วันเวลาปัจจุบัน 08 มิ.ย. 2025, 08:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 404 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 12, 13, 14, 15, 16, 17, 18 ... 27  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ส.ค. 2015, 10:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หัวถึงหมอนนี่กำหนดยาก
แต่ก็ยังอยากจะนอนอยู่
ก็นั่งสมาธิแล้วสบาย..ไม่เข้าใจว่าทำไม..ยังอยากจะออก..ตามมันไม่ทันเลย
เวลานอนมันปวดตรงหัวที่สัมผัสกับหมอน
รอบคอภายนอกก็ระบมมากเหมือนถูกเชือกรัดไว้หลายๆรอบ
คงเนื่องจากแผลในคออักเสบ
ปวดตามข้อกระดูก..สั่นจนฟันกระทบกัน
เหมือนจะรู้ไปโดยรวมๆแต่ความทุกข์ทางกาย
คิดถึงการกำหนดไม่ได้เลย..มันทรมานจนเหมือนคิดอะไรไม่ออก
เหมือนยึดกันอยู่..เป็นทุกข์ทั้งแท่งเลย
จนต้องใช้ความคิดดังๆกระตุ้น..จับลมหายใจสิ
มันเหมือนต้องใช้แรงฮึด..แต่จับจริงแป๊บเดียวก็ได้เลย..แล้วเผลอหลับ
สัก30นาทีมั้ง..รู้สึกตัว..เหมือนเห็นกายนอนอยู่
สักพักรู้ลมวนๆตรงจมูก..และความเจ็บปวดตามตามมา
แต่เฉยๆ..กำหนดรู้ได้ละ
พยายาม..รู้ก็สักว่ารู้..ลุกมาดื่มน้ำ..กำหนดความเจ็บปวด
แตะเบาๆที่เวทนา..ไม่เห็นทุรนทุรายเลย
เห็นใหม..เมื่อไหร่จะจำ..ยึดเมื่อไหร่ก็ทุกข์เมื่อนั้น
กลับไปนอนอีกรอบ..นอนปุ๊บก็เป็นทุกข์อีก
ทีนี้..แหะๆ..มันกำหนดลมหายใจเองเลย
ไม่ยอมกำหนดทุกข์ :b9:
สัก30นาทีเหมือนกัน..ที่งีบหลับไป
เริ่มมีความรู้สึกขึ้นมาก็..โอโห..แหะๆ
สุข..สุขมาก..สุขอย่างเดียวเลย..ไม่อยากลืมตาเลย..ใจเป็นสุขมากกกกก
แต่ก็ลุก..อาการไข้เหมือนหายเป็นปลิดทิ้งเลย..
มันปลอดโปล่ง..เหงือซึม..คือรู้อ่ะ..ว่าหายแล้ว :b27: :b27:

แต่สรุป...ยังแย่มากกกกๆๆ..เหมือนรู่ตัวว่า..กำลังพยายามปีนป่าย
ขึ้นจากร่องข้างทาง

เรื่องของเรื่อง
ข่าวการปฏิบัติเนื่องในโอกาสวันแม่..รู้ตอนเช้า
เริ่มรู้สึกเป็นไข้..ตอนเที่ยง
นอนซม..ตอนเย็น
คงเป็นโอกาสให้เราปรับตัวปรับใจ
ที่คอยแต่เถลไถล
:b32:
:b14: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2015, 20:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
เมื่อวันก่อน..นั่งสมาธิ
พอหลับตา..ตั้งใจจะกำหนดลมหายใจ
เพียงแต่เริ่มนึก..รู้สึกกองลมมันอยู่ที่มือประสานกัน
ที่คิดว่าเป็นลม..เพราะนึกถึงลม
มันก็จะรู้สึกถึงลมมันวนๆขึ้นทันที..ตรงในโพลงจมูกบ้าง..อกบ้าง
มันไม่กระจาย..มันรู้สึกเป็นก้อน..วนอยู่ตรงจุดๆหนึ่ง..
เรียกเป็นกองนี่น่าจะดูเหมาะดีนะ
:b27: :b27: :b27:
ปกติจะอยู่เป็นที่ๆ..ในกาย
แต่คราวนี้..มันอยู่ตรงมือ..เพิ่งเคยครั้งแรก..
และมันเหมือนอยู่ข้างในก็ไม่ใช่..ข้างนอกก็ไม่เชิง..ตรงนี้ที่แปลก
ก็เลยพยายามนึกให้มันขึ้นมาเริ่มตรงจมูก..ก็ไม่ขึ้น
ก็เอ้...เอาไงเอากัน..ย้ายมาอยู่ตรงนี้ก็ช่างมัน
แต่เมื่อกำหนดดูลมตรงมือได้สักพักเดียว
มันย้ายที่อีกละ
:b43: :b43: :b43:
ก็เห็นมันเลื่อนไล่เป็นจุดๆ..ขึ้นมาด้านบนถึงศรีษะ
..ทีนี้มันพุ่งออกไปด้านหลังศรีษะ
เรารู้สึกถึงแรงพุ่งที่เหมือนจะหงายหลังตามนะ..แต่จริงกายก็นั่งปกติ
แรงพุ่งแบบนี้เคยเกิดลักษณะดิ่งลึกตรงอก
แต่คราวนี้..มันไม่ดิ่ง..มันเบาสบายเพลินมากๆ..น่าจะเป็นอาการของปิติ
เพลินๆสักพักนานนิดหน่อย...ก็เปลี่ยนอีก..ดับไป
:b55: :b9: :b9:
แล้วเหมือนเกิดขึ้นใหม่
ในลักษณะที่..พุ่งงจากข้างนอก..ทะลุเข้ามาข้างในระหว่างกลางอกอีก
ก็กำหนดรู้ไปตามนั้น..ค่อนข้างมีจิตที่นิ่งพอสมควร..สงบ
:b19: :b39: :b39:
แต่..กองลมคราวนี้..มันเคลื่อนไปตามร่างกายภายในอย่างเร็ว
ไม่หยุดเป็นจุดๆ..เหมือนทุกที..เลื่อนไหลเร็ว..แต่สัมผัสแผ่วเบา
ในระหว่างที่เป็นอย่างนั้น..ก็มีภาพไหลผ่านเร็วตาม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ส.ค. 2015, 21:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ภาพไม่ค่อยชัดเจน..ไม่หยุดให้เห็นเป็นที่ด้วย..เร็วด้วย
เป็นภาพอวัยวะภายใน
มันเกิดภาพขึ้นตาม..ในสิ่งที่เราเข้าใจว่าเป็นกองลมนี่แหละ
เคลื่อนขึ้นลง..ตรงส่วนไหน..มันก็เหมือนเห็นภาพตรงส่วนนั้นไปด้วย
s007 มันเป็นภาพคล้าย..พยายามจินตนาการขึ้นมาเอง
คิดตอนนั้นนะว่า..เราพยายามปรุงแต่งไปเอง..
แต่..แบบตั้งใจเหรอ???
ก็เลยลองตั้งใจหยุด...
แต่ตอนนั้นเข้าใจว่า..เหมือนมีผู้ดู..ทีวีอยู่ :b12:
แล้วเราจะเข้าไปปิด :b14: ก็เลยปล่อยไป
นานสักพักเหมือนกัน..ส่วนมากบางภาพเห็นไม่ชัด
..ที่เห็นชัดก็รู้สึกสะอิดสะเอียน
:b23: :b22:
แต่ไม่นานก็เหมือนปรับโหมด..เข้าสู่ความที่จิตมันเริ่มเฉยๆ
ดูไปเพลินๆ
แล้วจึงได้เห็นความมหัศจรรย์..คงไม่นานนัก..แต่รู้ว่าได้สัมผัส
สภาวะที่..ทุกอย่างหยุด
มีแต่ภาพ..ไม่มีผู้รู้..ไม่มีผู้ดู
เข้าใจว่างั้นนะ :b9: มันรู้สึกว่าสื่อออกมาได้อย่างนี้ :b15: :b15:
คิดว่านะ..คิดว่าใช่แน่ๆหละ :b15: :b15:
:b47: :b46:
จริงๆ..ไม่ใช่เรื่องแปลก..เคยเกิดสภาวะแบบนี้มาแล้ว
ตอนนั้นเป็นอยู่หลายวัน..ในเวลาปกติด้วย..เป็นเรื่องมหัศจรรย์มากค่ะ
Kiss พอรู้กลับมา..กองลมก็เคลื่อนขึ้นบน..ที่หัว..หยุดตรงหน้าผาก
แล้วเหมือนแตกกระจาย...ไปตามเส้นเลือดตรงบนทั่วใบหน้า
รู้สึกถึงเส้นเลือดมันมีชีวิตชีวาอ่ะค่ะ..แผ่ซ่านกนะจายออกไป
ก็เหมือนคลายจากสมาธิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2015, 19:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


s002
เพิ่งออกจากการเข้าร่วมปฏิบัติธรรมค่ะ
รอบนี้...มีคำถามถามพระอ.เยอะทีเดียว
เมื่อได้ถาม...ก็ถามซะยาว...ถามแล้วถามอีก :b14: :b14:
ปกติจะไม่ถามไม่พูดมาก
คราวนี้พูดเยอะ...พูดแล้ว..ถามอีกไม่ยอมจบ..
ไม่ยอมเข้าใจ..ทั้งที่ท่านเมตตาตอบมาก..อธิบายละเอียด
ก็ยังจะตั้งคำถามอีก..ซ้ำๆ
รู้สึกแย่จังเลยค่ะตอนนี้..
ปกติจากการปฏิบัติที่ผ่านมาก่อนๆ
..จะมีนิมิต..จะมีความสามารถพิเศษเกิดขึ้น
ไม่เคยคิดว่าเป็นอะไร..ได้อะไร
รู้สึกเป็นเรื่องปกติ..เป็นผลที่ไม่ได้ตื่นเต้นยินดี..หรือสำคัญอะไรเลย
แต่ทำไม...มัวแต่มาติดใจ..สงสัย..ควานหาเพียงแค่ตัวสภาวะที่มันเกิดขึ้น
อยากรู้อยากเห็นในเรื่องแบบนี้ :b34: :b34: :b7:

พระอ.ว่า...ปัญญามาก..ศรัทธาเลยน้อย
และจะไปได้ช้า...คนที่ติดสงสัย..จะไปได้ช้ากว่าติดอย่างอื่น
:b7: :b2: :b2:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2015, 20:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไปรอบนี้..ไม่มีอะไรมาก(5วัน)
เครียดกับสภาวะที่เกิดขึ้น cry cry
...จะเดินจะนั่ง ค่อนข้างมีการกำหนดได้ดี นั่งก็ไม่มีอาการเคลิ้ม
รู้สึกมีความรู้ตัวค่อนข้างตลอด ซึ่งเหนื่อยกว่า
สู้กับทุกขเวทนาอย่างหนักเลยรอบนี้
คนอื่นเค้าง่วงเค้าเจ็บแข้งเจ็บขา
ไอ้เราตาสว่าง. เดินเบา นั่งก็ค่อนข้างรู้ตัวตลอดซึ่งสู้กับความปวดมากเลย
ตาสว่างนี่จริงๆนะ บางทียังกับตาเป็นไฟฉาย
มองไปจุดไหนเหมือนเราส่องไฟไปจุดนั้น ก็แปลก :b9: :b9:
2วันแรก ถ้านั่งจะอยากไอ..ถ้าเดินจะปวดท้องเสีย กวนใจ

....วันที่3 ตอนดึกขณะที่นั่งแล้วปวด จริงๆ
อาการเจ็บนั่น เจ็บนี่ กำหนด2-3ครั้งก็หายละนะ บางทีแค่กำลังไปรู้ก็หาย
เจ็บปวดขาก็หายบ้าง แต่มันจะเพิ่มเป็นอาการปวดที่ขาแบบ
ร้อนเหมือนถูกไฟเผา กำหนดก็ไม่ยอมหายมีแต่จะร้อนจนน่ากลัว
เหมือนอยู่ในกองไฟจริงๆเลยตั้งแต่ช่วงเอวลงมา
ก็กำหนดดูไปเรื่อยๆมันมีอาการแบบ วาบขึ้นมา
เหมือนกลั้นลมหายใจออกแรงเบ่งมันจะแบบวาบจะชื่นใจชั่ววินาที
เหมือนปวดจะหายไป ละก็กลับมาปวดใหม่
ก็ดูมันแบบนี้ เหมือนจะหายๆๆๆๆๆๆๆ
จนทนไม่ไหว จู่ๆดึงขาออกเลย รู้ตัวนะ แต่ทนไม่ไหว
แต่พอดึงออกปุ๊บก็เหมือนหยุดกึก
มันเจ็บใจที่ยอมแพ้ ตอนนั้นร้องไห้น้ำตาไหลออกมาทั้งที่หลับตา
แต่ก็รีบกำหนดต่อ
ทั้งน้ำมูกน้ำตาที่มันออกมาแล้วไหลผ่านปาก หุหุ :b14:
แต่ก็กำหนดต่อจนหมดเวลา
แปลกที่รู้ว่าปวดร้อนที่ขาแต่กลับรู้สึกสว่างมากนะตอนนั้น

....แต่พอออกจากสมาธิ ลุกจะออกไปห้องน้ำ
ระหว่างทาง จู่ๆร้องให้ออกมากำหนดไม่ทัน
ร้องๆๆเยอะไม่หยุดจนตาบวมเลย มันรู้สึกเป็นทุกข์ใจ ทุกข์เรื่องอะไรไม่รู้
กำหนดนานสักพักกว่าจะหาย
จากนั้นก็คอยแต่หวนมาคิดถึงทุกข์ตัวนี้ ต้องคอย กำหนดรู้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2015, 20:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันที่4
จากที่คิดว่าเดินเบาสบายไม่เหน็ดเหนื่อยอะไร
เริ่มเป็นเรื่อง
คือวันก่อนนั้นเวลาเดิน...เริ่มรู้สึกบางเวลา
ขามันค้าง..ไม่เดิน..ไม่ขยับ
ต้องกลับมาที่ใจ..ใช้ใจสั่งให้เดิน..ให้ก้าว..ถึงจะเดิน
:b5:
มาวันนี้..เป็นเดินแล้วสั่น..เหมือนมีแรงกระตุก..หัวใจเต้น
ลมหมุนวนเคลื่อนไปทั้งร่าง
โดยเฉพาะตรงขา..ตรงเท้า
เหยียบลงพื้นก็เหมือนลมดันพื้นเท้าจนตัวยกขึ้น
เริ่มสับสน..กับการกำหนด..มันหวิวๆวับๆไปทั้งใจ..กาย
เริ่มเครียด..ทำตัวไม่ถูก
ตอนดึกเลยถามพระอ...ท่านว่า
ถ้ามันแรงจนกำหนดเดินไม่ชัดเจน..ก็หยุดเดิน
ให้กำหนด :b45: อาการนั้นเลย
แต่หยุดกำหนดมันก็เบา......เดินมันก็แรงอีก
สับสน..เริ่มเครียด..คงตื่นสภาวะด้วย
เพราะเจอสภาวะใหม่ๆมักเป็นอย่างนี้ สงสัย :b9: :b9:
ก็เลยซ้ำเป็นวุ่นวายใจเพิ่มเข้ามาอีก
:b2:
ตอนนั่ง..ก็หายนะ..ไม่เป็นให้กำหนดอีก..มันคงจะง่ายกว่าต้องทนปวดขา :b9:
แต่ก็มีรอบหนึ่งที่รู้สึกขึ้นมา..เลยได้ที..ตามความสงสัย :b5: :b5:
(แย่จังนะ..อดไม่ได้หง่ะ)
ก็อยากรู้ว่าจริงๆมันอาจเป็นแค่แรงหัวใจเต้นเองแหละ
เพราะมันก็เริ่มวุบๆตรงอก...แต่พอคิดอย่างนั้น
มันก็เลื่อนไปที่แขน..ที่หลัง.ที่ท้อง..ที่ขา ไปเรื่อย

แต่วันนี้เหมือนเริ่มรู้สึกมาเป็นบางเวลา
รู้สึกกายมันอ่อนยวบยาบ ถ้าหากไม่มีใจไปสั่ง
เหมือนมันไม่มีความสามารถทำอะไรได้เลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2015, 10:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คืนวันที่4
เป็นคืนแรกที่อดนอน..แต่มีความรู้สึกสว่างไสวตลอด
ตาตื่นโพลง..ไม่ง่วง..ไม่เหนื่อยล้า
แต่มีความไม่พอใจบ้าง
กับร่างกายที่รู้สึกชื่นชมกะมันนะรอบนี้ :b9:
เดินกี่รอบๆขามันก็เบ๊า..เบา
ยก..ย่าง..เหยียบ ไหลลื่น เชื่องช้า เป็นจังหวะที่รู้ลงไป
มีจิตตั้งมั่นกับการเดิน
มีความคิดแทรกขึ้นมาก็รู้..เมื่อรู้ทันมันก็ดับไปก็รู้
เจ็บตรงไหนเวลาเดิน..แค่จิตเคลื่อนไปรู้..ก็ดับไปทันที
s005 นี่คือเรื่องที่ไม่พอใจ...เพราะชอบ..พอใจ..ติดใจ..ติดดี
เลยหลงในเรื่องที่ไม่ควรจะหลง
...คือพยายามจะควบคุมร่างกายที่เริ่มจะแปรปรวนให้เห็นจะจะ
:b20: ตอนปฏิบัติมันไม่รู้ตัวนะ พอออกมาทบทวตอนนี้ถึงรู้
เพราะความมุ่งมั่นมากเกินไปตอนนั้น
คิดว่ามารอบนี้..มีความพร้อมดี
เลยไม่พอใจ....ที่บังคับร่างกายที่มันไม่ยอมพร้อมเหมือนจิตใจไม่ได้
พลาดสุดๆ กิเลสมันมาได้ทุกทางจริงๆ..เผลอจนได้
อย่างว่าแหละ..เรามันปัญญายังน้อย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2015, 11:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วันสุดท้าย
การนั่งช่วงกลางวันไม่ค่อยสนใจภายนอกเท่าไหร่
หลับตาก็ภาวนาภายใน
สุข..ปิติ..แสงสว่าง..เจ็บนั่นปวดนี่ ก็อยู่ไป รับรู้ไปแค่นั้น
แต่ก่อนที่จะวางเฉยได้นะ :b32: :b32: มีดีใจ555
นั่งๆอยู่...ความรู้สึกนิ่งๆ...
ตอนนั้นมันเหมือนไม่รู้ภายนอกแล้วหละ..เหมือนตัดขาดไปเลย
แล้วปวดขาขึ้นมา
เวลาจิตเคลื่อนมารู้..มันก็คืนขึ้นไปนิ่ง
มันก็ปวดเบาๆ แล้วมากขึ้น
จิตมันก็เคลื่อนมารู้...ก็คืนขึ้นไปนิ่ง
ก็ดึงกันอยู่อย่างนี้...
ไม่ใช่เราไม่เอานะ...ลองตั้งใจมารู้...มันก็คืนไปนิ่ง
เราจึงเหมือนผู้ดู...บางทีอ่ะนะ
ก็รู้ทั้งนิ่ง..รู้ทั้งปวด
คราวนี้เลยคิด...อ๋อ ที่ว่าเห็นว่าเป็นของร้อนแล้วไม่จับมันเป็นอย่างนี้เองหนอ
:b9: :b9: เผลอดีใจ....เวทนามันก็เลยชัดขึ้นๆ..ท้ายชม.ก็สู้ไม่ไหวเลย
s006 วันนี้มีสภาวะที่..ได้ยินเสียงคนรอบข้าง..บางที..มันเป็นเพียงเสียงคลื่น
สูงๆต่ำ..อื้อๆ..ไม่เป็นคำพูด เกิดขึ้นทั้งตอนนั่ง..ตอนเดิน
:b43: และเริ่มตั้งแต่ช่วงเย็น
เวลากราบมีขาดวับไป(คือความรู้สึกตัว..มันเกิดขึ้นเหมือนลักษณะปิด-เปิดไฟ
เร็วๆ เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นจากการออกปฏิบัติรอบแล้ว เป็นอยู่2วัน
เกิดขึ้นแทบทุกวินาที...ทุกตัว"จะ"จะคิด,จะทำอะไร)
เวลานั่ง..ก็เป็นในสมาธิ...ก็จะแค่รู้..แต่จะนิ่งกับดับๆ ไม่ไช่ง่วงหรือสัปหงก
รู้ตัวดี
เวลาเดิน...เหมือนจะเป็น..แต่จะไปแทรกแทรงทันที :b34:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2015, 11:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


idea เขียน:
เรามันปัญญายังน้อย




คุณเป็นคนที่มีปัญญามาก คือ รู้คำเรียกต่างๆมากไป
เมื่อรู้มาก เป็นปัจจัยให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นมาก

เมื่อปัญญามาก ความศรัทธามีน้อย
จะให้ปฏิบัติตามวิธีการ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสไว้
เกี่ยวกับ โยนิโสมนสิการ หรือกำหนดรู้ ในผัสสะต่างๆที่มีเกิดขึ้น จึงทำตามได้ยาก

เพราะมีผัสสะใดเกิดขึ้น ต้องใส่คำเรียกลงไปละ มันเป็นอย่างนั้น อย่างนี้
ตามที่เคยได้ยิน ได้ฟังว่า จึงกลายเป็นความเคยชินว่า จะต้องเรียกนั้น เรียกนี่

พอเรียกนั่น เรียกนี่ ซึ่งไม่ใช่ลักษณะอาการที่มีเกิดขึ้น ตามความเป็นจริง ของสภาพธรรมนั้นๆ
สภาวะต่างๆที่คุณเขียนมาเรื่อยๆ จึงเป็นแบบที่คุณยังเป็นอยู่น่ะแหละ

เหมือนคนที่มีความสงสัย เมื่อสงสัย ไม่มีการกำหนดรู้
ก็เที่ยวถามใครต่อใคร คืออะไร แล้วยังไง แทนที่จะกำหนดรู้ แล้วตั้งใจทำความเพียรต่อเนื่อง
กลับกลายเป็นการสร้างเหตุใหม่ ปัจจัยจากความไม่รู้ที่มีอยู่

การทำความเพียร ก็มีผลกลับมาเหมือนกัน
ทำความเพียรกระท่อนกระแท่น เดี๋ยวก็นำความเป็นนั่นนี่ ใส่ลงไปละ
แล้วจะเหลืออะไร เมื่ออำนาจของตัณหา มีกำลังกล้าแข็งกว่า

เหตุมี ผลย่อมมี



วลัยพรก็เคยเป็นแบบที่คุณกำลังเป็นอยู่นี่แหละ
แต่หลุดจากบ่วงคำเรียกต่างๆมาได้ เพราะไม่รู้อะไรเลย ปฏิบัติอย่างเดียว

ช่วงที่เริ่มรู้คำเรียกต่างๆ ก้มาจากเริ่มเข้าเว็บบอร์ดต่างๆนี่แหละ
พอเริ่มรู้คำเรียก ก็เริ่มใส่ลงไปในสภาพธรรมที่มีเกิดขึ้น
เล่นเอาหลงไปสักพัก ก็เป็นหลายปีเหมือนกัน


ผลของการทำความเพียรต่อเนื่อง ทำให้เจอพระอาจารย์
ที่ใช้พระธรรมคำสอน เกี่ยวกับ โยนิโสมนสิการ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้
ตอนนั้นก็ยังไม่รู้หรอกว่า เรียกว่าอะไร เพราะทำตามอย่างเดียว ไม่เคยถามอะไรท่าน

เพราะเจอคำตอบเดิมๆซ้ำๆ กำหนดรู้ไป ชอบใจ ไม่ชอบใจ กำหนดรู้ไป
อย่าแทรกแซงสภาวะ อย่าใส่คำเรียกต่างๆลงไป ให้กำหนดรู้ ทำต่อเนื่อง เดี๋ยวรู้เอง
เมื่อเจอคำตอบเดิมๆซ้ำๆ ก็เลิกถามไปโดยปริยาย

เรื่องญาณ เรื่องฌาน คำเรียกต่างๆ ท่านไม่เคยพูด
ใครสงสัยอะไร ท่านจะบอกทุกคน เหมือนกันหมด ให้กำหนดรู้ เดี๋ยวรู้เอง


ช่วงที่ปฏิบัติกับพระอาจารย์นี่ ก็หายไปจากเว็บบอร์ดทุกเว็บบอร์ด
เพราะรู้แล้วว่า คำเรียกต่างๆ ที่ไม่ใช่พระธรรมคำสอน ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสไว้
แต่เป็นคำเรียกที่สร้างขึ้นมาใหม่ รู้แล้ว มีแต่กระทำตามความหลงที่มีอยู่


ที่เข้ามาในเว็บบอร์ดในตอนนี้
เพียงนำพระธรรมคำสอน ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสสอนวิธีการปฏิบัติ
การทำความเพียร เพื่อดับเหตุแห่งทุกข์ ที่ยังมีอยู่ ซึ่งปฏิบัติตามแล้ว ให้ผลได้ ไม่จำกัดกาล

เพียงต้องการเป็นส่วนหนึ่ง ในการช่วยดำรงพระสัทธรรมไว้
ให้คงสภาพเดิมของพระธรรมคำสอนทั้งหมด ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสไว้ ทำเท่าที่จะทำได้


ตอนนี้ เกิดสัทธรรมปฏิรูป การใช้คำที่สร้างขึ้นมาใหม่ ในการบอกกล่าวเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนต่างๆ
เมื่อสัทธรรมปฏิรูปเกิด พระสัทธรรมจึงค่อยๆเลือนหายไป

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2015, 11:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cry เวลาเดิน..นี่เป็นปัญหา
ทั้งวันกับอาการสั่นไหว วูบวับไปทั้งกาย
เฉพาะเวลาปฏิบัติ คือเดินจงกลม.....อาการหนักขึ้นๆ
ทรมานใจมาก
ช่วงหัวค่ำจึงย้ายไปใกล้ประตู..ใช้มือเกาะช่วยบ้าง
:b33: เพิ่มอาการเจ็บในท้อง..ปวดไปรอบช่วงลำตัวขึ้นมาอีก
มันต่างจากอาการที่ก็มีเจ็บตามร่างกายระหว่างเดินอยู่บ้าง..มันมีอยู่แล้ว
..แต่รู้เจ็บแล้วหาย..รู้เจ็บแล้วเฉย
..แต่อันนี้ไม่หาย..กำหนดก็ไม่หาย..ทั้งไม่มีกะจิตกะใจจะกำหนดเลย
เจ็บปวดทุกช์ทรมานมาก..เจ็บเหมือนจะตายให้ได้..เหมือนตายทั้งเป็น
มากที่สุดของการปฏิบัติมาเลย..สุดจะบรรยาย
:b53: เคยเดินเจ็บแสบเท้าระบมจนกึ่งเดินกึ่งลากเท้า
หรือเดินโซซัดโซเซ กึ่งหลับกึ่งเดิน
หรือเจ็บปวดทรมานจากโรคประจำตัว
มันก็แค่รู้ว่าเจ็บ..และต้องทน
แต่คราวนี้ไม่ได้เลย
เผลอหลงไปกับมันนะเรื่องนี้..ตอนนั้นทำไมคิดไม่ได้
แทนที่จะรู้ไปตามความเป็นจริง
กลับไปตั้งหน้าตั้งตาจะเดินให้ได้..ทุกข์มันเลยครอบไปทั้งกายทั้งใจ
s002 s002 :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2015, 11:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1238

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มันเป็นแค่การปรุงแต่งเพื่อให้เรารู้ทันต้นเหตุของสังขารเท่านั้น ซึ่งพระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า เราสังเกตด้วยดีย่อมเกิดปัญญา พิจารณาขยันระลึกรู้ให้ทันสิ่งนั้นก็ดับ การดับต้องดับด้วยการรู้การเห็น ด้วยความรู้สึกสักแต่ว่า ไม่มีการประกอบด้วยชอบ ชัง เฉย รู้ชัดตามความเป็นจริง

จากสายสืบสั่งสอนนิสัยศาสตร์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2015, 12:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีคิดขึ้นมานะ..ตอนจะเริ่มเดิน
กายมันไม่เหมือนจะเป็นกายอยู่แล้ว
มันมีความรู้สึกขึ้นมาว่า
นี้คือความไม่เที่ยงแปรปรวน..เป็นทุกข์ บีบคั้น ทนได้ยาก..มันอย่างนี้เองเหรอ
ทั้งกายมันปั่นป่วน..แทบจะคิดถึงเป็นชิ้นส่วนอะไรไม่ได้
นอกจากรู้สึกมีอะไรเคลื่อนไหว หมุนวน จับกลุ่มกันเป็นก้อน

มีอยู่รอบหนึ่ง..ที่หยุดเดินเลย..หยุดพิจารณารู้ลงไปในกาย
เพราะมันเหมือนไม่เป็นกายไง
มันรู้สึกถึงความแน่น..เบาหวิว..วูบวับ..เคลื่อนไหว..โครงเครงรวมกันอยู่
แต่ก็ทำได้แค่..รู้ลงไปในกาย
นานเหมือนกัน..กง่าจะเริ่มรู้ถึงร่างกายเหมือนเดิม
ความรู้สึกมันมารวมตรงอกที่เดียว
จนเจ็บฝ่าเท้ามากขึ้นๆเด่นชัดขึ้นมาก็เดินต่อ

และพอเวลาลงนั่ง..ก็กำหนดอาการเจ็บตรงลำตัวนี้เลย
มันชัดมากสุดๆ :b34: เจ็บเหมือนจะตาย
แต่ก็ตามรู้ไปเรื่อยๆ
จนรู้สึกถึงความชื่นใจเบาๆ..เหมือนคลายออกมาจาก
อะไร...น่าจะไม่นาน..
พอรู้ตัวแค่เสี้ยววินาที..ก็รู้ว่ามีความปวดเหมือนเดิม
แต่รู้ด้วยใจที่สงบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2015, 12:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช้ามามีตั้งคำถามกับพระอาจารย์อีก
เรื่องที่เล่านี้แทบไม่มีบอกนะในเวลาสอบอารมณ์ :b9: :b9:
มีแต่เรื่องอื่นๆ :b5:
สงสัย..เรื่องความดับนี่แหละสุดๆ
สงสัยไปหมด
ปกติโดยมากพระอ.จะให้กำหนดรู้
แต่คราวนี้ท่านเมตตาตอบคำถาม
ก็เลยถือโอกาสถามมาก
ทำไมมันดับ...
ทำไมมันเกิดขึ้นกับหนูได้ง่ายอย่างนี้...
ทำไมรู้แล้ว เห็นแล้ว ยังสงสัย....
ทำไมระหว่างทางกลับบ้านวันนั้นมันถึงเกิดอาการทบทวนอันนี้มี อันนี้หมด....
ทำไมมันไม่ทบทวนทีเดียวตอนที่นั่ง....
ทำไมถึงบ้านมันเกิดสภาวะที่ไม่มีเราอยู่เป็นอาทิตย์
ทำไมชีวิตหนูเปลี่ยนไปทั้งที่ข้ามมาจะเป็นปีแล้ว
เยอะแยะไปหมด...ถามๆๆๆๆๆๆๆ
คำตอบก็แบบรวมๆ.....ไม่ได้ชัดเจนหรอกค่ะ
Kiss แต่ผลที่ได้...มันไม่ใช่คำตอบ
นึกถึงคำพระอ.ในวันที่4(ดีที่กล้าแสดงตัวตนจากคนไม่ค่อยพูด)
เมื่อถามมาก..พระอ.พูดมาประโยคหนึ่งว่า
....เราติดบัญญัติ.... :b3:
:b46: คิดในใจนะว่า......เราไม่ค่อยศึกษาบัญญัติ
บางทีหาอ่าน..เหมือนจะรู้ๆ..จะเข้าใจ..วางหนังสือปุ๊บก็จะลืมไปเลย
:b8: แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว...ติดบัญญัติ..คือ
พยายามจะหาคำเรียกในสิ่งที่เกิดขึ้น
ทุกสภาวะเลยมีความหมายหมด....ทั้งที่มันเกิดและดับไปแล้ว
ข้อนี้พี่วลัยคอยเตือนตลอด..ขอบคุณมากค่ะ..เพิ่งเข้าใจจริงๆ

และอีกจุดที่สำคัญ
เพิ่งเกิดความรู้ว่า..ความสงสัยก็กำหนดได้
ที่ผ่านมาพระอ.บอก....หรือแม้แต่ก็รู้ๆอยู่
ว่าควรกำหนดรู้ทุกการเคลื่อนไหว...ทุกสภาวะ
ไอเดียก็มีความพยายามทำอยู่เรื่อยๆ..เมื่อรู้ตัว

แต่ความสงสัยนี่....ไม่เคยคิดเลยว่าจะทำได้
ไม่คิดจะทำเลยก็ว่าได้
มันอยู่เหนือกันมาตลอด
ไม่คิดจะสู้...จะทุกข์จะโทษ...ก็ไม่เคยสน
ก็เพิ่งพูดกับพระอ.ไปว่า
"ถ้าอยากจะรู้(เกี่ยวกับการปฏิบัติ)......ถ้าไม่ได้ถามนี่...หนูทำต่อไม่ได้เลยค่ะ
มันสงสัย...มันไปต่อไม่ได้"

แต่วันนี้รู้แล้ว...ความสงสัยกำหนดได้
ทำได้ละ
คือ..เอาเป็นว่าจะพยายามค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2015, 14:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


idea เขียน:
:b46: คิดในใจนะว่า......เราไม่ค่อยศึกษาบัญญัติ
บางทีหาอ่าน..เหมือนจะรู้ๆ..จะเข้าใจ..วางหนังสือปุ๊บก็จะลืมไปเลย
:b8: แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว...ติดบัญญัติ..คือ
พยายามจะหาคำเรียกในสิ่งที่เกิดขึ้น



มีคำเรียกนะ สภาพธรรมที่คุณเป็นอยู่นี่
มีชื่อเรียกตามพระธรรมคำสอน ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงตรัสเรียกชื่อสภาพธรรมนี้ว่า "สัญญา"

ความรู้ต่างๆ ที่บางครั้งอาจมีเกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิ
หรือมีการคิดพิจรณา ที่มีเกิดขึ้น ขณะดำเนินชีวิตประจำวัน
ที่เราเรียกกันว่า ความรู้ ก็เป็นเพียง สภาพธรรมที่มีชื่อเรียกว่า "สัญญา"
เพราะยังไม่สามารถนำสิ่งที่คิดว่า รู้ นำมากระทำเพื่อดับเหตุแห่งทุกข์ได้

คือ เราทั้งหลาย ล้วนเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ เพราะเหตุปัจจัยที่มีอยู่
ในอดีตชาติ ย่อมเคยกระทำความเพียรมาบ้าง จึงได้มีสัญญา หรือความรู้ คำเรียกต่างๆ
ที่ไม่เคยได้ยิน ได้เห็น ได้อ่าน หรือได้ศึกษามาก่อน มีเกิดขึ้นมากบ้าง น้อยบ้าง นี่เรื่องปกติ

ถึงเวลา เหตุปัจจัยพร้อม สัญญาต่างๆ จะมีเกิดขึ้นเองตามเหตุและปัจจัย
จึงไม่ควรถือมั่นในสัญญาต่างๆที่มีเกิดขึ้น ให้กำหนดรู้
เมื่อกำหนดรู้เนืองๆ สภาพธรรมอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ย่อมมีเกิดขึ้นเองตามเหตุปัจจัย
เมื่อรู้เห็นเนืองๆ ถึงสภาพธรรมที่มีเกิดขึ้นว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ความยึดมั่นถือมั่น ที่ยังมีอยู่ จะค่อยๆเบาบางลงไปตามเหตุและปัจจัย

สภาพธรรมที่มีชื่อเรียกว่า "ปัญญา" มีเพียงหนึ่งเดียว คือ
รู้ข้อปฏิบัติ และวิธีกระทำเพื่อดับเหตุแห่งทุกข์
รู้แล้วจบ หยุดมากกว่าจะกระทำให้เกิดขึ้นใหม่

รู้นั้นๆ จะตรงกับพระธรรมคำสอน ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้
เวลานำมาเผยแผ่ จึงใช้พระธรรมคำสอน ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสไว้เป็นหลัก
เพื่อเป็นการดำรงพระสัทธรรมไว้ เพื่อประโยชน์ เกื้อกูลต่อผู้ที่เดินตามพระธรรมคำสอน


๒. เอตังมมสูตร
ว่าด้วยเหตุแห่งการถือมั่นว่าเป็นของเรา

[๔๑๙] พระนครสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่ออะไรหนอมีอยู่ เพราะถือมั่นอะไร
เพราะยึดมั่นอะไร ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า
นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา?

ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมของข้าพระองค์
ทั้งหลายมีพระผู้มีพระภาคเป็นรากฐาน ฯลฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อรูปแลมีอยู่ เพราะถือมั่นรูป เพราะยึดมั่นรูป
ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา.

เมื่อเวทนามีอยู่ ฯลฯ เมื่อสัญญามีอยู่ ฯลฯ เมื่อสังขารมีอยู่ ฯลฯ
เมื่อวิญญาณมีอยู่ เพราะถือมั่นวิญญาณ
เพราะยึดมั่นวิญญาณ ทิฏฐิจึงเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า นั่นของเรานั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา.


[๔๒๐] พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา เพราะไม่ถือมั่นสิ่งนั้น
ทิฏฐิจะพึงเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา บ้างไหม?
ภิ. ไม่พึงเกิดทิฏฐิอย่างนั้นเลย พระเจ้าข้า.
พ. เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา เพราะไม่ถือมั่นสิ่งนั้น
ทิฏฐิจะพึงเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา บ้างไหม?
ภิ. ไม่พึงเกิดทิฏฐิขึ้นอย่างนั้นเลย พระเจ้าข้า.
พ. แม้สิ่งที่บุคคลเห็นแล้ว ฟังแล้ว ทราบแล้ว รู้แจ้งแล้ว ถึงแล้ว แสวงหาแล้ว
ใคร่ครวญแล้วด้วยใจ สิ่งนั้นเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ภิ. ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า.
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ภิ. เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา เพราะไม่ถือมั่นสิ่งนั้น
ทิฏฐิจะพึงเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา บ้างไหม?
ภิ. ไม่พึงเกิดทิฏฐิอย่างนั้นเลย พระเจ้าข้า.
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล อริยสาวกละความสงสัยในฐานะ ๖ เหล่านี้ ชื่อว่า
เป็นอันละความสงสัยแม้ในทุกข์ แม้ในทุกขสมุทัย แม้ในทุกขนิโรธ แม้ในทุกขนิโรธคามินี-
*ปฏิปทา ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อนั้น อริยสาวกนี้เราเรียกว่า เป็นพระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำ
เป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า.



http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 872&Z=4909





๑. อานันทสูตร
ว่าด้วยปัจจัยให้มีและไม่ให้มีตัณหามานะทิฏฐิ

[๑๙๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี.

ณ ที่นั้นแล ท่านพระอานนทเถระเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วกล่าวว่า
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้น รับคำท่านพระอานนท์แล้ว.
ท่านพระอานนท์ จึงได้กล่าวว่า

ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ท่านพระปุณณมันตานีบุตร มีอุปการะมากแก่พวกเราเหล่าภิกษุใหม่
ท่านกล่าวสอนพวกเราด้วยโอวาทอย่างนี้ว่า

ดูกรท่านอานนท์ เพราะถือมั่น จึงมีตัณหา มานะ ทิฏฐิว่า เป็นเรา
เพราะไม่ถือมั่น จึงไม่มีตัณหา มานะ ทิฏฐิว่า เป็นเรา.

เพราะถือมั่น อะไรจึงมีตัณหา มานะ ทิฏฐิว่า เป็นเรา
เพราะไม่ถือมั่นอะไร จึงไม่มีตัณหา มานะ ทิฏฐิว่า เป็นเรา.

เพราะถือมั่นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงมีตัณหา มานะ ทิฏฐิว่า เป็นเรา
เพราะไม่ถือมั่นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จึงไม่มีตัณหา มานะ ทิฏฐิว่า เป็นเรา.

ดูกรท่านอานนท์ เปรียบเสมือนสตรีหรือบุรุษรุ่นหนุ่มรุ่นสาว มีนิสัยชอบแต่งตัว ส่องดู
เงาหน้าของตน ที่กระจกหรือที่ภาชนะน้ำ อันใสบริสุทธิ์ผุดผ่อง
เพราะยึดถือจึงเห็น เพราะไม่ยึดถือจึงไม่เห็นฉันใด.

ดูกรท่านอานนท์ เพราะถือมั่นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
จึงมีตัณหา มานะ ทิฏฐิว่า เป็นเรา

เพราะไม่ถือมั่นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
จึงไม่มีตัณหา มานะ ทิฏฐิว่า เป็นเรา ฉันนั้นเหมือนกันแล.

ดูกรท่านอานนท์ ท่านจะสำคัญ ความข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
อ. ไม่เที่ยง อาวุโส.
ป. เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง?
อ. ไม่เที่ยง อาวุโส ฯลฯ
ป. เพราะเหตุนี้แล อริยสาวกผู้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ รู้ชัดว่า ฯลฯ กิจอื่น
เพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี. (โดยเหตุนี้แล ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า)

ดูกรอาวุโส ท่านพระปุณณมันตานีบุตร เป็นผู้มีอุปการะมาก แก่พวกเราเหล่าภิกษุใหม่
ท่านสอนพวกเราด้วยโอวาทนี้ ก็เราได้ตรัสรู้ธรรม เพราะฟังธรรมเทศนานี้ ของท่านพระปุณณมันตานีบุตร.


http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B ... 357&Z=2383

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ส.ค. 2015, 22:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัญหาการนั่งสมาธิของคุณidea คือ สมาธิมาก แต่ ยังไม่เกิดการพิจารณา

ยังยอมรับความทุกข์ในความเป็นอนิจจังไม่ได้

ศรัทธาก็มากแล้ว เพราะขยันเข้าวัดนั่งสมาธิ คือ มีศรัทธาเต็ม100นั่นเอง

กลัวต่อความเป็นอนิจจัง

กลัวความแตกสลาย

หรือพูดง่ายๆคือกลัวความตาย(ทั้งๆที่ไม่ได้เขียนออกมา)

กลัวความเปลี่ยนแปลงที่เป็นธรรมชาติอยู่แล้ว

คือยังเป็นอัตตาอยู่

ความแตกสลาย เกิดดับ ยังเป็นของเราอยู่นั่นเอง

ก็เท่ากับว่าเรามองธรรมเป็นอัตตา

ก็คือ ต้องพิจารณาไตรลักษณ์ครับ ไม่ใช่พิจารณาอารมณ์

แต่คุณ idea พิจารณาอารมณ์อย่างเดียว ทั้งๆที่ธรรมนั้นกำหนดเห็นอยู่ตรงหน้า

คือเคยบอกแล้วว่า องค์ธรรมเกิด คือ เห็นอาการที่เกิดขึ้น แต่ไม่เห็นอนิจจังเป็นอารมณ์

ยังเห็นอาการเป็นของเราอยู่

อาการนี้ไม่น่าจะใช่สุดโต่ง

แต่เป็นสมาธิที่เป็น สภาวะที่แสดงสถานะของธรรมตามธรรมดา แต่เรากลัวความตาย ความแตกสลายจะบังเกิดขึ้นกับเรานั่นเอง

ถ้าปัญญามี ต้องเห็นเป็นอนัตตาครับ

คือความเห็นผมจะขัดแย้งกับผู้สอบอารมณ์ท่านอื่น ที่บอกว่าปัญญามาก ศรัทธาน้อย
ในกรณีของคุณ idea ความเห็นผมคือ ศรัทธาเต็ม100 แต่ขาดการพิจารณาธรรมครับ(ปัญญา)

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 404 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 12, 13, 14, 15, 16, 17, 18 ... 27  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร