อย่าติดดี...ซี...ใครพูดหน่า..



พูดเอง...งั้ยติดเอง...ซะละ


ถ้ามี..หิริ..โอตัปปะ..สักนิดนะ...

จะดีไม่น้อย...

ติดดีกับตรงธรรมมันแตกต่างกันนะ. ท่านนะติดดีแต่ยังไม่ตรงหลักธรรม เห็นว่าปราถนานิพพานนะถึงบอกทางให้ ถ้าต้องการเพียงสวรรค์ชั้นฟ้าก็ทำไปเถอะใครๆเขาก็ทำกัน

อย่าเอาคำตนยัดใส่ปากพระพุทธเจ้า..อีกนะ..สังวร..ระวัง..เพิ่ม..หิริ..โอตัปปะ...ด้วยนะครับ

ให้สมกับที่พูดว่า...พุทธพจน์...พุทธพจน์...นะ

หิริโอตตัปปะ ธรรมะคุ้มครองโลก คุ้มตน
หิริ ความละอายแก่ใจ
โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อผลของบาป
       หิริ คือ ความละอายแก่ใจในขณะกำลังจะทำชั่ว ทั้งทางกาย วาจา ใจ รู้สึกขยะแขยงใจไม่กล้าทำความชั่ว โอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวต่อบาปทุจริต คิดเห็นภัยที่เกิดจากการทำความชั่ว ธรรมเหล่านี้ท่านเรียกว่า ธรรมสำหรับคุ้มครองโลก เพราะย่อมคุ้มครองโลกให้อยู่กันด้วยความรัก สามัคคี ไม่มีความอาฆาต พยาบาทปองร้ายกันและกัน ทำให้การเป็นอยู่ร่วมกัน มีความสงบสุขร่มเย็น นอกจากนี้หิริโอตตัปปะยังเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งห้ามปรามไม่ให้กล้าทำความชั่วลงได้ แม้มีโอกาสที่จะกระทำ เมื่อเข้าใจว่าการที่จะทำเป็นความชั่วแล้ว ก็รู้สึกละอาย หวาดหวั่นใจไม่อาจทำลง เพราะถือหิริโอตตัปปะเป็นใหญ่ โลกจึงมีความสุข และตั้งอยู่ยั่งยืนสืบมา ดังนั้นผู้ที่เป็นกัลยาณมิตรจะต้องทำคุณธรรมข้อนี้ให้มีให้เป็นขึ้นมาในใจ เพราะในขณะทำหน้าที่กัลยาณมิตร จะทำให้เราสามารถพิชิตเป้าหมายได้อย่างงดงาม โดยไม่มีรอยแผลคือบาปอกุศลที่ทำให้นึกถึงแล้วแหนงใจตนเอง หิริโอตัปปะบางครั้งท่านเรียกว่า “ สุกกธรรม” เพราะเป็นธรรมฝ่ายกุศลอันเปรียบด้วยสีขาว และเป็นไปเพื่อความผ่องแผ้วแห่งจิต บางครั้งเรียกว่า “ เทวธรรม” เพราะเป็นธรรมทำบุคคลให้เป็นเทวดาหรือให้เป็นผู้รุ่งเรือง บุคคลเมื่อละจากโลกนี้แล้ว จะเข้าถึงความเป็นเทพในสวรรค์ต้องมีธรรม 2 ประการนี้อยู่ในใจ
 
ขันติ โสรัจจะ ธรรมะที่จะทำตนให้งดงาม
ขันติ ความอดทน
โสรัจจะ ความเสงี่ยม

http://www2.kalyanamitra.org/th/article ... php?i=6902

นี่แหล่ะผู้ที่ไม่มีหิริโอตัปปะที่แท้จริงพูดจาให้ระวัง ที่ว่ายัดใส่ปาก

อย่าทำอย่างนั้นอีก..นะครับBigtoo

กบเข้าใจคำว่าพุทธวจนแค่ไหน. อะไรคือพุทธวจนรู้มั้ย. และที่กบยกมาพุทธพจน์ แค่นี้ก็รู้เข้าๆปถึงในทรวงก้นบึ้งของจิตใจกบเลยว่ากบไม่ยอมรับคำว่าพุทธวจน. ทั้งๆที่กบก็ได้รับความรู้จากสำนักนี้ไม่มากก็น้อย. คนแบบนี้ๆ............

พูดอย่างไร...ให้ทำอย่างนั้น..ด้วยครับ

หากจะกล่าวว่า...ควรยึดคำตถาคต...ก็ให้ยกคำตถาคตมาให้เพื่อนๆได้ศึกษา..จะดีกว่ามั้ยคับ

ที่นี้ทำมาเป็นต้องตรงในตำราเป๊ะ. ที่แค่จะเรียกพุทธวจนยังกระดากที่จะเรียกเลี่ยงไปพุทธพจน์มันเห็นไส้กันว่าคิดอะไีรกับสำนักพุทธวจน
กบรู้ป่าวว่าคำตถาคตคืออะไร. คำได้ถ้าไม่ผิดไปจากความหมายเดิมจะย่อย้นขยาย. เมื่อเทียปเคียงมหาประเทสสี่แล้วความหมายไปในทางเดียวกัน ท่านให้ใช้ได้ถ้าไม่ลงเข้ากันไม่ได้ถือว่าจำมาผิด เรื่องมันก็เท่านี้ กบนี้ต้องทำความเข้าใจอีกเยอะนะ. ทดหมือนที่สาวกไม่ว่าหลวงปู่หลวงตา หลวงพ่อ หลวงพี่ที่นำไปขยายความมากมายอันไหนตรวจสอบแล้วใช้ได้ก็ถือธรรมนั้นคือพุทธวจน. พอเข้าใจนะ.

เฮ่อ..เหนื่อยกับคนปลิ้นปล่อน..จริงๆ..

ตัวเองพูดเองแท้ๆ..ว่า..ให้ยึดคำตถาคต...

พอบอกให้ทำอย่างที่พูด...กลับมาว่าเราจะเอาคำเป้ะ..เป้ะ..

กึ๋นมีมั้ยเนี่ย หัดฟังพุทธวจนเยอะๆจะได้รู้ว่าพระองค์ว่าอย่างไรเรื่องที่พระองค์แสดง. กบรู้มั้ยหลักมหาปเทสมีไวัทำไม

หึ..หึ...ถ้าอย่างนั้น..อย่าพูดเลย..ว่าควรกล่าวแต่คำตถาคต...

เสียคน..เปล่า ๆ..

หิริ...ละอายต่อความชั่ว

โอตัปปะ..เกรงกลัวต่อผลของบาป

ครั้นจะท่องว่า....ฉันละอายชั่ว..ฉันกลัวบาป...หรือจะปวารณาว่า..ฉันจะละอายชั่ว..ฉันจะกลัวบาป....

กระผมก็ไม่คิดว่า...หิริโอตัปปะจะเจริญกับผู้นั้น..นะครับ

แล้วอะไรหน่อ..ที่จะทำให้..หิริโอตัปปะ..เจริญในผู้นั้นได้?

.

ยังมึนอยู่อีก