วันเวลาปัจจุบัน 09 ต.ค. 2025, 22:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2015, 12:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


idea เขียน:
กาย..เวทนา..จิต..ธรรม
มีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันตลอด onion
ไอเดียเข้าใจว่า.. สติจะทำให้เห็นชัด..ทุกฐาน
พอดีว่า...ไอเดียรู้หัวข้อธรรมไม่มาก
แม่นน้อยๆอยู่แค่..อินทรีย์5..
ก็จะเอามาเหมือนประคับประคองการกระทำ..ตามเท่าที่พอจะคิดได้
สัทธา..วิริยะ..สติ..สมาธิ..ปัญญา
ถ้าเท่าที่ปฏิบัติอยู่...วิธีของคุนเปลี่ยนชื่อ.ยังส่งเสริมสติไม่พอ
ก็ลองทบทวน..ด้านกำลังสำคัญมากนะคะ

ส่วนฝึกดูเวทนา..ยังไงหน่ะเหรอ :b32: :b32:
ก็ดูไปสิคะ...เวทนามันเกิดขึ้นตรงไหน..ยังไงก็ดูไป :b22:
แต่อย่าไปอยากให้มันดับ..ดับช้า..ดับเร็ว..อย่าไปอยาก
ตรงนี้ต่างหากที่เป็นเหตุทุกข์
จะดู..ก็แค่ดู..ดูไปเลย..ดูแล้วเป็นไง
อยากไม่อยาก..ชอบไม่ชอบ....กระวนกระวาย..ทุรนทุราย..นี่จิต
พอบ่อยๆเข้า...เห็นมันเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป
ไม่เที่ยง..เป็นทุกข์..ไม่มีตัวตน..ก็อ๋อ...มันก็เป็นเช่นนั้นเอง...นี่ธรรม
:b44: อ๋อบ่อยๆ....กาย..เวทนา..จิต..ธรรม...มันก็กลายเป็นสักแต่ว่า
ทำอะไร..ตั้งใจทำให้ดี..ให้รอบคอบ
ทำแล้วอย่าเพิ่งไปหวังผล
ไม่มีเรา..ไม่ใช่หน้าที่ของเราจะเข้าไปตัดสิน
เป็นหน้าที่ของปัญญา..ให้มันรู้แจ้งเอง
ถึงคราวนั้น..รู้สึกเองว่า...ไม่จับเพราะเห็นมันเป็นของร้อนหน่ะเป็นยังไง
มันจะเป็นไปเอง
s002 เดาเอานะ..หาเรื่องคุย..อิอิ
:b9:





วันก่อนเพิ่งเอาเข่า ไปชนโต๊ะ อย่างจัง

ทันใดนั้น ก็มีเสียงให้ แยกตัวเราออกมมาดู ความเจ็บที่เข่าสิ

เราก็เลยทำตามทันที จากนั้นก็ค่อยๆเห็นความปวดที่รุนแรง ค่อยๆลดลง จนหายไป

ครั้งนั้น กลับสนุกที่ได้รับความเจ็บปวด :b32:
:b13:

แต่มันคงยังทำไม่ได้ทุกครั้ง ที่เกิดเวทนาแน่นอน :b2:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2015, 17:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
idea เขียน:
กาย..เวทนา..จิต..ธรรม
มีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันตลอด onion
ไอเดียเข้าใจว่า.. สติจะทำให้เห็นชัด..ทุกฐาน
พอดีว่า...ไอเดียรู้หัวข้อธรรมไม่มาก
แม่นน้อยๆอยู่แค่..อินทรีย์5..
ก็จะเอามาเหมือนประคับประคองการกระทำ..ตามเท่าที่พอจะคิดได้
สัทธา..วิริยะ..สติ..สมาธิ..ปัญญา
ถ้าเท่าที่ปฏิบัติอยู่...วิธีของคุนเปลี่ยนชื่อ.ยังส่งเสริมสติไม่พอ
ก็ลองทบทวน..ด้านกำลังสำคัญมากนะคะ

ส่วนฝึกดูเวทนา..ยังไงหน่ะเหรอ :b32: :b32:
ก็ดูไปสิคะ...เวทนามันเกิดขึ้นตรงไหน..ยังไงก็ดูไป :b22:
แต่อย่าไปอยากให้มันดับ..ดับช้า..ดับเร็ว..อย่าไปอยาก
ตรงนี้ต่างหากที่เป็นเหตุทุกข์
จะดู..ก็แค่ดู..ดูไปเลย..ดูแล้วเป็นไง
อยากไม่อยาก..ชอบไม่ชอบ....กระวนกระวาย..ทุรนทุราย..นี่จิต
พอบ่อยๆเข้า...เห็นมันเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป
ไม่เที่ยง..เป็นทุกข์..ไม่มีตัวตน..ก็อ๋อ...มันก็เป็นเช่นนั้นเอง...นี่ธรรม
:b44: อ๋อบ่อยๆ....กาย..เวทนา..จิต..ธรรม...มันก็กลายเป็นสักแต่ว่า
ทำอะไร..ตั้งใจทำให้ดี..ให้รอบคอบ
ทำแล้วอย่าเพิ่งไปหวังผล
ไม่มีเรา..ไม่ใช่หน้าที่ของเราจะเข้าไปตัดสิน
เป็นหน้าที่ของปัญญา..ให้มันรู้แจ้งเอง
ถึงคราวนั้น..รู้สึกเองว่า...ไม่จับเพราะเห็นมันเป็นของร้อนหน่ะเป็นยังไง
มันจะเป็นไปเอง
s002 เดาเอานะ..หาเรื่องคุย..อิอิ
:b9:





วันก่อนเพิ่งเอาเข่า ไปชนโต๊ะ อย่างจัง

ทันใดนั้น ก็มีเสียงให้ แยกตัวเราออกมมาดู ความเจ็บที่เข่าสิ

เราก็เลยทำตามทันที จากนั้นก็ค่อยๆเห็นความปวดที่รุนแรง ค่อยๆลดลง จนหายไป

ครั้งนั้น กลับสนุกที่ได้รับความเจ็บปวด :b32:
:b13:

แต่มันคงยังทำไม่ได้ทุกครั้ง ที่เกิดเวทนาแน่นอน :b2:


...การดูเวทนา...ไม่ใช่เจ็บแล้วค่อยมาดู...แต่ดูตอนที่ยังไม่เจ็บให้มันรู้ว่าตัวเวทนาเป็นอย่างไรค่ะ...
...ให้ดูอาการที่เรียกว่าเวทนาตอนที่จิตสงบแล้วคือทำความสงบใจมีเวทนาต่างกับตอนจิตไม่สงบยังไง...
...ถ้าการที่มีอารมณ์ปกติในชีวิตประจำวันที่คิดฟุ้งซ่าน...แล้วเดินซุ่มซ่ามไม่ระมัดระวังจนบาดเจ็บ :b32:
...คือเหตุปัจจัยเกิดแล้วปวดขึ้นมาแล้ว...ผลก็คือต้องร้องแสดงความเจ็บและความรู้สึกถึงอาการที่กายแล้ว...
...การดูเวทนาจึงเป็นการฝึกจิตให้ดูอารมณ์ที่แท้จริงของกายเมื่อเกิดสภาวะกายแยกกับจิตตอนที่ยังมีลมหายใจ...
...ฝึกกรรมฐาน...นั่งสมาธิกำหนดรู้อาการของกายกับจิต...จนสามารถจิตรวมดับความทุกข์ทางกายได้...
:b13: :b12:
:b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2015, 14:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Rosarin เขียน:
tongue
เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
idea เขียน:
กาย..เวทนา..จิต..ธรรม
มีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันตลอด onion
ไอเดียเข้าใจว่า.. สติจะทำให้เห็นชัด..ทุกฐาน
พอดีว่า...ไอเดียรู้หัวข้อธรรมไม่มาก
แม่นน้อยๆอยู่แค่..อินทรีย์5..
ก็จะเอามาเหมือนประคับประคองการกระทำ..ตามเท่าที่พอจะคิดได้
สัทธา..วิริยะ..สติ..สมาธิ..ปัญญา
ถ้าเท่าที่ปฏิบัติอยู่...วิธีของคุนเปลี่ยนชื่อ.ยังส่งเสริมสติไม่พอ
ก็ลองทบทวน..ด้านกำลังสำคัญมากนะคะ

ส่วนฝึกดูเวทนา..ยังไงหน่ะเหรอ :b32: :b32:
ก็ดูไปสิคะ...เวทนามันเกิดขึ้นตรงไหน..ยังไงก็ดูไป :b22:
แต่อย่าไปอยากให้มันดับ..ดับช้า..ดับเร็ว..อย่าไปอยาก
ตรงนี้ต่างหากที่เป็นเหตุทุกข์
จะดู..ก็แค่ดู..ดูไปเลย..ดูแล้วเป็นไง
อยากไม่อยาก..ชอบไม่ชอบ....กระวนกระวาย..ทุรนทุราย..นี่จิต
พอบ่อยๆเข้า...เห็นมันเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป
ไม่เที่ยง..เป็นทุกข์..ไม่มีตัวตน..ก็อ๋อ...มันก็เป็นเช่นนั้นเอง...นี่ธรรม
:b44: อ๋อบ่อยๆ....กาย..เวทนา..จิต..ธรรม...มันก็กลายเป็นสักแต่ว่า
ทำอะไร..ตั้งใจทำให้ดี..ให้รอบคอบ
ทำแล้วอย่าเพิ่งไปหวังผล
ไม่มีเรา..ไม่ใช่หน้าที่ของเราจะเข้าไปตัดสิน
เป็นหน้าที่ของปัญญา..ให้มันรู้แจ้งเอง
ถึงคราวนั้น..รู้สึกเองว่า...ไม่จับเพราะเห็นมันเป็นของร้อนหน่ะเป็นยังไง
มันจะเป็นไปเอง
s002 เดาเอานะ..หาเรื่องคุย..อิอิ
:b9:





วันก่อนเพิ่งเอาเข่า ไปชนโต๊ะ อย่างจัง

ทันใดนั้น ก็มีเสียงให้ แยกตัวเราออกมมาดู ความเจ็บที่เข่าสิ

เราก็เลยทำตามทันที จากนั้นก็ค่อยๆเห็นความปวดที่รุนแรง ค่อยๆลดลง จนหายไป

ครั้งนั้น กลับสนุกที่ได้รับความเจ็บปวด :b32:
:b13:

แต่มันคงยังทำไม่ได้ทุกครั้ง ที่เกิดเวทนาแน่นอน :b2:


...การดูเวทนา...ไม่ใช่เจ็บแล้วค่อยมาดู...แต่ดูตอนที่ยังไม่เจ็บให้มันรู้ว่าตัวเวทนาเป็นอย่างไรค่ะ...
...ให้ดูอาการที่เรียกว่าเวทนาตอนที่จิตสงบแล้วคือทำความสงบใจมีเวทนาต่างกับตอนจิตไม่สงบยังไง...
...ถ้าการที่มีอารมณ์ปกติในชีวิตประจำวันที่คิดฟุ้งซ่าน...แล้วเดินซุ่มซ่ามไม่ระมัดระวังจนบาดเจ็บ :b32:
...คือเหตุปัจจัยเกิดแล้วปวดขึ้นมาแล้ว...ผลก็คือต้องร้องแสดงความเจ็บและความรู้สึกถึงอาการที่กายแล้ว...
...การดูเวทนาจึงเป็นการฝึกจิตให้ดูอารมณ์ที่แท้จริงของกายเมื่อเกิดสภาวะกายแยกกับจิตตอนที่ยังมีลมหายใจ...
...ฝึกกรรมฐาน...นั่งสมาธิกำหนดรู้อาการของกายกับจิต...จนสามารถจิตรวมดับความทุกข์ทางกายได้...
:b13: :b12:
:b39:

อ่านแล้วยังไม่ค่อยเข้าใจเลยครับ cry

รบกวนขยายความเพิ่มหน่อยได้ไหมครับ ขอบคุณครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2015, 17:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
Rosarin เขียน:
tongue
เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
idea เขียน:
กาย..เวทนา..จิต..ธรรม
มีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันตลอด onion
ไอเดียเข้าใจว่า.. สติจะทำให้เห็นชัด..ทุกฐาน
พอดีว่า...ไอเดียรู้หัวข้อธรรมไม่มาก
แม่นน้อยๆอยู่แค่..อินทรีย์5..
ก็จะเอามาเหมือนประคับประคองการกระทำ..ตามเท่าที่พอจะคิดได้
สัทธา..วิริยะ..สติ..สมาธิ..ปัญญา
ถ้าเท่าที่ปฏิบัติอยู่...วิธีของคุนเปลี่ยนชื่อ.ยังส่งเสริมสติไม่พอ
ก็ลองทบทวน..ด้านกำลังสำคัญมากนะคะ

ส่วนฝึกดูเวทนา..ยังไงหน่ะเหรอ :b32: :b32:
ก็ดูไปสิคะ...เวทนามันเกิดขึ้นตรงไหน..ยังไงก็ดูไป :b22:
แต่อย่าไปอยากให้มันดับ..ดับช้า..ดับเร็ว..อย่าไปอยาก
ตรงนี้ต่างหากที่เป็นเหตุทุกข์
จะดู..ก็แค่ดู..ดูไปเลย..ดูแล้วเป็นไง
อยากไม่อยาก..ชอบไม่ชอบ....กระวนกระวาย..ทุรนทุราย..นี่จิต
พอบ่อยๆเข้า...เห็นมันเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..ดับไป
ไม่เที่ยง..เป็นทุกข์..ไม่มีตัวตน..ก็อ๋อ...มันก็เป็นเช่นนั้นเอง...นี่ธรรม
:b44: อ๋อบ่อยๆ....กาย..เวทนา..จิต..ธรรม...มันก็กลายเป็นสักแต่ว่า
ทำอะไร..ตั้งใจทำให้ดี..ให้รอบคอบ
ทำแล้วอย่าเพิ่งไปหวังผล
ไม่มีเรา..ไม่ใช่หน้าที่ของเราจะเข้าไปตัดสิน
เป็นหน้าที่ของปัญญา..ให้มันรู้แจ้งเอง
ถึงคราวนั้น..รู้สึกเองว่า...ไม่จับเพราะเห็นมันเป็นของร้อนหน่ะเป็นยังไง
มันจะเป็นไปเอง
s002 เดาเอานะ..หาเรื่องคุย..อิอิ
:b9:





วันก่อนเพิ่งเอาเข่า ไปชนโต๊ะ อย่างจัง

ทันใดนั้น ก็มีเสียงให้ แยกตัวเราออกมมาดู ความเจ็บที่เข่าสิ

เราก็เลยทำตามทันที จากนั้นก็ค่อยๆเห็นความปวดที่รุนแรง ค่อยๆลดลง จนหายไป

ครั้งนั้น กลับสนุกที่ได้รับความเจ็บปวด :b32:
:b13:

แต่มันคงยังทำไม่ได้ทุกครั้ง ที่เกิดเวทนาแน่นอน :b2:


...การดูเวทนา...ไม่ใช่เจ็บแล้วค่อยมาดู...แต่ดูตอนที่ยังไม่เจ็บให้มันรู้ว่าตัวเวทนาเป็นอย่างไรค่ะ...
...ให้ดูอาการที่เรียกว่าเวทนาตอนที่จิตสงบแล้วคือทำความสงบใจมีเวทนาต่างกับตอนจิตไม่สงบยังไง...
...ถ้าการที่มีอารมณ์ปกติในชีวิตประจำวันที่คิดฟุ้งซ่าน...แล้วเดินซุ่มซ่ามไม่ระมัดระวังจนบาดเจ็บ :b32:
...คือเหตุปัจจัยเกิดแล้วปวดขึ้นมาแล้ว...ผลก็คือต้องร้องแสดงความเจ็บและความรู้สึกถึงอาการที่กายแล้ว...
...การดูเวทนาจึงเป็นการฝึกจิตให้ดูอารมณ์ที่แท้จริงของกายเมื่อเกิดสภาวะกายแยกกับจิตตอนที่ยังมีลมหายใจ...
...ฝึกกรรมฐาน...นั่งสมาธิกำหนดรู้อาการของกายกับจิต...จนสามารถจิตรวมดับความทุกข์ทางกายได้...
:b13: :b12:
:b39:

อ่านแล้วยังไม่ค่อยเข้าใจเลยครับ cry

รบกวนขยายความเพิ่มหน่อยได้ไหมครับ ขอบคุณครับ :b8:

:b39:
...กายกับจิตถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนกับข้าว1จาน จานคือกาย ข้าวคือจิต...เป็นคนละอันกัน...
...แต่ชีวิตที่คนทั่วไปรู้ตามปกติคือกายกับจิตแยกกันไม่ออก...พระพุทธเจ้านิยามว่าจิตวิปลาศ...
...ที่แต่ละคนมีชีวิตก็จริงตามภพภูมิตอนนี้ก็คือเป็นคน...แต่ไม่รู้ว่าทุกอย่างลวงให้เข้าใจอย่างนั้น...
:b39:
...พระพุทธเจ้าตรัสรู้...รู้ความจริงว่ามีแต่ความว่างเปล่าทั้งนั้นเลยที่กำลังยึดถือเป็นตัวตน...
...และเพราะว่าไม่รู้ ไม่เข้าใจชีวิตจริงๆ ว่ามีแต่เพียงสิ่งที่ปรากฎให้เห็นได้เท่านั้นไม่มีอย่างอื่น...
...ที่เป็นคน สัตว์ สิ่งของ...มีแต่เพียงความคิดว่ามีตลอดเวลา...ไม่รู้ว่าจากไม่มี แล้วเกิดมี แล้วก็หายไป...
:b39:
...ที่รู้เดี๋ยวนี้เอง...ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทุกทางเกิดแล้วดับทันที...
...กระพริบตา1ครั้งทุกอย่างที่มีหายไปจนหมดสิ้นแต่รู้สึกว่ามีเพราะเกิดใหม่ตลอดเวลาคล้ายไม่หายไป...
...เคยเขียนภาพลงบนกระดาษเพื่อทำภาพเคลื่อนไหวไหมคะ...จะต้องวาดภาพจำนวนมาก...
...พอเอามาวางซ้อนกันเป็นร้อยแผ่น...แล้วกรีดกระดาษที่ซ้อนกันพลิกด้วยความรวดเร็ว...
...จะเห็นว่าภาพที่เราเขียนเคลื่อนไหวได้...ทำนองเดียวกันกับจิตเกิด-ดับที่ต่อเนื่องกันจึงลวงตา...
:b23:
...เพราะฉะนั้น...จงพยายามศึกษาค้นคว้าเพื่อให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆที่ยังไม่รู้ให้รู้ตามพระพุทธเจ้า...
...ถ้าจะเปรียบเทียบให้เข้าใจได้ก็คือตัวพระวรกายของพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องฉายหนัง...
...พระจิตของพระพุทธเจ้าเป็นแผ่นฟิล์มที่ใส่ลงไปในเครื่องฉายหนัง...ทรงแสดงพระธรรม...
...ทำนองเดียวกับกายแต่ละคนก็คือเครื่องฉายหนัง จิตแต่ละคนก็คือม้วนฟิล์มของหนังที่จะฉาย...
...การเกิดมีชีวิตก็เหมือนการเปิดเครื่องฉายหนัง...เครื่องฉายอ่านฟิล์มแต่ไม่รู้ความหมายเนื้อเรื่อง...
...แต่สามารถเคลื่อนแผ่นฟิล์มให้ฉายเป็นภาพออกไปบนจอหนังก็มีทั้งภาพและเสียง...คล้ายชีวิตคน...
...ขณะฉายไปปิดหน้ากล้องแต่เครื่องยังเล่นต่อ...ไม่มีภาพแต่ก็ยังมีเสียงให้รู้เรื่องราวของหนัง...
:b16:
...เมื่อทรงตรัสรู้ความจริงพระกายและพระจิตของพระพุทธเจ้าไม่รับรู้อะไรเลยเหมือนเครื่องฉายหนัง...
...ทรงดูเฉยๆ รู้เท่าทันทุกอย่าง และทรงบอกทรงเตือนทุกคนว่า อย่าหลงเชื่อภาพที่เห็นก็เหมือน...
...ทรงสอนให้ทุกคนดูกายกับจิตให้เข้าใจว่าไม่ใช่อันเดียวกัน...ทรงแสดงธรรมแยกรายละเอียด...
...จนไม่เหลือความเป็นตัวตนและบอกให้รู้ว่า อาการและอารมณ์ที่จิตไปรู้นั้นหลอกลวงทั้งหมด...
:b12:
...การดูเวทนาจึงไม่ใช่การดูพื้นๆที่เกี่ยวกับความสุขทุกข์ตามปกติ...แต่เป็นการฝึกจิตให้รู้ความจริง...
...ที่รู้ว่าตัวตนที่เรียกกาย...กับจิตที่อยู่ด้วยกัน...จริงๆมันต่างอันต่างอยู่แยกจากกันได้ตั้งแต่ยังไม่ตาย...
...ไม่ใช่ตายหมดลมหายใจแล้วจิตออกจากร่างกายเป็นวิญญาณที่เรียกว่าคนตายนั้นไม่ใช่อย่างนั้น...
:b20:
...ใครที่สามารถฝึกจิตจนสามารถแยกกายออกจากเวทนาได้ก็จะเข้าใจเรื่องสติปัฏฐานสี่กาย เวทนา จิต ธรรม...
...ความฉลาดในการใช้ชีวิตคือ...รู้ว่ากายถ้าไปกระทบของแข็งตามปกติโดยที่ไม่ได้เข้าฌานก็จะเจ็บ...
...ต้องรู้จักการหลีกเลี่ยงไม่ให้กายกระทบของแข็งเพราะมันจะทุกข์เพราะเจ็บปวดทรมาณแตกดับตายได้...
...กายของพระอรหันต์เมื่อกระทบแข็งก็เจ็บเลือดออกน้ำตาไหลได้เหมือนเรา...แต่จิตท่านไม่หลงค่ะ...
...จิตท่านไม่ได้ทุกข์ไปตามกาย...จิตท่านเฉย...รู้เหมือนไม่รู้ เห็นเหมือนไม่เห็น มีเหมือนไม่มี...
...ท่านปล่อยวางด้วยปัญญาที่ดับอวิชชาไม่เหลือเยื่อใยใดๆที่ห่วงว่าอยากจะกลับมาเกิดอีกอนันต์...
:b13:
onion onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2015, 18:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2015, 21:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว




การดูเวทนา..ครับ

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2015, 09:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7520

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:


การดูเวทนา..ครับ

:b8:

ท่านกบบอกใบ้เป็นปริศนาธรรมหราาาาาาา
:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ค. 2015, 02:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ฝึกดู รู้จิตไปด้วย กายไปด้วย อย่างไม่ว่าอะไร มีทุุกข์ ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ ทุกข์เท่านนั้นดับไป... พิจารณาให้เห็นธรรมเหล่านี้แล้ว มันจะได้เบื่อ หน่าย ความเบื่อหน่าย จะเป็นเหตุให้คลายความกำหนัด ยินดีในเวทนาเหล่านี้ กำหนดรู้ไป แล้วเกิดปัญญารู้แจ้ง...
จะต้องรู้เท่าทัน ไม่กดดัน ต้องสู้ รู้ละ รู้ปล่อย รู้วาง ฝึกหัดที่จะปล่อยวาง กับทุกขเวทนาที่เกิดขึ้น....
เมื่อมีเวทนา ก็ต้องกำหนดรู้ มันเจ็บ มันปวด มันสบาย มันไม่สบาย สติเข้าไประลึกรู้ ดูเวทนาที่ปรากฏ เพื่อจะให้เกิด ปัญญาแจ้งชัดว่า เวทนา ก็สักแต่ว่าเวทนา...
...คือมันมีความเกิด-ดับ ที่ีว่า..ปวดเจ็บนั้น มันก็มีการเกิด ดับเหมือนกัน....
มันไม่ใช่ปวดเจ็บ ตลอดเวลานะ.. ถ้าเราสังเกตุให้ดีๆ พิจารณาดู ที่ว่า ปวดเเหลือเกิน..จะต้องมีการปวด มีการหยุด สังเกตดู.. ปวดแรง...เบา จี๊ดดด..ดด แล้วก็หยุด มันเปลี่ยนแปลง มันเกิดดับ
...ดูเผินๆ ข้างๆ มันเหมือนกับปวเตลอดเวลา โดยเฉพาะ จิตที่ไปรู้ตรงมันปวด...เช่น ตรงหัวเข่า
ปวดตรงหัวเข่า...ถ้า จิตไม่ไปรับรู้ตรงหัวเข่า มันก็ไม่รู้สึกปวด...จิตไปคิดเรื่องโน้น..ไปดูเรื่องนั้น ไปรับที่อื่นมันก็ไม่รู้สึกปวด...แต่..มันคอยกลับมารู้ตรงที่หัวเข่าอยู่เรื่อยๆ..จิตไปเรื่องอื่นมันก็จะคอยกลับมาที่เดิม..
มันคอยกลับมา ถ้าเราไม่สังเกตก็นึกว่ามันปวดตลอดเวลา...
..ถ้ามันจะปวดตลอดเวลา..จิตจะต้องไม่ไปรับอย่างอื่นเลย ไม่ไปรับ สี เสียง กลิ่น รส โผฎทัพพะ ไม่ไปรับรู้เรื่องราว ไม่มีคิดเรื่องอื่น นั่นแหละจึงจะเรียกว่าปวดคลอดเวลา...ซึ่งความเป็นจริง มันคงเป็นไปได้ยาก ไม่ได้อย่างนี้แน่ แม้จะบังคับให้อยู่ตรงที่ปวด..มันก็ยังต้องคิด..เวลาคิด แสดงว่ามันต้องขาดช่วง..
เพราะจิตนั้น จะรับได้ทีละอารมณ์..จิตไปรับเสียง ขณะนั้น มันจะไปรับความปวดไม่ได้ เวลาจิตมันไปรับภายนอกต่างๆ มันก็จะลืม ความรู้สึกปวดไปชั่วขณะหนึ่ง..จิตไปคิดเรื่องใด เรื่องหนึ่ง มันก็จะขาดความเจ็บปวดไปขณะหนึ่ง แต่มัน กลับไป กลับมา อย่างรวดเร็ว..
...แต่ถ้าไม่รู้ ไม่พิจารณา อุปาทานก็มายึดเอาทันที ..มันจะรู้สึกว่าคือ..เรา ปวดนี้คือ เรา..เจ็บคือเรา เป็นตัวเราไปหมด..เจ็บคือเรา ..หรือว่ามันอยู่ในเรา หรือว่า เรามาอยู่ในเวทนา..ถ้าไม่มี สติ ปัญญา จะหลงผิด ยึดถือ..
...เห็นความไม่เที่ยงของเวทนา แล้วจะเห็น อนัตตา..ในขณะที่สติระลึก ปัญญาเกิดขึ้น เวทนาเหล่านี้ มันก็สักแต่ว่าเป็นสิ่งๆ หนึ่ง ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของๆ เรา ไม่ได้มีเรามาอยู่ในเวทนา
:b8: เล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับ ทุกขเวทนา หวังว่าคงเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย ขอเจริญในธรรม :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2015, 08:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2015, 08:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b16:
การดูเวทนา

ก่อนการดูหรือสังเกต พิจารณา เวทนานั้นพึงควรรู้จักเวทนาให้ชัดเจนเสียก่อน การดูการพิจารณาก็จะง่ายขึ้นและตรงประเด็น
เวทนามี 2 กลุ่ม 6 อย่าง

ก.เวทนาทางกายมี
1.สุข
2.ทุกข์
3.อทุกขะมะสุขะ คือ ไม่สุขไม่ทุกข์หรือ เฉยๆ หรือ อุเบกขา

ข.เวทนาทางจิต
1.โสมนัส ดีใจ ชอบใจ
2.โทมนัส เสียใจ ไม่ชอบใ
3.อุเบกขา เฉยๆ

การดูเวทนาให้มีสติรู้ทัน ปัญญาสังเกตไว้ที่จุดต่อระหว่าง
ผัสสะ กับ เวทนา ในปฏิจจสมุปบาท เพราะผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิด เวทนา

ส่วนรายละเอียดที่ขยายออกจากเวทนาค่อยมาว่ากันครับ

อนึ่งการเจริญสติปัฏฐาน 4 หากไปกำหนดว่าต้องสังเกตพิจารณาเฉพาะฐานนั้นฐานนี้ก่อน การปฏิบัติภาวนานั้นจะไม่เป็นไปตามธรรมแต่จะเป็นไปตามใจ จึงจะได้พบธรรมจริงๆยากกว่าและปฏิบัติได้ยากฝืดเคืองครับ
:b43: :b39:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร