วันเวลาปัจจุบัน 20 มิ.ย. 2025, 23:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 69 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2015, 07:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ม.ค. 2011, 12:57
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


เดินจงกรมเป็นได้ทั้งสมถะและวิปัสนา
การเดินจงกรมที่เป็นสมถะ คือ การเดินที่พยายามรู้การเคลื่อนไหวของเท้า เป็นการเลือกรู้ ถัามีการเลือกอยู่ก็คือเจตนา การใช้เจตนาเสมอทำให้เกิดอุปทาน สร้างภพแห่งสมาธิ ลักษณะของจิต จึงเกิดการรวมศูนย์ เมื่อมีแรงรวมศูนย์ ก็จะเกิดแรงผลักออกจากศูนย์ ทำให้เป็นการสร้างตัวรู้ ที่ได้อุปทานร่วมด้วย ตัวรู้ที่เชื่อมต่อกันนั้นเป็นสิ่งดีที่จะนำไปเป็นเครื่องมือตามรู้กายใจตามความเป็นจริงต่อไป แต่แรงเจตนา อุปทานซึ่งเป็นของแถมไม่พึงประสงค์นี้จึงต้องละต่อไป

การเดินที่เป็นวิปัสนา คือการรู้การเดินที่เป็นธรรมชาติ ไม่จดจ้องจิตจึงเคลื่อนออกจากการกำหนดรู้ได้ง่ายดดูเหมือนไม่มีสมาธิ แต่ถูกต้องตามหลักวิปัสนา เมื่อจิตเคลื่อนก็รู้ว่าจิตเคลื่อนในขณะที่จิตเคลื่อนผู้เดินอาจหยุดเดิน โดยไปสังเกตการเคลื่อนของจิตไปสู่ฐานอื่่น ประเด็นเรื่องใช้ความคิดว่านี่คืออนิจัง ทุกขัง อนัตตา ล้วนเป็นการสร้างข้อมูลลงในพื้นที่ของจิต จึงสวนทางเพราะขณะนี้เรากำลังสลัดสิ่งที่สะสมออกจากจิต คิดนั้นคิดได้แต่เป็นการคิดเพื่อแก้ไขหรือปรับสภาวะในการปฏิบัติ เช่น นั่งสมาธิแล้วหายใจไม่ออก เพราะอะไร จะปรับอะไร สมาธินำสติ จะปรับอย่างไร บางครั้งจึงต้องมีกัลยาณมิตร ที่ผ่านทางมาก่อนช่วยชี้แนะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2015, 07:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
--------------------------------------------------------------------------------

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ มาจากดิน

ลุงหมานอ่านแล้วพอเข้าใจความรู้สึกเขาไหมครับ
viewtopic.php?f=1&t=49158&p=371922#p371922

นั่นคือประสบการณ์จริง ไม่ใช่นั่งนึกเอา ความรู้สึกต่างกัน อุปมาเหมือนกับทหารสู้รบอยู่ในสนามรบ กับ ทหารที่เรียนอยู่ในห้องเรียน ฉะนั้น ความรู้สึกต่างกัน

ยกมาซะเยอะแยะ ของจริงมันมีเพียงหนึ่งเดียว มันไม่เลอะเทอะได้ขนาดนั้นหลอก
ไอ้ที่มันเยอะแยะขนาดนั้นโดนหลอกมาทั้งนั้นแหละ อย่าไปงมงายเชื่อง่ายเลย มั่นศึกษาหาความรู้ให้มากๆกว่านี้สักหน่อยแล้วค่อยไปปฏิบัติ แล้วจะเห็นจริงเซียนพระกว่าจะดูเหรียญเก่ง สะสมพระเก๊มาเป็นโอ่ง

http://board.palungjit.org/f4/%E0%B9%80 ... 50767.html


ปริยัติ..ปฏิบัติ...ปฏิเวธ...เป็นของสาวกภูมิ

ทำพร้อมๆกัน...จะได้ไม่งมงายในปริยัติ...ไม่งมงายในปฏิบัติ...ไม่งมงายในปฏิเวธ

หากไม่ครบ 3 องค์..ปริยัติอยู่ก็งมงาย..ปฏิบัติอยู่ก็งมงาย...ปรากฎผลอะไรขึ้นมาก็งมงาย


พูดอะไรไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย มันจะพร้อมๆ กันที่เดียวได้ไง


:b12: โอ้ยลุงหมาน...มันคงไม่พร้อมๆ กันขนาด...ใน 1 วินาที..ในขณะจิต..อะไรอย่างนั้นหรอกครับ.. :b32:

แต่ใน 1 นาที...อาจได้
เช่น...ทำสมาธินะ...
ก่อนจะทำเราระลึกได้ว่า...ตำรับตำราครูบาอาจารย์สอนอย่างไร...นี้พอจะเรียกว่าปริยัติได้นะ

ลงมือทำตาม...ปฏิบัติแล้วเน๊าะ

ลงมือปั๊ป...หายใจเข้าทีเดียว..ปีติเกิด...เรารู้...นี้พอจะเรียกว่าปฏิเวธ..ได้นะ

เรารู้ว่านี้ปีติ...ก็ปฏิเวธมันตรงปริยัติ..ใช่มั้ย...ต้นกับปลายมาบรรจบกัน...องค์ 3 ครบ..เป็น O ก็ Ok เลย
:b12:

รู้แล้วว่านี้ปีติ...ก็ระลึกได้ว่าครูาอาจารย์บอกให้อย่าแปลกใจ...ให้ทำต่อ...นี้ก็พอจะเรียกว่าปริยัติได้นะ..คือระลึกได้ว่าศึกษาอะไรมา...ทำให้ไม่หลง..ไม่งมงายในปฏิเวธอย่างหนึ่งอย่างใด

ถ้ายังรู้ว่าปีติมันมีอะไรบ้าง..อย่างนั้นอย่างนี้...แต่ยังไม่เคยเจอตัวจริงคือมีปฏิเวธ....รู้นั้นก็ยังมีหลง..อยู่ในตัวมันนั้นแหละครับ...

อันอื่น ๆ ก็ทำนองเดียวกันครับลุง..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2015, 07:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
--------------------------------------------------------------------------------

อ้างอิง:
ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ มาจากดิน

ลุงหมานอ่านแล้วพอเข้าใจความรู้สึกเขาไหมครับ
viewtopic.php?f=1&t=49158&p=371922#p371922

นั่นคือประสบการณ์จริง ไม่ใช่นั่งนึกเอา ความรู้สึกต่างกัน อุปมาเหมือนกับทหารสู้รบอยู่ในสนามรบ กับ ทหารที่เรียนอยู่ในห้องเรียน ฉะนั้น ความรู้สึกต่างกัน

ยกมาซะเยอะแยะ ของจริงมันมีเพียงหนึ่งเดียว มันไม่เลอะเทอะได้ขนาดนั้นหลอก
ไอ้ที่มันเยอะแยะขนาดนั้นโดนหลอกมาทั้งนั้นแหละ อย่าไปงมงายเชื่อง่ายเลย มั่นศึกษาหาความรู้ให้มากๆกว่านี้สักหน่อยแล้วค่อยไปปฏิบัติ แล้วจะเห็นจริงเซียนพระกว่าจะดูเหรียญเก่ง สะสมพระเก๊มาเป็นโอ่ง

http://board.palungjit.org/f4/%E0%B9%80 ... 50767.html


ปริยัติ..ปฏิบัติ...ปฏิเวธ...เป็นของสาวกภูมิ

ทำพร้อมๆกัน...จะได้ไม่งมงายในปริยัติ...ไม่งมงายในปฏิบัติ...ไม่งมงายในปฏิเวธ

หากไม่ครบ 3 องค์..ปริยัติอยู่ก็งมงาย..ปฏิบัติอยู่ก็งมงาย...ปรากฎผลอะไรขึ้นมาก็งมงาย


พูดอะไรไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย มันจะพร้อมๆ กันที่เดียวได้ไง


:b12: โอ้ยลุงหมาน...มันคงไม่พร้อมๆ กันขนาด...ใน 1 วินาที..ในขณะจิต..อะไรอย่างนั้นหรอกครับ.. :b32:

แต่ใน 1 นาที...อาจได้
เช่น...ทำสมาธินะ...
ก่อนจะทำเราระลึกได้ว่า...ตำรับตำราครูบาอาจารย์สอนอย่างไร...นี้พอจะเรียกว่าปริยัติได้นะ

ลงมือทำตาม...ปฏิบัติแล้วเน๊าะ

ลงมือปั๊ป...หายใจเข้าทีเดียว..ปีติเกิด...เรารู้...นี้พอจะเรียกว่าปฏิเวธ..ได้นะ

เรารู้ว่านี้ปีติ...ก็ปฏิเวธมันตรงปริยัติ..ใช่มั้ย...ต้นกับปลายมาบรรจบกัน...องค์ 3 ครบ..เป็น O ก็ Ok เลย
:b12:

รู้แล้วว่านี้ปีติ...ก็ระลึกได้ว่าครูาอาจารย์บอกให้อย่าแปลกใจ...ให้ทำต่อ...นี้ก็พอจะเรียกว่าปริยัติได้นะ..คือระลึกได้ว่าศึกษาอะไรมา...ทำให้ไม่หลง..ไม่งมงายในปฏิเวธอย่างหนึ่งอย่างใด

ถ้ายังรู้ว่าปีติมันมีอะไรบ้าง..อย่างนั้นอย่างนี้...แต่ยังไม่เคยเจอตัวจริงคือมีปฏิเวธ....รู้นั้นก็ยังมีหลง..อยู่ในตัวมันนั้นแหละครับ...

อันอื่น ๆ ก็ทำนองเดียวกันครับลุง..


ลุงเพียงจะกล่าวเตือนไม่อยากจะให้สร้างกรรม จะคิดอย่างไง มโนอย่างไง ก็ว่าไปเถอะ
แต่ถ้าคิดแล้วกล่าวออกมานี่ซิ ถ้ามันไม่ตรงคำสอนมันเสียหาย มันเป็นสัทธรรมปฏิรูป

ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ไปบอกว่าให้ทำพร้อมกัน และถ้าหากคนอ่านเขาเชื่อล่ะเขาก็ต้องนำเอาไปพูดต่อ
เมื่อพูดต่อๆกันไปเรื่อยๆล่ะ คำสอนของพระพุทธเจ้าเลือนหายไปเลย มันก็เท่ากับไปบิดเบือนคำสอน

ถ้าพูดแบบไม่กลัวโกรธกัน มันก็เป็นการทำลายศาสนาโดยไม่รู้ตัว
การสอนธรรมะแทนที่จะเป็นกุศล กับได้อกุศลไปแทน เสียเวลามานั่งกดแป้นพิมพ์แล้วได้อกุศล

ถ้าเราจะอุปมา ก็ต้องบอกว่าเราอุปมาเพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้น อุปมาคือเป็นการเทียบเคียงคำสอน
การอุปมาพระพุทธเจ้าก็นำมาใช้อยู่ไม่ใช่น้อย อ่านในพระไตรปิฏกจะพบมีมากมาย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2015, 09:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:

ลุงเพียงจะกล่าวเตือนไม่อยากจะให้สร้างกรรม จะคิดอย่างไง มโนอย่างไง ก็ว่าไปเถอะ
แต่ถ้าคิดแล้วกล่าวออกมานี่ซิ ถ้ามันไม่ตรงคำสอนมันเสียหาย มันเป็นสัทธรรมปฏิรูป

ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ไปบอกว่าให้ทำพร้อมกัน และถ้าหากคนอ่านเขาเชื่อล่ะเขาก็ต้องนำเอาไปพูดต่อ
เมื่อพูดต่อๆกันไปเรื่อยๆล่ะ คำสอนของพระพุทธเจ้าเลือนหายไปเลย มันก็เท่ากับไปบิดเบือนคำสอน

ถ้าพูดแบบไม่กลัวโกรธกัน มันก็เป็นการทำลายศาสนาโดยไม่รู้ตัว
การสอนธรรมะแทนที่จะเป็นกุศล กับได้อกุศลไปแทน เสียเวลามานั่งกดแป้นพิมพ์แล้วได้อกุศล

ถ้าเราจะอุปมา ก็ต้องบอกว่าเราอุปมาเพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้น อุปมาคือเป็นการเทียบเคียงคำสอน
การอุปมาพระพุทธเจ้าก็นำมาใช้อยู่ไม่ใช่น้อย อ่านในพระไตรปิฏกจะพบมีมากมาย


ลุงหมาน..สงสัยว่ามันจะทำพร้อมกันได้อย่างไร...

มันก็ธรรมดา...คือ..เรียนไป..ลงมือทำไป...ก็แค่นั้น

แต่ลุงหมาน...มีปัญหากับคำว่า...พร้อมกัน...ซึ่งเป็นคำที่ไม่ได้เจาะจงระยะเวลา...ว่าจะเป็นวัน..เป็นเดือน..รึเป็นปี (เป็นปีก็มากไป...ไม่น่าจะเรียกว่า..ทำพร้อมๆกัน..นะ)

ผมก็ว่า..โอ้ยลุงหมาน...มันคงไม่พร้อมๆ กันขนาด...ใน 1 วินาที..ในขณะจิต..อะไรอย่างนั้นหรอกครับ
แต่ใน 1 นาที...อาจได้


จึงยกตัวอย่างให้ดู..ว่าใน 1นาที อาจทำได้อย่างไร

ปัญหาคือ...ลุงหมานมองคำว่า...พร้อมกัน..เป็นอย่างไรต่างหาก...

รึลุงจะให้เรียนจนได้เปรียญก่อนแล้วค่อยมาปฏิบัติ..คงไม่มั้ง

ในสมัยพุทธกาล..พระองค์ให้กรรมฐานกองใดกองหนึ่งไป...ก็ให้ไปลงมือทำเลย...แต่ใครจะเรียนมากๆ..พระองค์ก็ไม่ว่า...แต่เมื่อถึงจุดความพร้อมของคนนั้นเมื่อไร...ก็ทรงตำนิเพื่อให้มาปฏิบัติให้ได้มรรคได้ผล...

พอพูดถึงความพร้อม..นี้...คนเรามันก็พร้อมต่างกัน...ตามวิสัย..ตามความปรารถณา..จริต...

จิตปรารถณาเป็นคนสอนคน..ช่วยคนหมู่มาก...ก็ต้องเตรียมสัมภาระให้ครบทุกด้าน..เจนจบหมดทั้งกรรมฐาน 40 บารมี 10 ก็ต้อง 3 รอบ...อย่างน้อยก็ต้อง 4 อสงไขย์ เศษแสนกัปล์

บางคนชอบคนเก่งชอบคนรู้มาก..ก็ต้้งปรารถณาจะเป็นอย่างนั้นบ้าง..ก็ต้องเรียนปริยัติจนชำช่องถึง 7 พระพุทธเจ้า...จนมาพร้อมจะพ้นทุกข์ได้เอาเมื่อมาถึง พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน (เรื่องพระโปฐิลเถระ )

เป็นต้น....อันนี้ก็ไม่ว่ากันแหละ...

บางคนขอแค่...ตัวเองพ้นทุกข์ก็พอ...ไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่านี้...จะเริ่มที่...ทำไปศีกษาไป..รึจะ..ศึกษาไปทำไป...มีปัญหาอะไรก็ศึกษาไถ่ถามกัลยาณมิตรไป...นำไปทำดู...อันนี้ก็เรียกว่า...ทำพร้อมๆกันไป..แล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2015, 14:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ขอให้กำลังใจในการปฏิบัติธรรมครับ  การเดินจงกลม ก็เป็น อริยาบถหนึ่ง ของการ ปฏิบัติธรรม ซึ่งมีทั้ง อริยาบถใหญ่ ยืน เดิน นั่ง นอน หรือ อริยาบถย่อยลงไปอีก..ก็แล้วแต่ถนัด บางท่านอาจจะนั่งได้นานๆ แต่บางท่าน อาจจะเดินแล้วได้สมาธิความสงบได้เร็ว หรือบางท่านก็ว่า ยืนกำหนด อันนี้ก็แล้วแต่ จริตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ที่สุดแล้วก็เพื่อมุ่งจะ ฝึกจิต การเจริญสติ ให้อยู่กับ กาลปัจจุบัน...และถ้ามีความเพียร ใส่ใจแล้ว ปฏิบัติอยู่เป็นนิจ เป็นนิสัยแล้ว มันย่อมเป็นเรื่องที่ดี บางครั้งเราไม่รู้หรอกว่า กิเลสมันค่อยๆได้ลดน้อย สึกกร่อนลงไปๆ พระท่านเปรียบเหมือนลูกกะพรวนเรือ ที่สึกลงไปๆโดยการลาก โดยที่ไม่รู้ว่ามันสึกไปตอนไหน ครั้งที่เท่าไหร่...นั่นล่ะ คือผลของมัน ขอเจริญในธรรม 


:b8: ขอบคุณค่ะ
บางทีก็กลัวโดนว่านะ...เล็กๆน้อย
เก็บเอารายละเอียดมาเพ้อไปหมด
ยอมรับว่าบางทีก็หมกหมุ่นมากไป
ความตั้งใจยังไม่พอดี
ด้วยสภาพที่เป็นอยู่ในชีวิตปกติ...มันชวนให้ไขว้เขวเหลือเกิน
ก็เลยต้องใช้ตัวช่วย
ด้วยการพิจารณาดังๆในใจบ้าง
เข้ามาสอบถามในลาน..เพื่อให้ได้
ความรู้,,การตักเตือน,,แนะนำจากเพื่อนๆทุกท่าน
ก็สยบไปเป็นพักๆ :b9: :b9:

ก็ดีกว่าไปสร้างความคิดหรือสนใจในเรื่องนอกตัวเนาะ :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2015, 14:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เดินจงกรมเป็นได้ทั้งสมถะและวิปัสนา
การเดินจงกรมที่เป็นสมถะ คือ การเดินที่พยายามรู้การเคลื่อนไหวของเท้า เป็นการเลือกรู้ ถัามีการเลือกอยู่ก็คือเจตนา การใช้เจตนาเสมอทำให้เกิดอุปทาน สร้างภพแห่งสมาธิ ลักษณะของจิต จึงเกิดการรวมศูนย์ เมื่อมีแรงรวมศูนย์ ก็จะเกิดแรงผลักออกจากศูนย์ ทำให้เป็นการสร้างตัวรู้ ที่ได้อุปทานร่วมด้วย ตัวรู้ที่เชื่อมต่อกันนั้นเป็นสิ่งดีที่จะนำไปเป็นเครื่องมือตามรู้กายใจตามความเป็นจริงต่อไป แต่แรงเจตนา อุปทานซึ่งเป็นของแถมไม่พึงประสงค์นี้จึงต้องละต่อไป

การเดินที่เป็นวิปัสนา คือการรู้การเดินที่เป็นธรรมชาติ ไม่จดจ้องจิตจึงเคลื่อนออกจากการกำหนดรู้ได้ง่ายดดูเหมือนไม่มีสมาธิ แต่ถูกต้องตามหลักวิปัสนา เมื่อจิตเคลื่อนก็รู้ว่าจิตเคลื่อนในขณะที่จิตเคลื่อนผู้เดินอาจหยุดเดิน โดยไปสังเกตการเคลื่อนของจิตไปสู่ฐานอื่่น ประเด็นเรื่องใช้ความคิดว่านี่คืออนิจัง ทุกขัง อนัตตา ล้วนเป็นการสร้างข้อมูลลงในพื้นที่ของจิต จึงสวนทางเพราะขณะนี้เรากำลังสลัดสิ่งที่สะสมออกจากจิต คิดนั้นคิดได้แต่เป็นการคิดเพื่อแก้ไขหรือปรับสภาวะในการปฏิบัติ เช่น นั่งสมาธิแล้วหายใจไม่ออก เพราะอะไร จะปรับอะไร สมาธินำสติ จะปรับอย่างไร บางครั้งจึงต้องมีกัลยาณมิตร ที่ผ่านทางมาก่อนช่วยชี้แนะ



:b8: :b8: :b8:
ขอบคุณคุณเช่นนั้น.......เพิ่งเคยเห็นพระสูตร เรื่องการเดินจงกลม :b20:
และความรู้...ตามที่คุณsuttiyunชี้แนะ
ขอบคุณมากๆค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2015, 15:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ยกมาซะเยอะแยะ ของจริงมันมีเพียงหนึ่งเดียว มันไม่เลอะเทอะได้ขนาดนั้นหลอก 
ไอ้ที่มันเยอะแยะขนาดนั้นโดนหลอกมาทั้งนั้นแหละ อย่าไปงมงายเชื่อง่ายเลย มั่นศึกษาหาความรู้ให้มากๆกว่านี้สักหน่อยแล้วค่อยไปปฏิบัติ แล้วจะเห็นจริง
เซียนพระกว่าจะดูเหรียญเก่ง สะสมพระเก๊มาเป็นโอ่ง


cry s007 ใครเลอะเทอะคะ คุณลุงหมาน
โดนหลอกเรื่องอะไร?
งมงายเชื่อเรื่องอะไร?
หมั่นศึกษาหาความรู้เรื่องอะไรให้มากๆ แล้วค่อยไปปฏิบัติ?
ถ้ารู้มากๆ ปฏิบัติแล้วจะเห็นจริงเรื่องอะไร
:b9: :b9: :b9:
ออ..ของจริงมีหนึ่งเดียวคืออะไร?
rolleyes


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2015, 20:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เวลาเริ่มเดิน...พยายามมีสติอยู่กับการเดิน ที่เท้า
คือรู้ที่เท้ายก...ย่าง...เหยียบ
แต่ไม่ทันไร
จิตมันคอยจะจับภาพท่อนเท้าที่ยก...แวบไปท่อนย่าง ตามจุดที่เรา พยายามทำความรู้ตัวอยู่
ไม่ได้เห็นเป็นภาพต่อเนื่องนะคะ......มันตัดเป็นฉากไป ซึ่งเดินไม่เร็วมาก
แต่ก็ทำให้สับสน...รู้กับเห็น
มันเพิ่งเริ่มต้นทำ...มันทำให้หงุดหงิด จนต้องหยุดกลับมานั่งอย่างเดียวตามความเคยชินค่ะ
จะแก้ไขกับอาการนี้ยังไงดีค่ะ



อย่างว่า (นั่งอย่างเดียว) ก็อีกเหตุหนึ่งที่ทำให้สมาธิล้ำวิริยะ เหตุผลหนึ่งที่ท่านให้เดิน-นั่งสลับกัน ใช้เวลาที่ใกล้เคียงกัน ก็คือปรับอินทรีย์ให้สม่ำเสมอกัน

อ้างคำพูด:
“ออค่ะ จ้องที่เท้าเลย”


เดินจงกรมมิใช่จ้องเฉพาะที่เท้า แต่ใช้ความรู้สึกจับการเคลื่อนไหวสลับไปมา เดินเหมือนเดินปกติสบายๆ ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา คือใช้การเดินกลับไปกลับมาเป็นเสมือนหนึ่งอุปกรณ์สำหรับฝึกความรู้สึกตัว (นี่คือการฝึกตนฝึกสติสัมปชัญญะ) ฝึกใหม่ๆถ้ารู้สึกเกร็งๆ ก้าวเดินเร็วๆเลย ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา.....หรือวิ่งเหยาะๆเลย เหมือนฝึกทหารใหม่ ซ้าย ซ้าย ซ้ายขวา ซ้าย

(อนึ่ง มีกำหนดรู้รูปยืนด้วยนะ เดินสุดทางแล้วหยุดยืนพิจารณารูปยืน ยืนหนอๆๆๆ นึกสำรวจรูปยืนจากล่างขึ้นบน จากบนลงล่าง .... ขณะหมุนตัวกลับ ก็ตามดูรู้ทันการกลับตัวด้วย)


มนุษย์เป็นสัตว์พิเศษ มีจิตใจ มีความรู้สึกนึกคิดรู้สึกผิดชอบชั่วดี มีรักโลภโกรธหลง....เราฝึกจิตฝึกตนด้วยวิธีเจริญสติสัมปชัญญะแบบนี้ (จะเรียกในชื่ออื่นๆก็ตาม) ก็เพื่อให้รู้เข้าใจชีวิตคือทั้งร่างกายและจิตใจนี่ตามเป็นจริง หรือตามที่มันเป็นของมัน

แต่ขณะเดินทาง (ปฏิบัติ) เพื่อไปให้ถึงจุดหมาย ก็ต้องประสบความสุขบ้างความทุกข์บ้าง เฉยๆบ้าง เป็นต้น ตามเหตุปัจจัยของรูปนาม จนจนกว่าจะมีอาการที่ลงตัวระดับหนึ่ง คือความรู้สึกอย่างข้อ ๘ (สังขาร+อุเบกขา+ญาณ)


วิปัสสนาญาณ ญาณที่นับเข้าในวิปัสสนา หรือญาณที่จัดเป็นวิปัสสนา มี ๙ อย่าง คือ

๑. อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ปรีชาตามเห็นความเกิดขึ้นและดับแห่งสังขาร, ญาณที่มองเห็นนามรูปเกิดดับ

๒. ภังคานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความสลาย, ปรีชาหยั่งเห็นเฉพาะความดับของสังขารเด่นชัดขึ้นมาว่าสังขารทั้งปวงล้วนจะต้องแตกสลายไปทั้งหมด

๓. ภยตูปัฏฐานญาณ ปรีชาหยั่งเห็นสังขารปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว เพราะสังขารทั้งปวงนั้นล้วนแต่จะต้องแตกสลายไป ไม่ปลอดภัยทั้งสิ้น

๔. อาทีนวานุปัสสนาญาณ ญาณคำนึงเห็นโทษ, ปรีชาคำนึงเห็นโทษของสังขารว่ามีข้อบกพร่องระคนด้วยทุกข์ เช่น เห็นสังขารปรากฏเหมือนเรือนถูกไฟไหม้

๕. นิพพิทานุปัสสนาญาณ ปรีชาคำนึงถึงสังขารด้วยความหน่าย เพราะมีแต่โทษมากมาย แต่ไม่ใช่ทำลายตนเองเพราะเบื่อสังขาร เรียกสั้นว่า นิพพิทาญาณ

๖. มุญจิตุกัมยตาญาณ ปรีชาหยั่งรู้ที่ทำให้ต้องการจะพ้นไปเสีย คือ ต้องการจะพ้นไปเสียจากสังขารที่เบื่อหน่ายแล้วด้วยนิพพิทานุปัสสนาญาณ

๗. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ญาณอันคำนึงพิจารณาหาทาง, ปรีชาคำนึงพิจารณาสังขาร เพื่อหาทางเป็นเครื่องพ้นไปเสีย

๘. สังขารุเปกขาญาณ ปรีชาหยั่งรู้ถึงขั้นเกิดความวางเฉยในสังขาร, ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางต่อสังขาร คือ รู้เท่าทันสภาวะของสังขารว่าที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นต้น นั้น มันเป็นไปของมันอย่างนั้นเป็นธรรมดา จึงเลิกเบื่อหน่าย เลิกคิดหาทางแต่จะหนี วางใจเป็นกลางต่อมันได้ เลิกเกี่ยวเกาะ และให้ญาณแล่นมุ่งสู่นิพพานอย่างเดียว

๙. สัจจานุโลมิกญาณ ญาณเป็นไปโดยควรแก่การกำหนดรู้อริยสัจจ์, อนุโลมญาณ ก็เรียก


(ปรีชา. ความรอบรู้, ความหยั่งรู้, ความกำหนดรู้ ได้แก่ ญาณ หรือปัญญานั่นเอง)


ทำความเข้าใจสังขารุเปกขาญาณดีๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2015, 07:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


idea เขียน:
อ้างคำพูด:
ยกมาซะเยอะแยะ ของจริงมันมีเพียงหนึ่งเดียว มันไม่เลอะเทอะได้ขนาดนั้นหลอก 
ไอ้ที่มันเยอะแยะขนาดนั้นโดนหลอกมาทั้งนั้นแหละ อย่าไปงมงายเชื่อง่ายเลย มั่นศึกษาหาความรู้ให้มากๆกว่านี้สักหน่อยแล้วค่อยไปปฏิบัติ แล้วจะเห็นจริง
เซียนพระกว่าจะดูเหรียญเก่ง สะสมพระเก๊มาเป็นโอ่ง


cry s007 ใครเลอะเทอะคะ คุณลุงหมาน
โดนหลอกเรื่องอะไร?
งมงายเชื่อเรื่องอะไร?
หมั่นศึกษาหาความรู้เรื่องอะไรให้มากๆ แล้วค่อยไปปฏิบัติ?
ถ้ารู้มากๆ ปฏิบัติแล้วจะเห็นจริงเรื่องอะไร
:b9: :b9: :b9:
ออ..ของจริงมีหนึ่งเดียวคืออะไร?
rolleyes



ใครเลอะเทอะคะ คุณลุงหมาน ?
คนไม่รู้จริง เอามาพูดว่าเป็นของจริง
นั่นแหละเรียกว่าเลอะเทอะ


โดนหลอกเรื่องอะไร?
ไม่ศึกษาให้ถ่องแท้ นั่นแหละโดนหลอก

งมงายเชื่อเรื่องอะไร?
ก็เชื่อไปหมดทุกอย่าง นั่นแหละงมงาย


หมั่นศึกษาหาความรู้เรื่องอะไรให้มากๆ แล้วค่อยไปปฏิบัติ?
ถ้ารู้มากๆ ปฏิบัติแล้วจะเห็นจริงเรื่องอะไร?
เห็นจริงตามที่ศึกษามา


ออ..ของจริงมีหนึ่งเดียวคืออะไร?
ของจริงมีหนึ่งเดียวคือพระนิพพาน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2015, 08:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
idea เขียน:
อ้างคำพูด:
ยกมาซะเยอะแยะ ของจริงมันมีเพียงหนึ่งเดียว มันไม่เลอะเทอะได้ขนาดนั้นหลอก 
ไอ้ที่มันเยอะแยะขนาดนั้นโดนหลอกมาทั้งนั้นแหละ อย่าไปงมงายเชื่อง่ายเลย มั่นศึกษาหาความรู้ให้มากๆกว่านี้สักหน่อยแล้วค่อยไปปฏิบัติ แล้วจะเห็นจริง
เซียนพระกว่าจะดูเหรียญเก่ง สะสมพระเก๊มาเป็นโอ่ง


cry s007 ใครเลอะเทอะคะ คุณลุงหมาน
โดนหลอกเรื่องอะไร?
งมงายเชื่อเรื่องอะไร?
หมั่นศึกษาหาความรู้เรื่องอะไรให้มากๆ แล้วค่อยไปปฏิบัติ?
ถ้ารู้มากๆ ปฏิบัติแล้วจะเห็นจริงเรื่องอะไร
:b9: :b9: :b9:
ออ..ของจริงมีหนึ่งเดียวคืออะไร?
rolleyes



ใครเลอะเทอะคะ คุณลุงหมาน ?
คนไม่รู้จริง เอามาพูดว่าเป็นของจริง
นั่นแหละเรียกว่าเลอะเทอะ


โดนหลอกเรื่องอะไร?
ไม่ศึกษาให้ถ่องแท้ นั่นแหละโดนหลอก

งมงายเชื่อเรื่องอะไร?
ก็เชื่อไปหมดทุกอย่าง นั่นแหละงมงาย


หมั่นศึกษาหาความรู้เรื่องอะไรให้มากๆ แล้วค่อยไปปฏิบัติ?
ถ้ารู้มากๆ ปฏิบัติแล้วจะเห็นจริงเรื่องอะไร?
เห็นจริงตามที่ศึกษามา


ออ..ของจริงมีหนึ่งเดียวคืออะไร?
ของจริงมีหนึ่งเดียวคือพระนิพพาน







ลุงหมานนี่ ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง





ลุงหมาน เขียน:
idea เขียน:
ออ..ของจริงมีหนึ่งเดียวคืออะไร?
ของจริงมีหนึ่งเดียวคือพระนิพพาน





ที่กล่าวว่า นิพพานๆๆๆๆ
นิพพานนั้นคืออะไรล่ะลุงหมาน

แล้วสิ่งที่เรียกว่า นิพพานนี่
สามารถนำมากระทำเพื่อดับเหตุแห่งทุกข์ได้ไหม
หากทำได้ ทำอย่างไรล่ะลุงหมาน


ก็ในเมื่อบอกว่า
ของจริงมีหนึ่งเดียวคือพระนิพพาน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2015, 08:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
idea เขียน:
อ้างคำพูด:
ยกมาซะเยอะแยะ ของจริงมันมีเพียงหนึ่งเดียว มันไม่เลอะเทอะได้ขนาดนั้นหลอก 
ไอ้ที่มันเยอะแยะขนาดนั้นโดนหลอกมาทั้งนั้นแหละ อย่าไปงมงายเชื่อง่ายเลย มั่นศึกษาหาความรู้ให้มากๆกว่านี้สักหน่อยแล้วค่อยไปปฏิบัติ แล้วจะเห็นจริง
เซียนพระกว่าจะดูเหรียญเก่ง สะสมพระเก๊มาเป็นโอ่ง


cry s007 ใครเลอะเทอะคะ คุณลุงหมาน
โดนหลอกเรื่องอะไร?
งมงายเชื่อเรื่องอะไร?
หมั่นศึกษาหาความรู้เรื่องอะไรให้มากๆ แล้วค่อยไปปฏิบัติ?
ถ้ารู้มากๆ ปฏิบัติแล้วจะเห็นจริงเรื่องอะไร
:b9: :b9: :b9:
ออ..ของจริงมีหนึ่งเดียวคืออะไร?
rolleyes



ใครเลอะเทอะคะ คุณลุงหมาน ?
คนไม่รู้จริง เอามาพูดว่าเป็นของจริง
นั่นแหละเรียกว่าเลอะเทอะ


โดนหลอกเรื่องอะไร?
ไม่ศึกษาให้ถ่องแท้ นั่นแหละโดนหลอก

งมงายเชื่อเรื่องอะไร?
ก็เชื่อไปหมดทุกอย่าง นั่นแหละงมงาย


หมั่นศึกษาหาความรู้เรื่องอะไรให้มากๆ แล้วค่อยไปปฏิบัติ?
ถ้ารู้มากๆ ปฏิบัติแล้วจะเห็นจริงเรื่องอะไร?
เห็นจริงตามที่ศึกษามา


ออ..ของจริงมีหนึ่งเดียวคืออะไร?
ของจริงมีหนึ่งเดียวคือพระนิพพาน







ลุงหมานนี่ ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง





ลุงหมาน เขียน:
idea เขียน:
ออ..ของจริงมีหนึ่งเดียวคืออะไร?
ของจริงมีหนึ่งเดียวคือพระนิพพาน





ที่กล่าวว่า นิพพานๆๆๆๆ
นิพพานนั้นคืออะไรล่ะลุงหมาน

แล้วสิ่งที่เรียกว่า นิพพานนี่
สามารถนำมากระทำเพื่อดับเหตุแห่งทุกข์ได้ไหม
หากทำได้ ทำอย่างไรล่ะลุงหมาน


ก็ในเมื่อบอกว่า
ของจริงมีหนึ่งเดียวคือพระนิพพาน


นี่ก็อีกคนนั่นแหละ

นิพพานจะเอามาเป็นเครื่องดับเหตุ ก็นิพพานเป็นผลแล้ว ทำไมจะเอาย้อนกลับมาอีกล่ะ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2015, 09:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สมาธิสูตร
[๖] ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่
ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
ได้กราบทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุว่า
เป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญในอาโปธาตุว่าเป็นอาโปธาตุเป็น
อารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญในเตโชธาตุว่าเป็นเตโชธาตุเป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความ
สำคัญในวาโยธาตุว่าเป็นวาโยธาตุเป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญในอากาสานัญ-
*จายตนฌานว่าเป็นอากาสานัญจายตนฌานเป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญใน
วิญญาณัญจายตนฌานว่าเป็นวิญญาณัญจายตนฌานเป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความ
สำคัญในอากิญจัญญายตนฌานว่าเป็นอากิญจัญญายตนฌานเป็นอารมณ์ ไม่พึงมี
ความสำคัญในเนวสัญญานาสัญญายตนฌานว่า เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
เป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญในโลกนี้ว่าเป็นโลกนี้เป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความ
สำคัญในโลกหน้าว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์ ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา การได้
สมาธิเห็นปานนั้น พึงมีแก่ภิกษุหรือหนอแล ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุ
ว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญในอาโปธาตุว่าเป็นอาโปธาตุเป็น
อารมณ์ ... ไม่พึงมีความสำคัญในโลกหน้าว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์ ก็แต่ว่า
พึงเป็นผู้มีสัญญา การได้สมาธิเห็นปานนั้น พึงมีแก่ภิกษุ ฯ
อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุว่าเป็น
ปฐวีธาตุเป็นอารมณ์ ไม่พึงมีความสำคัญในอาโปธาตุว่าเป็นอาโปธาตุเป็นอารมณ์
... ไม่พึงมีความสำคัญในโลกหน้าว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์ ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มี
สัญญา ก็การได้สมาธิเห็นปานนั้น พึงมีแก่ภิกษุได้อย่างไร ฯ
พ. ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีความสำคัญอย่างนี้ว่า
นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ความระงับสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิกิเลส
ทั้งปวง ความสิ้นแห่งตัณหา ความปราศจากความกำหนัด ความดับ นิพพาน
ดังนี้ ดูกรอานนท์ ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์
ไม่พึงมีความสำคัญในอาโปธาตุว่าเป็นอาโปธาตุเป็นอารมณ์ ... ไม่พึงมีความ
สำคัญในโลกหน้าว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์ ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา การได้
สมาธิเห็นปานนั้น พึงมีแก่ภิกษุได้อย่างนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๖
สาริปุตตสูตร
[๗] ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่
ได้ปราศรัยกับท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว
นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามท่านพระสารีบุตรว่า ดูกรท่าน
สารีบุตรผู้มีอายุ ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์
ไม่พึงมีความสำคัญในอาโปธาตุว่าเป็นอาโปธาตุเป็นอารมณ์ ... ไม่พึงมีความ
สำคัญในโลกหน้าว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์ ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา การได้
สมาธิเห็นปานนั้น พึงมีแก่ภิกษุหรือหนอ ฯ
ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า ดูกรท่านอานนท์ ตนไม่พึงมีความสำคัญใน
ปฐวีธาตุว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์ ฯลฯ ไม่พึงมีความสำคัญในโลกหน้าว่าเป็น
โลกหน้าเป็นอารมณ์ ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา การได้สมาธิเห็นปานนั้น พึงมี
แก่ภิกษุ ฯ
อา. ดูกรท่านสารีบุตร ตนไม่พึงมีความสำคัญในปฐวีธาตุว่าเป็นปฐวีธาตุ
เป็นอารมณ์ ฯลฯ ไม่พึงมีความสำคัญในโลกหน้าว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์
ก็แต่ว่าพึงเป็นผู้มีสัญญา ก็การได้สมาธิเห็นปานนั้น พึงมีแก่ภิกษุได้อย่างไร ฯ
สา. ดูกรท่านอานนท์ สมัยหนึ่ง ผมอยู่ ณ ป่าอันธวัน ใกล้พระนคร
สาวัตถีนี้แหละ ณ ที่นั้น ผมเข้าสมาธิ โดยประการที่ผมมิได้มีความสำคัญใน
ปฐวีธาตุว่าเป็นปฐวีธาตุเป็นอารมณ์เลย มิได้มีความสำคัญในอาโปธาตุว่าเป็น
อาโปธาตุเป็นอารมณ์ มิได้มีความสำคัญในเตโชธาตุว่าเป็นเตโชธาตุเป็นอารมณ์
มิได้มีความสำคัญในวาโยธาตุว่าเป็นวาโยธาตุเป็นอารมณ์ มิได้มีความสำคัญใน
อากาสานัญจายตนฌานว่าเป็นอากาสานัญจายตนฌานเป็นอารมณ์ มิได้มีความ
สำคัญในวิญญาณัญจายตนฌานว่าเป็นวิญญาณัญจายตนฌานเป็นอารมณ์ มิได้มี
ความสำคัญในอากิญจัญญายตนฌานว่าเป็นอากิญจัญญายตนฌานเป็นอารมณ์ มิได้
มีความสำคัญในเนวสัญญานาสัญญายตนฌานว่าเป็นเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
เป็นอารมณ์ มิได้มีความสำคัญในโลกนี้ว่าเป็นโลกนี้เป็นอารมณ์ มิได้มีความ
สำคัญในโลกหน้าว่าเป็นโลกหน้าเป็นอารมณ์ ก็แต่ว่าผมเป็นผู้มีสัญญา ฯ
อา. ก็ในสมัยนั้น ท่านพระสารีบุตรเป็นผู้มีสัญญาอย่างไร ฯ
สา. ดูกรท่านผู้มีอายุ สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นแก่ผมว่า การดับภพ
เป็นนิพพาน การดับภพเป็นนิพพาน ดังนี้แล สัญญาอย่างหนึ่งย่อมดับไป
ดูกรท่านผู้มีอายุ เมื่อไฟมีเชื้อกำลังไหม้อยู่เปลวอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้น เปลว
อย่างหนึ่งย่อมดับไป แม้ฉันใด ดูกรท่านผู้มีอายุ สัญญาอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้น
แก่ผมว่า การดับภพเป็นนิพพาน การดับภพเป็นนิพพาน ดังนี้ สัญญาอย่างหนึ่ง
ย่อมดับไป ฉันนั้นเหมือนกันแล ดูกรท่านผู้มีอายุ ก็แลในสมัยนั้น ผมได้มี
สัญญาว่า การดับภพเป็นนิพพาน ดังนี้ ฯ

จบสูตรที่ ๗
สัทธาสูตร
[๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา แต่ไม่มีศีลอย่างนี้
เธอชื่อว่าเป็นผู้ไม่บริบูรณ์ด้วยองค์นั้น เธอนั้นพึงบำเพ็ญองค์นั้นให้บริบูรณ์ด้วย
คิดว่า ไฉนหนอ เราพึงเป็นผู้มีศรัทธาและศีล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล
ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธาและศีล เมื่อนั้น เธอชื่อว่าเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยองค์นั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา มีศีล แต่ไม่เป็นพหูสูต ฯลฯ เป็นพหูสูต
แต่ไม่เป็นพระธรรมกถึก ฯลฯ เป็นพระธรรมกถึก แต่ไม่เข้าสู่บริษัท ฯลฯ
เข้าสู่บริษัท แต่ไม่แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท ฯลฯ แกล้วกล้าแสดงธรรม
แก่บริษัท แต่ไม่ทรงวินัย ฯลฯ ทรงวินัย แต่ไม่อยู่ป่าเป็นวัตร อยู่ในเสนาสนะ
อันสงัด ฯลฯ อยู่ป่าเป็นวัตร อยู่ในเสนาสนะอันสงัด แต่ไม่ได้ตามความ
ปรารถนา ไม่ได้โดยไม่ยาก ไม่ได้โดยไม่ลำบาก ซึ่งฌาน ๔ อันมีในจิตยิ่ง
เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ฯลฯ ได้ตามความปรารถนา ได้โดยไม่ยาก
ได้โดยไม่ลำบาก ซึ่งฌาน ๔ อันมีในจิตยิ่ง เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน
แต่ไม่ได้ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะ
ทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ อย่างนี้ เธอชื่อว่า
เป็นผู้ไม่บริบูรณ์ด้วยองค์นั้น เธอพึงบำเพ็ญองค์นั้นให้บริบูรณ์ด้วยคิดว่า ไฉนหนอ
เราพึงเป็นผู้มีศรัทธา มีศีล เป็นพหูสูต เป็นธรรมกถึก เข้าสู่บริษัทได้
แกล้วกล้าแสดงธรรมแก่บริษัท ทรงวินัย อยู่ป่าเป็นวัตร อยู่ในเสนาสนะอันสงัด
ได้ตามความปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบาก ซึ่งฌาน ๔ อันมีในจิตยิ่ง
เป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหา
อาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อใดแล ภิกษุเป็นผู้มีศรัทธา มีศีล ... กระทำให้แจ้งซึ่ง
เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วย
ปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ เมื่อนั้น เธอชื่อว่าเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยองค์
นั้นๆ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการนี้แล ย่อมเป็น
ผู้ก่อให้เกิดความเลื่อมใสโดยรอบ และเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง ฯ


http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... =186&Z=277

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2015, 09:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


มรรค เรียกว่า วิราคะ ความสำรอกออก
เพราะพระบาลีว่า “วิราคา วิมุจฺจติ ย่อมหลุดพ้นเพราะวิราคะ”

ความดับโดยสำรอกออก ชื่อว่า วิราคนิโรธ
ความดับโดยสำรอกอย่างไม่มีเหลือ เพราะถอนอนุสัยได้ชื่อว่า อเสสวิราคนิโรธ


อีกนัยหนึ่ง การละ ก็เรียกว่า วิราคะ เพราะฉะนั้น ในบทว่า อเสสวิราคนิโรโธ นี้ บัณฑิตพึงเห็น(ว่า) ประกอบความว่า “การละอย่างไม่เหลือ ความดับอย่างไม่เหลือ” ดังนี้ก็ได้

แต่(เมื่อว่า) โดยเนื้อแท้ บททั้งปวงนั้น เป็นไวพจน์ของนิพพานทั้งนั้น เพราะพระนิพพาน พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกว่า ทุกขนิโรธอริยสัจ โดยปรมัตถ์


ก็เหตุใดตัณหาสำรอกออกมาและดับไป ก็เพราะ (พระโยคาวจร) อาศัย(หน่วง)พระนิพพานนั้น(เป็นอารมณ์) เพราะเหตุนั้น พระนิพพานนั้น จึงตรัสเรียกว่า วิราคะ และ นิโรธะด้วย


อนึ่ง เหตุใดธรรมทั้งหลาย มีความสละไปแห่งตัณหานั้นเป็นต้น ย่อมมีขึ้นได้ เพราะ อาศัยพระนิพพานนั่นแหละ


อนึ่งเล่า บรรดาอาลัยทั้งหลาย มีกามคุณาลัยเป็นต้น อาลัยแม้อย่างเดียว ย่อมไม่มีในพระนิพพานนั้น เพราะเหตุนั้น จึงตรัสเรียกว่า จาคะ ปฏินิสสัคคะ มุตติ อนาลยะ


พระนิพพานนั้น มีความสงบเป็นลักษณะ มีความไม่เคลื่อน คือไม่เปลี่ยนสภาพเป็นกิจ หรือว่า มีอันทำความโล่งใจเป็นกิจ(ก็ได้)

มีความไม่มีนิมิต(คือไม่มีเครื่องหายแห่งทุกข์) เป็นผล หรือว่ามีความไม่มีเครื่องหน่วงเหนี่ยว(จิต) เป็นผล ก็ได้



หากมีคำยืนยันว่า ขโย ความสิ้นไปเป็นพระนิพพาน โดยพระบาลีว่า "โย โข อาวุโส ราคกฺขโย อาวุโส ความสิ้นไปแห่งราคะใดแล" เป็นต้นดังนี้ไซร้

คำแก้ พึงมีว่า หามิได้ เพราะเพียงแต่ความสิ้น หมายถึงพระอรหัต ก็ได้ ด้วยพระอรหัตนั้น ท่านก็แสดงไว้โดยนัยว่า "โย โข อาวุโส ราคกฺขโย" เป็นต้น ด้วยเหมือนกัน


ยังมี(ผิด) อะไรๆต่อไปอีก คือ (การกล่าว เพียงแต่ว่า ความสิ้นกิเลสเป็นนิพพานนั้นไม่ชอบ) เพราะ โทษ คือ พระนิพพานกลายเป็นธรรมชาติมีชั่วกาลอันสั้นเป็นไป

จริงอยู่ เมื่อเป็นเช่นนั้น พระนิพพานก็ถึงซึ่งความเป็นธรรมชาติชั่วกาลอันสั้น ความเป็นธรรมชาติมีลักษณะแห่งสังขตธรรม และความเป็นธรรมชาติที่พึงจะบรรลุได้โดยไม่แยแสถึงสัมมาวายามานะไปเสียด้วย



อนึ่ง เพราะความเป็นธรรมชาติ มีลักษณะแห่งสังขตธรรมนั่นแล พระนิพพานก็(เลย) ถึงซึ่งภาวะ คือ ธรรมชาติเข้าในสังขตธรรมไป

เพราะ เป็นธรรมชาติเข้าในสังขตธรรม ก็(เลย) ถึงภาวะ
คือเป็นธรรมชาติถูกไฟ มีราคะเป็นต้นเผาเอาได้
เพราะ เป็นธรรมชาติถูกเผา ก็(เลย) ถึงซึ่งภาวะ คือเป็นทุกข์ไปเสียด้วย



หากมีคำแย้งอีกว่า "โทษไม่มีเพราะความเป็นไป(แห่งกิเลส) ชื่อว่า ไม่มีอีกต่อไป
จำเดิมแต่ความสิ้นไป(ครั้งสุดท้าย) อันใด ความสิ้นอันนั้นเป็นพระนิพพาน" ดังนี้ไซร้

คำแก้ พึงมีว่า หามิได้ เพราะ ไม่มีความสิ้นเช่นนั้น ประการหนึ่ง
เพราะแม้มีความสิ้นนั้นก็ไม่ล่วงโทษ มีประการดังกล่าวแล้ว
และ เพราะ อริยมรรค กลายเป็นพระนิพพานไปด้วย



จริงอยู่ อริยมรรค ย่อมยังโทษทั้งหลายให้สิ้น เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า ขโย(ด้วย)
และตั้งแต่นั้นไป ความเป็นไป(แห่งโทษ) ก็ไม่มีอีกต่อไปด้วยแล

แต่ว่า เพราะพระนิพพานนั้น เป็นอุปนิสัย(คือ เป็นที่อาศัยมั่น)
โดยปริยายแห่งขย(คือมรรค) ที่ได้แก่ อนุปปัตตินิโรธ(นิโรธ คือ ความไม่เกิดขึ้น)

พระนิพพานนั้น ท่านจึงเรียกว่า ขโย(ด้วย)
โดยโวหารอันเป็นอุปจาร(คือ เกี่ยวข้องกันกับ) สิ่งซึ่งมีพระนิพพานเป็นอุปนิสัย



หากมีคำถามว่า "เพราะเหตุไร พระนิพพานนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่ตรัสโดยสรุปทีเดียว" ดังนี้ไซร้


คำแก้ พึงมีว่า เพราะ พระนิพพานเป็นธรรมสุขุมนัก
ก็แลความที่พระนิพพานนั้น เป็นธรรมสุขุมนัก
เป็นความที่สำเร็จ(คือ ปรากฏทั่วไป) แล้ว

เพราะ เป็นเหตุนำมาซึ่งความขวนขวายน้อยแห่งพระผู้มีพระภาค
และเพราะเป็นธรรมที่ต้องเห็นด้วยอริยจักษุ

เพราะเหตุนั้น พระนิพพานนี้นั้น จึงเป็นธรรมชาติไม่ทั่วไป เพราะ เป็นธรรมอันบุคคลผู้เพียบพร้อมด้วยมรรค(เท่านั้น) จะพึงถึงได้ เป็นธรรมชาติไม่มีแดนเกิด เพราะ ไม่มีเบื้องต้น เบื้องปลาย



หากมีคำแย้งว่า "พระนิพพานมิใช่ธรรมชาติ ไม่มีแดนเกิด เพราะ มีมรรค จึงมีได้" ดังนี้ไซร้

คำแก้ พึงมีว่า หามิได้ เพราะ นิพพานมิใช่ธรรมที่มรรคจะพึงให้เกิดขึ้นได้
แท้จริง พระนิพพานนั้น เป็นธรรมชาติที่บุคคลพึงจะถึงด้วยมรรคเท่านั้น มิใช่มรรคจะพึงให้เกิดขึ้นได้



เพราะฉะนั้น พระนิพพาน จึงชื่อว่า ไม่มีแดนเกิดแท้
เพราะไม่มีแดนเกิด จึงไม่มีชรา มรณะ เพราะ ไม่มีแดนเกิด และชรามรณะ จึงเที่ยง



หากมีคำเสนออีกว่า "แม้อณูเป็นต้น ก็ถึงซึ่งภาวะอันเที่ยง ดังพระนิพพานฉะนั้น"

คำสนองไข พึงมีว่า อณูเป็นต้นนั้น ชื่อว่าเที่ยง หามิได้ เพราะ ไม่มีเหตุ(ที่จะให้เข้าถึง)



หากมีคำเสนอย้ำอีกว่า "เพราะ พระนิพพานเที่ยง สิ่งเหล่านั้นก็เที่ยง ฉะนี้ไซร้"

คำสนองไข ก็พึงมีว่า หามิได้ เพราะ สิ่งเหล่านั้น ไม่เข้าลักษณะแห่งเหตุ(มีความเป็นธรรมที่มุ่งหมายปรารถนาได้ เป็นต้น)



หากมีคำเสนออีกว่า สิ่งเหล่านั้น จัดเป็นเที่ยง
เพราะ ไม่มีเหตุให้เกิด เป็นต้น เหมือนพระนิพพาน ฉะนี้ไซร้

คำสนองไข พึงมีว่า หามิได้
เพราะ อณูเป็นต้น ไม่สัมฤทธิผล(คือ ไม่อำนวยผลให้ปรากฏ)


อันพระนิพพานนี้เที่ยงแท้ เพราะ มีสภาวะ คือ
ความถูกต้อง(ชอบด้วยเหตุผล) ดังกล่าวแล้ว เป็นอรูป
เพราะ ล่วงเสียสภาวะแห่งรูป(มีความเสื่อมโทรม เป็นต้น)



มิใช่สิ่งไม่มีอยู่ โดยปรมัตถ์ เพราะ เป็นสิ่งที่พึงบรรลุได้ด้วยญาณวิเศษ
ที่สำเร็จด้วยความบากบั่น อันไม่ย่อหย่อน



และเพราะ เป็นพระดำรัสของพระสัพพัญญูเจ้าด้วย จริงอยู่ พระสัพพัญญูเจ้า ได้ตรัสคำนี้ไว้ว่า

"มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติอันไม่เกิด ไม่เป็น อันเหตุอะไรๆ มิได้ทำขึ้น อันปัจจัยอะไรๆ มิได้แต่งขึ้น" ดังนี้



คัมภีร์วิสุทธิมรรค สมเด็จพระพุทธโฆสาจารย์(อาจ อาสภะ มหาเถระ)

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2015, 09:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
มนุษย์เป็นสัตว์พิเศษ มีจิตใจ มีความรู้สึกนึกคิดรู้สึกผิดชอบชั่วดี มีรักโลภโกรธหลง....
เราฝึกจิตฝึกตนด้วยวิธีเจริญสติสัมปชัญญะแบบนี้(จะเรียกในชื่ออื่นๆก็ตาม)ก็เพื่อให้รู้เข้าใจชีวิตคือทั้งร่างกายและจิตใจนี่ตามเป็นจริง หรือตามที่มันเป็นของมัน


คุณไอเดีย ลองพิจารณาประโยคนี้ให้แยบคาย อาจทำให้เข้าใจถึงสาระของการปฏิบัติได้ดีขึ้น
อย่าติดอยู่ที่รูปแบบและสมาธิ..พยายามทำความเข้าใจไปให้ถึงเนื้อหาสาระของการปฏิบัติให้ได้
สติและสมาธิใช้เกื้อหนุนต่อปัญญา...

รูปนามนี้แสดงความจริงให้เราเห็นอยู่ทุกขณะจิต แต่เราไม่รู้ตามความเป็นจริงของเขาได้เพราะ
เราไม่เคยพิจารณาโดยแยบคาย เรามักอยู่กับอดีต หรืออนาคต ในหัวมีแต่ความมายา
ของความคิดอยู่ตลอดเวลา การฝึกสติและสมาธิก็เพื่อให้เท่าทันรูปนาม(ร่างกายและจิตใจ)และระลึกหรือรู้สึกตัวอยู่กับปัจจุบันขณะ...เมื่อคุณเห็นความเป็นไปของรูปนามบ่อยๆเข้า คุณจะเข้าใจธรรมชาติ
ของร่างกายนี้...และสามารถถอดถอนความเห็นผิดว่าร่างกายนี้เป็นเราเป็นของเราออกเสียได้...

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2015, 16:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เดินจงกรมมิใช่จ้องเฉพาะที่เท้า แต่ใช้ความรู้สึกจับการเคลื่อนไหวสลับไปมา เดินเหมือนเดินปกติสบายๆ ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา คือใช้การเดินกลับไปกลับมาเป็นเสมือนหนึ่งอุปกรณ์สำหรับฝึกความรู้สึกตัว (นี่คือการฝึกตนฝึกสติสัมปชัญญะ) ฝึกใหม่ๆถ้ารู้สึกเกร็งๆ ก้าวเดินเร็วๆเลย ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา.....หรือวิ่งเหยาะๆเลย เหมือนฝึกทหารใหม่ ซ้าย ซ้าย ซ้ายขวา ซ้าย 

(อนึ่ง มีกำหนดรู้รูปยืนด้วยนะ เดินสุดทางแล้วหยุดยืนพิจารณารูปยืน ยืนหนอๆๆๆ นึกสำรวจรูปยืนจากล่างขึ้นบน จากบนลงล่าง .... ขณะหมุนตัวกลับ ก็ตามดูรู้ทันการกลับตัวด้วย)


มนุษย์เป็นสัตว์พิเศษ มีจิตใจ มีความรู้สึกนึกคิดรู้สึกผิดชอบชั่วดี มีรักโลภโกรธหลง....เราฝึกจิตฝึกตนด้วยวิธีเจริญสติสัมปชัญญะแบบนี้ (จะเรียกในชื่ออื่นๆก็ตาม) ก็เพื่อให้รู้เข้าใจชีวิตคือทั้งร่างกายและจิตใจนี่ตามเป็นจริง หรือตามที่มันเป็นของมัน 

แต่ขณะเดินทาง (ปฏิบัติ) เพื่อไปให้ถึงจุดหมาย ก็ต้องประสบความสุขบ้างความทุกข์บ้าง เฉยๆบ้าง เป็นต้น ตามเหตุปัจจัยของรูปนาม จนจนกว่าจะมีอาการที่ลงตัวระดับหนึ่ง คือความรู้สึกอย่างข้อ ๘ (สังขาร+อุเบกขา+ญาณ) 


วิปัสสนาญาณ ญาณที่นับเข้าในวิปัสสนา หรือญาณที่จัดเป็นวิปัสสนา มี ๙ อย่าง คือ

๑. อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ปรีชาตามเห็นความเกิดขึ้นและดับแห่งสังขาร, ญาณที่มองเห็นนามรูปเกิดดับ

๒. ภังคานุปัสสนาญาณ ญาณตามเห็นความสลาย, ปรีชาหยั่งเห็นเฉพาะความดับของสังขารเด่นชัดขึ้นมาว่าสังขารทั้งปวงล้วนจะต้องแตกสลายไปทั้งหมด

๓. ภยตูปัฏฐานญาณ ปรีชาหยั่งเห็นสังขารปรากฏโดยความเป็นของน่ากลัว เพราะสังขารทั้งปวงนั้นล้วนแต่จะต้องแตกสลายไป ไม่ปลอดภัยทั้งสิ้น

๔. อาทีนวานุปัสสนาญาณ ญาณคำนึงเห็นโทษ, ปรีชาคำนึงเห็นโทษของสังขารว่ามีข้อบกพร่องระคนด้วยทุกข์ เช่น เห็นสังขารปรากฏเหมือนเรือนถูกไฟไหม้

๕. นิพพิทานุปัสสนาญาณ ปรีชาคำนึงถึงสังขารด้วยความหน่าย เพราะมีแต่โทษมากมาย แต่ไม่ใช่ทำลายตนเองเพราะเบื่อสังขาร เรียกสั้นว่า นิพพิทาญาณ

๖. มุญจิตุกัมยตาญาณ ปรีชาหยั่งรู้ที่ทำให้ต้องการจะพ้นไปเสีย คือ ต้องการจะพ้นไปเสียจากสังขารที่เบื่อหน่ายแล้วด้วยนิพพิทานุปัสสนาญาณ

๗. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ญาณอันคำนึงพิจารณาหาทาง, ปรีชาคำนึงพิจารณาสังขาร เพื่อหาทางเป็นเครื่องพ้นไปเสีย

๘. สังขารุเปกขาญาณ ปรีชาหยั่งรู้ถึงขั้นเกิดความวางเฉยในสังขาร, ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางต่อสังขาร คือ รู้เท่าทันสภาวะของสังขารว่าที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นต้น นั้น มันเป็นไปของมันอย่างนั้นเป็นธรรมดา จึงเลิกเบื่อหน่าย เลิกคิดหาทางแต่จะหนี วางใจเป็นกลางต่อมันได้ เลิกเกี่ยวเกาะ และให้ญาณแล่นมุ่งสู่นิพพานอย่างเดียว

๙. สัจจานุโลมิกญาณ ญาณเป็นไปโดยควรแก่การกำหนดรู้อริยสัจจ์, อนุโลมญาณ ก็เรียก


(ปรีชา. ความรอบรู้, ความหยั่งรู้, ความกำหนดรู้ ได้แก่ ญาณ หรือปัญญานั่นเอง)


ทำความเข้าใจสังขารุเปกขาญาณดีๆ



สาธุค่ะ..คุณกรัชกาย
คือหลังจากกลับมาบ้าน..ลองมาเดิน มันฟุ้ง ก็เลยไป"จ้อง"จะเอาให้ได้หน่ะค่ะ
เพิ่งรู้ตัว..หลงกล..ผิดพลาดอีกแล้ว :b9:

ขอบคุณสำหรับคำแนะนำอื่นด้วยค่ะ
ขอถามนะคะ
คือ อาการที่รู้ชัด ทุกกิริยา เช่นยิ้ม ก็รู้ชัด ตั้งแต่เริ่มจนสุด
รู้ชัดในทุกกิริยา อิริยาบท แบบต่อเนื่อง
นี่จะเรียกว่าสังขารุเปกขาญาน ได้รึยังคะ
:b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 69 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร