วันเวลาปัจจุบัน 25 ส.ค. 2025, 23:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 90 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2015, 03:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
อรูปฌานทั้ง ๔ นี้ เป็นฌานละเอียดและอยู่ในระดับฌานที่สูงสุด ท่านที่ปฏิบัติได้อรูปทั้ง ๔ นี้แล้ว เจริญวิปัสสนาญาณ ย่อมได้บรรลุมรรคผลรวดเร็วเป็นพิเศษ เพราะอารมณ์ในอรูปฌานและอารมณ์ในวิปัสสนาญาณ มีส่วนคล้ายคลึงกันมาก ต่างแต่ อรูปฌานเป็นสมถภาวนา มุ่งดำรงฌานเป็นสำคัญสำหรับวิปัสสนาภาวนามุ่งรู้แจ้งเห็นจริง ตามอำนาจของกฎธรรมดาเป็นสำคัญ แต่ทว่าอรูปฌานนี้ก็มีลักษณะเป็นฌานปล่อยอารมณ์ คือ ไม่ยึดถืออะไรเป็นสำคัญ ปล่อยหมดทั้งรูปและนาม ถือความว่างเป็นสำคัญ

ที่มา larnbuddhism.com



อรูปญาณ4 จริงๆ ผ่านตามาตลอดตั้งแต่ศึกษาธรรมมา

แต่ที่ยังไม่ก้าวเข้าไปเจาะลึก เพราะยังติดเรียนแนวทางขันธ์5อยู่

เช้าวานก่อน นั่งสมาธิไปเรื่อยๆ ได้สังเกตุเกี่ยวกับสัญญาขันธ์ เห็นความเปลี่ยนแปลงตามอารมณ์ปฎิบัติ

คือที่เห็นความเปลี่ยนแปลงเพราะเพราะอารมณ์เราเน้น พระไตรลักษณ์ คือนี่คือสิ่งที่เรานำเข้าไปเห็น

เราจะถอนลงมาขั้นหนึ่งก็ได้คือ อารมณ์การเกิดดับ หรือ นามรูปปริเฉทญาณ คือ หรือขึ้นไปอีกขั้นก็ได้คือ ภัยของขันธ์5

ผมไม่รู้ว่าขั้นตอนศึกษานั้น ตาม step อย่างไร

แต่แนวทางนี้ผมว่า สะดวกสำหรับผมเอง และไม่สงสัยว่าตนเองใช้อารมณ์ไหนพิจารณา

มาถึงอรูปญาณ คือ นี่แหละ ทำไมผมถึงยังไม่ได้ก้าวขึ้นศึกษาอรูปญาณ
เพราะบางความเห็นที่ยกมาข้างบน อรูปญาณเป็นสมถะภาวนา แต่ใกล้เคียงกับวิปัสสนาภาวนา

คือผู้ที่ศึกษาวิปัสสนาภาวนาอยู่ ก็ไม่ได้ miss it anyway

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2015, 04:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เคยสนทนาธรรมกับพระสายมหาญาณรูปหนึ่งท่านบอกว่า

ไม่ไปยึดถือขันธ์5 คนที่ยึดถือขันธ์5คือเห็นเป็นอัตตา

ผมบอกว่า ผมไม่ได้เข้าไปยึดถือขันธ์5 ผมกำหนดรู้ขันธ์5 เพราะความเป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา

คือการเข้าไปกำหนดรู้ขันธ์5 ความเห็นผม ไม่ได้หมายถึง ความเข้าไปยึดถือขันธ์5 ว่าเป็นของเรา เหมือนที่ยกตัวอย่างนักวิทยาศาสตร์พยายามแยกสะสาร จนเหลืออะตอม อิเลคตรอน เพราะไม่ว่าจะแยกให้เหลือหน่วยเล็กแค่ไหน แต่อารมณ์มันยังยึดถือเป็นอัตตาอยู่ มันก็อัตตาอยู่นั่นเอง

ท่าน เช่นนั้น ยกความเห็นเรื่องผัสสะ แล้วผมรู้สึกว่า ทำไมผมถึงมีความเห็นคล้ายๆที่ท่านเช่นนั้น

คือผัสสะเรากำหนดรู้ด้วยอารมณ์วิปัสสนาอยู่แล้ว เราไม่ได้เข้าไปยึดถือ ผัสสะนั้นก็ดับลง คือ ไม่ใช่ปิดหูปิดตาแล้วเรียกผัสสะดับลง

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2015, 06:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
เคยสนทนาธรรมกับพระสายมหาญาณรูปหนึ่งท่านบอกว่า

ไม่ไปยึดถือขันธ์5 คนที่ยึดถือขันธ์5คือเห็นเป็นอัตตา

ผมบอกว่า ผมไม่ได้เข้าไปยึดถือขันธ์5 ผมกำหนดรู้ขันธ์5 เพราะความเป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา

คือการเข้าไปกำหนดรู้ขันธ์5 ความเห็นผม ไม่ได้หมายถึง ความเข้าไปยึดถือขันธ์5 ว่าเป็นของเรา เหมือนที่ยกตัวอย่างนักวิทยาศาสตร์พยายามแยกสะสาร จนเหลืออะตอม อิเลคตรอน เพราะไม่ว่าจะแยกให้เหลือหน่วยเล็กแค่ไหน แต่อารมณ์มันยังยึดถือเป็นอัตตาอยู่ มันก็อัตตาอยู่นั่นเอง

ท่าน เช่นนั้น ยกความเห็นเรื่องผัสสะ แล้วผมรู้สึกว่า ทำไมผมถึงมีความเห็นคล้ายๆที่ท่านเช่นนั้น

คือผัสสะเรากำหนดรู้ด้วยอารมณ์วิปัสสนาอยู่แล้ว เราไม่ได้เข้าไปยึดถือ ผัสสะนั้นก็ดับลง คือ ไม่ใช่ปิดหูปิดตาแล้วเรียกผัสสะดับลง


:b8: :b8: :b8:

ความเห็นของผม...มีสามสิ่งเมื่อไร...ผัสสะมันก็เกิดของมันอยู่แล้ว...และที่เกิดมากที่สุด...ก็มโนผัสสะ..หากยังรู้เมื่อไร..นั้นก็ผัสสะแล้ว...

แต่สำคัญ..ว่า..เมื่อผัสสะแล้ว....แล้วเรารู้สึกอะไร..รู้สึกไปทางธรรมเพื่อความหลุดพ้นมั้ย..รู้ทุกข์..รู้เหตุของทุกข์..รู้ความดับทุกข์..รู้ทางดับทุกข์...มั้ย....รึว่า..รู้สึกไปทางธรรมเพื่อการอยู่ในวัฏฏะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2015, 07:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
walaiporn เขียน:

ผู้ที่ไม่กลัวตาย คือ ไม่มีห่วง ไม่มีอาลัย จึงจะมุดรูได้(ตามที่ท่านเล่า)
จริงๆแล้ว สภาพธรรมที่ท่านเรียกว่า มุดรู
เกิดจาก สมาธิที่มีกำลังมากมายมหาศาล ดูดเข้ารูไป
เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ทันที อาการเหมือนเด็กที่คลอดจากแม่
คือ ไม่ต้องผ่านการเกิดแบบนั้น




:b6: ...เหร๋อ...

จะให้เอกอนเล่าสภาวะนั้นให้ฟังมั๊ย...จริง ๆ ก็ธรรมดานะ
ไม่เห็นจะพิเศษอะไร ver ปานนั้น


:b1:

สำหรับเอกอน สภาวะนั้น ถือว่าเป็นเบสิกนะ

เพราะ ... เอกอนทดลองนั่งไม่กี่วัน ก็เจอสภาวะนั้นแล้วล่ะ
แต่ก็แปลกที่จิตเอกอนก็ไม่ได้ตกใจอะไรเลย

เพิ่งรู้นะนี้ ว่าอาการอย่างนั้นเป็นเรื่องที่ มหาศาล ปานนั้น

...

:b6:






"จะให้เอกอนเล่าสภาวะนั้นให้ฟังมั๊ย...จริง ๆ ก็ธรรมดานะ"
ไม่เห็นจะพิเศษอะไร ver ปานนั้น



ช่วยเล่าให้ฟังด้วย และช่วยบอกด้วยว่า

จริงเหรอ ที่ว่านั่งไม่กี่วัน ก็เจอสภาวะนั้นละ

ขอถามว่า ที่ว่าเจอสภาวะนั้นละ เป็นอย่างไร

เช่น ใช้คำบริกรรมอะไร ก่อนจิตเป็นสมาธิ

ก่อนจะมีสภาวะนี้เกิดขึ้น เป็นอย่างไร

ขณะกำลังเกิดสภาวะนี้ เป็นอย่างไร

และหลังจากออกจากสมาธินี้ เป็นอย่างไร

การดำเนินชีวิต หลังพบเจอสภาวะนี้ เป็นอย่างไร

สภาพธรรมต่างๆ ที่มีเกิดขึ้น ในการคิดพิจรณา เป็นอย่างไร



พอจะนำมาบอกเล่ากันได้ไหม





อีกอย่าง หากฟังเรื่องมุดรู ที่หลวงพ่อเยื้อนเล่าให้ฟังทั้งหมด

ก็จะรู้ว่า มีคนประเภทที่เรียกว่า "ver ปานนั้น " ที่เป็นอาจารย์หลวงพ่อเยื้อน
ท่านคงดูเว่อมากๆในสายตาของคนอื่น ที่สอนเรื่องนี้ไปทั่ว
ไม่ได้รู้อะไรซะเลยว่า มันแค่เบสิก สำหรับคนอื่น

หลวงพ่อเยื้อนไม่ได้คิดเองเออเอง คำกล่าวต่างๆ ที่คำกล่าวของอาจารย์หลวงพ่อเยื้อน
หลวงพ่อเยื้อน เรียนมาน้อย อ่านหนังสือไม่ค่อยออก
จึงไม่สามารถศึกษาพระธรรมคำสอนได้
จึงได้แต่จดจำคำพูดของอาจารย์ที่ท่านให้ความเคารพและนับถือ



สำหรับวลัยพรน่ะ ใครจะกล่าวว่า มันดู เว่อ ในความรู้สึกของผู้อื่น

เพราะสิ่งที่ทำให้ผู้อื่นคิดว่า เว่อนี้(ตอนนั้นยังไม่เคยฟังหลวงพ่อเยื้อนด้วยซ้ำ)
สภาพธรรมที่ว่า มุดรู มีผลกระทบกลับตัวเองคือ
เป็นปัจจัยให้ สัญญาเกิด

เมื่อสัญญาเกิด มนสิการไว้ในใจ ไม่ถือมั่นในสัญญาต่างๆที่มีเกิดขึ้น
แต่ค้นหาคำเรียกนั้นๆ ในกูเกิ้ล เมื่อค้นเจอ ในสิ่งที่คิดว่า น่าจะใช่ ก็มนสิการไว้ในใจ
จนกระทั่ง สภาพธรรมต่างๆ ปรากฏขึ้นพร้อมสมบูรณ์
เป็นปัจจัยให้รู้ รู้วิธีการกระทำเพื่อดับเหตุแห่งทุกข์ที่มีอยู่
และไม่มีการน้อมเข้าสู่ความมี ความเป็นอะไรๆในสมมุติด้วย






อ่อ แล้วที่ยังติดใจเรื่องเนวสัญญานาสัญญายตนะน่ะ
มันคนละสภาพธรรมเกี่ยวกับเรื่อง มุดรู


วลัยพรก็แค่อยากรู้ว่า มีใครเคยเจอสภาพธรรมนี้บ้างไหม
และนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตอย่างไร เท่านั้นเอง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2015, 08:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
การหาข้อมูลเกี่ยวกับพระธรรมคำสอน
หากหาด้วยความอยากรู้ หาเท่าไหร่ ก็หาไม่เจอ
ที่หาเจอ ก็ใช่ว่า จะใช่ทั้งหมด


สัญญาต่างๆ ที่มีวิตก วิจารณ์ขึ้นมา
แค่หาแบบปกติ หาด้วยความสงสัยว่า มันมีอยู่ไหมหนอ ในพระธรรมคำสอน
เมื่อเจอในสิ่งที่กำลังหา ให้สักแต่ว่า อย่าถือมั่น เพราะที่หาเจอ ที่คิดว่า น่าจะใช่ มันยังไม่จบ
เหมือนจิ๊กซอ เจอทีละท่อนๆๆๆๆๆๆๆ เซฟเก็บไว้ ไม่ถือมั่น จะเจอจนครบสมบูรณ์

โดยส่วนมาก หาด้วยความอยาก อยากรู้ รู้แล้วถือมั่น
คิดว่ามี คิดว่าเป็น คิดว่าใช่ สัญญาก็ไม่เที่ยง
ที่เรียกว่า สัญญา เพราะยังไม่สามารถนำสิ่งที่คิดว่ารู้ ไปกระทำเพื่อ ดับเหตุแห่งทุก์ได้


การศึกษาพระธรรมคำสอนจึงมีความสำคัญ
หากรู้จักโยนิโสมนสิการ สักแต่ว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ถือมั่น
สภาพธรรมต่างๆที่มีอยู่ จะเกิดขึ้นเอตามเหตุและปัจจัย

เหมือนเรื่องเกี่ยวกับฌานและอรูปฌาน ที่เป็นสัมมาสมาธิ
มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่
หากมีสติรู้อยู่ ไม่ถือมั่นสภาพธรรมที่ปราฏ
กำลังสมาธิที่มีเกิดขึ้น ในลำดับของรูปฌานและอรูปฌาน
จะมีเกิดขึ้นเองตามเหตุและปัจจัย

ที่ไปไม่ถึง เพราะหยุดอยู่แค่สิ่งที่คิดว่า ใช่
หรือเพลินอยู่แค่ตรงนั้น

แต่ทั้งหมดนี้ จะนำมาเพิ่งโทษหรือคิดตำหนิกันก็ไม่ได้
เพราะตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ มันก็ไม่แน่ บางคนอาจจะกระทำถึงที่สุดแห่งทุกข์ ในชาตินี้ก็ได้
อะไรที่สามารถละได้ ก็ควรละ ไม่นำมาเป็นอารมณ์
จะกลายเป็น การสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้นกับตัวเอง

เหมือนการเขียนออกมานี่ หากกลับมาทบทวนในสิ่งที่เขียน(ยังไม่มีคนอ้างอิง)
การเขียนด้วยอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดใดๆก็ตาม ณ ขณะนั้น บางครั้งก็ดูไม่ทัน
ก็ยังกลับมาแก้ไขข้อมูลใหม่ได้ อะไรที่เป็นเหตุของการเบียนเบียนผู้อื่นทางกาย วาจา ใจ ก็ละเสีย
การโพสลงแบบนี้ ส่วนที่เพียรเพื่อละ ในสิ่งที่ควรละ ก็มีอยู่



ต่างกับที่มีเกิดขึ้นในชีวิตจริง
อะไรที่กระทำลงไปแล้ว จะด้วยเจตนาหรือไม่เจตนา
เหตุมี ผลย่อมมี

เมื่อเกิดผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิดความรู้สึกนึกคิด
เหตุปัจจัยจาก ความรู้ชัดผัสสะ ที่เกิดขึ้น ก็หลงกระทำต่อ ตามความทะยานอยากที่เกิดขึ้น
ประมาณว่า มันว่ากรู(ความไม่ชอบใจ) กรูต้องว่ามัน(เหตุใหม่)
ภพชาติปัจจุบัน เกิดขึ้นใหม่ทันที



นำการแสดงธรรมของหลวงพ่อเยื้อน มาโพส
เห็นว่ามีประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจเรื่องสภาพธรรมต่างๆ
ที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิ

ผู้ที่ไม่กลัวตาย คือ ไม่มีห่วง ไม่มีอาลัย จึงจะมุดรูได้(ตามที่ท่านเล่า)
จริงๆแล้ว สภาพธรรมที่ท่านเรียกว่า มุดรู
เกิดจาก สมาธิที่มีกำลังมากมายมหาศาล ดูดเข้ารูไป
เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ทันที อาการเหมือนเด็กที่คลอดจากแม่
คือ ไม่ต้องผ่านการเกิดแบบนั้น



เจ้านาย(คู่ครอง) ก็เคยเจอสภาพธรรมนี้ แค่ระหว่างทาง
ความกลัวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ภาพที่ปรากฏให้กลัว จึงไม่เหมือนกัน
เขาผ่านไม่ได้ เพราะภาพที่ปรากฏ เป็นปากเหว มองลงไปแล้ว น่ากลัวมาก
เมื่อความกลัวเข้าแทรก จึงกลับมารู้ที่กาย



หลวงพ่อเยื้อน ท่านเรียนมาน้อย อ่านหนังสือไม่ค่อยออก
แค่ฟังสภาวะที่ท่านเล่า คำเรียกต่างๆเกี่ยวกับปริยัติ อย่าถือท่าน







ดูเวลาที่แก้ไขด้วย เมื่อ 26 มิ.ย.2015, 11:03 pm, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แก้ไขเสร็จ ก็มีโพสต่อไป ขึ้นโชว์ โพสต์ เมื่อ: 26 มิ.ย.2015, 11:01 pm


ข้อความที่แก้ไข ก็ยาวยืด คงแก้แล้วโพสเสร็จภายในสองนาทีหรอก
การพิมพ์ ก็ใช้จิ้ม ขนาดสระยังตกๆหล่นๆ แหม่ ช่างพิมพ์ได้ไวแท้




eragon_joe เขียน:
ที่เอกอนบอกว่า สภาวะนั้นเป็นเบสิก

เพราะสภาวะที่ยังรู้สึกถึงว่ามีรู มีนั่นมีนี่ มาบีบมาเค้น
นั่นคือ ยังมีรูปให้ได้รู้สึก ใช่มั๊ย...

ไปตรวจสอบองค์ธรรมที่เป็นไปใน อรูปสัญญา หาสิ่งที่จะมาเป็นรูเจอมั๊ย

:b1: :b1: :b1:

ตรองดูดี ๆ ก่อนที่จะ ตัดพ้ออะไร

:b1: :b1: :b1:





กลับไปอ่านทบทวนที่โพสไว้ ตรงไหนหนอ ที่เป็นการกระทำเรียกว่า ตัดพ้อ
อ่านแล้วอ่านอีก ก็ไม่เห็นมี แหม่ ทำยังกับหนุ่มสาว ตัดพ้อกัน :b32:

นอกจากความสำคัญผิด คิดเอาเองว่า ได้มีการแก้ไขข้อความ
หลังจากที่มีการโพสข้อความถัดมาของอีกฝ่าย


แล้วที่นำมากล่าวทำนองว่า สิ่งที่วลัยพรนำมาโพส(หลวงพ่อเยื้อน) เป็นอรูปสัญญา
อ่านที่ตัวเองโพสไว้ อ่านแล้ว อ่านอีก ก็ไม่เห็นมีการเขียนไว้ว่า นี่คือ อรูปสัญญา



"นำการแสดงธรรมของหลวงพ่อเยื้อน มาโพส
เห็นว่ามีประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจเรื่องสภาพธรรมต่างๆ
ที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิ"

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2015, 08:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2015, 09:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณแสดงความเห็นตามนี้

walaiporn เขียน:

ฌานสมาบัติ กับ นิโรธสมาบัติ แตกต่างกันตรงที่ ความดับ ก่อนกับ กำลังดับ ขณะที่ดับ
ขณะสมาธิกำลังคลาย ความรู้สึกตัวที่มีเกิดขึ้น รู้ทีเดียว รู้ทีละขณะ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เรื่องที่นำมากล่าวกันว่า นิโรธสมาบัติ มีเกิดขึ้นได้เฉพาะ อนาคามี เรื่องนี้ ไม่จริง

แต่ถ้าบอกว่า ผู้เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ
ไม่จำเป็นสำคัญมั่นหมายว่าได้อะไร เป็นอะไร อันนี้ เรื่องจริง



และคุณก็มีการนำบางส่วนของพระสูตรนี้มา


walaiporn เขียน:
พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังละโอรัมภาคิยสังโยชน์ไม่ได้
แต่เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะในปัจจุบัน
บุคคลนั้นชอบใจ ยินดีและถึงความปลื้มใจด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น
ยับยั้งอยู่ในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น น้อมใจไป
อยู่จนคุ้นในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ไม่เสื่อม
เมื่อทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนภพ
เขาจุติจากชั้นนั้นแล้วย่อมเป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้

ดูกรสารีบุตร อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้แล้ว
เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ ในปัจจุบัน

บุคคลนั้นชอบใจ ยินดี และถึงความปลื้มใจ ด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น
ยับยั้งในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น น้อมใจไป
อยู่จนคุ้นในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ไม่เสื่อม
เมื่อกระทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนภพ
เขาจุติจากชั้นนั้นแล้ว ย่อมเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้

ดูกรสารีบุตร นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้
จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้

อนึ่ง นี้เป็นเหตุ เป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้
จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ


http://84000.org/tipitaka/read/?21/171

ขึ้นชื่อว่า การเกิด ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร ล้วนเป็นทุกข์


และคุณก็นำเสนอประมาณนี้ต่อ

walaiporn เขียน:
การหาข้อมูลเกี่ยวกับพระธรรมคำสอน
หากหาด้วยความอยากรู้ หาเท่าไหร่ ก็หาไม่เจอ
ที่หาเจอ ก็ใช่ว่า จะใช่ทั้งหมด


สัญญาต่างๆ ที่มีวิตก วิจารณ์ขึ้นมา
แค่หาแบบปกติ หาด้วยความสงสัยว่า มันมีอยู่ไหมหนอ ในพระธรรมคำสอน
เมื่อเจอในสิ่งที่กำลังหา ให้สักแต่ว่า อย่าถือมั่น เพราะที่หาเจอ ที่คิดว่า น่าจะใช่ มันยังไม่จบ
เหมือนจิ๊กซอ เจอทีละท่อนๆๆๆๆๆๆๆ เซฟเก็บไว้ ไม่ถือมั่น จะเจอจนครบสมบูรณ์

โดยส่วนมาก หาด้วยความอยาก อยากรู้ รู้แล้วถือมั่น
คิดว่ามี คิดว่าเป็น คิดว่าใช่ สัญญาก็ไม่เที่ยง
ที่เรียกว่า สัญญา เพราะยังไม่สามารถนำสิ่งที่คิดว่ารู้ ไปกระทำเพื่อ ดับเหตุแห่งทุก์ได้


การศึกษาพระธรรมคำสอนจึงมีความสำคัญ
หากรู้จักโยนิโสมนสิการ สักแต่ว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ถือมั่น
สภาพธรรมต่างๆที่มีอยู่ จะเกิดขึ้นเอตามเหตุและปัจจัย

เหมือนเรื่องเกี่ยวกับฌานและอรูปฌาน ที่เป็นสัมมาสมาธิ
มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่
หากมีสติรู้อยู่ ไม่ถือมั่นสภาพธรรมที่ปราฏ
กำลังสมาธิที่มีเกิดขึ้น ในลำดับของรูปฌานและอรูปฌาน
จะมีเกิดขึ้นเองตามเหตุและปัจจัย

ที่ไปไม่ถึง เพราะหยุดอยู่แค่สิ่งที่คิดว่า ใช่
หรือเพลินอยู่แค่ตรงนั้น

แต่ทั้งหมดนี้ จะนำมาเพิ่งโทษหรือคิดตำหนิกันก็ไม่ได้
เพราะตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ มันก็ไม่แน่ บางคนอาจจะกระทำถึงที่สุดแห่งทุกข์ ในชาตินี้ก็ได้
อะไรที่สามารถละได้ ก็ควรละ ไม่นำมาเป็นอารมณ์
จะกลายเป็น การสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้นกับตัวเอง

เหมือนการเขียนออกมานี่ หากกลับมาทบทวนในสิ่งที่เขียน(ยังไม่มีคนอ้างอิง)
การเขียนด้วยอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดใดๆก็ตาม ณ ขณะนั้น บางครั้งก็ดูไม่ทัน
ก็ยังกลับมาแก้ไขข้อมูลใหม่ได้ อะไรที่เป็นเหตุของการเบียนเบียนผู้อื่นทางกาย วาจา ใจ ก็ละเสีย
การโพสลงแบบนี้ ส่วนที่เพียรเพื่อละ ในสิ่งที่ควรละ ก็มีอยู่



ต่างกับที่มีเกิดขึ้นในชีวิตจริง
อะไรที่กระทำลงไปแล้ว จะด้วยเจตนาหรือไม่เจตนา
เหตุมี ผลย่อมมี

เมื่อเกิดผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิดความรู้สึกนึกคิด
เหตุปัจจัยจาก ความรู้ชัดผัสสะ ที่เกิดขึ้น ก็หลงกระทำต่อ ตามความทะยานอยากที่เกิดขึ้น
ประมาณว่า มันว่ากรู(ความไม่ชอบใจ) กรูต้องว่ามัน(เหตุใหม่)
ภพชาติปัจจุบัน เกิดขึ้นใหม่ทันที



นำการแสดงธรรมของหลวงพ่อเยื้อน มาโพส
เห็นว่ามีประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจเรื่องสภาพธรรมต่างๆ
ที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิ

ผู้ที่ไม่กลัวตาย คือ ไม่มีห่วง ไม่มีอาลัย จึงจะมุดรูได้(ตามที่ท่านเล่า)
จริงๆแล้ว สภาพธรรมที่ท่านเรียกว่า มุดรู
เกิดจาก สมาธิที่มีกำลังมากมายมหาศาล ดูดเข้ารูไป
เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ทันที อาการเหมือนเด็กที่คลอดจากแม่
คือ ไม่ต้องผ่านการเกิดแบบนั้น



เจ้านาย(คู่ครอง) ก็เคยเจอสภาพธรรมนี้ แค่ระหว่างทาง
ความกลัวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ภาพที่ปรากฏให้กลัว จึงไม่เหมือนกัน
เขาผ่านไม่ได้ เพราะภาพที่ปรากฏ เป็นปากเหว มองลงไปแล้ว น่ากลัวมาก
เมื่อความกลัวเข้าแทรก จึงกลับมารู้ที่กาย



หลวงพ่อเยื้อน ท่านเรียนมาน้อย อ่านหนังสือไม่ค่อยออก
แค่ฟังสภาวะที่ท่านเล่า คำเรียกต่างๆเกี่ยวกับปริยัติ อย่าถือท่าน



สรุปแล้ว ที่คุณแสดงความเห็นมาทั้งหมด คุณต้องการนำเสนออะไร ... กันแน่


ช่วยสรุปเอาแบบชัด ๆ ว่า ที่คุณนำเสนอข้างต้น ตรงนี้

walaiporn เขียน:

ฌานสมาบัติ กับ นิโรธสมาบัติ แตกต่างกันตรงที่ ความดับ ก่อนกับ กำลังดับ ขณะที่ดับ
ขณะสมาธิกำลังคลาย ความรู้สึกตัวที่มีเกิดขึ้น รู้ทีเดียว รู้ทีละขณะ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เรื่องที่นำมากล่าวกันว่า นิโรธสมาบัติ มีเกิดขึ้นได้เฉพาะ อนาคามี เรื่องนี้ ไม่จริง

แต่ถ้าบอกว่า ผู้เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ
ไม่จำเป็นสำคัญมั่นหมายว่าได้อะไร เป็นอะไร อันนี้ เรื่องจริง



สนทนาเรื่องผัสสะ แล้วไปกระโดดโหนเอา อรูปญาณมา จนไป เนวสัญญามา
และเอานิโรธสมาบัติมา ลากอนาคามีเข้ามาเอี่ยว แล้วย้อนกลับมา มุดรู

ซึ่งเป็น ธรรมที่เพิ่งจะชั้นต้นเท่านั้น ...

:b6: :b6: :b6:

สรุป ว่า ต้องการนำเสนออะไร กันแน่
เอกอนอยากให้คุณแสดงความชัดเจนกับความเห็นที่คุณ ฟันธง ลงตรงนั้นน่ะ
ว่า ความเห็นที่สรุปลงตรงนั้น คุณใช้อะไรในการอ้างอิง และอ้างอิงมาจากอะไร


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 29 มิ.ย. 2015, 09:26, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2015, 09:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
คุณแสดงความเห็นตามนี้

walaiporn เขียน:

ฌานสมาบัติ กับ นิโรธสมาบัติ แตกต่างกันตรงที่ ความดับ ก่อนกับ กำลังดับ ขณะที่ดับ
ขณะสมาธิกำลังคลาย ความรู้สึกตัวที่มีเกิดขึ้น รู้ทีเดียว รู้ทีละขณะ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เรื่องที่นำมากล่าวกันว่า นิโรธสมาบัติ มีเกิดขึ้นได้เฉพาะ อนาคามี เรื่องนี้ ไม่จริง

แต่ถ้าบอกว่า ผู้เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ
ไม่จำเป็นสำคัญมั่นหมายว่าได้อะไร เป็นอะไร อันนี้ เรื่องจริง



และคุณก็มีการนำบางส่วนของพระสูตรนี้มา


walaiporn เขียน:
พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังละโอรัมภาคิยสังโยชน์ไม่ได้
แต่เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะในปัจจุบัน
บุคคลนั้นชอบใจ ยินดีและถึงความปลื้มใจด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น
ยับยั้งอยู่ในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น น้อมใจไป
อยู่จนคุ้นในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ไม่เสื่อม
เมื่อทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนภพ
เขาจุติจากชั้นนั้นแล้วย่อมเป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้

ดูกรสารีบุตร อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้แล้ว
เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ ในปัจจุบัน

บุคคลนั้นชอบใจ ยินดี และถึงความปลื้มใจ ด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น
ยับยั้งในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น น้อมใจไป
อยู่จนคุ้นในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ไม่เสื่อม
เมื่อกระทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนภพ
เขาจุติจากชั้นนั้นแล้ว ย่อมเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้

ดูกรสารีบุตร นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้
จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้

อนึ่ง นี้เป็นเหตุ เป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้
จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ


http://84000.org/tipitaka/read/?21/171

ขึ้นชื่อว่า การเกิด ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร ล้วนเป็นทุกข์


และคุณก็นำเสนอประมาณนี้ต่อ

walaiporn เขียน:
การหาข้อมูลเกี่ยวกับพระธรรมคำสอน
หากหาด้วยความอยากรู้ หาเท่าไหร่ ก็หาไม่เจอ
ที่หาเจอ ก็ใช่ว่า จะใช่ทั้งหมด


สัญญาต่างๆ ที่มีวิตก วิจารณ์ขึ้นมา
แค่หาแบบปกติ หาด้วยความสงสัยว่า มันมีอยู่ไหมหนอ ในพระธรรมคำสอน
เมื่อเจอในสิ่งที่กำลังหา ให้สักแต่ว่า อย่าถือมั่น เพราะที่หาเจอ ที่คิดว่า น่าจะใช่ มันยังไม่จบ
เหมือนจิ๊กซอ เจอทีละท่อนๆๆๆๆๆๆๆ เซฟเก็บไว้ ไม่ถือมั่น จะเจอจนครบสมบูรณ์

โดยส่วนมาก หาด้วยความอยาก อยากรู้ รู้แล้วถือมั่น
คิดว่ามี คิดว่าเป็น คิดว่าใช่ สัญญาก็ไม่เที่ยง
ที่เรียกว่า สัญญา เพราะยังไม่สามารถนำสิ่งที่คิดว่ารู้ ไปกระทำเพื่อ ดับเหตุแห่งทุก์ได้


การศึกษาพระธรรมคำสอนจึงมีความสำคัญ
หากรู้จักโยนิโสมนสิการ สักแต่ว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ถือมั่น
สภาพธรรมต่างๆที่มีอยู่ จะเกิดขึ้นเอตามเหตุและปัจจัย

เหมือนเรื่องเกี่ยวกับฌานและอรูปฌาน ที่เป็นสัมมาสมาธิ
มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่
หากมีสติรู้อยู่ ไม่ถือมั่นสภาพธรรมที่ปราฏ
กำลังสมาธิที่มีเกิดขึ้น ในลำดับของรูปฌานและอรูปฌาน
จะมีเกิดขึ้นเองตามเหตุและปัจจัย

ที่ไปไม่ถึง เพราะหยุดอยู่แค่สิ่งที่คิดว่า ใช่
หรือเพลินอยู่แค่ตรงนั้น

แต่ทั้งหมดนี้ จะนำมาเพิ่งโทษหรือคิดตำหนิกันก็ไม่ได้
เพราะตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ มันก็ไม่แน่ บางคนอาจจะกระทำถึงที่สุดแห่งทุกข์ ในชาตินี้ก็ได้
อะไรที่สามารถละได้ ก็ควรละ ไม่นำมาเป็นอารมณ์
จะกลายเป็น การสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้นกับตัวเอง

เหมือนการเขียนออกมานี่ หากกลับมาทบทวนในสิ่งที่เขียน(ยังไม่มีคนอ้างอิง)
การเขียนด้วยอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดใดๆก็ตาม ณ ขณะนั้น บางครั้งก็ดูไม่ทัน
ก็ยังกลับมาแก้ไขข้อมูลใหม่ได้ อะไรที่เป็นเหตุของการเบียนเบียนผู้อื่นทางกาย วาจา ใจ ก็ละเสีย
การโพสลงแบบนี้ ส่วนที่เพียรเพื่อละ ในสิ่งที่ควรละ ก็มีอยู่



ต่างกับที่มีเกิดขึ้นในชีวิตจริง
อะไรที่กระทำลงไปแล้ว จะด้วยเจตนาหรือไม่เจตนา
เหตุมี ผลย่อมมี

เมื่อเกิดผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิดความรู้สึกนึกคิด
เหตุปัจจัยจาก ความรู้ชัดผัสสะ ที่เกิดขึ้น ก็หลงกระทำต่อ ตามความทะยานอยากที่เกิดขึ้น
ประมาณว่า มันว่ากรู(ความไม่ชอบใจ) กรูต้องว่ามัน(เหตุใหม่)
ภพชาติปัจจุบัน เกิดขึ้นใหม่ทันที



นำการแสดงธรรมของหลวงพ่อเยื้อน มาโพส
เห็นว่ามีประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจเรื่องสภาพธรรมต่างๆ
ที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิ

ผู้ที่ไม่กลัวตาย คือ ไม่มีห่วง ไม่มีอาลัย จึงจะมุดรูได้(ตามที่ท่านเล่า)
จริงๆแล้ว สภาพธรรมที่ท่านเรียกว่า มุดรู
เกิดจาก สมาธิที่มีกำลังมากมายมหาศาล ดูดเข้ารูไป
เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ทันที อาการเหมือนเด็กที่คลอดจากแม่
คือ ไม่ต้องผ่านการเกิดแบบนั้น



เจ้านาย(คู่ครอง) ก็เคยเจอสภาพธรรมนี้ แค่ระหว่างทาง
ความกลัวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ภาพที่ปรากฏให้กลัว จึงไม่เหมือนกัน
เขาผ่านไม่ได้ เพราะภาพที่ปรากฏ เป็นปากเหว มองลงไปแล้ว น่ากลัวมาก
เมื่อความกลัวเข้าแทรก จึงกลับมารู้ที่กาย



หลวงพ่อเยื้อน ท่านเรียนมาน้อย อ่านหนังสือไม่ค่อยออก
แค่ฟังสภาวะที่ท่านเล่า คำเรียกต่างๆเกี่ยวกับปริยัติ อย่าถือท่าน



สรุปแล้ว ที่คุณแสดงความเห็นมาทั้งหมด คุณต้องการนำเสนออะไร ... กันแน่


ช่วยสรุปเอาแบบชัด ๆ ว่า ที่คุณนำเสนอข้างต้น ตรงนี้

walaiporn เขียน:

ฌานสมาบัติ กับ นิโรธสมาบัติ แตกต่างกันตรงที่ ความดับ ก่อนกับ กำลังดับ ขณะที่ดับ
ขณะสมาธิกำลังคลาย ความรู้สึกตัวที่มีเกิดขึ้น รู้ทีเดียว รู้ทีละขณะ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เรื่องที่นำมากล่าวกันว่า นิโรธสมาบัติ มีเกิดขึ้นได้เฉพาะ อนาคามี เรื่องนี้ ไม่จริง

แต่ถ้าบอกว่า ผู้เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ
ไม่จำเป็นสำคัญมั่นหมายว่าได้อะไร เป็นอะไร อันนี้ เรื่องจริง



สนทนาเรื่องผัสสะ แล้วไปกระโดดโหนเอา อรูปญาณมา จนไป เนวสัญญามา
และเอานิโรธสมาบัติมา ลากอนาคามีเข้ามาเอี่ยว แล้วย้อนกลับมา มุดรู

ซึ่งเป็น ธรรมที่เพิ่งจะชั้นต้นเท่านั้น ...

:b6: :b6: :b6:

สรุป ว่า ต้องการนำเสนออะไร กันแน่


ใช่ๆเลย มีแต่ผัสสะ เดี๋ยวไปไหนต่อไหนแล้ว เดี๋ยวก็ปฏิจจบ้าง เรื่องภพบ้าง เรื่องภูมิบ้าง อภิธรรมบ้าง
คิดว่าตามที่คิดได้ อย่างคนโบราณเขาว่าไม่เป็นโล้เป็นพาย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2015, 09:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
คุณแสดงความเห็นตามนี้

walaiporn เขียน:

ฌานสมาบัติ กับ นิโรธสมาบัติ แตกต่างกันตรงที่ ความดับ ก่อนกับ กำลังดับ ขณะที่ดับ
ขณะสมาธิกำลังคลาย ความรู้สึกตัวที่มีเกิดขึ้น รู้ทีเดียว รู้ทีละขณะ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เรื่องที่นำมากล่าวกันว่า นิโรธสมาบัติ มีเกิดขึ้นได้เฉพาะ อนาคามี เรื่องนี้ ไม่จริง

แต่ถ้าบอกว่า ผู้เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ
ไม่จำเป็นสำคัญมั่นหมายว่าได้อะไร เป็นอะไร อันนี้ เรื่องจริง



และคุณก็มีการนำบางส่วนของพระสูตรนี้มา


walaiporn เขียน:
พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังละโอรัมภาคิยสังโยชน์ไม่ได้
แต่เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะในปัจจุบัน
บุคคลนั้นชอบใจ ยินดีและถึงความปลื้มใจด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น
ยับยั้งอยู่ในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น น้อมใจไป
อยู่จนคุ้นในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ไม่เสื่อม
เมื่อทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนภพ
เขาจุติจากชั้นนั้นแล้วย่อมเป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้

ดูกรสารีบุตร อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้แล้ว
เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ ในปัจจุบัน

บุคคลนั้นชอบใจ ยินดี และถึงความปลื้มใจ ด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น
ยับยั้งในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น น้อมใจไป
อยู่จนคุ้นในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ไม่เสื่อม
เมื่อกระทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนภพ
เขาจุติจากชั้นนั้นแล้ว ย่อมเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้

ดูกรสารีบุตร นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้
จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้

อนึ่ง นี้เป็นเหตุ เป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้
จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ


http://84000.org/tipitaka/read/?21/171

ขึ้นชื่อว่า การเกิด ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร ล้วนเป็นทุกข์


และคุณก็นำเสนอประมาณนี้ต่อ

walaiporn เขียน:
การหาข้อมูลเกี่ยวกับพระธรรมคำสอน
หากหาด้วยความอยากรู้ หาเท่าไหร่ ก็หาไม่เจอ
ที่หาเจอ ก็ใช่ว่า จะใช่ทั้งหมด


สัญญาต่างๆ ที่มีวิตก วิจารณ์ขึ้นมา
แค่หาแบบปกติ หาด้วยความสงสัยว่า มันมีอยู่ไหมหนอ ในพระธรรมคำสอน
เมื่อเจอในสิ่งที่กำลังหา ให้สักแต่ว่า อย่าถือมั่น เพราะที่หาเจอ ที่คิดว่า น่าจะใช่ มันยังไม่จบ
เหมือนจิ๊กซอ เจอทีละท่อนๆๆๆๆๆๆๆ เซฟเก็บไว้ ไม่ถือมั่น จะเจอจนครบสมบูรณ์

โดยส่วนมาก หาด้วยความอยาก อยากรู้ รู้แล้วถือมั่น
คิดว่ามี คิดว่าเป็น คิดว่าใช่ สัญญาก็ไม่เที่ยง
ที่เรียกว่า สัญญา เพราะยังไม่สามารถนำสิ่งที่คิดว่ารู้ ไปกระทำเพื่อ ดับเหตุแห่งทุก์ได้


การศึกษาพระธรรมคำสอนจึงมีความสำคัญ
หากรู้จักโยนิโสมนสิการ สักแต่ว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ถือมั่น
สภาพธรรมต่างๆที่มีอยู่ จะเกิดขึ้นเอตามเหตุและปัจจัย

เหมือนเรื่องเกี่ยวกับฌานและอรูปฌาน ที่เป็นสัมมาสมาธิ
มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่
หากมีสติรู้อยู่ ไม่ถือมั่นสภาพธรรมที่ปราฏ
กำลังสมาธิที่มีเกิดขึ้น ในลำดับของรูปฌานและอรูปฌาน
จะมีเกิดขึ้นเองตามเหตุและปัจจัย

ที่ไปไม่ถึง เพราะหยุดอยู่แค่สิ่งที่คิดว่า ใช่
หรือเพลินอยู่แค่ตรงนั้น

แต่ทั้งหมดนี้ จะนำมาเพิ่งโทษหรือคิดตำหนิกันก็ไม่ได้
เพราะตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ มันก็ไม่แน่ บางคนอาจจะกระทำถึงที่สุดแห่งทุกข์ ในชาตินี้ก็ได้
อะไรที่สามารถละได้ ก็ควรละ ไม่นำมาเป็นอารมณ์
จะกลายเป็น การสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้นกับตัวเอง

เหมือนการเขียนออกมานี่ หากกลับมาทบทวนในสิ่งที่เขียน(ยังไม่มีคนอ้างอิง)
การเขียนด้วยอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดใดๆก็ตาม ณ ขณะนั้น บางครั้งก็ดูไม่ทัน
ก็ยังกลับมาแก้ไขข้อมูลใหม่ได้ อะไรที่เป็นเหตุของการเบียนเบียนผู้อื่นทางกาย วาจา ใจ ก็ละเสีย
การโพสลงแบบนี้ ส่วนที่เพียรเพื่อละ ในสิ่งที่ควรละ ก็มีอยู่



ต่างกับที่มีเกิดขึ้นในชีวิตจริง
อะไรที่กระทำลงไปแล้ว จะด้วยเจตนาหรือไม่เจตนา
เหตุมี ผลย่อมมี

เมื่อเกิดผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิดความรู้สึกนึกคิด
เหตุปัจจัยจาก ความรู้ชัดผัสสะ ที่เกิดขึ้น ก็หลงกระทำต่อ ตามความทะยานอยากที่เกิดขึ้น
ประมาณว่า มันว่ากรู(ความไม่ชอบใจ) กรูต้องว่ามัน(เหตุใหม่)
ภพชาติปัจจุบัน เกิดขึ้นใหม่ทันที



นำการแสดงธรรมของหลวงพ่อเยื้อน มาโพส
เห็นว่ามีประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจเรื่องสภาพธรรมต่างๆ
ที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิ

ผู้ที่ไม่กลัวตาย คือ ไม่มีห่วง ไม่มีอาลัย จึงจะมุดรูได้(ตามที่ท่านเล่า)
จริงๆแล้ว สภาพธรรมที่ท่านเรียกว่า มุดรู
เกิดจาก สมาธิที่มีกำลังมากมายมหาศาล ดูดเข้ารูไป
เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ทันที อาการเหมือนเด็กที่คลอดจากแม่
คือ ไม่ต้องผ่านการเกิดแบบนั้น



เจ้านาย(คู่ครอง) ก็เคยเจอสภาพธรรมนี้ แค่ระหว่างทาง
ความกลัวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ภาพที่ปรากฏให้กลัว จึงไม่เหมือนกัน
เขาผ่านไม่ได้ เพราะภาพที่ปรากฏ เป็นปากเหว มองลงไปแล้ว น่ากลัวมาก
เมื่อความกลัวเข้าแทรก จึงกลับมารู้ที่กาย



หลวงพ่อเยื้อน ท่านเรียนมาน้อย อ่านหนังสือไม่ค่อยออก
แค่ฟังสภาวะที่ท่านเล่า คำเรียกต่างๆเกี่ยวกับปริยัติ อย่าถือท่าน



สรุปแล้ว ที่คุณแสดงความเห็นมาทั้งหมด คุณต้องการนำเสนออะไร ... กันแน่


ช่วยสรุปเอาแบบชัด ๆ ว่า ที่คุณนำเสนอข้างต้น ตรงนี้

walaiporn เขียน:

ฌานสมาบัติ กับ นิโรธสมาบัติ แตกต่างกันตรงที่ ความดับ ก่อนกับ กำลังดับ ขณะที่ดับ
ขณะสมาธิกำลังคลาย ความรู้สึกตัวที่มีเกิดขึ้น รู้ทีเดียว รู้ทีละขณะ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เรื่องที่นำมากล่าวกันว่า นิโรธสมาบัติ มีเกิดขึ้นได้เฉพาะ อนาคามี เรื่องนี้ ไม่จริง

แต่ถ้าบอกว่า ผู้เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ
ไม่จำเป็นสำคัญมั่นหมายว่าได้อะไร เป็นอะไร อันนี้ เรื่องจริง



สนทนาเรื่องผัสสะ แล้วไปกระโดดโหนเอา อรูปญาณมา จนไป เนวสัญญามา
และเอานิโรธสมาบัติมา ลากอนาคามีเข้ามาเอี่ยว แล้วย้อนกลับมา มุดรู

ซึ่งเป็น ธรรมที่เพิ่งจะชั้นต้นเท่านั้น ...

:b6: :b6: :b6:

สรุป ว่า ต้องการนำเสนออะไร กันแน่
เอกอนอยากให้คุณแสดงความชัดเจนกับความเห็นที่คุณ ฟันธง ลงตรงนั้นน่ะ
ว่า ความเห็นที่สรุปลงตรงนั้น คุณใช้อะไรในการอ้างอิง และอ้างอิงมาจากอะไร








อ้าว ยังไม่รู้อีกเหรอ

สภาพธรรมที่มีชื่อเรียกว่า ผัสสะ
ที่มีเกิดขึ้น ขณะดำเนินชีวิต ประจำวัน
และที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิ(สัมมาสมาธิ)




ส่วนเรื่อง เนวสัญญาฯ กับผู้ที่ยังสังโยชน์ ๕ ยังไม่ได้
และเนวสญญาฯ ที่ละสังโยชน์ ๕ แล้ว

แค่นำตย.มาให้ดู
ขณะผัสสะเกิด ให้มนสิการ อย่าถือมั่นผัสสะที่มีเกิดขึ้น
เพราะไม่ว่า จะเป็นโสดา สกิทาคา อนาคามี ล้วนชื่อว่า ผู้ที่ยังมีเหตุให้ต้องเกิด


ที่ใช้อ้างอิง ก็นำมาจากพระธรรมคำสอน ที่ทรงตรัสไว้เกี่ยวกับผัสสะทั้งหมด
ทั้งที่มีเกิดขึ้น ขณะดำเนินชีวิตประจำวัน และที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2015, 09:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
eragon_joe เขียน:
คุณแสดงความเห็นตามนี้

walaiporn เขียน:

ฌานสมาบัติ กับ นิโรธสมาบัติ แตกต่างกันตรงที่ ความดับ ก่อนกับ กำลังดับ ขณะที่ดับ
ขณะสมาธิกำลังคลาย ความรู้สึกตัวที่มีเกิดขึ้น รู้ทีเดียว รู้ทีละขณะ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เรื่องที่นำมากล่าวกันว่า นิโรธสมาบัติ มีเกิดขึ้นได้เฉพาะ อนาคามี เรื่องนี้ ไม่จริง

แต่ถ้าบอกว่า ผู้เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ
ไม่จำเป็นสำคัญมั่นหมายว่าได้อะไร เป็นอะไร อันนี้ เรื่องจริง



และคุณก็มีการนำบางส่วนของพระสูตรนี้มา


walaiporn เขียน:
พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังละโอรัมภาคิยสังโยชน์ไม่ได้
แต่เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะในปัจจุบัน
บุคคลนั้นชอบใจ ยินดีและถึงความปลื้มใจด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น
ยับยั้งอยู่ในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น น้อมใจไป
อยู่จนคุ้นในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ไม่เสื่อม
เมื่อทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนภพ
เขาจุติจากชั้นนั้นแล้วย่อมเป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้

ดูกรสารีบุตร อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้แล้ว
เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ ในปัจจุบัน

บุคคลนั้นชอบใจ ยินดี และถึงความปลื้มใจ ด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น
ยับยั้งในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น น้อมใจไป
อยู่จนคุ้นในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ไม่เสื่อม
เมื่อกระทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนภพ
เขาจุติจากชั้นนั้นแล้ว ย่อมเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้

ดูกรสารีบุตร นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้
จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้

อนึ่ง นี้เป็นเหตุ เป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้
จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ


http://84000.org/tipitaka/read/?21/171

ขึ้นชื่อว่า การเกิด ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร ล้วนเป็นทุกข์


และคุณก็นำเสนอประมาณนี้ต่อ

walaiporn เขียน:
การหาข้อมูลเกี่ยวกับพระธรรมคำสอน
หากหาด้วยความอยากรู้ หาเท่าไหร่ ก็หาไม่เจอ
ที่หาเจอ ก็ใช่ว่า จะใช่ทั้งหมด


สัญญาต่างๆ ที่มีวิตก วิจารณ์ขึ้นมา
แค่หาแบบปกติ หาด้วยความสงสัยว่า มันมีอยู่ไหมหนอ ในพระธรรมคำสอน
เมื่อเจอในสิ่งที่กำลังหา ให้สักแต่ว่า อย่าถือมั่น เพราะที่หาเจอ ที่คิดว่า น่าจะใช่ มันยังไม่จบ
เหมือนจิ๊กซอ เจอทีละท่อนๆๆๆๆๆๆๆ เซฟเก็บไว้ ไม่ถือมั่น จะเจอจนครบสมบูรณ์

โดยส่วนมาก หาด้วยความอยาก อยากรู้ รู้แล้วถือมั่น
คิดว่ามี คิดว่าเป็น คิดว่าใช่ สัญญาก็ไม่เที่ยง
ที่เรียกว่า สัญญา เพราะยังไม่สามารถนำสิ่งที่คิดว่ารู้ ไปกระทำเพื่อ ดับเหตุแห่งทุก์ได้


การศึกษาพระธรรมคำสอนจึงมีความสำคัญ
หากรู้จักโยนิโสมนสิการ สักแต่ว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ถือมั่น
สภาพธรรมต่างๆที่มีอยู่ จะเกิดขึ้นเอตามเหตุและปัจจัย

เหมือนเรื่องเกี่ยวกับฌานและอรูปฌาน ที่เป็นสัมมาสมาธิ
มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่
หากมีสติรู้อยู่ ไม่ถือมั่นสภาพธรรมที่ปราฏ
กำลังสมาธิที่มีเกิดขึ้น ในลำดับของรูปฌานและอรูปฌาน
จะมีเกิดขึ้นเองตามเหตุและปัจจัย

ที่ไปไม่ถึง เพราะหยุดอยู่แค่สิ่งที่คิดว่า ใช่
หรือเพลินอยู่แค่ตรงนั้น

แต่ทั้งหมดนี้ จะนำมาเพิ่งโทษหรือคิดตำหนิกันก็ไม่ได้
เพราะตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ มันก็ไม่แน่ บางคนอาจจะกระทำถึงที่สุดแห่งทุกข์ ในชาตินี้ก็ได้
อะไรที่สามารถละได้ ก็ควรละ ไม่นำมาเป็นอารมณ์
จะกลายเป็น การสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้นกับตัวเอง

เหมือนการเขียนออกมานี่ หากกลับมาทบทวนในสิ่งที่เขียน(ยังไม่มีคนอ้างอิง)
การเขียนด้วยอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดใดๆก็ตาม ณ ขณะนั้น บางครั้งก็ดูไม่ทัน
ก็ยังกลับมาแก้ไขข้อมูลใหม่ได้ อะไรที่เป็นเหตุของการเบียนเบียนผู้อื่นทางกาย วาจา ใจ ก็ละเสีย
การโพสลงแบบนี้ ส่วนที่เพียรเพื่อละ ในสิ่งที่ควรละ ก็มีอยู่



ต่างกับที่มีเกิดขึ้นในชีวิตจริง
อะไรที่กระทำลงไปแล้ว จะด้วยเจตนาหรือไม่เจตนา
เหตุมี ผลย่อมมี

เมื่อเกิดผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิดความรู้สึกนึกคิด
เหตุปัจจัยจาก ความรู้ชัดผัสสะ ที่เกิดขึ้น ก็หลงกระทำต่อ ตามความทะยานอยากที่เกิดขึ้น
ประมาณว่า มันว่ากรู(ความไม่ชอบใจ) กรูต้องว่ามัน(เหตุใหม่)
ภพชาติปัจจุบัน เกิดขึ้นใหม่ทันที



นำการแสดงธรรมของหลวงพ่อเยื้อน มาโพส
เห็นว่ามีประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจเรื่องสภาพธรรมต่างๆ
ที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิ

ผู้ที่ไม่กลัวตาย คือ ไม่มีห่วง ไม่มีอาลัย จึงจะมุดรูได้(ตามที่ท่านเล่า)
จริงๆแล้ว สภาพธรรมที่ท่านเรียกว่า มุดรู
เกิดจาก สมาธิที่มีกำลังมากมายมหาศาล ดูดเข้ารูไป
เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ทันที อาการเหมือนเด็กที่คลอดจากแม่
คือ ไม่ต้องผ่านการเกิดแบบนั้น



เจ้านาย(คู่ครอง) ก็เคยเจอสภาพธรรมนี้ แค่ระหว่างทาง
ความกลัวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ภาพที่ปรากฏให้กลัว จึงไม่เหมือนกัน
เขาผ่านไม่ได้ เพราะภาพที่ปรากฏ เป็นปากเหว มองลงไปแล้ว น่ากลัวมาก
เมื่อความกลัวเข้าแทรก จึงกลับมารู้ที่กาย



หลวงพ่อเยื้อน ท่านเรียนมาน้อย อ่านหนังสือไม่ค่อยออก
แค่ฟังสภาวะที่ท่านเล่า คำเรียกต่างๆเกี่ยวกับปริยัติ อย่าถือท่าน



สรุปแล้ว ที่คุณแสดงความเห็นมาทั้งหมด คุณต้องการนำเสนออะไร ... กันแน่


ช่วยสรุปเอาแบบชัด ๆ ว่า ที่คุณนำเสนอข้างต้น ตรงนี้

walaiporn เขียน:

ฌานสมาบัติ กับ นิโรธสมาบัติ แตกต่างกันตรงที่ ความดับ ก่อนกับ กำลังดับ ขณะที่ดับ
ขณะสมาธิกำลังคลาย ความรู้สึกตัวที่มีเกิดขึ้น รู้ทีเดียว รู้ทีละขณะ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เรื่องที่นำมากล่าวกันว่า นิโรธสมาบัติ มีเกิดขึ้นได้เฉพาะ อนาคามี เรื่องนี้ ไม่จริง

แต่ถ้าบอกว่า ผู้เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ
ไม่จำเป็นสำคัญมั่นหมายว่าได้อะไร เป็นอะไร อันนี้ เรื่องจริง



สนทนาเรื่องผัสสะ แล้วไปกระโดดโหนเอา อรูปญาณมา จนไป เนวสัญญามา
และเอานิโรธสมาบัติมา ลากอนาคามีเข้ามาเอี่ยว แล้วย้อนกลับมา มุดรู

ซึ่งเป็น ธรรมที่เพิ่งจะชั้นต้นเท่านั้น ...

:b6: :b6: :b6:

สรุป ว่า ต้องการนำเสนออะไร กันแน่


ใช่ๆเลย มีแต่ผัสสะ เดี๋ยวไปไหนต่อไหนแล้ว เดี๋ยวก็ปฏิจจบ้าง เรื่องภพบ้าง เรื่องภูมิบ้าง อภิธรรมบ้าง
คิดว่าตามที่คิดได้ อย่างคนโบราณเขาว่าไม่เป็นโล้เป็นพาย







แหม่ลุงหมาน

คนอะไร ชอบนินทาตัวเอง แถมเสียงดังซะด้วย :b32:





ลุงหมาน เขียน:
ใช่ๆเลย มีแต่ผัสสะ เดี๋ยวไปไหนต่อไหนแล้ว เดี๋ยวก็ปฏิจจบ้าง เรื่องภพบ้าง เรื่องภูมิบ้าง อภิธรรมบ้าง
คิดว่าตามที่คิดได้ อย่างคนโบราณเขาว่าไม่เป็นโล้เป็นพาย





ขายขี้หน้านะลุงหมาน อุตส่าห์ร่ำเรียนอภิธรรม
แต่กลับไม่รู้ลักษณะอาการที่เกิดขึ้น ของสิ่งที่เรียกว่า ผัสสะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2015, 11:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
eragon_joe เขียน:
คุณแสดงความเห็นตามนี้

walaiporn เขียน:

ฌานสมาบัติ กับ นิโรธสมาบัติ แตกต่างกันตรงที่ ความดับ ก่อนกับ กำลังดับ ขณะที่ดับ
ขณะสมาธิกำลังคลาย ความรู้สึกตัวที่มีเกิดขึ้น รู้ทีเดียว รู้ทีละขณะ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เรื่องที่นำมากล่าวกันว่า นิโรธสมาบัติ มีเกิดขึ้นได้เฉพาะ อนาคามี เรื่องนี้ ไม่จริง




แล้วสรุป ที่คุณฟันธงลงตรงนี้ คุณเอามาจากการปฏิบัติได้ถึงตรงนั้นแล้ว ใช่รึเปล่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2015, 12:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
walaiporn เขียน:
eragon_joe เขียน:
คุณแสดงความเห็นตามนี้

walaiporn เขียน:

ฌานสมาบัติ กับ นิโรธสมาบัติ แตกต่างกันตรงที่ ความดับ ก่อนกับ กำลังดับ ขณะที่ดับ
ขณะสมาธิกำลังคลาย ความรู้สึกตัวที่มีเกิดขึ้น รู้ทีเดียว รู้ทีละขณะ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เรื่องที่นำมากล่าวกันว่า นิโรธสมาบัติ มีเกิดขึ้นได้เฉพาะ อนาคามี เรื่องนี้ ไม่จริง




แล้วสรุป ที่คุณฟันธงลงตรงนี้ คุณเอามาจากการปฏิบัติได้ถึงตรงนั้นแล้ว ใช่รึเปล่า










ควรศึกษาพระธรรมคำสอน
อย่าเชื่อกับคำที่นำมาบอกต่อๆกันมา


งั้นอ่านพระสุตรนี้ต่อ


อุปาลีสูตร


[๙๙] ครั้งนั้นแล ท่านพระอุบาลีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ
ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ปรารถนาเพื่อซ่องเสพเสนาสนะ คือ ป่า
และราวป่าอันสงัด พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอุบาลี เสนาสนะ คือ ป่าและ
ราวป่าอันสงัด อยู่ลำบาก ทำความวิเวกได้ยาก ยากที่จะอภิรมย์ในการอยู่ผู้เดียว
ป่าทั้งหลายเห็นจะนำใจของภิกษุผู้ไม่ได้สมาธิไปเสีย ดูกรอุบาลี ผู้ใดพึงกล่าว
อย่างนี้ว่า เราเมื่อไม่ได้สมาธิจักซ่องเสพเสนาสนะ คือ ป่าและราวป่าอันสงัด
ผู้นั้นจำต้องหวังข้อนี้ คือ จักจมลงหรือจักฟุ้งซ่าน ดูกรอุบาลี เปรียบเหมือนมี
ห้วงน้ำใหญ่อยู่ มีช้างใหญ่สูง ๗ ศอก หรือ ๗ ศอกกึ่ง มาถึงเข้า ช้างตัวนั้นพึง
คิดอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ เราลงสู่ห้วงน้ำนี้แล้วพึงขัดถูหูเล่นบ้าง พึงขัดถูหลังเล่น
บ้าง ครั้นแล้ว จึงอาบ ดื่มขึ้นมากลับไปตามต้องการ ช้างนั้นลงสู่ห้วงน้ำนั้นแล้ว
พึงขัดถูหูเล่นบ้าง ขัดถูหลังเล่นบ้าง ครั้นแล้วจึงอาบ ดื่มขึ้นมาแล้วกลับไปตาม
ต้องการ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าช้างนั้นเป็นสัตว์มีร่างกายใหญ่ ย่อมได้การ
ลงในน้ำลึก ครั้นกระต่ายหรือเสือปลามาถึง (ห้วงน้ำนั้น) เข้า กระต่ายหรือเสือ
ปลาพึงคิดอย่างนี้ว่า เราเป็นอะไรและช้างใหญ่เป็นอะไร ไฉนหนอ เราพึงลงสู่
ห้วงน้ำนี้แล้วจึงขัดถูหูเล่นบ้าง พึงขัดถูหลังเล่นบ้าง ครั้นแล้ว จึงอาบ ดื่มขึ้นมา
แล้วกลับไปตามต้องการ กระต่ายหรือเสือปลานั้นก็ลงสู่ห้วงน้ำนั้นโดยพลัน ไม่ทัน
ได้พิจารณา กระต่ายหรือเสือปลานั้นจำต้องหวังข้อนี้ คือ จักจมลงหรือจักลอยขึ้น
ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่ากระต่ายหรือเสือปลานั้นเป็นสัตว์มีร่างกายเล็ก ย่อม
ไม่ได้การลงในห้วงน้ำลึก แม้ฉันใด ดูกรอุบาลี ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราเมื่อ
ไม่ได้สมาธิ จักซ่องเสพเสนาสนะ คือ ป่าและราวป่าอันสงัด ผู้นั้นจำต้องหวัง
ข้อนี้ คือ จักจมลงหรือฟุ้งซ่าน ฉันนั้นเหมือนกัน ฯ
ดูกรอุบาลี เปรียบเหมือนเด็กอ่อนนอนหงาย ย่อมเล่นมูตรและคูถของ
ตน ดูกรอุบาลี เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน การเล่นนี้เป็นการเล่นของ
เด็กอ่อนอย่างเต็มที่สิ้นเชิงมิใช่หรือ ท่านพระอุบาลีกราบทูลว่า เป็นอย่างนั้น
พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรอุบาลี สมัยต่อมา เด็กนั้นแล อาศัยความเจริญ อาศัยความ
แก่กล้าแห่งอินทรีย์ ย่อมเล่นเครื่องเล่นทั้งหลายที่เป็นของเล่นของพวกเด็กๆ คือ
เล่นไถน้อยๆ เล่นตีไม้หึ่ง เล่นกังหันไม้ เล่นกังหันใบไม้ เล่นตวงทราย เล่น
รถน้อยๆ เล่นธนูน้อยๆ ดูกรอุบาลี เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน การ
เล่นนี้ เป็นการเล่นดียิ่งกว่าและประณีตกว่าการเล่นที่มีในครั้งก่อนมิใช่หรือ ฯ
อุ. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรอุบาลี สมัยต่อมา เด็กนั้นแล อาศัยความเจริญ อาศัยความ
แก่กล้าแห่งอินทรีย์ เป็นผู้เอิบอิ่มพรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ บำเรออยู่ด้วยรูปทั้งหลาย
อันบุคคลพึงรู้ได้ด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ยั่วยวน
ชวนให้กำหนัด ด้วยเสียงทั้งหลายอันบุคคลพึงรู้ด้วยหู ... ด้วยกลิ่นทั้งหลายอัน
บุคคลพึงรู้ด้วยจมูก ... ด้วยรสทั้งหลายอันบุคคลพึงรู้ด้วยลิ้น ... ด้วยโผฏฐัพพะ
ทั้งหลายอันบุคคลพึงรู้ด้วยกาย อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ยั่วยวน
ชวนให้กำหนัด ดูกรอุบาลี เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน การเล่นนี้ เป็น
การเล่นที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าการเล่นที่มีในครั้งก่อนมิใช่หรือ ฯ
อุ. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า
พ. ดูกรอุบาลี ก็พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์
ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก
เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้
พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของ
พระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ให้รู้
ตาม ทรงแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศ
พรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถพร้อมทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง คฤหบดี บุตร
แห่งคฤหบดี หรือผู้เกิดมาในภายหลังในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น
แล้วได้ศรัทธาในตถาคต ประกอบด้วยการได้ศรัทธาแล้ว ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า
ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้
อยู่ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์บริสุทธิ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ที่ขัด
แล้วไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวดครองผ้ากาสายะออกบวช
เป็นบรรพชิตเถิด สมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่
แล้วปลงผมและหนวดครองผ้ากาสายะออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว เป็น
ผู้ถึงพร้อมด้วยสิกขาและอาชีพเสมอด้วยภิกษุทั้งหลาย ละปาณาติบาต เว้นขาดจาก
ปาณาติบาต วางทัณฑะ วางศาตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา
หวังประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ละอทินนาทาน เว้นขาดจากอทินนาทาน
รับแต่ของที่เขาให้ ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นผู้
สะอาดอยู่ ละอพรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกล เว้นจาก
เมถุนธรรมอันเป็นกิจของชาวบ้าน ละมุสาวาท เว้นขาดจากมุสาวาท พูดแต่คำ
จริง ดำรงคำสัตย์ พูดเป็นหลักฐาน ควรเชื่อถือได้ ไม่พูดลวงโลก ละวาจาส่อเสียด
เว้นขาดจากวาจาส่อเสียด ฟังข้างนี้แล้วไม่ไปบอกข้างโน้น เพื่อให้คนหมู่นี้แตก
ร้าวกัน หรือฟังข้างโน้นแล้วไม่มาบอกข้างนี้ เพื่อให้คนหมู่โน้นแตกร้าวกัน
สมานคนที่แตกร้าวกันแล้วบ้าง ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกันแล้วบ้าง ชอบคนผู้
พร้อมเพรียงกัน ยินดีในคนผู้พร้อมเพรียงกัน เพลิดเพลินในคนผู้พร้อมเพรียงกัน
กล่าวแต่คำที่ทำให้คนพร้อมเพรียงกัน ละวาจาหยาบ เว้นขาดจากวาจาหยาบ
กล่าวแต่คำที่ไม่มีโทษ เพราะหู ชวนให้รัก จับใจ เป็นของชาวเมือง คนส่วน
มากรักใคร่ พอใจ ละคำเพ้อเจ้อ เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำ
ที่เป็นจริง พูดอิงอรรถ พูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดแต่คำมีหลักฐาน มีที่อ้างอิง
มีที่กำหนด ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันควร ภิกษุนั้นเว้นขาดจากการ
พรากพืชคามและภูตคาม ฉันหนเดียว เว้นการฉันในราตรี งดการฉันในเวลา
วิกาล เว้นขาดจากการฟ้อนรำขับร้องการประโคมดนตรีและการดูการเล่นอันเป็น
ข้าศึกแก่กุศล เว้นขาดจากการทัดทรงประดับ และตกแต่งร่างกายด้วยดอกไม้ของ
หอมและเครื่องประเทืองผิวอันเป็นฐานะแห่งการแต่งตัว เว้นขาดจากการนั่งการ
นอนบนที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่ เว้นขาดจากการรับทองและเงิน เว้นขาดจากการ
รับธัญญาหารดิบ เว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ เว้นขาดจากการรับสตรีและกุมารี
เว้นขาดจากการรับทาสีและทาส เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ เว้นขาดจากการ
รับไก่และสุกร เว้นขาดจากการรับไร่นาและที่ดิน เว้นขาดจากการประกอบทูต
กรรมและการรับใช้ เว้นขาดจากการซื้อการขาย เว้นขาดจากการฉ้อโกงด้วยตาชั่ง
การฉ้อโกงด้วยของปลอม และการฉ้อโกงด้วยเครื่องตวงวัด เว้นขาดจากการรับ
สินบน การล่อลวง และการตลบแตลง เว้นขาดจากการตัด การฆ่า การจองจำ
การตีชิง การปล้น และกรรโชก ภิกษุนั้นเป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหาร
กาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง ซึ่งตนจะไปทางทิศาภาคใดๆ ก็ถือไป
ได้เอง นกมีปีกจะบินไปทางทิศาภาคใดๆ ก็มีปีกของตัวเป็นภาระบินไป ฉันใด
ภิกษุเป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหาร
ท้อง ซึ่งตนจะไปทางทิศาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง ฉันนั้นเหมือนกัน ภิกษุนั้น
เป็นผู้ประกอบด้วยศีลขันธ์อันเป็นอริยะนี้ ย่อมได้เสวยสุขอันไม่มีโทษเฉพาะตน ฯ
ภิกษุนั้นเห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ ย่อม
ปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอัน
ลามก คือ อภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้ ชื่อว่าย่อมรักษาจักขุนทรีย์ ชื่อว่า
ย่อมถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์ ฟังเสียงด้วยหู ... ดมกลิ่นด้วยจมูก ... ลิ้มรส
ด้วยลิ้น ... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย ... รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ไม่ถือ
นิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ ย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมมนินทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว
จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คือ อภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้ ชื่อว่า
ย่อมรักษามนินทรีย์ ชื่อว่าย่อมถึงความสำรวมในมนินทรีย์ ภิกษุนั้นเป็นผู้ประกอบ
ด้วยอินทรีย์สังวรอันเป็นอริยะนี้ ย่อมได้เสวยสุขอันไม่ระคนด้วยกิเลสเฉพาะตน ฯ
ภิกษุนั้นย่อมทำความรู้สึกตัวในการก้าวไป ในการถอยกลับ ย่อมทำความ
รู้สึกตัวในการแล ในการเหลียว ย่อมทำความรู้สึกตัวในการคู้เข้า ในการเหยียด
ออก ย่อมทำความรู้สึกตัวในการทรงสังฆาฏิ บาตร และจีวร ย่อมทำความรู้สึก
ตัวในการฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม ย่อมทำความรู้สึกตัวในการถ่ายอุจจาระ
ปัสสาวะ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการเดิน การยืน การนั่ง การหลับ การตื่น
การพูด การนิ่ง ภิกษุนั้นประกอบด้วยศีลขันธ์อันเป็นอริยะนี้ ประกอบด้วยอินทรีย์
สังวรอันเป็นอริยะนี้ และประกอบด้วยสติสัมปชัญญะอันเป็นอริยะนี้ ย่อมซ่อง
เสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ
ที่แจ้ง ลอมฟาง ภิกษุนั้นอยู่ป่า อยู่โคนไม้ หรืออยู่เรือนว่างเปล่า ย่อมนั่งคู้
บัลลังก์ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า ภิกษุนั้นละความโลภในโลกแล้ว มีจิต
ปราศจากความโลภอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความโลภ ละความประทุษร้าย
คือ พยาบาท ไม่คิดพยาบาท มีความกรุณา หวังประโยชน์เกื้อกูลสัตว์ทั้งปวงอยู่
ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความประทุษร้าย คือ พยาบาท ละถีนมิทธะแล้ว เป็น
ผู้ปราศจากถีนมิทธะ มีความกำหนดหมายอยู่ที่แสงสว่าง มีสติสัมปชัญญะอยู่
ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะ ละอุทธัจจกุกกุจจะแล้ว เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน
มีจิตสงบ ณ ภายในอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจกุกกุจจะ ละวิจิกิจฉา
แล้ว เป็นผู้ข้ามพ้นวิจิกิจฉา ไม่มีความสงสัยในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ ย่อมชำระ
จิตให้บริสุทธิ์จากวิจิกิจฉา ฯ
ภิกษุนั้น ครั้นละนิวรณ์อันเป็นเครื่องเศร้าหมองใจ ทำปัญญาให้ทุรพล ๕
ประการนี้ได้แล้ว สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก
วิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ดูกรอุบาลี เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
การอยู่เช่นนี้ เป็นการอยู่ที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าการอยู่อันมีในก่อนมิใช่หรือ ฯ
อุ. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรอุบาลี สาวกทั้งหลายของเราพิจารณาเห็นอยู่ซึ่งธรรมแม้นี้ (ว่ามี
อยู่) ในตน จึงซ่องเสพเสนาสนะ คือ ป่าและราวป่าอันสงัด แต่ว่าสาวก
เหล่านั้นยังไม่บรรลุประโยชน์ของตนโดยลำดับก่อน ฯ
ดูกรอุบาลี อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต
ในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป
มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่ ดูกรอุบาลี เธอจะสำคัญความข้อนั้น
เป็นไฉน การอยู่เช่นนี้ เป็นการอยู่ที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าการอยู่อันมีในก่อน
มิใช่หรือ ฯ
อุ. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรอุบาลี สาวกทั้งหลายของเราพิจารณาเห็นอยู่ซึ่งธรรมแม้นี้ (ว่ามี
อยู่) ในตน จึงซ่องเสพเสนาสนะ คือ ป่าและราวป่าอันสงัด แต่ว่าสาวก
เหล่านั้นยังไม่บรรลุประโยชน์ของตนโดยลำดับก่อน ฯ
ดูกรอุบาลี อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุข
ด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า
ผู้ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข ดูกรอุบาลี เธอจะสำคัญความข้อ
นั้นเป็นไฉน การอยู่เช่นนี้เป็นการอยู่ที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าการอยู่อันมีในก่อน
มิใช่หรือ ฯ
อุ. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรอุบาลี สาวกทั้งหลายของเราพิจารณาเห็นอยู่ซึ่งธรรมแม้นี้ (ว่ามี
อยู่) ในตน จึงซ่องเสพเสนาสนะ คือ ป่าและราวป่าอันสงัด แต่ว่าสาวก
เหล่านั้นยังไม่บรรลุประโยชน์ของตนโดยลำดับก่อน ฯ
ดูกรอุบาลี อีกประการหนึ่ง ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข
เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติ
บริสุทธิ์อยู่ ดูกรอุบาลี เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน การอยู่เช่นนี้ เป็นการ
อยู่ที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าการอยู่อันมีในก่อนมิใช่หรือ ฯ
อุ. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรอุบาลี สาวกทั้งหลายของเราพิจารณาเห็นอยู่ซึ่งธรรมแม้นี้ (ว่ามี
อยู่) ในตน จึงซ่องเสพเสนาสนะ คือ ป่าและราวป่าอันสงัด แต่ว่าสาวก
เหล่านั้นยังไม่บรรลุประโยชน์ของตนโดยลำดับก่อน ฯ
ดูกรอุบาลี อีกประการหนึ่ง เพราะก้าวล่วงรูปสัญญา เพราะดับ
ปฏิฆสัญญาเสียได้ เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวง ภิกษุจึง
บรรลุอากาสานัญจายตนฌาน โดยคำนึงว่า อากาศไม่มีที่สุด ดังนี้ ดูกรอุบาลี
เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน การอยู่เช่นนี้ เป็นการอยู่ที่ดียิ่งกว่าและประณีต
กว่าการอยู่อันมีในก่อนมิใช่หรือ ฯ
อุ. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรอุบาลี สาวกทั้งหลายของเราพิจารณาเห็นอยู่ซึ่งธรรมแม้นี้ (ว่ามี
อยู่) ในตน จึงซ่องเสพเสนาสนะ คือ ป่าและราวป่าอันสงัด แต่ว่าสาวก
เหล่านั้นยังไม่บรรลุประโยชน์ของตนโดยลำดับก่อน ฯ
ดูกรอุบาลี อีกประการหนึ่ง เพราะก้าวล่วงอากาสานัญจายตนฌานโดย
ประการทั้งปวง ภิกษุจึงบรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน โดยคำนึงว่า วิญญาณไม่มี
ที่สุด ดังนี้ ... เพราะก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวง ภิกษุจึง
บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน โดยคำนึงว่า หน่อยหนึ่งไม่มี ดังนี้ ... เพราะก้าวล่วง
อากิญจัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง ภิกษุจึงบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตน-
*ฌาน โดยคำนึงว่า ธรรมชาตินี้สงัด ธรรมชาตินี้ประณีต ดังนี้ ดูกรอุบาลี เธอจะ
สำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน การอยู่เช่นนี้ เป็นการอยู่ที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าการ
อยู่อันมีในก่อนมิใช่หรือ ฯ
อุ. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ
พ. ดูกรอุบาลี สาวกทั้งหลายของเราพิจารณาเห็นอยู่ซึ่งธรรมแม้นี้ (ว่ามี
อยู่) ในตน จึงซ่องเสพเสนาสนะ คือ ป่าและราวป่าอันสงัด แต่ว่าสาวก
เหล่านั้นยังไม่บรรลุประโยชน์ของตนโดยลำดับก่อน ฯ
ดูกรอุบาลี อีกประการหนึ่ง เพราะก้าวล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
โดยประการทั้งปวง ภิกษุจึงบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติอยู่ และอาสวะของ
ภิกษุนั้นเป็นกิเลสหมดสิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา

ดูกรอุบาลี เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน การอยู่เช่นนี้
เป็นการอยู่ที่ดียิ่งกว่าและประณีตกว่าการอยู่อันมีในก่อนมิใช่หรือ ฯ

อุ. เป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ


พ. ดูกรอุบาลี สาวกทั้งหลายของเราพิจารณาเห็นอยู่ซึ่งธรรมแม้นี้ (ว่ามี
อยู่) ในตน จึงซ่องเสพเสนาสนะ คือ ป่าและราวป่าอันสงัด แต่ว่าสาวก
เหล่านั้นยังไม่บรรลุประโยชน์ของตนโดยลำดับก่อน


ดูกรอุบาลี เธอจงอยู่ในสงฆ์เถิด
เมื่อเธออยู่ในสงฆ์ ความสำราญจักมี ฯ




http://www.84000.org/tipitaka/read/v.ph ... 610&Z=4792

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2015, 12:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


คือ นึกออกมั๊ย ว่าคุณฟันธงลงตรงนั้นว่าอย่างนั้น

ซึ่งคนที่ถ้าเขามีความรู้ความเข้าใจในเนวสัญญาอยู่แล้ว เขาอ่านปุ๊บ เขาก็จะรู้ทันทีแล้วว่า
ผู้ที่กล่าวฟันธงในสภาวะอย่างนั้น ๆ เขาจะต้องทรงจิตอยู่ในอริยะระดับไหน
ถึงได้กล้าออกมาฟันธงด้วยคำพูด เปรี้ยง ออกมาอย่างนั้นได้

คือ... มีแต่ เนวสัญญา เท่านั้น ที่จะรู้สภาวะธรรมตรงนั้น ว่ามีแนวโนม้ที่จะทรงจิตระดับใดแล้วน่ะ

ซึ่งบังเอิญพระสูตรที่คุณอุตสาห์ หยิบยกตามมา ก็ดันตัดมาในแง่แค่บางส่วน
ที่ นัยยะมันกลายมาเป็น Discredit เนวสัญญา ซะอย่างนั้น

แล้วมาตบท้ายต่อด้วย สภาวะมุดรู
เหมือนเอาธรรม ชั้นปฐมมาข่ม ธรรมชั้นเฉียดนิโรธสมาบัติ ... :b14:

สรุป ก็คือ ทุกอย่างที่คุณแสดงมันบ่งบอกว่า

จะด้วยสภาวะอะไรก็ตามที่ทำให้คุณออกมาฟันธงอย่างนั้น
นั่นคือ สภาวะนั้น ทำให้คุณหลงว่านั่นเป็นการเข้าถึง เนวสัญญา และเข้า นิโรธสมาบัติ ได้
แต่พอต้องหาธรรมมาเสริมความคิดที่ตัวเองฟันธงลงไป
คุณก็เอาพระสูตรตัดตอน(ที่ทำให้นัยยะที่แท้จริงบิดเบือนไป)และเอาธรรมในระดับปฐม มาเสริม ...

นั่นคือ บ่งบอกว่า ที่คุณฟันธงนั้น คุณหลงธรรมเบื้องต้นเป็นธรรมสูง ธรรมสูงเป็นธรรมต่ำ

:b5:

เอกอนปกป้องศักดิ์ศรี เนวสัญญา มากพอแล้ว ...

:b1: :b1: :b1:

:b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 29 มิ.ย. 2015, 21:55, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2015, 12:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


และ .... จำที่พระสูตรที่เอกอนทดไว้ก่อนได้มั๊ย ...

walaiporn เขียน:
Quote Tipitaka:
...
ดูกรอุบาลี อีกประการหนึ่ง เพราะก้าวล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
โดยประการทั้งปวง ภิกษุจึงบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติอยู่ และอาสวะของ
ภิกษุนั้นเป็นกิเลสหมดสิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา




eragon_joe เขียน:
Quote Tipitaka:
๓. มหาเวทัลลสูตร

การสนทนาธรรมที่ทำให้เกิดปีติ

[๔๙๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก-
*เศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นเวลาเย็น ท่านพระมหาโกฏฐิกะออกจากที่หลีกเร้นแล้ว
จึงเข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ ได้ทักทายปราศรัยกับท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการทักทาย
ปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันแล้ว จึงนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

เรื่องปัญญากับวิญญาณ

[๔๙๔] ท่านพระมหาโกฏฐิกะครั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว จึงถามท่านพระสารีบุตรว่าดูกร
ท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า บุคคลมีปัญญาทรามๆ ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไรหนอ จึง
ตรัสว่า บุคคลมีปัญญาทราม?

ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ท่านผู้มีอายุ บุคคลไม่รู้ชัดๆ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาค
จึงตรัสว่า เป็นบุคคลมีปัญญาทราม ไม่รู้ชัดอะไร ไม่รู้ชัดว่านี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ
นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา บุคคลไม่รู้ชัดๆ เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า บุคคลมีปัญญาทราม.

ท่านพระมหาโกฏฐิกะ ยินดี อนุโมทนาภาษิต ของท่านพระสารีบุตรว่า ถูกละ ท่านผู้มี
อายุ ดังนี้แล้ว ได้ถามปัญหาต่อไปว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า บุคคลมีปัญญาๆ
ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไรหนอ จึงตรัสว่าบุคคลมีปัญญา?

สา. ดูกรท่านผู้มีอายุ บุคคลรู้ชัดๆ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า เป็นบุคคล
มีปัญญา รู้ชัดอะไร รู้ชัดว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เพราะ
ฉะนั้น จึงตรัสว่า บุคคลมีปัญญา.

ก. ดูกรท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า วิญญาณๆ ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไรหนอ
จึงตรัสว่า วิญญาณ?

สา. ธรรมชาติที่รู้แจ้งๆ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาค จึงตรัสว่าวิญญาณ รู้แจ้งอะไร
รู้แจ้งว่า นี้สุข นี้ทุกข์ นี้มิใช่ทุกข์ มิใช่สุข ธรรมชาติย่อมรู้แจ้งๆ เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า
วิญญาณ.

ก. ปัญญาและวิญญาณ ธรรม ๒ ประการนี้ ปะปนกัน หรือแยกจากกันท่านผู้มีอายุ
อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้หรือไม่?

สา. ปัญญาและวิญญาณ ธรรม ๒ ประการนี้ ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน ผมไม่อาจแยก
ออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้ เพราะปัญญารู้ชัดสิ่งใด วิญญาณก็รู้แจ้งสิ่งนั้น วิญญาณ
รู้แจ้งสิ่งใด ปัญญาก็รู้ชัดสิ่งนั้น ฉะนั้น ธรรม ๒ ประการนี้ จึงปะปนกัน ไม่แยกจากกัน ผมไม่
อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้.

ก. ปัญญาและวิญญาณ ธรรม ๒ ประการนี้ ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน แต่มีกิจที่จะพึง
ทำต่างกันบ้างหรือไม่?

สา. ปัญญาและวิญญาณ ธรรม ๒ ประการนี้ ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน แต่ปัญญาควร
เจริญ วิญญาณควรกำหนดรู้ นี่เป็นกิจที่จะพึงทำต่างกันแห่งธรรม ๒ ประการนี้.

เรื่องเวทนาสัญญาและวิญญาณ

[๔๙๕] ก. ดูกรท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เวทนาๆ ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไร
หนอ จึงตรัสว่า เวทนา?

สา. ดูกรท่านผู้มีอายุ ธรรมชาติที่รู้ๆ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า เวทนา
รู้อะไร รู้สุขบ้าง รู้ทุกข์บ้าง รู้สิ่งที่มิใช่ทุกข์มิใช่สุขบ้าง ธรรมชาติย่อมรู้ๆ ฉะนั้น จึงตรัสว่า
เวทนา.

ก. ดูกรท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สัญญาๆ ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไรหนอ
จึงตรัสว่า สัญญา?

สา. ธรรมชาติที่จำๆ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาค จึงตรัสว่า สัญญา จำอะไร จำสีเขียว
บ้าง จำสีเหลืองบ้าง จำสีแดงบ้าง จำสีขาวบ้าง ธรรมชาติย่อมจำๆ ฉะนั้น จึงตรัสว่า สัญญา

ก. เวทนา สัญญา และวิญญาณ ธรรม ๓ ประการนี้ ปะปนกัน หรือแยกจากกัน
ท่านผู้มีอายุ อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้หรือไม่?

สา. เวทนา สัญญา และวิญญาณ ธรรม ๓ ประการนี้ ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน
ผมไม่อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้ เพราะเวทนารู้สิ่งใด สัญญาก็จำสิ่งนั้น
สัญญาจำสิ่งใด วิญญาณก็รู้แจ้งสิ่งนั้น ฉะนั้น ธรรม ๓ ประการนี้ จึงปะปนกัน ไม่แยกจากกัน
ผมไม่อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้.

[๔๙๖] ก. ดูกรท่านผู้มีอายุ พระโยคาวจรมีมโนวิญญาณ (จิตอันสัมปยุตด้วยรูปาวจร-
*ฌานที่ ๔) อันสละแล้ว อันบริสุทธิ์จากอินทรีย์ ๕ พึงรู้สิ่งอะไร?

สา. ดูกรท่านผู้มีอายุ พระโยคาวจรมีมโนวิญญาณอันสละแล้ว อันบริสุทธิ์จากอินทรีย์ ๕
พึงรู้อากาสานัญจายตนฌานว่า อากาศหาที่สุดมิได้ พึงรู้วิญญาณัญจายตนฌานว่า วิญญาณหาที่สุด
มิได้ พึงรู้อากิญจัญญายตนฌานว่า น้อยหนึ่งมิได้มี.

เรื่องประโยชน์แห่งปัญญาและเหตุเกิดสัมมาทิฏฐิ

ก. พระโยคาวจรย่อมรู้ธรรมอันตนพึงรู้ด้วยอะไร?

สา. พระโยคาวจรย่อมรู้ธรรมอันตนพึงรู้ด้วยปัญญาจักษุ.

ก. ปัญญา มีอะไรเป็นประโยชน์?

สา. ปัญญา มีความรู้ยิ่งเป็นประโยชน์ มีความกำหนดรู้เป็นประโยชน์ มีความละเป็น
ประโยชน์.

[๔๙๗] ก. ดูกรท่านผู้มีอายุ ก็ปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ มีเท่าไร?

สา. ธรรม ๒ ประการ คือความได้สดับแต่บุคคลอื่น ๑ ความทำในใจโดยแยบคาย ๑
เป็นปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ ธรรม ๒ ประการนี้แล เป็นปัจจัยเมื่อความเกิดขึ้นแห่ง
สัมมาทิฏฐิ.

ก. สัมมาทิฏฐิ มีเจโตวิมุติเป็นผล และมีผลคือเจโตวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย มีปัญญา
วิมุติเป็นผล และมีผลคือปัญญาวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย อันองค์ธรรมเท่าไรอนุเคราะห์แล้ว?

สา. สัมมาทิฏฐิ มีเจโตวิมุติเป็นผล และมีผลคือเจโตวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย มีปัญญา
วิมุติเป็นผล และมีผลคือปัญญาวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย อันองค์ธรรม ๕ ประการ อนุเคราะห์
แล้ว คือ สัมมาทิฏฐิ อันศีลอนุเคราะห์แล้ว ๑ อันสุตะอนุเคราะห์แล้ว ๑ อันสากัจฉาอนุเคราะห์
แล้ว ๑ อันสมถะอนุเคราะห์แล้ว ๑ อันวิปัสสนาอนุเคราะห์แล้ว ๑ สัมมาทิฏฐิ มีเจโตวิมุติเป็น
ผล และมีผลคือเจโตวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย มีปัญญาวิมุติเป็นผล และมีผลคือปัญญาวิมุติ
เป็นอานิสงส์ด้วย อันองค์ธรรม ๕ ประการนี้แล อนุเคราะห์แล้ว.


ทดไว้ก่อง ... :b13:


สรุป จะดึง เนวสัญญา มาคุยด้วยแง่อะไร ต้องรู้ให้ได้ก่อนว่า

เนวสัญญา เขาเห็นอะไรในสายตา ...

:b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 29 มิ.ย. 2015, 13:03, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2015, 12:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ยังติดใจอีก :b32:




๕. อารัมมณสูตร


[๕๘๙] พระนครสาวัตถี. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ได้ฌาน ๔ จำพวกนี้.
๔ จำพวกเป็นไฉน?

คือ ผู้ได้ฌานบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฉลาดในการตั้งจิตมั่นในสมาธิ แต่ไม่ฉลาดในอารมณ์ในสมาธิ ๑.
บางคนฉลาดในอารมณ์ในสมาธิ แต่ไม่ฉลาดในการตั้งจิตมั่นในสมาธิ ๑.
บางคนไม่ฉลาดในการตั้งจิตมั่นในสมาธิ และไม่ฉลาดในอารมณ์ในสมาธิ ๑.
บางคนฉลาดในการตั้งจิตมั่นในสมาธิ และฉลาดในอารมณ์ในสมาธิ ๑.

ใน ๔ จำพวกนั้น ผู้ได้ฌานที่ฉลาดในการตั้งจิตมั่นในสมาธิ และฉลาดในอารมณ์ในสมาธิ.
นับว่าเป็นผู้เลิศ ประเสริฐที่สุด เป็นประธาน สูงสุด และดีกว่าผู้ได้ฌานทั้ง ๔ จำพวกนั้น
เปรียบเหมือนนมสดเกิดจากแม่โค นมส้มเกิดจากนมสด ฯลฯ

http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 778&Z=6788





ข้อแนะนำ ควรศึกษาพระสูตรทั้งหมด ที่ทรงตรัสไว้เกี่ยวกับผัสสะ
จะเป็นปัจจัยให้รู้ถึงสภาพธรรมข้างบน ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสไว้


เป็นอันว่า จบแล้วนะ ข่าววอแล้วนะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 90 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร