่ใช่ดวงตาเห็นธรรมเลย
ผลการปฏิบัติที่เข้าถึงความจริงน๊าเป็นการเห็นธรรมในจิต
แล้วที่บรรลุความไม่มีตัวตนแล้วน่ะเป็นการดับภพชาติแล้ว
ของจริงน่ะนามเกิด รูปดับ เหลือแต่จิตผู้รู้บรรลุความเกิด-ดับ
จิตดวงใหม่ที่เคยไม่รู้ว่ากายกับจิตเป็นคนละอันกันหมดไปแล้ว
จิตใหม่รู้ความจริงของปฏิจจสมุทปบาทตามที่ทรงเอื้อนพระโอษฐ์เป็นสัจจธรรม
:b1:
อ้างคำพูด:
คำบริกรรมหายไปหมด จิตได้ยินยังทำงานเสียงก็จริง
ขณะนั้นไม่กลัวตายเพราะสติมั่นคงว่านั่งสมาธิฟังเทศน์
ของพระธรรมวิสุทธิมงคล(หลวงตามหาบัวสดๆอยู่)
มาค้นตำราอ่านภายหลังจึงทราบว่าเป็นฌาน4ยังไม่ถึง
ขั้นละเอียดเพราะยังได้ยินสียงเทศน์แว่วไกลๆหูยังมิดับ
เหลือจิตผู้รู้กะสภาวะธรรม ไม่รู้อาการกายและเวทนา
แต่จิตก็ไม่หลงกายเพราะรู้ว่ากายยังมีจิตก็อยู่ครบ

:b12:
ตรงตัวแดงๆที่เป็นสภาวะที่ปรากกฏกับจิตข้าพเจ้าตรงตามตำราเปะ
เอาผลที่เกิดมาเทียบตำรากรุณาไปอ่านฌานจิตของท่านป.ปยุตโตนะ
ขณะที่เข้าไปรู้แล้วได้ดวงตาเห็นธรรมข้าพเจ้าไม่ได้รู้เรื่องฌานมาก่อน
การมารู้ทฤษฎีภายหลังนี่แหละทำให้เป็นสักขีพยานว่าคำจริงของใคร
ข้าพเจ้าเล่าความจริงที่เกิดกับจิตให้ฟังไม่ได้มาสาธยายในตำราให้อ่าน
ควรที่จะย้อนกลับไปดูจิตตัวเองว่าถึงดวงตาอันนี้บ้างหรือยังอ่านแต่ตำรา
:b44: :b44:

ถ้าคิดว่ามีดวงตาเห็นธรรมจะต้องสงสัยอะไร จะต้องบอกอะไรใครให้เขามาตรวจสอบอะไรเรา

:b20:
จิตดวงนี้ไม่สงสัยแม้แต่คำว่าพุทโธja
จิตดวงไหนสงสัยก็รู้นะปัญญามิถึง
ตรวจสอบอะไรของคนอื่นล่ะ
เค้ามาเล่าไม่ได้มาถามน๊า
เค้าเห็นจิตเค้าแล้วเค้าก็ตรวจสอบตนเอง
แล้วเค้าถึงไปถามครูบาอาจารย์ยืนยัน
ทำให้มั่นใจก็ตรงเปะกะตำรา
:b16:
ถามจริงจิตสงบยัง
ดูหมิ่นธรรมไง
จิตวุ่นวาย
กะคนอื่น

:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.ย. 2015, 08:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
asoka เขียน:
Rosarin เขียน:
asoka เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
asokaเหมือนจะฉลาดนะก็ทำไมไม่คิดล่ะว่า
สถานีวิทยุวัดป่าบ้านตาดเปิดธัมมะ24ชั่วโมง
มีคำเทศนาธรรมของครูบาอาจารย์หลายองค์
ล้วนแต่พระอรหันต์สายกรรมฐานที่หลวงตาลงใจ
:b12:
ก็เคารพท่านเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์องค์แรก
ในชาตินี้ที่ทำให้ข้าพเจ้ามีดวงตาเห็นธรรมนะ
ไม่ยกย่องเทิดทูนท่านจะให้เทิดทูลองค์ไหนล่ะ
ในเมื่อไม่ได้ไปเข้าใกล้ครูอาจารย์องค์อื่นเท่านี้
:b16:
แม้แต่หลวงปู่ผางอฺมัญจาคีรีจ.ขอนแก่นยังส่งพระ
ลูกวัดมาศึกษาธรรมที่วัดป่าบ้านตาดแล้วก็ส่งเทป
เทศน์ขององค์หลวงตากลับไปให้หลวงปู่ผางตลอด
ภายหลังมรณภาพจึงทราบว่าท่านฟังเทศน์บรรลุธรรม
:b12:
หลวงตามหาบัวท่านบอกว่าท่านเป็นหลวงตาป.3เปรียญ3
ข้าพเจ้าก็ลูกศิษย์ป.3ไม่เคยนั่งสมาธิเริ่มฝึกที่วัดบ้านตาด
นั่งเฉพาะตอนฟังหลวงตาเทศน์ที่วัดเท่านั้นก็ตักบาตรเช้า
วันเสาร์-อาทิตย์้เสร็จก็จะเข้าไปศาลาฟังท่านเทศน์หลังฉัน
ตั้งแต่ปี2547มาถึงปีที่นั่งแล้งได้ดวงคาเห็นธรรมปี2549 :b8:
:b16:
ครบ3ปีแน่นอนไหมล่ะอาจารย์ข้าพเจ้าจึงตั้งฉายาตัวเองว่า
ลูกศิษย์ป.3ไงล่ะ
:b32:
จะบอกให้เอาบุญจ้ะว่าท่านชำนาญที่สุด
รู้ไว้ในด้านการย่นภพชาติให้ลูกศิษย์น๊า
onion onion onion
:b53: :b44:

s004
อืม!!!!!!!!

น่าอนุโมทนาและน่าสนใจที่คุณ Rossarin ปฏิบัติตามคำสอนหลวงตามหาบัว จนได้ดวงตาเห็นธรรม

อยากเรียนขอความกรุณาช่วยเล่าสภาวะตอนได้ดวงตาเห็นธรรมมาให้ฟังสักหน่อยว่าเป็นอย่างไร ถึงอาจหาญรับรองตนเองได้ว่าเห็นธรรมแล้วและเพื่อเป็นวิทยาทานให้เกิดศรัทธาปสาทะยิ่งๆขึ้นต่อไปครับ
:b27:


Rosarin เขียน:
s005
ผิดไปแล้วก็ต้องยอมรับผิดชอบจะกลายเป็นมุสาวาจา
ขออภัยถ้ามันว่างไปหมดก็อะระหันน้อยแล้วหละ :b32:
สะดุ้งตื่นขึ้นมาจิตเตือนว่าโพสต์อะไรเกินจริงไปไหม
รู้ที่ผิดต้องแก้ไขตรงจิตกะธรรมขณะนั้นยังเหลือผู้รู้
คำบริกรรมหายไปหมด จิตได้ยินยังทำงานเสียงก็จริง
ขณะนั้นไม่กลัวตายเพราะสติมั่นคงว่านั่งสมาธิฟังเทศน์
ของพระธรรมวิสุทธิมงคล(หลวงตามหาบัวสดๆอยู่)
มาค้นตำราอ่านภายหลังจึงทราบว่าเป็นฌาน4ยังไม่ถึง
ขั้นละเอียดเพราะยังได้ยินสียงเทศน์แว่วไกลๆหูยังมิดับ
เหลือจิตผู้รู้กะสภาวะธรรม ไม่รู้อาการกายและเวทนา
แต่จิตก็ไม่หลงกายเพราะรู้ว่ากายยังมีจิตก็อยู่ครบ

ทั้งโยมและพระเต็มศาลาใหญ่วัดป่าบ้านตาด
พอหลวงตาเทศน์จบให้พรแล้วจิตถอนจากสมาธิ
บอกสิ่งที่เกิดขึ้นให้เพื่อนที่ไปด้วยกันฟังปิติมากค่ะ
จำได้ไม่ลืมแต่ไม่เคยเล่าให้หลวงตามหาบัวท่านฟังเลย
ไม่อยากออกทีวีดาวเทียมกะออกวิทยุสดๆ
สรุปขณะนั้นเป็นจิต เจตสิกและรูปด้วยค่ะ
จิตละเอียดที่รู้ความจริงมิใช่การท่องน๊า
:b13:
ขอบพระคุณที่คุณstudentให้คำแนะนำดีๆ
ไม่สงสัยใดๆในคำสอนของพระพุทธเจ้าค่ะ

:b39: :b39:
:b12:


http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=50596

สงสัยในจิตตนเถิดจะมาเพ่งโทษคนอื่นน่ะจิตตัวเองนั่นแหละที่เป็นอกุศล
:b12:

:b12:
อ้อ!!!!!!

ภาวะการได้ดวงตาเห็นธรรมของคุณRossarin เป็นอย่างนี้นี่เอง ยังไม่น่าอนุโมทนาตามนะครับเพราะอาการที่เกิดยังค่อนข้างหยาบไปนิดหนึ่ง เป็นไปแค่ลำดับแห่งฌาณ ยังไม่เป็นไปตามลำดับแห่งญาณวิปัสสนาหรือญาณ ๑๖

การได้ดวงตาเห็นธรรมบางท่านก็กล่าวว่าคือการได้โสดาปัตติมรรคเข้าถึงโสดาปัตติผล

แต่ตามสภาวจริงๆแล้วการได้ดวงตาเห็นธรรมคือการที่จิตได้รู้ชัดและเสวยสภาวะอนัตตาจริงๆชัดเจน หลังจากนั้นอีกไม่นานถ้ายังไม่เพิกถอนความเพียร จิตจะเข้าถึง สังขารุเปกขาญาณ ส่งขึ้นอนุโลมญาณ โคตรภูญาณ โสดาปัตติมรรคญาณ
ผลญาณ นิพพาน แล้วเกิดปัจจเวกญาณตามมาเป็นญาณสุดท้าย วิกิจฉาขาดสะบั้นโดยสิ้นเชิง

ที่คุณ Rossarin พูดสรุปมานั้นยังหยาบไปหรือจะมีสภาวะที่ละเอียดกว่านี้แต่พูดไม่ออกบอกไม่เป็นวันหลังนึกได้ก็เอามาเล่ากันใหม่นะครับ

ส่วนเรื่องเพ่งโทษผู้อื่น เพ่งโทษตนอะไรนั้นมันพ้นตรงนั้นไปแล้วครับ เหลือแต่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาเท่านั้นเป็นเครื่องอยู่เครื่องเตือนให้ทำกิจที่พึงทำเพื่อความสุขเย็นของชาวโลก

:b38:

:b6:
อโศกะเข้าใจคำว่าการได้ดวงตาเห็นธรรมมากแค่ไหนล่ะ
การอ่านและท่องจำได้หมดน่ะไม่ใช่ดวงตาเห็นธรรมเลย
ผลการปฏิบัติที่เข้าถึงความจริงน๊าเป็นการเห็นธรรมในจิต
แล้วที่บรรลุความไม่มีตัวตนแล้วน่ะเป็นการดับภพชาติแล้ว
ของจริงน่ะนามเกิด รูปดับ เหลือแต่จิตผู้รู้บรรลุความเกิด-ดับ
จิตดวงใหม่ที่เคยไม่รู้ว่ากายกับจิตเป็นคนละอันกันหมดไปแล้ว
จิตใหม่รู้ความจริงของปฏิจจสมุทปบาทตามที่ทรงเอื้อนพระโอษฐ์เป็นสัจจธรรม
:b1:
อ้างคำพูด:
คำบริกรรมหายไปหมด จิตได้ยินยังทำงานเสียงก็จริง
ขณะนั้นไม่กลัวตายเพราะสติมั่นคงว่านั่งสมาธิฟังเทศน์
ของพระธรรมวิสุทธิมงคล(หลวงตามหาบัวสดๆอยู่)
มาค้นตำราอ่านภายหลังจึงทราบว่าเป็นฌาน4ยังไม่ถึง
ขั้นละเอียดเพราะยังได้ยินสียงเทศน์แว่วไกลๆหูยังมิดับ
เหลือจิตผู้รู้กะสภาวะธรรม ไม่รู้อาการกายและเวทนา
แต่จิตก็ไม่หลงกายเพราะรู้ว่ากายยังมีจิตก็อยู่ครบ

:b12:
ตรงตัวแดงๆที่เป็นสภาวะที่ปรากกฏกับจิตข้าพเจ้าตรงตามตำราเปะ
เอาผลที่เกิดมาเทียบตำรากรุณาไปอ่านฌานจิตของท่านป.ปยุตโตนะ
ขณะที่เข้าไปรู้แล้วได้ดวงตาเห็นธรรมข้าพเจ้าไม่ได้รู้เรื่องฌานมาก่อน
การมารู้ทฤษฎีภายหลังนี่แหละทำให้เป็นสักขีพยานว่าคำจริงของใคร
ข้าพเจ้าเล่าความจริงที่เกิดกับจิตให้ฟังไม่ได้มาสาธยายในตำราให้อ่าน
ควรที่จะย้อนกลับไปดูจิตตัวเองว่าถึงดวงตาอันนี้บ้างหรือยังอ่านแต่ตำรา
:b44: :b44:

ถ้าคิดว่ามีดวงตาเห็นธรรมจะต้องสงสัยอะไร จะต้องบอกอะไรใครให้เขามาตรวจสอบอะไรเรา

:b20:
จิตดวงนี้ไม่สงสัยแม้แต่คำว่าพุทโธja
จิตดวงไหนสงสัยก็รู้นะปัญญามิถึง
ตรวจสอบอะไรของคนอื่นล่ะ
เค้ามาเล่าไม่ได้มาถามน๊า
เค้าเห็นจิตเค้าแล้วเค้าก็ตรวจสอบตนเอง
แล้วเค้าถึงไปถามครูบาอาจารย์ยืนยัน
ทำให้มั่นใจก็ตรงเปะกะตำรา
:b16:
ถามจริงจิตสงบยัง
ดูหมิ่นธรรมไง
จิตวุ่นวาย
กะคนอื่น

:b32: :b32:

ผมล่ะขำๆๆถามผมว่าวุ่นวายกับคนอื่น. ผมไม่ได้คุยคนเดียวนะครับคนที่คุยกับผมนั้นก็คือคุณ. ตกลงใครวุ่นวายด้วยล่ะ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2015, 05:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
๕๕๕๕ ไม่ได้เข้ามา ๒-๓ วัน มาเห็นคุณRosarin อ้างเรื่องเก่าเกี่ยวกับการได้ดวงตาเห็นธรรมมาสนทนาต่อ ก็ดีเหมือนกัน จะได้สนทนา วิเคราะห์วิจัยวิจารณ์เรื่องการได้ดวงตาเห็นธรรมกัน เพราะเรื่องนี้ต้องมีทั้งภาคทฤษฏีและผลปฏิบัติมาประกอบกันจึงจะคุยกันรู้เรื่อง คนที่ได้ดวงตาจริงๆจะรู้เรื่องและเข้าใจโดยตลอด คนที่ยังไม่ได้ดวงตาแต่พอมีการปฏิบัติจริงอยู่บ้างก็อาจคืบลามอนุมาณคิดนึกตามพอรู้คร่าวๆโดยเทียบเทียมเอากับสิ่งที่ตนเคยมีประสบการณ์จริงหรือเก็บบันทึกไว้ในสัญญา แต่จะไม่ชัดเจน อุปมาเหมือนคนที่ยังไม่เคยไปถึงดอยสุเทพที่จ.เชียงใหม่ ไปนั่งฟังคนที่เขาไปถึงดอยสุเทพมาแล้วเล่าให้ฟังถึงสภาพต่างของดอยสุเทพ

ดวงตาเห็นธรรมที่คุณ Rosarin สรุปมาให้ฟังนั้นอาจจะใช่ของจริงก็ได้ ไม่ใช่ของจริงก็ได้ เพราะที่เล่ามามีแต่รายละเอียดซึ่งเป็นผลของฌาณ เป็นความสงบเป็นแค่สัมมาสมาธิที่จะเอาไปเจริญปัญญาต่อจนเกิดดวงตาเห็นธรรมจริงๆ เป็นผู้รู้บริสุทธิ์ ซึ่งเมื่อเอาไปใช้งานวิตกวิจารณ์วิจัยอะไรที่เป็นทั้งบัญญัติหรือปรมัตถ์ก็ดูแตกฉานคล้องจองกันไปหมด
อย่างที่ว่าเข้าใจปฏิจจสมุปบาทแจ้มแจ้งซึ่งอาจเป็นการแจ่มแจ้งโดยบัญญัติและสัญญาที่ไปเรียนรู้ไปจำมา หรืออาจเป็นการเข้าใจโดยสภาวธรรมที่เกิดและแสดงขึ้นในจิตจริงๆที่เรียกว่าเข้าใจโดยสภาวะ

การได้ดวงตาเห็นธรรมกับการได้โสดาปัติมรรคเข้าถึงโสดาปัติผลนั้นเป็นคนละตอนกันแต่เชื่อมต่อใกล้ชิดกันมากจนอาจจะกล่าวว่าเป็นอันเดียวกันได้

ดวงตา ในความหมายแห่งการบรรลุธรรมนั้นคือดวงตาแห่งญาณปัญญาวิปัสสนาภาวนาอันประกอบไปด้วยตาสติตัวรู้ทันปัจจุบันอารมณ์ ตาปัญญาสัมมาสังกัปปะตัวสังเกตพิจารณาปัจจุบันอารมณ์และตาปัญญาสัมมาทิฏฐิตัว ดู เห็น รู้ ปัจจุบันอารมณ์หลังจากที่สัมมาสังกัปปะพิสูจน์อารมณ์นั้นชัดเจนแล้ว

เห็นธรรม ธรรมที่เห็นนั้นคืออะไร ตรงนี้สำคัญมาก ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงเห็นและค้นพบนั้นมิใช่ธรรมอื่นอันเป็นปลีก ฝอย ย่อยและส่วนประกอบ แต่เป็นธรรมะที่เป็นแก่นเป็นหัวใจคำสอนเป็นสุดยอดของการค้นพบของพระพุทธเจ้า จนพระพุทธองค์ทรงสรุปไว้ว่า

"สัพเพธัมมา อนัตตา" ธรรมทั้งหมดทั้งปวงเป็นอนัตตา คืออนัตตา อันแปลว่าไร้ตัวตนแก่นสาร ยึดถือเอาเป็นเจ้าของไม่ได้ บังคับบัญชาไม่ได้

ใครเห็นอนัตตาชัดเจนจากการภาวนาจริงๆไม่ใช่คิดนึกเอาตามตำรา ผู้นั้นได้ "ดวงตาเห็นธรรม" ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบและนำมาสอนหลังจากนั้นจะเป็นผลของการได้ดวงเห็นธรรมส่งต่อให้เป็นไปอีกหลายขณะจิตซึ่งเรียกว่าลำดับแห่งญาณหรือปัญญาคือ

๑.การปรุงแต่งคิดนึกจะหยุดทำงานไปชั่วคราวจิตจะอยู่ในสภาวะ อนัตตาจริงๆ คือจิตหมดอัตตาหรือ กู ที่คอยตอบโต้กับผัสสะและบงการให้เกิดกรรมไปชั่วขณะ

๒.พลังธรรมะต่างๆตามโพธิปักขิยะธรรมทั้ง ๓๗ ประการจะมาสมังคีหรือรวมกันเป็นหนึ่ง

๓.จิตเตรียมตัวข้ามโคตรจากปุถุชน

๔.ความเห็นผิดหรือสักกายทิฎฐิถูกอำนาจแห่งมรรคที่สมังคีกันตัดให้ขาดสะบั้น (โสดาปัตติมรรคจิต)

๕.จิตเข้าไปเสวยผลที่หมดความเห็นผิดเป็น "กู" ครั้งแรก ๒-๓ ขณะจิต แล้วอาจดับลงอยู่ในผลนานมากน้อยแล้วแต่บารมีของผู้เจริญธรรมท่านนั้นๆ

๖.เกิดจิตกลับมารับรู้และสัมผัสความรู้สึกแรกที่เหมือนคนตายแล้วเกิดใหม่ ในจิตใจกลวงโบ๋จากความเป็นตัวตน แล้วจะเกิดปัญญาพิจารณาวิเคราะห์ย้อนหลังถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ผลที่ได้รับ สิ่งที่หมดไป สิ่งที่ยังคงค้าง เกิดการวิเคราะห์สภาวะที่เกิดตามหลักปฏิจจสมุปบาทในจิตและนอกตำรา การเห็น รู้ ความซาบซึ้งในพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์จะเกิดขึ้นเต็มเปี่ยมท่วมท้นหัวใจ มากท่านจะน้ำตาไหลด้วยอำนาจปีติโสมนัสอันยิ่งใหญ่
ถึงตอนนี้ วิจิกิจฉาความลังเลสงสัยในพระไตรรัตน์จะขาดสะบั้น

๗.หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจะถอยกลับมาสู่สภาพคนปกติธรรมดา แต่จิตใจข้างในมีสิ่งที่หายไปตลอดกาลอย่างชัดเจนคือความเห็นผิดว่าเป็น "กู" กับความลังเลสงสัยในพระไตรรัตน์ คงเหลืองานใหญ่อีก ๒ อย่างคือการถอนทำลาย ความยึดถือในกายกับความยึดถือในจิต


รุป ได้ดวงตาเห็นธรรมคือ

"เห็นและรู้ซึ้งถึงความเป็นอนัตตาด้วยการปฏิบัติจริงๆ"
:b8: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2015, 05:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


หายไปหลายวัน...

งั้นก็มาต่อที่ Bigtoo ปล่อยหมัดเอาใว้ให้อโสกะ...แก้...ละกัน

รอชม...ปัญญาของผู้มีปัญญา :b17: :b17:

asoka เขียน:
:b36:
น่าเสียดายเรื่องการเอาความยินดียินร้ายออกเสียให้ได้ อันเป็นหัวใจสำคัญของสติปัฏฐาน ๔ ยังมีผู้สนใจน้อยเกินไป ไม่มีใครวิพากษ์วิจารณ์ ผมจึงยกกลับมาให้พิจารณากันใหม่อีกครั้งนึ่งครับ

อภิชฌา โทมนัสสังเป็นภาษาบาลีที่เมื่อแปลเป็นไทยแล้ว ก็คือ ความยินดีพอใจ กับความยินร้ายไม่ชอบ ธรรมดาๆเท่านั้นเอง

การเอาความยินดีกับความยินร้ายออกให้ได้ก็ใช้กำลังและความสามารถเช่นเดียวกันและพอๆกัน ไม่ถึงกับต้องระดับระดับพระอรหันต์ก็ได้

การนำความยินดียินร้ายออกจากใจนั้นมีได้หลายวิธีตามพื้นฐานความรู้ความสามารถของแต่ละคนอาจจำแนกออกเป็นกลุ่มๆได้ดังนี้

๑.โดยใช้สติที่มีกำลังมากตัด ผู้ที่ฝึกสติมานานจนมีกำลังมากเพียงแค่ระลึกรู้ความยินดีหรือความยินร้ายปรากฏขึ้นมาในจิตสติก็ตัดฉับยินดียิร้ายดับลงทันที วิธีนี้จะทำให้ไม่ทันได้เห็นสมุทัยกิเลสตัณหาจะตายด้วยอำนาจเจโตวิมุติ

๒.ใช้คำบริกรรมตัด หรือข่มเช่นยินดีหนอๆๆๆๆๆๆ หรือ ยินร้ายหนอๆๆๆๆ หรือบริกรรมพุทโธๆๆๆๆๆ สัมมาอรหังๆๆๆๆๆๆ อนัตตาๆๆๆๆๆๆถี่ๆไปจนจนความรู้สึกยินดียินร้ายนั้นดับไป

๓.ใช้กรรมฐานตัด คือผูกจิตมัดจิตไว้กับองค์กรรมฐานจนไม่สนใจไม่รับรู้ความยินดียินร้ายนั้น

๔.ใช้ความคิดเหตุและผลตัด

๕.ใช้ขันติ ตบะ วิริยะ ตัด โดยเฝ้ารู้ความยินดียินร้ายที่เกิดนั้นเฉยๆไปไม่ยอมทำอะไรตามอำนาจความยินดียินร้ายจนมันดับไป

๖.ใช้สติและปัญญาวิปัสสนานิ่งรู้นิ่งสังเกต ค้นเข้าไปในความยินดีหรือยินร้ายจนพบ "ผู้ยินดียินร้าย"ที่ซ่อนลึกอยู่ภายในแล้วใช้วิธีตามข้อ ๕ สู้จนผู้ยินดียินร้ายถอยหรือดับขาดไป ตายขาดไป
วิธีที่ ๖ นี้เป็นการสู้ที่เหตุเมื่อสำเร็จแล้วจะทำให้ความยินดียินร้ายหายขาดไม่หวนกลับคืนมาอีก
ส่วนวิธีที่ ๑ ถึง ๕ เป็นวิธีแก้ที่ผลจะประทังปิดบังความยินดียินร้ายไว้ด้วยอำนาจสติ สมาธิ ที่สุดความยินดียินร้ายซึ่งมีผู้ยินดียินร้ายซ่อนตัวอยู่ในนั้นอาจตายขาดไปพร้อมกันได้เช่นกันอันเป็นแนวทางของท่านที่มีอุปนิสัยทางด้านเจโตวิมุติ

onion


bigtoo เขียน:
ข้ออื่นเอาไว้ก่อน ลองดูข้อสอง. พุทธโธนี้คือพระนามของพระองค์ พระพุทธ้เจ้าทำไมไม่รู้ว่าการท่องชื่อพระองค์คือมรรค. ทำไมพระองค์ไม่สอนให้ท่องพุทธโธครับ



asoka เขียน:

:b16:
คุณ bigtoo คงลืมไปมั้งครับ ในกรรมฐาน ๔๐ มีอนุสติ ๑๐
ซึ่งมีพุทธานุสติ รวมอยู่ในนั้นด้วย


ได้กล่าวแล้วว่าวิธีที่ ๑-๕ นั้นเป็นวิธีสู้ที่ผล ยังไม่ใช่วิธีของมรรค ๘ ตรงๆ แต่ก็เป็นเหตุให้ได้เจโตวิมุติ หรือปัญญาวิมุติบ้างเมื่อมาเจริญวิปัสสนาปัญญาต่อตรงกลาง

แต่วิธีที่ ๖ นั้นเป็นการเอาสติ ปัญญา สมาธิ ศีล มาร่วมกันทำงานค้นหาเหตุทุกข์ หรือสู้ที่สมุทัยตรงๆเป็นการทำงานโดยมรรค ๘ ตรงๆครับ

:b38:


bigtoo เขียน:
พุทธานุสติคือการตามระลึกถึงคุณพระพุทธองค์ ไม่ใช่การท่องพระนามพระองค์
การท่องพระนามของพระองค์คือความคิดคำ พ- ุ -ท -ธ -โ -ธ ตรงนี้จะต้องใช้ความคิด. จะเข้าไม่ถึงผู้รู้และผู้ถูกรู้ว่ามีสิ่งเกิดดับ. สติไม่เกิดจึงไม่ใช่สัมมาสมาธิ ได้เพียงแค่สงบจิตไม่ไถ่ถอนความเห็นผิดครับ และถ้าผู้นั้นไม่ได้ศึกษาอริยะสัจสี่มา. จะยึดเอาความสงบว่าเป็นนิพพาน ก็ไปจบอยู่ที่พรหม. และอาจจะคิดว่าตนเองมีพลังพิเศษไปเสกคาถาท่องมนต์ทำของสักสิทธิ์รดน้ำมนต์ใครๆได้อันตรายมาก. ซึ่งมีให้เห็นมากมาย. ขัดกับคำสอนอยู่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2015, 06:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004
bigtoo เขียน:
ข้ออื่นเอาไว้ก่อน ลองดูข้อสอง. พุทธโธนี้คือพระนามของพระองค์ พระพุทธ้เจ้าทำไมไม่รู้ว่าการท่องชื่อพระองค์คือมรรค. ทำไมพระองค์ไม่สอนให้ท่องพุทธโธครับ
s006
พระพุทธเจ้าเป็นบรมครู ไม่ใช่ครูน้อยอย่างพุทธสาวกทั้งหลายจึงไม่ทรงสอนให้ท่องพุทโธเพียงอย่างเดียวเพราะมันแคบไป ไม่ครอบคลุม จะพุทโธ จะเพ่งพุทธรูป จะพุทธังสรณังคัจฉามิ จะนะโมพุทธายะ จะอะไรก็ตามที่มีนิมิตหรือคำบริกรรมที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ให้ระลึกรู้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าหรือคุณของพระพุทธเจ้า ล้วนรวมอยู่ในพุทธานุสติทั้งสิ้น

อนึ่งพุทธานุสติเป็นเพียงส่วนสร้างเสริมให้เกิดมรรคเป็น :b14: แค่อุบายหนึ่งที่ทำจิตให้เกิดสมาธิจนได้ถึงฌาณ ๔ จึงจะเกิดเป็นสัมมาสมาธิที่เป็นตามที่พระบรมครูทรงบอกไว้
onion
เหลืออีกข้อกลับจากวัดแล้วจะมาตอบครับ
:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2015, 06:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004
bigtoo เขียน:
ข้ออื่นเอาไว้ก่อน ลองดูข้อสอง. พุทธโธนี้คือพระนามของพระองค์ พระพุทธ้เจ้าทำไมไม่รู้ว่าการท่องชื่อพระองค์คือมรรค. ทำไมพระองค์ไม่สอนให้ท่องพุทธโธครับ
s006
พระพุทธเจ้าเป็นบรมครู ไม่ใช่ครูน้อยอย่างพุทธสาวกทั้งหลายจึงไม่ทรงสอนให้ท่องพุทโธเพียงอย่างเดียวเพราะมันแคบไป ไม่ครอบคลุม จะพุทโธ จะเพ่งพุทธรูป จะพุทธังสรณังคัจฉามิ จะนะโมพุทธายะ จะอะไรก็ตามที่มีนิมิตหรือคำบริกรรมที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ให้ระลึกรู้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าหรือคุณของพระพุทธเจ้า ล้วนรวมอยู่ในพุทธานุสติทั้งสิ้น

อนึ่งพุทธานุสติเป็นเพียงส่วนสร้างเสริมให้เกิดมรรคเป็น :b14: แค่อุบายหนึ่งที่ทำจิตให้เกิดสมาธิจนได้ถึงฌาณ ๔ จึงจะเกิดเป็นสัมมาสมาธิที่เป็นตามที่พระบรมครูทรงบอกไว้
onion
เหลืออีกข้อกลับจากวัดแล้วจะมาตอบครับ
:b12:

นี่เขาเรียกว่าไม่เข้าใจจริงๆ. พุทธานุสตินั้นคือการระลึกถึงคุณของพระองค์ที่มีประมาณไม่ได้. ที่พระองค์ไม่สอนให้ท่องพระนามของพระองค์นั้น เพราะการทำอย่างนั้นมันมีโทษปะปนอยู่พระองค์จะสอนได้อย่างไรถึงแม้การที่ระลึกถึงพระนามนั้นจะสามารถพริกไปสู่พุทธคุณได้. แต่โทษที่มีอยู่ถ้าบุคคลใดเพียงยึดติดกับการท่องพระนามโดยไม่สนใจศึกษาอริยสัจ. บุคคลนั้นก็จะได้เพียงมิจฉาสมาธิคิดแต่เรื่องฤทธิ์คุณวิเศษที่เป็นโลกียธรรม. ก็จะกลายเป็นบุคคลที่เจือปนสิ่งผิดประดิษฐ์ธรรมไปต่างๆนาๆผสมผสานระหว่างความผิดกับถูก. ดูได้จากตัวอย่างในปัจจุบัน. ที่มักออกตัวมาเป็นอริยะที่ทำอะไรไม่ตรงคำสอนพระองค์. เช่นทำเดรัชฉานวิชา. เดรัชฉานคาถามากมาย. ผมถึงยกตัวอย่างว่าถ้าอย่างนั้นพระนามของพระองค์มีมากมายเคยมีมั้ยสักชื่อที่พระองค์ให้ท่อง. ถ้าอย่างนั้นท่องพระนามอื่นก็ได้ทำไมต้องพุทธโธ. พระองค์สอนแต่สิ่งที่เป็นสาระแก่นธรรมคือ. อนิจจัง. ทุกขัง. อนัตตานี่ต่างหากที่สมควรท่องให้คล่องปากขึ้นใจแทงตลอดอย่างดีด้วยความเห็น. ดั่งพระสูตรว่าผู้ใดมีใจปักลงไปในความเป็นอนิจัง. ทุกขัง. อนัตตาผู้นั่นก็หวังได้ซึ่งอรหันตผล ท่านอโสกะคงรังเรสินะ. เอ้.คงท่องได้ซินะหรือไม่ท่องดี. กลับมาในคำสอนเถอะมีแต่สิ่งถูกฝ่ายเดียว. ผมขอแนะนำ. คำถาม. ทำไมต้องทำสิ่งที่พระองค์ไม่เคยสอน?

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 04 ก.ย. 2015, 07:07, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2015, 07:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004
bigtoo เขียน:
ข้ออื่นเอาไว้ก่อน ลองดูข้อสอง. พุทธโธนี้คือพระนามของพระองค์ พระพุทธ้เจ้าทำไมไม่รู้ว่าการท่องชื่อพระองค์คือมรรค. ทำไมพระองค์ไม่สอนให้ท่องพุทธโธครับ
s006
พระพุทธเจ้าเป็นบรมครู ไม่ใช่ครูน้อยอย่างพุทธสาวกทั้งหลายจึงไม่ทรงสอนให้ท่องพุทโธเพียงอย่างเดียวเพราะมันแคบไป ไม่ครอบคลุม จะพุทโธ จะเพ่งพุทธรูป จะพุทธังสรณังคัจฉามิ จะนะโมพุทธายะ จะอะไรก็ตามที่มีนิมิตหรือคำบริกรรมที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ให้ระลึกรู้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าหรือคุณของพระพุทธเจ้า ล้วนรวมอยู่ในพุทธานุสติทั้งสิ้น

อนึ่งพุทธานุสติเป็นเพียงส่วนสร้างเสริมให้เกิดมรรคเป็น :b14: แค่อุบายหนึ่งที่ทำจิตให้เกิดสมาธิจนได้ถึงฌาณ ๔ จึงจะเกิดเป็นสัมมาสมาธิที่เป็นตามที่พระบรมครูทรงบอกไว้
onion
เหลืออีกข้อกลับจากวัดแล้วจะมาตอบครับ :b12:


:b8: :b8: :b8:
อนุโมทนาบุญที่ไปวัด..ด้วยนะครับ.. :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2015, 08:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
๕๕๕๕ ไม่ได้เข้ามา ๒-๓ วัน มาเห็นคุณRosarin อ้างเรื่องเก่าเกี่ยวกับการได้ดวงตาเห็นธรรมมาสนทนาต่อ ก็ดีเหมือนกัน จะได้สนทนา วิเคราะห์วิจัยวิจารณ์เรื่องการได้ดวงตาเห็นธรรมกัน เพราะเรื่องนี้ต้องมีทั้งภาคทฤษฏีและผลปฏิบัติมาประกอบกันจึงจะคุยกันรู้เรื่อง คนที่ได้ดวงตาจริงๆจะรู้เรื่องและเข้าใจโดยตลอด คนที่ยังไม่ได้ดวงตาแต่พอมีการปฏิบัติจริงอยู่บ้างก็อาจคืบลามอนุมาณคิดนึกตามพอรู้คร่าวๆโดยเทียบเทียมเอากับสิ่งที่ตนเคยมีประสบการณ์จริงหรือเก็บบันทึกไว้ในสัญญา แต่จะไม่ชัดเจน อุปมาเหมือนคนที่ยังไม่เคยไปถึงดอยสุเทพที่จ.เชียงใหม่ ไปนั่งฟังคนที่เขาไปถึงดอยสุเทพมาแล้วเล่าให้ฟังถึงสภาพต่างของดอยสุเทพ

ดวงตาเห็นธรรมที่คุณ Rosarin สรุปมาให้ฟังนั้นอาจจะใช่ของจริงก็ได้ ไม่ใช่ของจริงก็ได้ เพราะที่เล่ามามีแต่รายละเอียดซึ่งเป็นผลของฌาณ เป็นความสงบเป็นแค่สัมมาสมาธิที่จะเอาไปเจริญปัญญาต่อจนเกิดดวงตาเห็นธรรมจริงๆ เป็นผู้รู้บริสุทธิ์ ซึ่งเมื่อเอาไปใช้งานวิตกวิจารณ์วิจัยอะไรที่เป็นทั้งบัญญัติหรือปรมัตถ์ก็ดูแตกฉานคล้องจองกันไปหมด
อย่างที่ว่าเข้าใจปฏิจจสมุปบาทแจ้มแจ้งซึ่งอาจเป็นการแจ่มแจ้งโดยบัญญัติและสัญญาที่ไปเรียนรู้ไปจำมา หรืออาจเป็นการเข้าใจโดยสภาวธรรมที่เกิดและแสดงขึ้นในจิตจริงๆที่เรียกว่าเข้าใจโดยสภาวะ

การได้ดวงตาเห็นธรรมกับการได้โสดาปัติมรรคเข้าถึงโสดาปัติผลนั้นเป็นคนละตอนกันแต่เชื่อมต่อใกล้ชิดกันมากจนอาจจะกล่าวว่าเป็นอันเดียวกันได้

ดวงตา ในความหมายแห่งการบรรลุธรรมนั้นคือดวงตาแห่งญาณปัญญาวิปัสสนาภาวนาอันประกอบไปด้วยตาสติตัวรู้ทันปัจจุบันอารมณ์ ตาปัญญาสัมมาสังกัปปะตัวสังเกตพิจารณาปัจจุบันอารมณ์และตาปัญญาสัมมาทิฏฐิตัว ดู เห็น รู้ ปัจจุบันอารมณ์หลังจากที่สัมมาสังกัปปะพิสูจน์อารมณ์นั้นชัดเจนแล้ว

เห็นธรรม ธรรมที่เห็นนั้นคืออะไร ตรงนี้สำคัญมาก ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงเห็นและค้นพบนั้นมิใช่ธรรมอื่นอันเป็นปลีก ฝอย ย่อยและส่วนประกอบ แต่เป็นธรรมะที่เป็นแก่นเป็นหัวใจคำสอนเป็นสุดยอดของการค้นพบของพระพุทธเจ้า จนพระพุทธองค์ทรงสรุปไว้ว่า

"สัพเพธัมมา อนัตตา" ธรรมทั้งหมดทั้งปวงเป็นอนัตตา คืออนัตตา อันแปลว่าไร้ตัวตนแก่นสาร ยึดถือเอาเป็นเจ้าของไม่ได้ บังคับบัญชาไม่ได้

ใครเห็นอนัตตาชัดเจนจากการภาวนาจริงๆไม่ใช่คิดนึกเอาตามตำรา ผู้นั้นได้ "ดวงตาเห็นธรรม" ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบและนำมาสอนหลังจากนั้นจะเป็นผลของการได้ดวงเห็นธรรมส่งต่อให้เป็นไปอีกหลายขณะจิตซึ่งเรียกว่าลำดับแห่งญาณหรือปัญญาคือ

๑.การปรุงแต่งคิดนึกจะหยุดทำงานไปชั่วคราวจิตจะอยู่ในสภาวะ อนัตตาจริงๆ คือจิตหมดอัตตาหรือ กู ที่คอยตอบโต้กับผัสสะและบงการให้เกิดกรรมไปชั่วขณะ

๒.พลังธรรมะต่างๆตามโพธิปักขิยะธรรมทั้ง ๓๗ ประการจะมาสมังคีหรือรวมกันเป็นหนึ่ง

๓.จิตเตรียมตัวข้ามโคตรจากปุถุชน

๔.ความเห็นผิดหรือสักกายทิฎฐิถูกอำนาจแห่งมรรคที่สมังคีกันตัดให้ขาดสะบั้น (โสดาปัตติมรรคจิต)

๕.จิตเข้าไปเสวยผลที่หมดความเห็นผิดเป็น "กู" ครั้งแรก ๒-๓ ขณะจิต แล้วอาจดับลงอยู่ในผลนานมากน้อยแล้วแต่บารมีของผู้เจริญธรรมท่านนั้นๆ

๖.เกิดจิตกลับมารับรู้และสัมผัสความรู้สึกแรกที่เหมือนคนตายแล้วเกิดใหม่ ในจิตใจกลวงโบ๋จากความเป็นตัวตน แล้วจะเกิดปัญญาพิจารณาวิเคราะห์ย้อนหลังถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ผลที่ได้รับ สิ่งที่หมดไป สิ่งที่ยังคงค้าง เกิดการวิเคราะห์สภาวะที่เกิดตามหลักปฏิจจสมุปบาทในจิตและนอกตำรา การเห็น รู้ ความซาบซึ้งในพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์จะเกิดขึ้นเต็มเปี่ยมท่วมท้นหัวใจ มากท่านจะน้ำตาไหลด้วยอำนาจปีติโสมนัสอันยิ่งใหญ่
ถึงตอนนี้ วิจิกิจฉาความลังเลสงสัยในพระไตรรัตน์จะขาดสะบั้น

๗.หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจะถอยกลับมาสู่สภาพคนปกติธรรมดา แต่จิตใจข้างในมีสิ่งที่หายไปตลอดกาลอย่างชัดเจนคือความเห็นผิดว่าเป็น "กู" กับความลังเลสงสัยในพระไตรรัตน์ คงเหลืองานใหญ่อีก ๒ อย่างคือการถอนทำลาย ความยึดถือในกายกับความยึดถือในจิต


รุป ได้ดวงตาเห็นธรรมคือ

"เห็นและรู้ซึ้งถึงความเป็นอนัตตาด้วยการปฏิบัติจริงๆ"
:b8: :b53:

onion
การได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นจิตที่สงบจากอกุศลขั้นหยาบๆ
ความจริงที่จิตหมดเจตนาอ้างพุทธพจน์เพราะได้รู้ความจริง
ที่เป็นสัจจธรรมในความเว้นขาดจากการระบุตัวตนมีแต่จิตดี
ที่ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดาเป็นธรรมชาติของจิตที่คงสภาวธรรม
จิตคลายกำหนัดยินดีในกามถือสันโดษน้อมไปในธรรมที่รู้แล้ว
เป็นเอกัคตาจิตทั้งยืนเดินนั่งนอนมีความไม่ประมาทเป็นธรรมดา
การอบรมจิตด้วยกำลังของสติและการวินิจฉัยหยั่งรู้ความจริงจริงๆ
การเห็นธรรมไม่ใช่การด้นเดาอีกต่อไปเพราะจิตประกอบด้วยธรรม
อันอริยชนพึงรู้ได้ด้วยตนเองเป็นปัจจัตตังที่ประกอบกุศลเว้นอกุศล
จิตเป็นปกติในปรมัตถ์เป็นไปในคุณธรรมไตร่ตรองตามหลักกาลามสูตร
ไม่ประทาทในธรรมหรือล่วงเกินในธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไส้ดีแล้ว
สติสัมปชัญญะระลึกรู้ความจริงของจิตที่รู้ทั้งสมมุติที่ไม่ขาดจากโลก
และเข้าใจความจริงของจิตที่หมดความลังเลสงสัยในพระพุทธเจ้า
และไม่ลังเลสงสัยในธรรมทที่เกิดปัญญาเป็นกำลังสติดับอวิชชา
เกิดแต่วิชชาที่รู้เรื่องจิตเข้าใจจิตที่มีความน้อมไปเองในธัมมะ
อัตโนมัติ ไม่เลือกกาล ไม่เลือกเวลา ไม่เลือกสถานที่ทั้งนั้น
เพราะไม่เหลือความเป็นตัวตนตั้งแต่นามเกิด รูปดับแล้ว
รู้จิตที่เป็นจิตเจตสิกรูปและอารมณ์น้อมไปสู่ความว่าง
สงบจากการไม่รู้ความจริงในจิตตนเป็นอนัตตา
หมดสภาพกายคลุกเคล้ากับจิตไปตลอดกาล

ฮ่าฮ่าฮ่าความสงสัยที่ไม่รู้ความจริงหมดแล้ว
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2015, 08:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
asoka เขียน:
:b12:
๕๕๕๕ ไม่ได้เข้ามา ๒-๓ วัน มาเห็นคุณRosarin อ้างเรื่องเก่าเกี่ยวกับการได้ดวงตาเห็นธรรมมาสนทนาต่อ ก็ดีเหมือนกัน จะได้สนทนา วิเคราะห์วิจัยวิจารณ์เรื่องการได้ดวงตาเห็นธรรมกัน เพราะเรื่องนี้ต้องมีทั้งภาคทฤษฏีและผลปฏิบัติมาประกอบกันจึงจะคุยกันรู้เรื่อง คนที่ได้ดวงตาจริงๆจะรู้เรื่องและเข้าใจโดยตลอด คนที่ยังไม่ได้ดวงตาแต่พอมีการปฏิบัติจริงอยู่บ้างก็อาจคืบลามอนุมาณคิดนึกตามพอรู้คร่าวๆโดยเทียบเทียมเอากับสิ่งที่ตนเคยมีประสบการณ์จริงหรือเก็บบันทึกไว้ในสัญญา แต่จะไม่ชัดเจน อุปมาเหมือนคนที่ยังไม่เคยไปถึงดอยสุเทพที่จ.เชียงใหม่ ไปนั่งฟังคนที่เขาไปถึงดอยสุเทพมาแล้วเล่าให้ฟังถึงสภาพต่างของดอยสุเทพ

ดวงตาเห็นธรรมที่คุณ Rosarin สรุปมาให้ฟังนั้นอาจจะใช่ของจริงก็ได้ ไม่ใช่ของจริงก็ได้ เพราะที่เล่ามามีแต่รายละเอียดซึ่งเป็นผลของฌาณ เป็นความสงบเป็นแค่สัมมาสมาธิที่จะเอาไปเจริญปัญญาต่อจนเกิดดวงตาเห็นธรรมจริงๆ เป็นผู้รู้บริสุทธิ์ ซึ่งเมื่อเอาไปใช้งานวิตกวิจารณ์วิจัยอะไรที่เป็นทั้งบัญญัติหรือปรมัตถ์ก็ดูแตกฉานคล้องจองกันไปหมด
อย่างที่ว่าเข้าใจปฏิจจสมุปบาทแจ้มแจ้งซึ่งอาจเป็นการแจ่มแจ้งโดยบัญญัติและสัญญาที่ไปเรียนรู้ไปจำมา หรืออาจเป็นการเข้าใจโดยสภาวธรรมที่เกิดและแสดงขึ้นในจิตจริงๆที่เรียกว่าเข้าใจโดยสภาวะ

การได้ดวงตาเห็นธรรมกับการได้โสดาปัติมรรคเข้าถึงโสดาปัติผลนั้นเป็นคนละตอนกันแต่เชื่อมต่อใกล้ชิดกันมากจนอาจจะกล่าวว่าเป็นอันเดียวกันได้

ดวงตา ในความหมายแห่งการบรรลุธรรมนั้นคือดวงตาแห่งญาณปัญญาวิปัสสนาภาวนาอันประกอบไปด้วยตาสติตัวรู้ทันปัจจุบันอารมณ์ ตาปัญญาสัมมาสังกัปปะตัวสังเกตพิจารณาปัจจุบันอารมณ์และตาปัญญาสัมมาทิฏฐิตัว ดู เห็น รู้ ปัจจุบันอารมณ์หลังจากที่สัมมาสังกัปปะพิสูจน์อารมณ์นั้นชัดเจนแล้ว

เห็นธรรม ธรรมที่เห็นนั้นคืออะไร ตรงนี้สำคัญมาก ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงเห็นและค้นพบนั้นมิใช่ธรรมอื่นอันเป็นปลีก ฝอย ย่อยและส่วนประกอบ แต่เป็นธรรมะที่เป็นแก่นเป็นหัวใจคำสอนเป็นสุดยอดของการค้นพบของพระพุทธเจ้า จนพระพุทธองค์ทรงสรุปไว้ว่า

"สัพเพธัมมา อนัตตา" ธรรมทั้งหมดทั้งปวงเป็นอนัตตา คืออนัตตา อันแปลว่าไร้ตัวตนแก่นสาร ยึดถือเอาเป็นเจ้าของไม่ได้ บังคับบัญชาไม่ได้

ใครเห็นอนัตตาชัดเจนจากการภาวนาจริงๆไม่ใช่คิดนึกเอาตามตำรา ผู้นั้นได้ "ดวงตาเห็นธรรม" ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบและนำมาสอนหลังจากนั้นจะเป็นผลของการได้ดวงเห็นธรรมส่งต่อให้เป็นไปอีกหลายขณะจิตซึ่งเรียกว่าลำดับแห่งญาณหรือปัญญาคือ

๑.การปรุงแต่งคิดนึกจะหยุดทำงานไปชั่วคราวจิตจะอยู่ในสภาวะ อนัตตาจริงๆ คือจิตหมดอัตตาหรือ กู ที่คอยตอบโต้กับผัสสะและบงการให้เกิดกรรมไปชั่วขณะ

๒.พลังธรรมะต่างๆตามโพธิปักขิยะธรรมทั้ง ๓๗ ประการจะมาสมังคีหรือรวมกันเป็นหนึ่ง

๓.จิตเตรียมตัวข้ามโคตรจากปุถุชน

๔.ความเห็นผิดหรือสักกายทิฎฐิถูกอำนาจแห่งมรรคที่สมังคีกันตัดให้ขาดสะบั้น (โสดาปัตติมรรคจิต)

๕.จิตเข้าไปเสวยผลที่หมดความเห็นผิดเป็น "กู" ครั้งแรก ๒-๓ ขณะจิต แล้วอาจดับลงอยู่ในผลนานมากน้อยแล้วแต่บารมีของผู้เจริญธรรมท่านนั้นๆ

๖.เกิดจิตกลับมารับรู้และสัมผัสความรู้สึกแรกที่เหมือนคนตายแล้วเกิดใหม่ ในจิตใจกลวงโบ๋จากความเป็นตัวตน แล้วจะเกิดปัญญาพิจารณาวิเคราะห์ย้อนหลังถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ผลที่ได้รับ สิ่งที่หมดไป สิ่งที่ยังคงค้าง เกิดการวิเคราะห์สภาวะที่เกิดตามหลักปฏิจจสมุปบาทในจิตและนอกตำรา การเห็น รู้ ความซาบซึ้งในพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์จะเกิดขึ้นเต็มเปี่ยมท่วมท้นหัวใจ มากท่านจะน้ำตาไหลด้วยอำนาจปีติโสมนัสอันยิ่งใหญ่
ถึงตอนนี้ วิจิกิจฉาความลังเลสงสัยในพระไตรรัตน์จะขาดสะบั้น

๗.หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจะถอยกลับมาสู่สภาพคนปกติธรรมดา แต่จิตใจข้างในมีสิ่งที่หายไปตลอดกาลอย่างชัดเจนคือความเห็นผิดว่าเป็น "กู" กับความลังเลสงสัยในพระไตรรัตน์ คงเหลืองานใหญ่อีก ๒ อย่างคือการถอนทำลาย ความยึดถือในกายกับความยึดถือในจิต


รุป ได้ดวงตาเห็นธรรมคือ

"เห็นและรู้ซึ้งถึงความเป็นอนัตตาด้วยการปฏิบัติจริงๆ"
:b8: :b53:

onion
การได้ดวงตาเห็นธรรมเป็นจิตที่สงบจากอกุศลขั้นหยาบๆ
ความจริงที่จิตหมดเจตนาอ้างพุทธพจน์เพราะได้รู้ความจริง
ที่เป็นสัจจธรรมในความเว้นขาดจากการระบุตัวตนมีแต่จิตดี
ที่ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดาเป็นธรรมชาติของจิตที่คงสภาวธรรม
จิตคลายกำหนัดยินดีในกามถือสันโดษน้อมไปในธรรมที่รู้แล้ว
เป็นเอกัคตาจิตทั้งยืนเดินนั่งนอนมีความไม่ประมาทเป็นธรรมดา
การอบรมจิตด้วยกำลังของสติและการวินิจฉัยหยั่งรู้ความจริงจริงๆ
การเห็นธรรมไม่ใช่การด้นเดาอีกต่อไปเพราะจิตประกอบด้วยธรรม
อันอริยชนพึงรู้ได้ด้วยตนเองเป็นปัจจัตตังที่ประกอบกุศลเว้นอกุศล
จิตเป็นปกติในปรมัตถ์เป็นไปในคุณธรรมไตร่ตรองตามหลักกาลามสูตร
ไม่ประทาทในธรรมหรือล่วงเกินในธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไส้ดีแล้ว
สติสัมปชัญญะระลึกรู้ความจริงของจิตที่รู้ทั้งสมมุติที่ไม่ขาดจากโลก
และเข้าใจความจริงของจิตที่หมดความลังเลสงสัยในพระพุทธเจ้า
และไม่ลังเลสงสัยในธรรมทที่เกิดปัญญาเป็นกำลังสติดับอวิชชา
เกิดแต่วิชชาที่รู้เรื่องจิตเข้าใจจิตที่มีความน้อมไปเองในธัมมะ
อัตโนมัติ ไม่เลือกกาล ไม่เลือกเวลา ไม่เลือกสถานที่ทั้งนั้น
เพราะไม่เหลือความเป็นตัวตนตั้งแต่นามเกิด รูปดับแล้ว
รู้จิตที่เป็นจิตเจตสิกรูปและอารมณ์น้อมไปสู่ความว่าง
สงบจากการไม่รู้ความจริงในจิตตนเป็นอนัตตา
หมดสภาพกายคลุกเคล้ากับจิตไปตลอดกาล

ฮ่าฮ่าฮ่าความสงสัยที่ไม่รู้ความจริงหมดแล้ว
:b32: :b32: :b32:
หมดจริงทำไมยังทำอะไรผิดหลักล่ะครับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2015, 10:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ผู้รู้คือจิตที่ประกอบด้วยปัญญารอบรู้ในสภาวะธรรมเป็นธัมมะวิจะยะ
ความสอดส่องในธรรมที่รู้แล้วไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม
เลือกได้ไหมถ้าจะต้องไปรวมหมู่คณะที่มีแต่ปุถุชนจำนวนมาก
ในการทำสิ่งเดียวกันของปุถุชนกับอริยบุคคลต่างกันมาก
ตรงที่วิถีจิตของอริยบุุคลจางคลายจากการยึดถือตัวตน
ส่วนปุถุชน หุหุ ฟังธรรมก็นั่งง่วงหงาวหาวนอนหลับ
เหตุของอริยบุคคลจางคลายแล้วผลคืออะไรล่ะ
การมีดวงตาเห็นธรรมเป็นการจางคลายจิต
จากสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนเราเขา
เข้าใจก็คือธัมมะได้จัดสรรพร้อม
เพื่อเป็นเครื่องทดสอบจิตไง
จะดีขึ้นด้วยจิตละอกุศล
ไม่ใช่ดีขึ้นจากตัวตน
ที่คิดเองนั่นน่ะอกุศล
อะไรที่ปิดกั้นล่ะ
ก็ไม่รู้จิตตนไง
สงสัยทำไม
เป็นอกุศล
:b32: :b32:
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2015, 10:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
Kiss
ผู้รู้คือจิตที่ประกอบด้วยปัญญารอบรู้ในสภาวะธรรมเป็นธัมมะวิจะยะ
ความสอดส่องในธรรมที่รู้แล้วไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม
เลือกได้ไหมถ้าจะต้องไปรวมหมู่คณะที่มีแต่ปุถุชนจำนวนมาก
ในการทำสิ่งเดียวกันของปุถุชนกับอริยบุคคลต่างกันมาก
ตรงที่วิถีจิตของอริยบุุคลจางคลายจากการยึดถือตัวตน
ส่วนปุถุชน หุหุ ฟังธรรมก็นั่งง่วงหงาวหาวนอนหลับ
เหตุของอริยบุคคลจางคลายแล้วผลคืออะไรล่ะ
การมีดวงตาเห็นธรรมเป็นการจางคลายจิต
จากสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนเราเขา
เข้าใจก็คือธัมมะได้จัดสรรพร้อม
เพื่อเป็นเครื่องทดสอบจิตไง
จะดีขึ้นด้วยจิตละอกุศล
ไม่ใช่ดีขึ้นจากตัวตน
ที่คิดเองนั่นน่ะอกุศล
อะไรที่ปิดกั้นล่ะ
ก็ไม่รู้จิตตนไง
สงสัยทำไม
เป็นอกุศล
:b32: :b32:
onion onion onion
ดวงตาเห็นธรรมคือเห็นตรงธรรมตามความจริง. การกระทำก็ต้องตรงไม่ใช่เชื่ออะไรอย่างไรเหตุผลกระทำอะไรอย่างไร้เหตุผล

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2015, 11:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ผู้รู้คือจิตที่ประกอบด้วยปัญญารอบรู้ในสภาวะธรรมเป็นธัมมะวิจะยะ
ความสอดส่องในธรรมที่รู้แล้วไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม
เลือกได้ไหมถ้าจะต้องไปรวมหมู่คณะที่มีแต่ปุถุชนจำนวนมาก
ในการทำสิ่งเดียวกันของปุถุชนกับอริยบุคคลต่างกันมาก
ตรงที่วิถีจิตของอริยบุุคลจางคลายจากการยึดถือตัวตน
ส่วนปุถุชน หุหุ ฟังธรรมก็นั่งง่วงหงาวหาวนอนหลับ
เหตุของอริยบุคคลจางคลายแล้วผลคืออะไรล่ะ
การมีดวงตาเห็นธรรมเป็นการจางคลายจิต
จากสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนเราเขา
เข้าใจก็คือธัมมะได้จัดสรรพร้อม
เพื่อเป็นเครื่องทดสอบจิตไง
จะดีขึ้นด้วยจิตละอกุศล
ไม่ใช่ดีขึ้นจากตัวตน
ที่คิดเองนั่นน่ะอกุศล
อะไรที่ปิดกั้นล่ะ
ก็ไม่รู้จิตตนไง
สงสัยทำไม
เป็นอกุศล
:b32: :b32:
onion onion onion
ดวงตาเห็นธรรมคือเห็นตรงธรรมตามความจริง. การกระทำก็ต้องตรงไม่ใช่เชื่ออะไรอย่างไรเหตุผลกระทำอะไรอย่างไร้เหตุผล

:b32:
ตรงเหตุการสวดสาธยายธัมมะเป็นการทำสมาธิที่ไม่ได้ฆ่าสัตว์ไม่ลักทรัพย์ไม่ผิดเพศไม่มุสาไม่จิบเหล้า
เค้าเอาจิตที่ดีงามสวดด้วยดี ความนอบน้อมถ่อมตนต่อพระรัตนตรัยไม่ได้หายไปไหนนี่ กายเป็นเครื่องมือน๊า
:b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2015, 11:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ผู้รู้คือจิตที่ประกอบด้วยปัญญารอบรู้ในสภาวะธรรมเป็นธัมมะวิจะยะ
ความสอดส่องในธรรมที่รู้แล้วไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม
เลือกได้ไหมถ้าจะต้องไปรวมหมู่คณะที่มีแต่ปุถุชนจำนวนมาก
ในการทำสิ่งเดียวกันของปุถุชนกับอริยบุคคลต่างกันมาก
ตรงที่วิถีจิตของอริยบุุคลจางคลายจากการยึดถือตัวตน
ส่วนปุถุชน หุหุ ฟังธรรมก็นั่งง่วงหงาวหาวนอนหลับ
เหตุของอริยบุคคลจางคลายแล้วผลคืออะไรล่ะ
การมีดวงตาเห็นธรรมเป็นการจางคลายจิต
จากสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนเราเขา
เข้าใจก็คือธัมมะได้จัดสรรพร้อม
เพื่อเป็นเครื่องทดสอบจิตไง
จะดีขึ้นด้วยจิตละอกุศล
ไม่ใช่ดีขึ้นจากตัวตน
ที่คิดเองนั่นน่ะอกุศล
อะไรที่ปิดกั้นล่ะ
ก็ไม่รู้จิตตนไง
สงสัยทำไม
เป็นอกุศล
:b32: :b32:
onion onion onion
ดวงตาเห็นธรรมคือเห็นตรงธรรมตามความจริง. การกระทำก็ต้องตรงไม่ใช่เชื่ออะไรอย่างไรเหตุผลกระทำอะไรอย่างไร้เหตุผล

:b32:
ตรงเหตุการสวดสาธยายธัมมะเป็นการทำสมาธิที่ไม่ได้ฆ่าสัตว์ไม่ลักทรัพย์ไม่ผิดเพศไม่มุสาไม่จิบเหล้า
เค้าเอาจิตที่ดีงามสวดด้วยดี ความนอบน้อมถ่อมตนต่อพระรัตนตรัยไม่ได้หายไปไหนนี่ กายเป็นเครื่องมือน๊า
:b44: :b44:

ไม่ใช่เรื่องนี้. เรื่องมี่ไปรดน้ำมนต์. ตามหาอรหันต์แล้วรู้ด้วยว่าใช่. ท่องคาถาเงินล้าน

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2015, 11:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
bigtoo เขียน:
Rosarin เขียน:
Kiss
ผู้รู้คือจิตที่ประกอบด้วยปัญญารอบรู้ในสภาวะธรรมเป็นธัมมะวิจะยะ
ความสอดส่องในธรรมที่รู้แล้วไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม
เลือกได้ไหมถ้าจะต้องไปรวมหมู่คณะที่มีแต่ปุถุชนจำนวนมาก
ในการทำสิ่งเดียวกันของปุถุชนกับอริยบุคคลต่างกันมาก
ตรงที่วิถีจิตของอริยบุุคลจางคลายจากการยึดถือตัวตน
ส่วนปุถุชน หุหุ ฟังธรรมก็นั่งง่วงหงาวหาวนอนหลับ
เหตุของอริยบุคคลจางคลายแล้วผลคืออะไรล่ะ
การมีดวงตาเห็นธรรมเป็นการจางคลายจิต
จากสิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนเราเขา
เข้าใจก็คือธัมมะได้จัดสรรพร้อม
เพื่อเป็นเครื่องทดสอบจิตไง
จะดีขึ้นด้วยจิตละอกุศล
ไม่ใช่ดีขึ้นจากตัวตน
ที่คิดเองนั่นน่ะอกุศล
อะไรที่ปิดกั้นล่ะ
ก็ไม่รู้จิตตนไง
สงสัยทำไม
เป็นอกุศล
:b32: :b32:
onion onion onion
ดวงตาเห็นธรรมคือเห็นตรงธรรมตามความจริง. การกระทำก็ต้องตรงไม่ใช่เชื่ออะไรอย่างไรเหตุผลกระทำอะไรอย่างไร้เหตุผล

:b32:
ตรงเหตุการสวดสาธยายธัมมะเป็นการทำสมาธิที่ไม่ได้ฆ่าสัตว์ไม่ลักทรัพย์ไม่ผิดเพศไม่มุสาไม่จิบเหล้า
เค้าเอาจิตที่ดีงามสวดด้วยดี ความนอบน้อมถ่อมตนต่อพระรัตนตรัยไม่ได้หายไปไหนนี่ กายเป็นเครื่องมือน๊า
:b44: :b44:

ไม่ใช่เรื่องนี้. เรื่องมี่ไปรดน้ำมนต์. ตามหาอรหันต์แล้วรู้ด้วยว่าใช่. ท่องคาถาเงินล้าน

:b12:
คบบัณฑิต ไม่คบพาล ปัญญารู้ต่างกัน ไม่ใช่ตัวตนไปทำ เป็นจิตคิดดี ทำดี พูดดี
พูดอย่างทำอีกอย่างที่เขาเรียกว่าตอแหล ตลบตะแลง ตะแบงไปข้างๆคูๆ
เคยไปร่วมพิธีลงเสาเอกสร้างพระอุโบสถไหมล่ะ เขาสาดน้ำเสียหรือน้ำดี
ทำอะไรคิดอะไรมีแต่จิตที่เป็นอกุศล มืดสนิท บอดทั้งตา บอดทั้งหู
บอดทั้ง6ทางไม่รู้ตัวเลยเหรอ หรือว่าแกล้งไม่รู้พระอรหันต์อยู่ที่ใจ
ไม่ได้อยู่ที่ตำรา อยู่ที่จิตของผู้ที่คิดดี พูดดี ทำดี ทำเป็นไหมล่ะ
:b32: :b32: :b32:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 911 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 18, 19, 20, 21, 22, 23, 24 ... 61  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร