วันเวลาปัจจุบัน 04 ส.ค. 2025, 13:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 22 ส.ค. 2015, 16:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b39:
เมื่อเรานั่งขัดสมาธิลงกับพื้น มือขวาทับมือซ้าย ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้ตรงหน้า ปิดตาเนื้อ เปิดตาใจ คือตาสติปัญญา มีมนสิการ ตั้งใจ มีโยนิโส ตั้งสติปัญญา ดูและสังเกตพิจารณาเข้าไปในกายและจิต ถ้าตาสติทันปัจจุบันได้ดี ตาปัญญาสัมมาทิฏฐิ เห็น ดู รู้สภาวะต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งในกายและจิตชัดเจน ตาปัญญาสัมมาสังกัปปะที่ทำหน้าที่สังเกตพิจารณามีความคมกล้าเฉียบแหลม ย่อมจะสังเกตเห็นได้ว่า

มีอาการเกิดขึ้นที่กาย (รูป)เช่นความเจ็บปวด
มีความรู้สึกเกิดขึ้นที่จิต (นามเวทนา)
มีนามสติไปรู้ทันอาการที่กายและจิต
มีนามปัญญาไปสังกตที่กายและจิต

มีนามปัญญาผู้รู้ ไปรู้อาการและการทำงานของกายและจิตทุกขั้นตอน

มีนามสติและปัญญาไปรู้สภาวทุกข์ที่เกิดขึ้นที่จิต(ธรรมารมณ์)

มีนามสติปัญญาไปรู้ความยินร้ายต่อทุกข์ที่เกิดที่จิต

มีนามสติปัญญาไปเห็นความดิ้นรนออกจากทุกข์ที่จิต

มีนามสติปัญญาไปรู้ว่าความดิ้นรนออกจากทุกข์ในจิตนั้นเป็นความเห็นผิดว่าเป็นกูเป็นเรา

มีนามสติไปดึงเอา นามขันติ ตบะ วิริยะมาตั้งสู้ความดิ้นรนของนามอัตตากู เรา

ถ้าวิริยะ ตบะขันติ ชนะ ความดิ้นรนในจิตหรือ อัตตา กูพ่ายแพ้ ความดิ้นรนและทุกข์ในจิตก็ดับลง เหลืออุเบกขาเวทนา
ตัณหาความทยานอยากก็ไม่เกิด

ถ้าวิริยะ ตบะ ขันติ แพ้ ตัณหาความทยานอยากก็เกิด วงปฏิจจสมุปบาทก็หมุน

ผู้ไปรู้กระบวนการของรูปและนามทั้งหมดนี้คือ "ผูรู้" หรือปัญญาสัมมาทิฏฐิ

:b38:
:b36:
s004
:b13:


โพสต์ เมื่อ: 22 ส.ค. 2015, 16:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
eragon_joe เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
ท่านใด ยังจำช่วงเวลาที่เห็นว่า กายกับใจจริงๆมันแยกกันอยู่ได้บ้างครับ

ช่วงที่เจอ ผู้รู้ ครั้งแรก
ครั้งแรกที่เห็น มันเป็นยังไง มีความรู้สึกยังไงบ้างครับ

Kiss


:b14: :b14: :b14:

:b12:
:b16:


คือ...แบบว่าคำถามนี้ พอจะตอบ

"กายกับใจจริง ๆ มันแยกกันอยู่ได้บ้างครับ""

คือ...ถ้าผู้ที่ปฏิบัติแล้วแม่นในโยนิโสมนสิการในการพิจารณา ธาตุ 4 ขันธ์ 5 อายตน 6
พอจะตอบน่าจะสะดุดทันที เพราะ
1. เมื่อเขาตอบว่าได้ ..........
2. เขาต้องตอบได้ด้วยว่า .......... เห็นได้อย่างไร ด้วยอาการอะไร อาศัยอะไรในการเห็น
3. การตั้งอาศัยที่ทำให้ปรากฎการเห็นนั้น ๆ ตั้งอยู่บนอะไร ....

เมื่อเทียบกับหลัก ปัจจยการ แล้วดูขัด ๆ

จบ....อิอิ

:b12:



s006
ผมถามผิดรึยังไงอะครับ


:b16: ... ไม่รู้จิ่ ไม่ผิดหรอกมั๊ง
เพราะจริง ๆ เอกอนก็ไม่รู้ว่าคุณอยากรู้อะไรกันแน่น่ะ

เพราะ ถ้าหากว่าตีความตามความหมายคำที่คุณเน้น คือ "จริง ๆ มันแยกกันอยู่..."

เพราะโดยธรรม มันเป็นสิ่งอาศัยกันปรากฎ น่ะ
ซึ่งถ้าจับมันแยกจากกัน มันก็อาศัยกันปรากฏไม่ได้ น่ะ
เมื่อไม่มีอะไรอาศัยปรากฎ มันก็ย่อมไม่ปรากฏ
และเมื่อ มันย่อมไม่ปรากฎ ผู้รู้ย่อมไม่ปรากฎ

นั่นคือ นัยยะ ที่คุณถาม

แต่ถ้าหากว่า ตีความไปในทาง ญาณวิปัสสนา 16 อะไรนั่น
คือการแยกรูป-นาม นั่นจิตอาศัย รูป-นาม ตั้งอยู่ จึงปรากฎอารมณ์ให้จิตเข้าไปรู้
จิตเข้าไปรู้รูป เป็นอย่างนี้ จิตเข้าไปรู้นาม เป็นอย่างนั้น ทำนองนั้น
แต่...ไม่ได้หมายความว่า ทั้งสองสิ่ง ณ ตอนนั้นมันแยกกันอยู่ น่ะ

หรือ คุณลองอธิบายสิ่งที่คุณอยากรู้เพิ่มเติมอีกหน่อย อาจจะได้คำตอบเพิ่มเติมอีกหลายแบบก็ได้

:b16:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 22 ส.ค. 2015, 17:20, แก้ไขแล้ว 5 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 22 ส.ค. 2015, 17:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนเรือนยอด หรือศาลาเรือนยอด ที่ตั้งอยู่

ทางทิศเหนือหรือใต้ก็ตาม เป็นเรือนมีหน้าต่างทางทิศตะวันออก. ครั้นดวง

อาทิตย์ขึ้นมา แสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์ส่งเข้าไปทางช่องหน้าต่างแล้ว จักตั้งอยู่

ที่ส่วนไหนแห่งเรือนนั่นเล่า ?

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! แสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์ จักปรากฏที่ฝาเรือนข้างในด้านทิศ

ตะวันตก พระเจ้าข้า !”

ภิกษุ ท. ! ถ้าฝาเรือนทางทิศตะวันตกไม่มีเล่า แสงแห่งดวงอาทิตย์

นั้น จักปรากฏอยู่ที่ไหน ?

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! แสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์นั้น จักปรากฏที่พื้นดิน พระเจ้าข้า !”



ภิกษุ ท. ! ถ้าพื้นดินไม่มีเล่า แสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์นั้น จักปรากฏ

ที่ไหน ?

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! แสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์นั้น จักปรากฏในน้ำ พระเจ้าข้า !”

ภิกษุ ท. ! ถ้าน้ำไม่มีเล่า แสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์นั้น จักปรากฏ

ที่ไหนอีก?

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! แสงสว่างแห่งดวงอาทิตย์นั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ปรากฏแล้ว

พระเจ้าข้า !”

ภิกษุ ท. ! ฉันใดก็ฉันนั้นแล : ถ้าไม่มีราคะ ไม่มีนันทิ ไม่มีตัณหา

ในอาหารคือคำข้าวก็ดี ในอาหารคือผัสสะก็ดี ในอาหารคือมโนสัญเจตนา

ก็ดี ในอาหารคือวิญญาณก็ดี แล้วไซร้, วิญญาณก็เป็นสิ่งที่ตั้งอยู่ไม่ได้

เจริญงอกงามอยู่ไม่ได้ ในอาหารคือคำข้าว เป็นต้นนั้น ๆ. วิญญาณตั้งอยู่ไม่ได้

เจริญงอกงามอยู่ไม่ได้ ในที่ใด, การก้าวลงแห่งนามรูป ย่อมไม่มีในที่นั้น ;

การก้าวลงแห่งนามรูปไม่มีในที่ใด, ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลายย่อมไม่มีใน

ที่นั้น; ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลายไม่มีในที่ใด, การบังเกิดในภพใหม่

ต่อไป ย่อมไม่มีในที่นั้น; การบังเกิดในภพใหม่ต่อไป ไม่มีในที่ใด, ชาติ

ชราและมรณะต่อไป ย่อมไม่มีในที่นั้น; ชาติชรามรณะต่อไป ไม่มีในที่ใด,

ภิกษุ ท.! เราเรียก “ที่” นั้น ว่า เป็น “ที่ไม่โศก ไม่มีธุลี และ ไม่มีความ

คับแค้น” ดังนี้.


โพสต์ เมื่อ: 22 ส.ค. 2015, 22:15 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b16: :b16: :b16:


โพสต์ เมื่อ: 22 ส.ค. 2015, 23:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
สมาธิตั้งมั้นจะไม่มีเวทนา
มีแต่จิตรู้ความจริงที่สงบ
โดยไม่ได้ปรุงแต่งอะไรเลย
สงบที่ถึงสภาวะสติปัฏฐานสี่
รู้ความจริงณที่ตั้งเพียงว่างๆ
โล่งๆเบาๆไม่เจ็บไม่ปวดอะไร
สำคัญไม่รู้สึกว่ามีลมหายใจเป็น
จิตที่ไม่มีความอึดอัดมีแต่รู้เด่นภายใน
ว่ากายไม่รู้สึกว่ามี จิตก็มีจับลมหายใจไม่ได้ ไม่ทุกข์กายไม่ทุกข์ใจ
มีแต่สภาพธรรมที่จิตเป็นนามธรรรมเกิดตลอดเวลากายหายไปหมด
มีแค่จิตรู้ความสงบต่อเนื่องจะพบกายเมื่อถอนจิตออกจากสมาธิค่ะ
:b12:
:b44: :b44:


โพสต์ เมื่อ: 23 ส.ค. 2015, 16:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
ดังที่ครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่า ของจริง นิ่ง ใบ้ สงบ
สมาธิหัวตอนั่งนิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อนเลยจนกว่าเทศน์จบ
หลวงตาพระมหาบัวท่านว่าหลวงปู่มั่นเทศน์ที4ชั่วโมง
พระที่มาฟังเทศน์ท่านก็จะมาพักอยู่วัดไม่ห่างมากนัก
ท่านใดติดขัดตรงไหนก็จะทราบขณะฟังเทศน์นั่นเอง
ถ้าจิตดวงใดพร้อมก็ได้ถึงบรรลุธรรม ปึ๋ง ปึ๋ง ไปเลย
:b8:
:b20: :b20:


โพสต์ เมื่อ: 24 ส.ค. 2015, 14:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004
ในการบรรลุธรรมของบุคคลที่มีอุปนิสัยเป็นเจโตวิมุตินั้น อาศัยพลังของสติสมาธิมากดข่มกำหราบกิเลส ตัณหา อัตตา
จนไม่มีโอกาสเติบโตงอกเงยได้จนตายสนิทเมื่อมีปัญญา ธรรมสังเวชเกิดขึ้นมาจุดประกายเพียงน้อยนิดก็กำลังมรรคสมังคีเกิดขึ้นมาทำลายความเห็นผิดยึดผิดเข้าถึงมรรค ผล นิพพานได้ แต่บุคคลในกลุ่มนี้มักจะไม่ค่อยได้แจงสภาวธรรมที่เกิดขึ้นโดยละเอียดละออเป็นชั้นๆไปอย่างการแสดงเรื่องญาณ 16 ของกลุ่มบุคคลในทางสุขวิปัสสโก ที่ใช้เพียงสมาธิในขั้นขณิกและอุปจาระสมาธิเป็นฐานในการเจริญปัญญาค้นหาเหตุทุกข์ ไปเกิดอัปณาสมาธิในตอนท้ายๆก่อนการบรรลุธรรม จนบางสำนักทางด้านเจตโตวิมุติปฏิเสธเรื่องของญาณ 16 ไปเลยก็มี

เรื่องนี้จึงพลอยทำให้มีการถกเถียงสงสัยกันอย่างไม่รู้จบมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งนี้คงเป็นเพราะเดินทางมากันคนละเส้นสู่จุดหมายเดียวกันจึงอธิบายสภาวะต่างกันมาโดยตลอด

แต่เมื่อถึงที่สุดสำหรับผู้ที่ได้เข้าถึงความเป็นอริยะระดับเดียวกันแล้วจะรู้กันด้วยจิตที่มีกำลังเท่าเทียมกันเองแค่เพียงได้เห็นหน้า ได้สนทนากัน หรือฟังข้อธรรมที่แสดงออกมา หรือทราบกิตติศัพท์ชื่อเสียงข้อธรรมของกันและกัน คือย่อมสงเคราะห์ลงกันได้ในที่สุด

เพราะฉนั้นใครที่เดินทางเส้นไหนก็คงจะเข้าใจกันไป อธิบายกันไปตามแนวทางที่ตนประสบพบเห็นและมีประสบการณ์ ไม่ไปชี้ผิดชี้ถูกกัน แต่คบหาสมาคมแลกเปลี่ยนธรรมทัศนะกันไปในฐานะแห่งลูกพระพุทธเจ้าด้วยกันน่าจะสงบเย็นดีนะครับ

:b16:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร