วันเวลาปัจจุบัน 17 ก.ค. 2025, 01:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 911 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13 ... 61  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2015, 10:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ส่วนในมรรค์ นั้น...ผมว่า..ทั้งหมดองค์8 นั้นแหละ...ล้าวนแต่เป็นตัวปัญญา...คือ..มีปัญญาอยู่ในทุกองค์...

มรรค 8 คือ..ตัวปัญญา...ก็ไม่ผิดนักหรอก..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2015, 12:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
s004
ในโอวาทปาติโมกข์นั้นเมื่อย่อลงมาก็จะเป็น

ศีล สมาธิ ปัญญา

แต่ในอริยมรรคมีองค์ ๘ เมื่อย่อลงมาจะได้

ปัญญา ศีล สมาธิ

น่าคิดน่าวิเคราะห์กันไหมครับว่า เพราะอะไร??????
s006


มีปัญหากับลำดับหรอคับ...

ปัญญาแรกในองค์มรรค์นั้น....ก็ต้องมีปัญญาเห็น...อริยะสัจ 3ข้อแรก..ก่อน..คือเห็นทุกข์...เห็นเหตุให้เกิดทุกข์...เห็นทุกข์ดับ...

ทีนี้...คนจะเห็นอริยะสัจ..นี้...จะบังคับให้กันมาเห็นเลย...บีบคอให้เห็น..หรือ..พูดว่าจงเห็น...นั้น..มันก็เป็นไปไม่ได้

ผู้จะเห็นอริยะสัจ...แล้วคิดว่าต้องมาปฏิบัติธรรม...ในมรรค์มีองค์ 8 ..ได้


ก็ล้วนมีที่มา...คือ..เป็นคนใฝ่ดีมาก่อน...เป็นคนทำดีมาก่อน...แม้จะเป็นความดีแบบโลกๆ..เช่นทำทาน...รักษาศีล

ลำดับ..ศีล...สมาธิ...ปัญญา....ก็ถูกต้องดีงามแล้ว
รึ..จะขุดตั้งแต่รากมาเลย..จะกล่าวว่า...ทาน..ศีล...ภาวนา...ก็ถูกอีก

จะมอง..เฉพาะ...ศีล..สมาธิ...ปัญญา...มีแต่ในมรรค์...ยังเป็นการมองที่ไม่ถูกต้อง..ครอบคลุม...

ธรรมของพระองค์...จะกล่าว..ลาดไปจาก..ง่าย...แล้วค่อยๆ..ไปยาก...เป็นปกติ
ไม่จริงหรอกต้องใฝ่ดีมาก่อน. แค่เปิดใจฟังพระสัทธรรมก็มีโอกาสเห็นอริยสัจแล้ว

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2015, 15:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ส่วนในมรรค์ นั้น...ผมว่า..ทั้งหมดองค์8 นั้นแหละ...ล้วนแต่เป็นตัวปัญญา...คือ..มีปัญญาอยู่ในทุกองค์...

มรรค 8 คือ..ตัวปัญญา...ก็ไม่ผิดนักหรอก..

:b12:
๕๕๕๕๕๕๕ กบเล่นตีรวมมาแบบกำปั้นทุบดินอย่างนี้ก็ดูเหมือนถูกต้องนะแต่วิเคราะห์ดูลึกๆแล้วมรรคทั้ง ๘ ตัวนี่มันเป็นเจตสิกคนละตัวกันด้วย

ตัวอย่างเช่น

สัมมาทิฏฐิ เป็นปัญญินทรีย์เจตสิก สัมมาสมาธิเป็นสมาธินทรีย์เจตสิก สัมมาวายามะเป็นวิริยินทรีย์เจตสิก เวลาทำงานลักษณะการทำงานก็ต่างกัน

สิ่งที่น่าจะกล่าวน่าจะกล่าวว่า มรรคทั้ง ๓ กลุ่มคือ ปัญญามรรค ๒ ศีลมรรค ๓ และสมาธิมรรค ๓ นั้น ล้วนเป็นเหตุเป็นปัจจัยสนับสนุนซึ่งกันและกันอิงอาศัยซึ่งกันและกันดุจองคาพยพหรืออวัยวะของร่างกายนั่นเอง

ลักษณะการทำงานของมรรคแต่ละตัวในสถานการณ์จริง

กลุ่มที่ ๑ ปัญญามรรค

๑.สัมมาทิฏฐิ ทำหน้าที่ ดู เห็น รู้

๒.สัมมาสังกัปปะ ทำหน้าที่ สังเกต (ไม่ใช้ความคิด) พิจารณา (ใช้ความคิด)


กลุ่มที่ ๒ ศีลมรรค

๓.สัมมาวาจา คำพูดจาชอบ ถูกต้องคือ ไม่พูดเท็จ ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล

๔.สัมมากัมมันตะ การทำการงานชอบ เครื่องชี้วัดง่ายๆคือการทำการงานที่ไม่ล่วงศีล ๕ ส่วนการงานชอบที่สูงลึกเข้าไปก็คือการทำการงานที่เกี่ยวกับบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อย่าง เป็นต้น

๕.สัมมาอาชีวะ การประกอบอาชีพชอบ คืออาชีพที่ไม่ผิดศีล ๕ ที่สูงลึกซึ้งขึ้นไปก็เช่นการบิณฑบาตรโปรดสัตว์ของพระเณร ชี นี่ก็ถือเป็นอาชีพชอบ

กลุ่มที่ ๓ สมาธิมรรค

๖.สัมมาวายามะ ความเพียรชอบ
๖.๑ บาปอกุศลเก่าๆ เพียรละ ด้วยวิปัสสนาภาวนา
๖.๒ บาปอกุศลใหม่ๆ เพียรระวังไม่ให้เกิด ด้วยศีล
๖.๓ กุศลเก่าๆที่เคยทำเพียรรักษาและทำให้เจริญงอกงาม ด้วยบุญกิริยาวัตถุ ๙
๖.๔ บุญกุศลใหม่ๆที่ยังไม่เกิด เพียรทำให้เกิด บุญกุศลใหม่ๆที่ยังไม่เกิดนั้นพระบรมศาสดาคงหมายถึง มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ หรือโลกุตรธรรม ๙ ยังไม่เคยเกิดขึ้นในใจมาก่อนต้องเพียรทำให้เกิดไปตามลำดับจนครบทั้งหมด

๗.สัมมาสติ ลักษณะการทำงานคือ
รู้ทัน (ปัจจุบันอารมณ์)
ระลึกได้
ไม่ลืม


๘. สัมมาสมาธิ คืออาการที่นิวรณ์ธรรมทั้ง ๕ สงบรำงับไป เกิดความสงบตั้งมั่นไปตามลำดับฌาณที่ ๑ - ๒ - ๓ -๔เข้าออกๆได้อย่างคล่องแคล่วดังใจปารถนาแล้วนำมาตั้งมั่นอยู่กับการเจริญมรรค ๘
:b37: :b36:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2015, 20:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ยิ่งถ้าได้เห็นจิตที่ ปัญญินทรีย์เจตสิก ประกอบอยู่

ก็ยิ่งจะเห็นชัดใน

:b1:

ศีล สมาธิ ปัญญา...

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2015, 20:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ส่วนในมรรค์ นั้น...ผมว่า..ทั้งหมดองค์8 นั้นแหละ...ล้วนแต่เป็นตัวปัญญา...คือ..มีปัญญาอยู่ในทุกองค์...

มรรค 8 คือ..ตัวปัญญา...ก็ไม่ผิดนักหรอก..

:b12:
๕๕๕๕๕๕๕ กบเล่นตีรวมมาแบบกำปั้นทุบดินอย่างนี้ก็ดูเหมือนถูกต้องนะแต่วิเคราะห์ดูลึกๆแล้วมรรคทั้ง ๘ ตัวนี่มันเป็นเจตสิกคนละตัวกันด้วย

ตัวอย่างเช่น

สัมมาทิฏฐิ เป็นปัญญินทรีย์เจตสิก สัมมาสมาธิเป็นสมาธินทรีย์เจตสิก สัมมาวายามะเป็นวิริยินทรีย์เจตสิก เวลาทำงานลักษณะการทำงานก็ต่างกัน

สิ่งที่น่าจะกล่าวน่าจะกล่าวว่า มรรคทั้ง ๓ กลุ่มคือ ปัญญามรรค ๒ ศีลมรรค ๓ และสมาธิมรรค ๓ นั้น ล้วนเป็นเหตุเป็นปัจจัยสนับสนุนซึ่งกันและกันอิงอาศัยซึ่งกันและกันดุจองคาพยพหรืออวัยวะของร่างกายนั่นเอง

ลักษณะการทำงานของมรรคแต่ละตัวในสถานการณ์จริง

กลุ่มที่ ๑ ปัญญามรรค

๑.สัมมาทิฏฐิ ทำหน้าที่ ดู เห็น รู้

๒.สัมมาสังกัปปะ ทำหน้าที่ สังเกต (ไม่ใช้ความคิด) พิจารณา (ใช้ความคิด)


กลุ่มที่ ๒ ศีลมรรค

๓.สัมมาวาจา คำพูดจาชอบ ถูกต้องคือ ไม่พูดเท็จ ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล

๔.สัมมากัมมันตะ การทำการงานชอบ เครื่องชี้วัดง่ายๆคือการทำการงานที่ไม่ล่วงศีล ๕ ส่วนการงานชอบที่สูงลึกเข้าไปก็คือการทำการงานที่เกี่ยวกับบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อย่าง เป็นต้น

๕.สัมมาอาชีวะ การประกอบอาชีพชอบ คืออาชีพที่ไม่ผิดศีล ๕ ที่สูงลึกซึ้งขึ้นไปก็เช่นการบิณฑบาตรโปรดสัตว์ของพระเณร ชี นี่ก็ถือเป็นอาชีพชอบ

กลุ่มที่ ๓ สมาธิมรรค

๖.สัมมาวายามะ ความเพียรชอบ
๖.๑ บาปอกุศลเก่าๆ เพียรละ ด้วยวิปัสสนาภาวนา
๖.๒ บาปอกุศลใหม่ๆ เพียรระวังไม่ให้เกิด ด้วยศีล
๖.๓ กุศลเก่าๆที่เคยทำเพียรรักษาและทำให้เจริญงอกงาม ด้วยบุญกิริยาวัตถุ ๙
๖.๔ บุญกุศลใหม่ๆที่ยังไม่เกิด เพียรทำให้เกิด บุญกุศลใหม่ๆที่ยังไม่เกิดนั้นพระบรมศาสดาคงหมายถึง มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ หรือโลกุตรธรรม ๙ ยังไม่เคยเกิดขึ้นในใจมาก่อนต้องเพียรทำให้เกิดไปตามลำดับจนครบทั้งหมด

๗.สัมมาสติ ลักษณะการทำงานคือ
รู้ทัน (ปัจจุบันอารมณ์)
ระลึกได้
ไม่ลืม


๘. สัมมาสมาธิ คืออาการที่นิวรณ์ธรรมทั้ง ๕ สงบรำงับไป เกิดความสงบตั้งมั่นไปตามลำดับฌาณที่ ๑ - ๒ - ๓ -๔เข้าออกๆได้อย่างคล่องแคล่วดังใจปารถนาแล้วนำมาตั้งมั่นอยู่กับการเจริญมรรค ๘
:b37: :b36:


ระดับธรรมดา..ธรรมดา...ก็เป็นอย่างที่อโสกะว่ามาข้างบนนี้แหละครับ..ไล่ไปตามคำแปล

แต่ถ้าระดับ Advance ขึ้นมาหน่อย..จะเข้าใจครับว่า..ทำไม

มรรคทั้งแปด...นั้นแหละตัวปัญญา..ทั้งหมด..

ถ้าขาดตัวปัญญาแล้วละก้อ...ที่กำลังทำอยู่ในแต่ละข้อ...ก็ไม่เป็นมรรคาไปได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2015, 20:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1:

Quote Tipitaka:
สา. ปัญญาและวิญญาณ ธรรม ๒ ประการนี้ ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน ผมไม่อาจแยก
ออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้ เพราะปัญญารู้ชัดสิ่งใด วิญญาณก็รู้แจ้งสิ่งนั้น วิญญาณ
รู้แจ้งสิ่งใด ปัญญาก็รู้ชัดสิ่งนั้น ฉะนั้น ธรรม ๒ ประการนี้ จึงปะปนกัน ไม่แยกจากกัน ผมไม่
อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้.

....

สา. เวทนา สัญญา และวิญญาณ ธรรม ๓ ประการนี้ ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน
ผมไม่อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้ เพราะเวทนารู้สิ่งใด สัญญาก็จำสิ่งนั้น
สัญญาจำสิ่งใด วิญญาณก็รู้แจ้งสิ่งนั้น ฉะนั้น ธรรม ๓ ประการนี้ จึงปะปนกัน ไม่แยกจากกัน
ผมไม่อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้.


อ้างคำพูด:
วิสุทธิมรรค เล่ม ๓ ภาคปัญญา ปริเฉทที่ ๑๔ ขันธนิเทศ หน้าที่ ๑ - ๕
<<
(หน้าที่ 1)


=== ปริเฉทที่ ๑๔ ===


=== ขันธนิเทศ ===


บัดนี้ เพราะเหตุที่สมาธิที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงออกแล้วด้วยธรรม
โดยยกจิตเป็นประธาน ในพระคาถาว่า “สีเล ปติฏฺฐาย นโร สปญฺโญ

จิตฺตํ ปญฺญญฺจ ภาวยํ” ดังนี้ เป็นต้น ย่อมเป็นอันภิกษุผู้ประกอบด้วย

สมาธิภาวนาอันแน่วแน่ มีอานิสงส์อันบรรลุแล้วด้วยอำนาจแห่งอภิญญาอย่างนี้

เจริญแล้วโดยอาการทั้งปวง ต่อแต่นั้น พึงเจริญปัญญาโดยลำดับไป ก็ปัญญานั้น

ไม่ใช่ทำได้อย่างง่ายนัก
แม้เพื่อจะรู้แจ้ง เพราะทรงแสดงไว้โดยสังเขป จะป่วย

กล่าวไปใยถึงการเจริญเล่า ฉะนั้น เพื่อจะแสดงความพิสดารและนัยแห่งภาวนาปัญญานั้น

จึงมีปัญหานี้ว่า อะไรชื่อว่าปัญญา ? ที่ชื่อว่าปัญญาเพราะอรรถว่าอะไร ?

ลักษณะ กิจ ผล เหตุใกล้ ของปัญญานั้น เป็นอย่างไร ? ปัญญามีกี่อย่าง จะ

พึงเจริญอย่างไร ? การเจริญปัญญา มีอานิสงส์อย่างไร ? พึงทราบวิสัชนาใน

ข้อปัญหานั้นดังต่อไปนี้



ปัญหากรรมที่ว่า “อะไรเป็นปัญญา” นั้น มีวิสัชนาว่า ปัญญามีหลายอย่าง
ต่างประการ อันจะวิสัชนาชี้แจงปัญญานั้นไปทุกอย่าง จะไม่พึงยังประโยชน์

ให้สำเร็จ ทั้งจะพึงเป็นไปเพื่อความเฝือยิ่งขึ้นด้วย เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลาย

จะกล่าวหมายเอาปัญญาที่ประสงค์ในที่นี้เท่านั้น คือวิปัสสนาญาณอันสัมปยุต

ด้วยกุศลจิตเป็นปัญญา




ปัญหาว่า อะไรชื่อว่าปัญญา ? เฉลย - ที่ชื่อว่าปัญญาเพราะอรรถว่ารู้ชัด

ที่ชื่อว่ารู้ชัดนี้ คืออย่างไร คือความรู้โดยประการต่าง ๆ พิเศษยิ่งกว่าอาการคือ

ความหมายรู้ และความรู้แจ้ง จริงอยู่ แม้เมื่อสัญญา วิญญาณ และปัญญา

จะเป็นความรู้ด้วยกัน แต่สัญญาเป็นสักแต่ว่าความหมายรู้อารมณ์ เช่น รู้จักว่า

สีเขียว สีเหลือง เป็นต้นเท่านั้น แต่ไม่อาจให้ถึง ความแทงตลอดซึ่งลักษณะว่า

ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาได้
วิญญาณย่อมรู้จักอารมณ์ว่า สีเขียว สีเหลือง

เป็นต้นด้วยและย่อมให้ถึงความแทงตลอดซึ่งลักษณะได้ด้วย แต่ไม่อาจจะให้

ก้าวหน้าไปถึงความปรากฏแห่งมรรคได้
ส่วนปัญญาย่อมรู้อารมณ์และให้ถึง

ความแทงตลอด ซึ่งลักษณะด้วยอำนาจแห่งนัยดังกล่าวแล้ว ทั้งให้ก้าวหน้าไป

ถึงความปรากฏแห่งมรรคด้วย



....

ก็ปัญญานี้นั้น เป็นธรรมชาติที่ละเอียดเห็นได้ยาก
เพราะมีความแตกต่างกันที่บุคคลแยกไม่ได้ว่า
ที่ใดมีสัญญาและวิญญาณ ที่นั้นไม่มีปัญญาโดยส่วนเดียว


ก็ในกาลใดมีปัญญา ในกาลนั้น ปัญญาก็ยังแยกออกจากธรรมเหล่านั้นไม่ได้ว่า “นี้สัญญา นี้วิญญาณ นี้ปัญญา”

....



https://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%A ... _%E0%B9%95

:b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 11 ส.ค. 2015, 21:08, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2015, 21:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ส่วนในมรรค์ นั้น...ผมว่า..ทั้งหมดองค์8 นั้นแหละ...ล้วนแต่เป็นตัวปัญญา...คือ..มีปัญญาอยู่ในทุกองค์...

มรรค 8 คือ..ตัวปัญญา...ก็ไม่ผิดนักหรอก..

:b12:
๕๕๕๕๕๕๕ กบเล่นตีรวมมาแบบกำปั้นทุบดินอย่างนี้ก็ดูเหมือนถูกต้องนะแต่วิเคราะห์ดูลึกๆแล้วมรรคทั้ง ๘ ตัวนี่มันเป็นเจตสิกคนละตัวกันด้วย

ตัวอย่างเช่น

สัมมาทิฏฐิ เป็นปัญญินทรีย์เจตสิก สัมมาสมาธิเป็นสมาธินทรีย์เจตสิก สัมมาวายามะเป็นวิริยินทรีย์เจตสิก เวลาทำงานลักษณะการทำงานก็ต่างกัน

สิ่งที่น่าจะกล่าวน่าจะกล่าวว่า มรรคทั้ง ๓ กลุ่มคือ ปัญญามรรค ๒ ศีลมรรค ๓ และสมาธิมรรค ๓ นั้น ล้วนเป็นเหตุเป็นปัจจัยสนับสนุนซึ่งกันและกันอิงอาศัยซึ่งกันและกันดุจองคาพยพหรืออวัยวะของร่างกายนั่นเอง

ลักษณะการทำงานของมรรคแต่ละตัวในสถานการณ์จริง

กลุ่มที่ ๑ ปัญญามรรค

๑.สัมมาทิฏฐิ ทำหน้าที่ ดู เห็น รู้

๒.สัมมาสังกัปปะ ทำหน้าที่ สังเกต (ไม่ใช้ความคิด) พิจารณา (ใช้ความคิด)


กลุ่มที่ ๒ ศีลมรรค

๓.สัมมาวาจา คำพูดจาชอบ ถูกต้องคือ ไม่พูดเท็จ ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหล

๔.สัมมากัมมันตะ การทำการงานชอบ เครื่องชี้วัดง่ายๆคือการทำการงานที่ไม่ล่วงศีล ๕ ส่วนการงานชอบที่สูงลึกเข้าไปก็คือการทำการงานที่เกี่ยวกับบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อย่าง เป็นต้น

๕.สัมมาอาชีวะ การประกอบอาชีพชอบ คืออาชีพที่ไม่ผิดศีล ๕ ที่สูงลึกซึ้งขึ้นไปก็เช่นการบิณฑบาตรโปรดสัตว์ของพระเณร ชี นี่ก็ถือเป็นอาชีพชอบ

กลุ่มที่ ๓ สมาธิมรรค

๖.สัมมาวายามะ ความเพียรชอบ
๖.๑ บาปอกุศลเก่าๆ เพียรละ ด้วยวิปัสสนาภาวนา
๖.๒ บาปอกุศลใหม่ๆ เพียรระวังไม่ให้เกิด ด้วยศีล
๖.๓ กุศลเก่าๆที่เคยทำเพียรรักษาและทำให้เจริญงอกงาม ด้วยบุญกิริยาวัตถุ ๙
๖.๔ บุญกุศลใหม่ๆที่ยังไม่เกิด เพียรทำให้เกิด บุญกุศลใหม่ๆที่ยังไม่เกิดนั้นพระบรมศาสดาคงหมายถึง มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ หรือโลกุตรธรรม ๙ ยังไม่เคยเกิดขึ้นในใจมาก่อนต้องเพียรทำให้เกิดไปตามลำดับจนครบทั้งหมด

๗.สัมมาสติ ลักษณะการทำงานคือ
รู้ทัน (ปัจจุบันอารมณ์)
ระลึกได้
ไม่ลืม


๘. สัมมาสมาธิ คืออาการที่นิวรณ์ธรรมทั้ง ๕ สงบรำงับไป เกิดความสงบตั้งมั่นไปตามลำดับฌาณที่ ๑ - ๒ - ๓ -๔เข้าออกๆได้อย่างคล่องแคล่วดังใจปารถนาแล้วนำมาตั้งมั่นอยู่กับการเจริญมรรค ๘
:b37: :b36:


ระดับธรรมดา..ธรรมดา...ก็เป็นอย่างที่อโสกะว่ามาข้างบนนี้แหละครับ..ไล่ไปตามคำแปล

แต่ถ้าระดับ Advance ขึ้นมาหน่อย..จะเข้าใจครับว่า..ทำไม

มรรคทั้งแปด...นั้นแหละตัวปัญญา..ทั้งหมด..

ถ้าขาดตัวปัญญาแล้วละก้อ...ที่กำลังทำอยู่ในแต่ละข้อ...ก็ไม่เป็นมรรคาไปได้
ปัญญาแบบท่องคาถาเงินล้านนะเหรอครับ ปัญญาระดับadvance555

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2015, 21:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: เพิ่งได้มีโอกาสอ่านธรรมเรื่องปัญญาที่พระนาคเสนแสดง...

อ้างคำพูด:
ในปัญหาข้อว่า ลักษณะ กิจ ผล เหตุใกล้ของปัญญานั้น เป็นอย่างไร ?
นี้พึงทราบวินิจฉัย ดังต่อไปนี้

ปัญญา มีการแทงตลอดสภาวธรรมเป็นลักษณะ
มีการกำจัดความมืดคือโมหะที่ปกปิดสภาวะความเป็นจริงของธรรมทั้งหลายเป็นกิจ

มีความไม่หลงเป็นผล ก็สมาธิเป็นเหตุใกล้ของปัญญา
นั้น โดยพระบาลีว่า

“ผู้มีจิตตั้งมั่น ย่อมรู้ ย่อมเห็นตามความเป็นจริง” ดังนี้


https://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%A ... _%E0%B9%95


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2015, 21:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
ปัญญาแบบท่องคาถาเงินล้านนะเหรอครับ ปัญญาระดับadvance555


โอ้ว....มีปัญญานี้มันสบาย...นะ Bigtoo ท่องคาถาก็ยังสบาย..เลย..555

ขาดปัญญาเสียอย่างเดียว..นะ...บริจาค 50,000 80,000..รึบริจาคหมดตัว..ยังหาความสบายไม่ได้เลย..
:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2015, 21:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ปัญญาจะพึงเจริญอย่างไร

ส่วนปัญหาว่า “จะพึงเจริญอย่างไร” นี้ มีพรรณนาว่า

เพราะเหตุที่ธรรมทั้งหลายอันแยกประเภทเป็น ขันธ์ อายตนะ ธาตุ อินทรีย์ สัจจะ และปฏิจจสมุปบาท เป็นต้น เป็น ภูมิของปัญญา นี้

วิสุทธิ ๒ คือ สีลวิสุทธิและจิตตวิสุทธิ เป็นมูลของปัญญานี้

วิสุทธิ ๕ คือ ทิฏฐิวิสุทธิ ๑ กังขาวิตรณวิสุทธิ ๑ มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ๑ ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ๑ และญาณทัสสนวิสุทธิ ๑ เป็นสรีระของปัญญานี้

เพราะเหตุนั้น ปัญญาอันภิกษุผู้ทำความสั่งสมความรู้โดยการเล่าเรียนและไต่ถามในธรรมที่เป็นภูมิเหล่านั้นแล้ว
ยังวิสุทธิ ๒ ที่เป็นมูลให้ถึงพร้อม
แล้วทำวิสุทธิ ๕ ที่เป็นสรีระให้ถึงพร้อมอยู่ จะพึงบำเพ็ญได้
นี่เป็นความสังเขปในปัญหาข้อนี้


posting.php?mode=reply&f=1&t=50118

:b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2015, 21:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

แห่ม..ทำให้ผมละอายจัง... s002

มั่วแต่มาเถียงกะสุดยอดมนุษย์..นี้นะ
:b34: :b34:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2015, 21:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
ปัญญาแบบท่องคาถาเงินล้านนะเหรอครับ ปัญญาระดับadvance555


โอ้ว....มีปัญญานี้มันสบาย...นะ Bigtoo ท่องคาถาก็ยังสบาย..เลย..555

ขาดปัญญาเสียอย่างเดียว..นะ...บริจาค 50,000 80,000..รึบริจาคหมดตัว..ยังหาความสบายไม่ได้เลย..
:b32: :b32: :b32:
ใครเหรอหาความสบายไม่ได้ ถ้าคุณหาความสบายได้จะต้องออกแรงท่องทำไม ผมไม่ต้องท่องหรอกเพราะไม่อยากได้

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2015, 21:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
bigtoo เขียน:
ปัญญาแบบท่องคาถาเงินล้านนะเหรอครับ ปัญญาระดับadvance555


โอ้ว....มีปัญญานี้มันสบาย...นะ Bigtoo ท่องคาถาก็ยังสบาย..เลย..555

ขาดปัญญาเสียอย่างเดียว..นะ...บริจาค 50,000 80,000..รึบริจาคหมดตัว..ยังหาความสบายไม่ได้เลย..
:b32: :b32: :b32:


bigtoo เขียน:
ใครเหรอหาความสบายไม่ได้ ถ้าคุณหาความสบายได้จะต้องออกแรงท่องทำไม ผมไม่ต้องท่องหรอกเพราะไม่อยากได้


ท่องนี้..ผมไม่ต้องออกแรง..เล้ยนะ.. :b9: :b9:

ท่องสบายๆ..กลับเป็นสมาธิอีกเสียนิ...พับผ่าซิ :b15: :b15:

ส่วนคนไม่สบาย...นี้นะ..ดูง่าย...มันดิ้นไม่หยุด....

ใจดิ้น..วาจาดิ้น...หัวใจเต้นตึบตับ..มันดิ้นไปหมดแหละ...อยากให้เขาว่าเราดี..ก็ดิ้น...ดิ้นไปบอกเขาโหมดว่า..ทำทานหมดเลยนะ...อันนั้นฉันหลุดแล้ว..อันนี้ฉันเป็นของจริงนะ...เสียอย่างเดียว..ไม่ยักกะดิ้นหาพระสูตรที่เคยยกมา.. :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ส.ค. 2015, 22:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b8: :b8: :b8:

แห่ม..ทำให้ผมละอายจัง... s002

มั่วแต่มาเถียงกะสุดยอดมนุษย์..นี้นะ
:b34: :b34:


นี่เอกอนทำให้อ๊บซ์ละอายจังเหร๋อ... :b14: :b10:

โธ่...นี่เอกอนไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้นเลยนะนี่... :b5: :b5:

เอกอนเพียงแต่ พยายามยกนัยยะ สำหรับ ผู้ที่มักจะพยายามหยิบปัญญามาไว้หน้าด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา

แต่เอกอนยังคงเห็น ศีล สมาธิ ปัญญา เท่านั้นเอง

...อ๊บซ์...เอกอนขอโต๊ดดดด...

cry cry cry

:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ส.ค. 2015, 06:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32:

เค้าขอบคุณตะเอ่ง..ต่างหาก...

:b9: :b9: :b9:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 911 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 7, 8, 9, 10, 11, 12, 13 ... 61  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร