วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 15:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 105 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 18 ก.ค. 2015, 13:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


s004
...คันจมูก...อิอิ...
Rosarin เขียน:
rolleyes
...คำที่ใช้ต่างกรรมต่างวาระ...เช่นรูป...
...นึกถึงอะไรได้บ้าง...รูปธรรมคิดว่าจับแตะต้องสัมผัสได้...
...แล้วรูปของสี รูปของเสียงจับแตะต้องได้ไหมแต่เป็นรูปธรรม...
...แต่ละคำใช้ในสถานะแตกต่างอย่าง...จิต มโน ใจมีคำอื่นอีกจำไม่ได้...
...เพราะยังไม่รู้ความจริง...อ่านพระไตรปิฎกแล้วจะคิดว่าเข้าใจแล้วไม่ได้ค่ะ
:b8:
ไม่ได้ง่ายและคิดเองได้ค่ะ
:b39:

...อภิธรรมเป็นปรมัตถธรรม...ก็มีอยู่เดี๋ยวนี้เอง...ไม่เข้าใจตอนนี้...จะรอไปเข้าใจตอนไหน...
...4อย่างแต่รู้ได้เพียง3คือ จิต เจตสิก รูป ส่วนที่4ที่ละไว้เพราะเป็นนิพพานยังเข้าไม่ถึงนะ...
...จิตกับเจตสิกเกิดพร้อมกันดับพร้อมกัน จิตเป็นธาตุรู้เป็นสภาพรู้ เจตสิกก็เป็นสภาพรู้ธาตุรู้...
...จิตเป็นประธาน...ตัวกรรมที่คือเจตสิก...จิตคือจิต เจตสิกคือเจตนาจงใจกระทำเป็นกรรม...
...กุสลา ธัมมา กับ อกุสลา ธัมมา ก็คือจิตกับเจตสิก เกิดและดับสะสมที่จิตไม่หายไปไหน...
...จิตสะสมอะไรมาบ้างก็ตามกรรม...ปัญญาเจตสิก ศรัทธาเจตสิก อุเบกขาเจตสิก เป็นต้น...
:b13:
...รูปเป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลย...เป็นสิ่งที่อยู่ภายนอกตัวบุคคล...ที่เห็นเป็นโต๊ะ เก้าอี้ สัตว์ ฯลฯ...
...เป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลยทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นมีเสียง กลิ่น รส สัมผัส ก็คือรูปในอภิธรรม...
...ทั้งจิต เจตสิก รูป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เป็นสภาพเกิด-ดับ...จิตและเจตสิกจึงเป็นกุศลกับอกุศล...
...ส่วนนิพพานเป็นสภาพไม่มีการเกิด-ดับ...มีจิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นสภาพสิ้นความไม่รู้...
...เป็นอัพยากะตา ธัมมา จิตพระอรหันต์ จึงเป็นอัพยากะตาจิตที่มีอุเบกขาเป็นธรรมดา...ที่ข้าพเจ้าเข้าใจ...
...เข้าใจบทสวดที่พระท่านสวดพระอภิธรรมในงานศพขึ้นมาบ้างมากหรือน้อยก็ศึกษาพระอภิธรรม...
...พิจารณาก็ที่กำลังมีกำลังปรากฎเดี๋ยวนี่เอง...ที่ผ่านไปดับแล้วค่ะ...ที่คิดไปล่วงหน้าก็ยังไม่เกิดขึ้น...
:b20: :b12:
...ปัญญาข้าพเจ้าที่ฟังอ.สุจินต์ในรายการบ้านธัมมะ...ยังไม่มีเวลาไปอ่านพระไตรปิฎก...
...ท่านใดแจ่มแจ้งโปรดเมตตาอธิบายความเห็นในส่วนที่ข้าพเจ้าเห็นผิดไปจากพระอภิธรรมด้วยค่ะ...
...แฮ่...แฮ่...อธิบายยาวพอไหม...ทุกอย่างเป็นครูอาจารย์ก็ได้ตามปัญญาคร่าวๆดังนี้แล...เอวังฯ...
:b32: :b32: :b32:
:b44:


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.ค. 2015, 17:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ไปเจอ ... :b12:

หลวงตาขยายความพระสูตรนี้ให้ศิษย์ฟัง ... :b1:

อ้างคำพูด:
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓

ลวดลายของศาสดาตอนปรินิพพาน

(ผู้ฟังเทศน์ประมาณ ๑,๐๐๐ คน)

.....

จากนั้นก็ปิดพระโอษฐ์เลย ทรงทำหน้าที่ปรินิพพาน เรียกว่า ได้เวลาแล้วจะไปแล้ว นั่นเห็นไหม ไปตามสัตย์ตามจริง พระพุทธเจ้าปลงพระชนม์ เดือน ๓ เพ็ญ พอถึงเดือน ๖ เพ็ญ ก็เสด็จไปเลย จะมาตายที่นี่ พอได้เวลาแล้วก็ไปเลยดีดผึงเลย แต่เวลาศาสดาจะปรินิพพานต้องวางลวดลายให้เต็มภูมิของศาสดา ธรรมเหล่านี้ก็เป็นธรรมจำเป็นกับนิสัยวาสนาตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงสาวก องค์ใดที่มีความจำเป็นต่อนิสัยวาสนาอย่างไร ก็ดำเนินไปตามนิสัยวาสนาของตน ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับทางนั้นก็ไปตามอัธยาศัยของตนเหมือนกัน

เช่นพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาเอกของโลก จะต้องวางลวดลายให้โลกได้เห็นทุกแง่ทุกมุมไป เพราะฉะนั้นจึงเข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ฌาน ๔ อย่าง เป็น ๔ ประเภท เรียกว่า รูปฌาน จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่อรูปฌาน ได้แก่ พวกนามธรรมล้วน ๆ อากาสานัญจายตนะ จิตใจของเรานี้มันว่างมันโปร่งไปหมด วิญญาณัญจายตนะ มีแต่วิญญาณครองตัวอยู่นี้ อากิญจัญญายตนะ ยิบแย็บ ๆ ด้วยความจดความจำนิดหน่อย เนวสัญญานาสัญญายตนะ ความจดความจำมีไม่มีก็เป็นอยู่ในชาตินี้ พิจารณานี่ พอออกจากนี้แล้ว ออกจากสมาบัติ ๘ เข้าสู่ สัญญาเวทยิตนิโรธ ทรงระงับสมมุติทั้งหลายเวลานั้น ไม่แสดง สมมุติทั้งมวลในอาการของจิตไม่แสดงเลย เงียบ

พระอานนท์ก็สงสัย นี่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วเหรอ พระอนุรุทธะตอบทันทีเลย เพราะตามพระจิตตลอดเวลา พระจิตเข้าฌานไหน ๆ พระจิตนี่เป็นพระจิตที่บริสุทธิ์ เป็นวิมุตติแล้ว วิมุตติจิต อันนี้เป็นสมมุติ ปฐมฌาน ทุติยฌาน เหล่านี้เป็นสมมุติทั้งนั้น จิตวิมุตติเดินผ่านสมมุติทั้งหลายนี้ไปเข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ นั้นก็เป็นสมมุติประเภทหนึ่ง ไประงับพระองค์อยู่นั้น พระอานนท์เกิดความสงสัยถาม นี้ไม่ใช่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วเหรอ พระอนุรุทธะตอบทันที ยัง เวลานี้ทรงระงับพระองค์อยู่ที่สัญญาเวทยิตนิโรธ แปลว่า ดับสัญญาและเวทนา แปลออกแล้วว่างั้น พอจากนั้นก็เคลื่อนออกมาละที่นี่

นี่พระจิตที่บริสุทธิ์ ฟังให้ดีนะ ความบริสุทธิ์นี้สูญไหม ถ้าสูญ อะไรไปเข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ขึ้นไปจนกระทั่ง สัญญาเวทยิตนิโรธ ถ้าจิตสูญแล้วเอาอะไรไปเข้าฌาน ๔ นี้แล้วไปถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ ทีนี้พอถอยออกมา จิตบริสุทธิ์ถอยออกมา ถอยออกมาจนถึงพระจิตบริสุทธิ์ธรรมดา มาตั้งแต่สัญญาเวทยิตนิโรธ แล้วก็ถอยออกมา อรูปฌาน ๔ ถอยออกมารูปฌาน ๔ ถอยออกมาเป็นจิตธรรมดา จากนี้เข้าอีก ท่านทรงย้อนหน้าย้อนหลังเต็มภูมิของศาสดา พอเข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน พอผ่านจากฌานนี้แล้ว รูปฌานก็ไม่อยู่ อรูปฌานข้างหน้าก็ไม่ไป ผ่านออกตรงกลางนี้เลย

พระอนุรุทธะก็บอกว่า ทีนี้ปรินิพพานแล้ว หมด พระจิตที่บริสุทธิ์นี้ไม่ผ่านสมมุติใดแล้ว ปรินิพพานแล้ว ทีนี้พูดไม่ได้เลย สูญไหมล่ะ อันพูดไม่ได้นี้สูญไหมล่ะ แต่ก่อนพูดได้อยู่ ว่าไปฌานนั้น ๆ พอออกจากฌานนี้แล้ว ทีนี้ปรินิพพานแล้ว นี่ละธรรมชาตินั้นละ พ้นสมมุติโดยประการทั้งปวงแล้ว เพราะรูปฌาน อรูปฌาน เหล่านี้เป็นสมมุติทั้งหมด พอออกจากนี้แล้วก็ไปเลย นี่ที่พระอนุรุทธะว่า ทีนี้ปรินิพพานแล้ว ใครจะตามได้ ตามไม่ได้ พระจิตอันนี้สูญไหมล่ะฟังซิ

...


:b5: :b5: :b5:

ยาวมาก เอกอนตัดมาเฉพาะบางส่วน ไปอ่านตัวเต็มได้ที่
http://www.luangta.com/thamma/thamma_ta ... 80&CatID=2


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.ค. 2015, 17:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1:

คือ เอกอนว่า เส้นทางที่พระพุทธเจ้าแสดง ไม่เป็นไปได้โดยง่ายเลย
และเป็นธรรมที่ซ่อนนัยยะที่ไม่ง่ายเลยที่เรา ๆ จะอ่านแล้วเข้าใจนัยยะต่าง ๆ ในสภาวะธรรมเหล่านั้น

ธรรมบางอย่างที่มีนัยยะลึก ๆ จึงจางหายไป เพราะผู้เข้าถึงและแสดงได้อย่างชัดเจนมีน้อย และยิ่งน้อยลง
ธรรมบางส่วนเช่นนี้ จึงค่อย ๆ ลางเลือน ยิ่งลางเลือนก็ยิ่งไม่มีการพูดถึง
เมื่อไม่ค่อยมีการพูดถึง ก็ค่อย ๆ เลือนหาย และสาบสูญไป
และเมื่อผู้เข้าถึงยิ่งน้อยลง การหยิบธรรมดังกล่าวมาชำระ
เพื่อรักษาความชัดเจน จึงเป็นเรื่องที่ยาก

ส่วนธรรมที่เข้าถึงได้โดยง่าย และแสดงได้โดยง่าย
ก็กลายเป็นธรรมที่เป็นที่รู้จักและเข้าใจ เข้าถึงได้ง่ายโดยผู้ปฏิบัติหมู่มาก
กลับมีความชัดเจนมากขึ้น
ซึ่งถ้าเกิดการผิดเพี้ยนขึ้นมาปั๊บเพราะเป็นธรรมเบื้องต้นที่ยังไม่แจ้ง
แต่มีการแสดงได้ง่าย
ธรรมนั้น ก็จะกลายเป็นความจริงที่บังความจริงที่ยิ่งกว่าไป

...

การที่หลวงตาออกมาขยายความเกี่ยวกับการปรินิพพานของพระพุทธเจ้าในลักษณะนี้

แสดงว่าท่านต้องเห็นความต่างระหว่าง จุติจิต ขณะที่เข้าสัญญาเวทยิต
กับ จุติจิต ณ ฌาน 4 แล้วหายไปอย่างสนิท

พระอนุรุทธะ... ต้องเห็น ... แน่ ๆ :b6:

:b1: ...

อันนี้เอกอนยังไม่สรุปนะ เพราะเอกอนก็ยังไม่รู้ข้อสรุปที่แท้จริง

คือ...จริง ๆ ท้ายสุด มันอยู่ที่ใจของผู้ปฏิบัตินั่นล่ะ
ว่า...ถ้าหากว่าวันหนึ่งตนปฏิบัติจนบรรลุอรหันต์แล้ว
ตนจะอยากคงสมมุติไว้เพื่อให้ได้ใช้ตั้งอยู่หรือไม่

หากคิดว่าจะไม่ดำรงอะไรไว้ ท่านต้องกระทำ จุติจิต ไม่ให้ปรากฎไปพร้อมเมื่อละสังขาร
เพราะถ้าไม่ดับ จิตนั้นยังคงมีองค์ประกอบที่จะปรากฎปฏิสนธิจิตต่อไป

... :b1: ...


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.ค. 2015, 19:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


หายสงสัย....แต่ก็ไม่ใช่ว่ารู้...

แค่นี้..ก็หมดปัญหาเฉพาะตัวไปเรื่องหนึ่ง..แหละ
:b32: :b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.ค. 2015, 20:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
eragon_joe เขียน:
ไปเจอ ... :b12:

หลวงตาขยายความพระสูตรนี้ให้ศิษย์ฟัง ... :b1:

อ้างคำพูด:
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๓

ลวดลายของศาสดาตอนปรินิพพาน

(ผู้ฟังเทศน์ประมาณ ๑,๐๐๐ คน)

.....

จากนั้นก็ปิดพระโอษฐ์เลย ทรงทำหน้าที่ปรินิพพาน เรียกว่า ได้เวลาแล้วจะไปแล้ว นั่นเห็นไหม ไปตามสัตย์ตามจริง พระพุทธเจ้าปลงพระชนม์ เดือน ๓ เพ็ญ พอถึงเดือน ๖ เพ็ญ ก็เสด็จไปเลย จะมาตายที่นี่ พอได้เวลาแล้วก็ไปเลยดีดผึงเลย แต่เวลาศาสดาจะปรินิพพานต้องวางลวดลายให้เต็มภูมิของศาสดา ธรรมเหล่านี้ก็เป็นธรรมจำเป็นกับนิสัยวาสนาตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงสาวก องค์ใดที่มีความจำเป็นต่อนิสัยวาสนาอย่างไร ก็ดำเนินไปตามนิสัยวาสนาของตน ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับทางนั้นก็ไปตามอัธยาศัยของตนเหมือนกัน

เช่นพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาเอกของโลก จะต้องวางลวดลายให้โลกได้เห็นทุกแง่ทุกมุมไป เพราะฉะนั้นจึงเข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ฌาน ๔ อย่าง เป็น ๔ ประเภท เรียกว่า รูปฌาน จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่อรูปฌาน ได้แก่ พวกนามธรรมล้วน ๆ อากาสานัญจายตนะ จิตใจของเรานี้มันว่างมันโปร่งไปหมด วิญญาณัญจายตนะ มีแต่วิญญาณครองตัวอยู่นี้ อากิญจัญญายตนะ ยิบแย็บ ๆ ด้วยความจดความจำนิดหน่อย เนวสัญญานาสัญญายตนะ ความจดความจำมีไม่มีก็เป็นอยู่ในชาตินี้ พิจารณานี่ พอออกจากนี้แล้ว ออกจากสมาบัติ ๘ เข้าสู่ สัญญาเวทยิตนิโรธ ทรงระงับสมมุติทั้งหลายเวลานั้น ไม่แสดง สมมุติทั้งมวลในอาการของจิตไม่แสดงเลย เงียบ

พระอานนท์ก็สงสัย นี่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วเหรอ พระอนุรุทธะตอบทันทีเลย เพราะตามพระจิตตลอดเวลา พระจิตเข้าฌานไหน ๆ พระจิตนี่เป็นพระจิตที่บริสุทธิ์ เป็นวิมุตติแล้ว วิมุตติจิต อันนี้เป็นสมมุติ ปฐมฌาน ทุติยฌาน เหล่านี้เป็นสมมุติทั้งนั้น จิตวิมุตติเดินผ่านสมมุติทั้งหลายนี้ไปเข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ นั้นก็เป็นสมมุติประเภทหนึ่ง ไประงับพระองค์อยู่นั้น พระอานนท์เกิดความสงสัยถาม นี้ไม่ใช่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วเหรอ พระอนุรุทธะตอบทันที ยัง เวลานี้ทรงระงับพระองค์อยู่ที่สัญญาเวทยิตนิโรธ แปลว่า ดับสัญญาและเวทนา แปลออกแล้วว่างั้น พอจากนั้นก็เคลื่อนออกมาละที่นี่

นี่พระจิตที่บริสุทธิ์ ฟังให้ดีนะ ความบริสุทธิ์นี้สูญไหม ถ้าสูญ อะไรไปเข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ขึ้นไปจนกระทั่ง สัญญาเวทยิตนิโรธ ถ้าจิตสูญแล้วเอาอะไรไปเข้าฌาน ๔ นี้แล้วไปถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ ทีนี้พอถอยออกมา จิตบริสุทธิ์ถอยออกมา ถอยออกมาจนถึงพระจิตบริสุทธิ์ธรรมดา มาตั้งแต่สัญญาเวทยิตนิโรธ แล้วก็ถอยออกมา อรูปฌาน ๔ ถอยออกมารูปฌาน ๔ ถอยออกมาเป็นจิตธรรมดา จากนี้เข้าอีก ท่านทรงย้อนหน้าย้อนหลังเต็มภูมิของศาสดา พอเข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน พอผ่านจากฌานนี้แล้ว รูปฌานก็ไม่อยู่ อรูปฌานข้างหน้าก็ไม่ไป ผ่านออกตรงกลางนี้เลย

พระอนุรุทธะก็บอกว่า ทีนี้ปรินิพพานแล้ว หมด พระจิตที่บริสุทธิ์นี้ไม่ผ่านสมมุติใดแล้ว ปรินิพพานแล้ว ทีนี้พูดไม่ได้เลย สูญไหมล่ะ อันพูดไม่ได้นี้สูญไหมล่ะ แต่ก่อนพูดได้อยู่ ว่าไปฌานนั้น ๆ พอออกจากฌานนี้แล้ว ทีนี้ปรินิพพานแล้ว นี่ละธรรมชาตินั้นละ พ้นสมมุติโดยประการทั้งปวงแล้ว เพราะรูปฌาน อรูปฌาน เหล่านี้เป็นสมมุติทั้งหมด พอออกจากนี้แล้วก็ไปเลย นี่ที่พระอนุรุทธะว่า ทีนี้ปรินิพพานแล้ว ใครจะตามได้ ตามไม่ได้ พระจิตอันนี้สูญไหมล่ะฟังซิ

...


:b5: :b5: :b5:

ยาวมาก เอกอนตัดมาเฉพาะบางส่วน ไปอ่านตัวเต็มได้ที่
http://www.luangta.com/thamma/thamma_ta ... 80&CatID=2

กบนอกกะลา เขียน:
หายสงสัย....แต่ก็ไม่ใช่ว่ารู้...

แค่นี้..ก็หมดปัญหาเฉพาะตัวไปเรื่องหนึ่ง..แหละ
:b32: :b32: :b32:

...ขออนุโมทนาธรรมทานของอาจารย์ข้าพเจ้ากะคุณเอกอน...สาธุ...
...จิตที่รู้ธรรมของข้าพเจ้าก็เพราะฟังเทศนาธรรมหลวงตากล่อมจิต...
...จนกิเลสหมอบ...อาจารย์เราจบเปรียญ3เป็นดร.เป็นเจ้าคุณบัว...
...ฟังธรรมท่านสดๆอยู่3ปีได้บบรรลุฌาน3ตอนนั้นปี2549...
...ก็ไม่เคยขาดการฟังธรรมของท่านแม้ขณะนี้ก็ฟังอยู่...
...จากวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชนเอฟเอ็ม103.25แม่ข่ายบ้านตาดค่ะ...
:b12:
...ช่วงไหนอารมณ์แบบชอบนุ่งกระโปรงสั้นไปทำงาน...
...ช่วงนั้นกลับมาบ้านตอนเย็นก็จะได้ฟังหลวงตาดุเรื่องนุ่งสั้น...
:b9: ว๊ายโดนแล้ววันถัดมาต้องงดการนุ่งสั้นไป...
...อาทิตย์ก่อนแต่งหน้าทาปากสาวมาดมั่นได้วันเดียว...
...กลับบ้านวันนั้นฟังหลวงตาเทศน์...ให้มันรู้เนื้อรู้ตัวนะ...
...แต่งหน้าทาปากทาเล็บแดงปล่อยให้กิเลสเล่นงาน...
:b22: อีกแล้วเรา :b32: เหมือนโดน :b34: :b33: :b34:
...ท่านกบว่าท่านนิพพานแล้วหายไปไหน...ข้าพเจ้านี้หนาวเลยนะท่านบิกทู่...
ื่...ใครคิดว่าหลวงตามหาบัวนิพพานแล้วหายไปอยู่แถวไหน...ทายชิ...
:b5: หนาววววว :b32:


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.ค. 2015, 21:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes
...อีกเรื่องที่สำคัญ...อันนี้ต้องกระชิบบอกต่อๆกัน...
...หลวงตามหาบัวท่านเทศน์ไว้ล่วงหน้าแล้ว...
...เกี่ยวกับสถานีวิทยุจะถูกลดเสาคลื่นลง...
...พวกที่ทำตายไปจะเป็นเปรตเป็นผีนะ...
...ไปหาเอาเองว่ากัณฑ์ไหน...หนาววว...
:b22: :b5:
:b39:


โพสต์ เมื่อ: 18 ก.ค. 2015, 23:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
หายสงสัย....แต่ก็ไม่ใช่ว่ารู้...

แค่นี้..ก็หมดปัญหาเฉพาะตัวไปเรื่องหนึ่ง..แหละ
:b32: :b32: :b32:


:b6: :b6: :b6:

นี่ มีอะไรดี ๆ จะมาแจมก็แสดงออกมา

อย่ามาทำเป็นหัวเราะหน้าเป็นอย่างเดียว

:b32: :b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 06:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b34: :b34: :b34:


โพสต์ เมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 07:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes
...ท่านเทศน์ว่า...ฌานเสื่อมได้แต่อย่าให้จิตเสื่อมจากธรรม...
...ท่านสอนลูกศิษย์ให้เป็นเทพเป็นพรหม...
...เทศน์ท่านไม่ผ่านกวปตัด...ท่านเทศน์ตามความหยาบของกิเลส..
...ใครหูสูงต้องฟังเทศน์ท่านน๊า...มีคนเขียนจดหมายไปถึงท่่าน...
...ขอเป็นลูกศิษย์ท่าน...ท่านว่าจะมาเป็นอาจารย์ท่านไม่ได้...
...อยู่ที่ไหนท่านรับหมดแต่อย่ามาเป็นอาจารย์ท่าน...
:b9:
กบนอกกะลา เขียน:
:b34: :b34: :b34:


:b13:
...ท่านกบเคยฟังเทศน์หลวงตาไหม...อ่านกะฟังไม่เหมือนกัน...
...เทศน์สอนพระเป็นจิตตภาวนาล้วนๆ...ท่านเรียกแกงหม้อจิ๋ว...
...เวลาท่านเทศน์ต้องเงียบห้ามไปถ่ายรูปท่าน...ไม่่เดินเพ่นพ่าน...
...มีคนถามท่านว่าถ้านอนฟังเทศน์ท่านจะบาปไหม...
...ท่านว่าถ้าท่านนั่งเทศน์อยู่นี่คนนั่งฟังเต็มศาลามานอนต่อหน้าก็เสีย..
...ฟังที่อื่นฟังวิทยุไม่อยู่ต่อหน้าจะนอนฟังก็ไม่เสียความเคารพ ไม่บาป...
:b1: :b1:
:b39:


โพสต์ เมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 08:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b34: :b34: :b34:


Rosarin เขียน:
:b13:
...ท่านกบเคยฟังเทศน์หลวงตาไหม...อ่านกะฟังไม่เหมือนกัน...
...เทศน์สอนพระเป็นจิตตภาวนาล้วนๆ...ท่านเรียกแกงหม้อจิ๋ว...
...เวลาท่านเทศน์ต้องเงียบห้ามไปถ่ายรูปท่าน...ไม่่เดินเพ่นพ่าน...
...มีคนถามท่านว่าถ้านอนฟังเทศน์ท่านจะบาปไหม...
...ท่านว่าถ้าท่านนั่งเทศน์อยู่นี่คนนั่งฟังเต็มศาลามานอนต่อหน้าก็เสีย..
...ฟังที่อื่นฟังวิทยุไม่อยู่ต่อหน้าจะนอนฟังก็ไม่เสียความเคารพ ไม่บาป...
:b1: :b1:
:b39:


เคยครับ..
แต่ก่อนก็นอนฟังครับ...

เดียวนี้...แม้จะฟังทางวิทยุ...จะเยียดแข้งเยียดขา...ท่าไม่เรียบร้อย...ยังกระดากอายต่อธรรมที่องค์ท่านแสดง..เลยครับ...


โพสต์ เมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 08:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7517

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
:b34: :b34: :b34:


Rosarin เขียน:
:b13:
...ท่านกบเคยฟังเทศน์หลวงตาไหม...อ่านกะฟังไม่เหมือนกัน...
...เทศน์สอนพระเป็นจิตตภาวนาล้วนๆ...ท่านเรียกแกงหม้อจิ๋ว...
...เวลาท่านเทศน์ต้องเงียบห้ามไปถ่ายรูปท่าน...ไม่่เดินเพ่นพ่าน...
...มีคนถามท่านว่าถ้านอนฟังเทศน์ท่านจะบาปไหม...
...ท่านว่าถ้าท่านนั่งเทศน์อยู่นี่คนนั่งฟังเต็มศาลามานอนต่อหน้าก็เสีย..
...ฟังที่อื่นฟังวิทยุไม่อยู่ต่อหน้าจะนอนฟังก็ไม่เสียความเคารพ ไม่บาป...
:b1: :b1:
:b39:


เคยครับ..
แต่ก่อนก็นอนฟังครับ...

เดียวนี้...แม้จะฟังทางวิทยุ...จะเยียดแข้งเยียดขา...ท่าไม่เรียบร้อย...ยังกระดากอายต่อธรรมที่องค์ท่านแสดง..เลยครับ...

Kiss
:b8: :b8:
...ข้าพเจ้าติดฟังที่บ้านจะเปิดวิทยุทิ้งไว้24ชม...
...ท่านว่านอนไม่เสียความเคารพเลยเปิดตลอด..
:b13: :b9:
:b43:


โพสต์ เมื่อ: 19 ก.ค. 2015, 12:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b1:

http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=29&A=487&Z=1310

ยาวเกินจะหยิบยกมาทั้งหมด...

เอกอนคิดว่า ท่อนนี้บ่งบอกคล้าย ๆ กับเป็นถ้อยคำ
ที่เป็นการกล่าวลาสิ่งที่เราเคยหมายว่าเป็นเราเป็นของเรานั้นมานานแสนนาน
เพื่อให้จิตก่อนที่จะกระทำกาละ
จะประกอบด้วยเจตสิก ที่จะไม่มีการ ปฏิสนธิ ต่อไป

:b16:

Quote Tipitaka:
[๖๙] คำว่า ย่อมไม่หวังโลกนี้และโลกหน้า มีความว่า ย่อมไม่หวังโลกนี้ คือ
อัตภาพของตน ไม่หวังโลกหน้า คือ อัตภาพในปรโลก. ไม่หวังโลกนี้ คือ รูป เวทนา
สัญญา สังขาร และวิญญาณของตน ไม่หวังโลกหน้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขารและ
วิญญาณของผู้อื่น. ไม่หวังโลกนี้ คือ อายตนะภายใน ๖ ไม่หวังโลกหน้า คือ อายตนะ
ภายนอก ๖. ไม่หวังโลกนี้ คือ มนุษยโลก ไม่หวังโลกหน้า คือ เทวโลก ไม่หวังโลกนี้
คือ กามธาตุ ไม่หวังโลกหน้า คือ รูปธาตุ อรูปธาตุ. ไม่หวังโลกนี้ คือ กามธาตุ รูปธาตุ
ไม่หวังโลกหน้าคืออรูปธาตุ. ไม่หวัง ไม่อยากได้ ไม่ยินดี ไม่ปรารถนา ไม่รักใคร่ ไม่พอใจ
ซึ่งคติ อุปบัติ ปฏิสนธิ ภพ สงสาร หรือวัฏฏะต่อไป เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ย่อมไม่หวัง
โลกนี้และโลกหน้า. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า
มุนีกำหนดรู้สัญญาแล้ว ไม่เข้าไปติดในความยึดถือทั้งหลาย พึงข้าม
โอฆะได้ เป็นผู้ถอนลูกศรเสียแล้ว ไม่ประมาทประพฤติอยู่ ย่อมไม่
หวังโลกนี้ และโลกหน้า ดังนี้.


บทนี้ก็ :b4:

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 316&Z=4440


โพสต์ เมื่อ: 21 ก.ค. 2015, 07:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s006
ส่วนจิตเที่ยงคือจิตของพระอรหันต์ที่ไม่เกิดไม่ดับ
s004
น้องRossalin เขียนไว้อย่างนี้หนะครับ
:b1: :b1: :b16:


โพสต์ เมื่อ: 21 ก.ค. 2015, 07:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
:b1:

http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=29&A=487&Z=1310

ยาวเกินจะหยิบยกมาทั้งหมด...

เอกอนคิดว่า ท่อนนี้บ่งบอกคล้าย ๆ กับเป็นถ้อยคำ
ที่เป็นการกล่าวลาสิ่งที่เราเคยหมายว่าเป็นเราเป็นของเรานั้นมานานแสนนาน
เพื่อให้จิตก่อนที่จะกระทำกาละ
จะประกอบด้วยเจตสิก ที่จะไม่มีการ ปฏิสนธิ ต่อไป

:b16:

Quote Tipitaka:
[๖๙] คำว่า ย่อมไม่หวังโลกนี้และโลกหน้า มีความว่า ย่อมไม่หวังโลกนี้ คือ
อัตภาพของตน ไม่หวังโลกหน้า คือ อัตภาพในปรโลก. ไม่หวังโลกนี้ คือ รูป เวทนา
สัญญา สังขาร และวิญญาณของตน ไม่หวังโลกหน้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขารและ
วิญญาณของผู้อื่น. ไม่หวังโลกนี้ คือ อายตนะภายใน ๖ ไม่หวังโลกหน้า คือ อายตนะ
ภายนอก ๖. ไม่หวังโลกนี้ คือ มนุษยโลก ไม่หวังโลกหน้า คือ เทวโลก ไม่หวังโลกนี้
คือ กามธาตุ ไม่หวังโลกหน้า คือ รูปธาตุ อรูปธาตุ. ไม่หวังโลกนี้ คือ กามธาตุ รูปธาตุ
ไม่หวังโลกหน้าคืออรูปธาตุ. ไม่หวัง ไม่อยากได้ ไม่ยินดี ไม่ปรารถนา ไม่รักใคร่ ไม่พอใจ
ซึ่งคติ อุปบัติ ปฏิสนธิ ภพ สงสาร หรือวัฏฏะต่อไป เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ย่อมไม่หวัง
โลกนี้และโลกหน้า. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า
มุนีกำหนดรู้สัญญาแล้ว ไม่เข้าไปติดในความยึดถือทั้งหลาย พึงข้าม
โอฆะได้ เป็นผู้ถอนลูกศรเสียแล้ว ไม่ประมาทประพฤติอยู่ ย่อมไม่
หวังโลกนี้ และโลกหน้า ดังนี้.


บทนี้ก็ :b4:

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 316&Z=4440


:b8: :b8: :b8:
ขอบคุณหลาย..หลาย..


โพสต์ เมื่อ: 21 ก.ค. 2015, 08:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s006
ส่วนจิตเที่ยงคือจิตของพระอรหันต์ที่ไม่เกิดไม่ดับ
s004
น้องRossalin เขียนไว้อย่างนี้หนะครับ
:b1: :b1: :b16:


เรื่อง วิมุตติ เป็นเรื่องที่น่าทำความเข้าใจ

:b1: :b1: :b1:

Quote Tipitaka:
วิมุตติ คือความหลุดพ้นจากกิเลสไว้ ๕ อย่างคือ

๑. วิกขัมภนวิมุตติ ความหลุดพ้นจากกิเลสด้วยการข่มไว้ด้วยอำนาจของฌาน เพียงปฐมฌานก็สามารถข่มธรรมอันเป็นข้าศึก คือนิวรณ์ ๕ มีกามฉันทะนิวรณ์ได้แล้ว แต่ไม่อาจละนิวรณ์ ๕ ให้ขาดไปจากใจได้ หมดอำนาจฌาน กิเลสคือนิวรณ์ก็เกิดได้อีก
๒. ตทังควิมุตติ ความหลุดพ้นจากกิเลสด้วยองค์นั้น ด้วยอำนาจของวิปัสสนาญาณ เพียงได้นามรูปปริจเฉทญาณ ปัญญาที่แยกนามกับรูปว่าเป็นคนละอย่าง ก็สามารถละความเห็นผิดว่านามรูป เป็นตัวตนได้ชั่วคราว
๓. สมุจเฉทวิมุตติ ความหลุดพ้นจากกิเลส ด้วยการตัดขาด ด้วยมรรคญาณ กิเลสที่ถูกตัดขาดไปแล้วย่อมไม่กลับมาเกิดได้อีก
๔. ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ ความหลุดพ้นจากกิเลส เพราะกิเลสทั้งหลายสงบระงับไปในขณะแห่งผลจิต
๕. นิสสรณวิมุตติ ความหลุดพ้นจากกิเลสด้วยการสลัดออกจากธรรมอันเป็นข้าศึกคือกิเลส ด้วยนิพพาน

ในวิมุตติ ๕ อย่างนี้ วิมุตติ ๒ อย่างแรกเป็นโลกียะ
ส่วนวิมุตติ ๓ อย่างหลัง เป็นโลกุตตระ
ปัญญาคือความรู้ในวิมุตติ ๕ อย่างนั้น เรียกว่า วิมุตติญาณ

ใน อังคุตตรนิกาย ทุกนิบาต กล่าวถึงวิมุตติ ๒ อย่างคือ เจโตวิมุตติ และปัญญาวิมุตติ ว่า

[๒๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตที่เศร้าหมองด้วยราคะ ย่อมไม่หลุดพ้น หรือปัญญาที่เศร้าหมองด้วยอวิชชา ย่อมไม่เจริญด้วยประการฉะนี้แล

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะสำรอกราคะได้ จึงชื่อว่าเจโตวิมุติ เพราะ สำรอกอวิชชาได้จึงชื่อว่าปัญญาวิมุติฯ


ถ้ามีผู้ที่เข้าถึง วิมุตติ แล้ว
และพอจะมาบอกเล่าเก้าสิบได้บ้าง ก็คงจะดีนะ

ท่านอโศกะทำได้มั๊ยล่ะ
ถ้าคิดว่าอธิบาย ลักษณะสภาวะธรรมวิมุตติและทัศนะของวิมุตติแต่ละอย่างได้ ก็ลองดูง่ะ

อันนี้เอกอนไม่ได้แกล้งยอกย้อนนะ :b32: :b32: เอกอนยอกย้อนจริง ๆ :b14: :b14:

:b32: :b32: :b32:

ย้อเย่น....

...ลานแห่งนี้ เปิดโอกาสผู้รู้ได้แสดงทัศนะงาม ๆ ตลอดล่ะ

และก็มีผู้รู้คอยรับฟังเรื่องราวทัศนะดี ๆ ต่อกันเสมอ
ถ้ามีอะไรเห็นควรเข้ามาปรับทัศนะกัน ก็เป็นเรื่องที่มิตรต่างก็คอยประคองเอื้อเฟื้อเกื้อหนุนกันไป

:b16: :b27: :b27: :b27: :b16:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 105 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร