วันเวลาปัจจุบัน 25 ส.ค. 2025, 23:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 90 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 25 มิ.ย. 2015, 07:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s006
อ้างคำพูด:
เช่นนั้น ปฏิบัติ : คือการเจริญสติ การทำจิตตภาวนาเพื่อให้สติมีกำลัง มีความไว

:b16:
ท่านเช่นนั้นจะเอาแต่สติอย่างเดียวหรือครับ สติถ้ามากนักโดยไม่มีตัวถ่วงดุลย์มักทำให้ไปติดสุขในสมาธิและวิปัสสนาเกิดยากนะครับ

องคาพยพแห่งมรรคธรรมนั้นประกอบด้วย ปัญญา สติ สมาธิ เหมือนส่วนประกอบทั้ง 32 ประการของกายมนุษย์ ซึ่งไปไหนก็ต้องไปด้วยกันทั้งพรวน

สติ สมาธิ ปัญญาจึงควรเป็นองค์สมบูรณ์ของปฏิปัตติศาสนานะครับ ไม่พึงเน้นสติโดดเด่นแต่เพียงอย่างเดียวอันอาจทำให้เกิดการขาดสมดุลย์แห่งองค์ความรู้เพื่อมรรคธรรมนะครับ
s004 s004


โพสต์ เมื่อ: 25 มิ.ย. 2015, 07:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s006
อ้างคำพูด:
เช่นนั้น ปฏิบัติ : คือการเจริญสติ การทำจิตตภาวนาเพื่อให้สติมีกำลัง มีความไว

:b16:
ท่านเช่นนั้นจะเอาแต่สติอย่างเดียวหรือครับ สติถ้ามากนักโดยไม่มีตัวถ่วงดุลย์มักทำให้ไปติดสุขในสมาธิและวิปัสสนาเกิดยากนะครับ

องคาพยพแห่งมรรคธรรมนั้นประกอบด้วย ปัญญา สติ สมาธิ เหมือนส่วนประกอบทั้ง 32 ประการของกายมนุษย์ ซึ่งไปไหนก็ต้องไปด้วยกันทั้งพรวน

สติ สมาธิ ปัญญาจึงควรเป็นองค์สมบูรณ์ของปฏิปัตติศาสนานะครับ ไม่พึงเน้นสติโดดเด่นแต่เพียงอย่างเดียวอันอาจทำให้เกิดการขาดสมดุลย์แห่งองค์ความรู้เพื่อมรรคธรรมนะครับ
s004 s004

คุณอโสกะ คุณจะเชื่อผมไหมว่า "สติ" ตัวเดียวเท่านั้นที่ไม่มีคำว่าพอหรือ "มากเกินไป" มีแต่ไม่พอ
ปัญญาเสียอีกมากเกินไปก็ไม่ดีเพราะคนที่มีปัญญามากจะเกิดความฟุ้งซ่าน จะทำบุญทำกุศลทั้งทีนั้นยาก

ปัญญาดีต้องศรัทธาคอยกำกับดูแลหรือไปพร้อมๆกัน สติจึงเป็นผู้นำ ศรัทธาเองก็เถอะถ้ามากไป
ก็จะเกิดการงมงายใครว่าอะไรก็เชื่อหมดเห็นดีเห็นงามเพราะศรัทธาล้ำหน้า

ติดสุขในสมาธิ ไม่เกี่ยวกับสติ มันเกี่ยวกับ เวทนา ตัณหา อุปาทาน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 25 มิ.ย. 2015, 07:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b27:
พูดเหมือนครูบาอาจารย์ทางอีสาณนะครับลุงหมาน
:b12:
"สมดุลย์ ความรู้จักทำให้พอดีจะเกิดขึ้นเมื่อรู้จักความหย่อนเกินไปและตึงเกินไป"
:b53:


โพสต์ เมื่อ: 25 มิ.ย. 2015, 09:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


บุคคลผู้ที่ไม่รู้ชัดสภาพธรรมที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิ ตั้งแต่รูปฌานและอรูปฌาน(ฌานทั้ง๘)
เหตุปัจจัยที่ทำให้เป็นแบบนี้ เกิดจาก ทำแค่แบบ พอใจทำ ด้วยความไม่รู้ที่มีอยู่
ไม่ก็เกิดจาก ตนเองไม่เคยพบเจอสภาพธรรมนั้นๆ ฟังคนอื่นมากไป จึงทำให้ปักใจเชื่อว่า หากสติมากไป จะทำให้ติดสุขได้
ไม่ก็เกิดจาก เจอกับตัวเอง แล้วติดหล่มสุข จึงทำให้คิดเอาเองว่า หากสติมากไป จะทำให้ติดสุขได้
ทุกข์ โทษ ภัย ของอวิชชา สภาวะจึงติดอยู่แค่นั้น แทนที่จะกล่าวโทษตัวเอง กลับไปกล่าวโทษสมาธิแทน
แต่ก็ไม่เป็นไรนะ หากยังไม่ตายไปเสียก่อน นั่นคือ โอกาสที่จะกระทำเพื่อดับเหตุแห่งทุกข์ ยังมีอยู่

ที่สำคัญ ทุกๆการกระทำ ก็มีผล
ตนหลงอย่างไร เที่ยวกระจายข่าวให้กับผู้อื่น ประมาณว่า สติมากไป ไม่ได้นะ จะติดสุข ที่เกิดจากสมาธิได้
แล้วแบบนี้ จะเหลืออะไร เหตุมี ผลย่อมมี


สติคมกล้ามากเท่าไหร่ยิ่งดี สัมปชัญญะ ย่อมเกิดขึ้นได้มาก
สมาธิก็ส่วนสมาธิ

เกี่ยวกับรูปและอรูปฌาน คำเรียกเหล่านี้มาจากไหน
ล้วนมากจาก ความรู้ชัดสภาพธรรมต่างๆ ที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่

โอภาส ที่เกิดขึ้น สว่างมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับกำลังของสมาธิที่เกิดขึ้น ขณะนั้นๆ

รูปฌาน และอรูปฌานมาจากไหน
ชื่อก้บอกอยู่แล้วว่า รูป คือ ขณะจิตเป็นสมาธิ ยังมีกายปรากฏ

อรูปมาจากไหน
ชื่อก็บอกอยู่แล้ว อรูป คือ ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่ กายหายไปหมด แต่มีสติรู้อยู่ เหลือแต่ธาตุรู้(จิต)

ก็เหมือนเรื่อง ญาณ ๑๖ มาจากไหน
ก็มาจากความรู้ชัดสภาพธรรมต่างๆ ที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่
ทั้งสติ สมัปชัญญะ ยิ่งมาก ยิ่งดี

ด้วยความไม่รู้ที่มีอยู่ ความไม่รู้ชัดสภาพธรรมที่เรียกว่า ญาณ ๑๖ มาจากไหน
ก็ทำให้หลงสภาพธรรมได้เหมือนกัน หลงสำคัญว่า ได้อะไร เป็นอะไร
หากเป็นพระ ก็ไปอย่าง ยังมีโอกาสทำความเพียรต่อเนื่อง
สภาพธรรมที่มีอยู่ ย่อมเกิดขึ้นเอง ตามเหตุและปัจจัย

แต่ถ้าเป็นฆราวาสน่ะรึ เมื่อมีผัสสะเกิด ตัวกรู ของกรู มาก่อนเลย แต่มองไม่เห็นหรอก
เพราะอวิชชา ความหลงสภาพธรรม หลงในสิ่งที่คิดว่ามี คิดว่าเป็น ตัณหาเกิด ก็ยังมองไม่เห็น
จึงเป็นเหตุให้บดบังสภาพธรรมต่างๆ ไม่ให้เห็น สภาพธรรมตามความเป็นจริง ของสิ่งที่มีเกิดขึ้นในชีวิต

เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า ญาณ ๑๖ ยังไม่สามารถนำสิ่งที่พบเจอ มากระทำเพื่อดับเหตุแห่งทุกข์ได้

หากไม่สมดุลย์ ดูง่ายๆ พอจิตเป็นสมาธิ ทุกอย่างดับหายไปหมดชั่วขณะ
ก่อนดับก็ไม่รู้ กำลังจะดับ ก็ไม่รู้ กำลังคลาย ก็ไม่รู้ รู้ครั้งเดียว คือ โผล่พรึ่บมาทั้งตัว



ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่ สติคมกล้ามากเท่าไหร่ สัมปชัญญะย่อมมีเกิดขึ้น
เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ขณะเป็นสมาธิอยู่
เป็นปัจจัยให้ เกิดความรู้ชัดสภาพธรรมต่างๆ
ที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่ ถึงจะเป็นรูปฌานหรืออรูปฌาน ก็ตาม จะรู้หมด
ที่ไม่รู้ชัด เกิดจาก สติมีกำลังไม่มากพอ สมาธิมีกำลังมากกว่า



ฌานสมาบัติ กับ นิโรธสมาบัติ แตกต่างกันตรงที่ ความดับ ก่อนกับ กำลังดับ ขณะที่ดับ
ขณะสมาธิกำลังคลาย ความรู้สึกตัวที่มีเกิดขึ้น รู้ทีเดียว รู้ทีละขณะ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เรื่องที่นำมากล่าวกันว่า นิโรธสมาบัติ มีเกิดขึ้นได้เฉพาะ อนาคามี เรื่องนี้ ไม่จริง

แต่ถ้าบอกว่า ผู้เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ
ไม่จำเป็นสำคัญมั่นหมายว่าได้อะไร เป็นอะไร อันนี้ เรื่องจริง



ฉะนั้น สติ สัมปชัญญะ จึงมีความสำคัญมาก ทั้งในการดำเนินชีวิต และการทำความเพียร

ที่วลัยพรเคยกล่าวไว้าว่า ให้เจริญสติ
เพราะ หากสติมีกำลังมาก สัมปชัญญะ ย่อมมีเกิดขึ้น
เมื่อจิตเป็นสมาธิ ย่อมทำให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่



ในการดำเนินชีวิต สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด
ตัณหาเป็นตัวผลักดัน ให้เกิดการกระทำ
สัมปชัญญะ คือ ความรู้สึกตัว ความรู้ชัดในผัสสะที่เกิดขึ้น ที่มีผลกระทบทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด
สติ เป็นตัวช่วยยับยั้ง ไม่ให้เกิดการกระทำ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 25 มิ.ย. 2015, 18:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
บุคคลผู้ที่ไม่รู้ชัดสภาพธรรมที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิ ตั้งแต่รูปฌานและอรูปฌาน(ฌานทั้ง๘)
เหตุปัจจัยที่ทำให้เป็นแบบนี้ เกิดจาก ทำแค่แบบ พอใจทำ ด้วยความไม่รู้ที่มีอยู่
ไม่ก็เกิดจาก ตนเองไม่เคยพบเจอสภาพธรรมนั้นๆ ฟังคนอื่นมากไป จึงทำให้ปักใจเชื่อว่า หากสติมากไป จะทำให้ติดสุขได้
ไม่ก็เกิดจาก เจอกับตัวเอง แล้วติดหล่มสุข จึงทำให้คิดเอาเองว่า หากสติมากไป จะทำให้ติดสุขได้
ทุกข์ โทษ ภัย ของอวิชชา สภาวะจึงติดอยู่แค่นั้น แทนที่จะกล่าวโทษตัวเอง กลับไปกล่าวโทษสมาธิแทน
แต่ก็ไม่เป็นไรนะ หากยังไม่ตายไปเสียก่อน นั่นคือ โอกาสที่จะกระทำเพื่อดับเหตุแห่งทุกข์ ยังมีอยู่

ที่สำคัญ ทุกๆการกระทำ ก็มีผล
ตนหลงอย่างไร เที่ยวกระจายข่าวให้กับผู้อื่น ประมาณว่า สติมากไป ไม่ได้นะ จะติดสุข ที่เกิดจากสมาธิได้
แล้วแบบนี้ จะเหลืออะไร เหตุมี ผลย่อมมี


สติคมกล้ามากเท่าไหร่ยิ่งดี สัมปชัญญะ ย่อมเกิดขึ้นได้มาก
สมาธิก็ส่วนสมาธิ

เกี่ยวกับรูปและอรูปฌาน คำเรียกเหล่านี้มาจากไหน
ล้วนมากจาก ความรู้ชัดสภาพธรรมต่างๆ ที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่

โอภาส ที่เกิดขึ้น สว่างมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับกำลังของสมาธิที่เกิดขึ้น ขณะนั้นๆ

รูปฌาน และอรูปฌานมาจากไหน
ชื่อก้บอกอยู่แล้วว่า รูป คือ ขณะจิตเป็นสมาธิ ยังมีกายปรากฏ

อรูปมาจากไหน
ชื่อก็บอกอยู่แล้ว อรูป คือ ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่ กายหายไปหมด แต่มีสติรู้อยู่ เหลือแต่ธาตุรู้(จิต)

ก็เหมือนเรื่อง ญาณ ๑๖ มาจากไหน
ก็มาจากความรู้ชัดสภาพธรรมต่างๆ ที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่
ทั้งสติ สมัปชัญญะ ยิ่งมาก ยิ่งดี

ด้วยความไม่รู้ที่มีอยู่ ความไม่รู้ชัดสภาพธรรมที่เรียกว่า ญาณ ๑๖ มาจากไหน
ก็ทำให้หลงสภาพธรรมได้เหมือนกัน หลงสำคัญว่า ได้อะไร เป็นอะไร
หากเป็นพระ ก็ไปอย่าง ยังมีโอกาสทำความเพียรต่อเนื่อง
สภาพธรรมที่มีอยู่ ย่อมเกิดขึ้นเอง ตามเหตุและปัจจัย

แต่ถ้าเป็นฆราวาสน่ะรึ เมื่อมีผัสสะเกิด ตัวกรู ของกรู มาก่อนเลย แต่มองไม่เห็นหรอก
เพราะอวิชชา ความหลงสภาพธรรม หลงในสิ่งที่คิดว่ามี คิดว่าเป็น ตัณหาเกิด ก็ยังมองไม่เห็น
จึงเป็นเหตุให้บดบังสภาพธรรมต่างๆ ไม่ให้เห็น สภาพธรรมตามความเป็นจริง ของสิ่งที่มีเกิดขึ้นในชีวิต

เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า ญาณ ๑๖ ยังไม่สามารถนำสิ่งที่พบเจอ มากระทำเพื่อดับเหตุแห่งทุกข์ได้

หากไม่สมดุลย์ ดูง่ายๆ พอจิตเป็นสมาธิ ทุกอย่างดับหายไปหมดชั่วขณะ
ก่อนดับก็ไม่รู้ กำลังจะดับ ก็ไม่รู้ กำลังคลาย ก็ไม่รู้ รู้ครั้งเดียว คือ โผล่พรึ่บมาทั้งตัว



ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่ สติคมกล้ามากเท่าไหร่ สัมปชัญญะย่อมมีเกิดขึ้น
เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ขณะเป็นสมาธิอยู่
เป็นปัจจัยให้ เกิดความรู้ชัดสภาพธรรมต่างๆ
ที่มีเกิดขึ้น ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่ ถึงจะเป็นรูปฌานหรืออรูปฌาน ก็ตาม จะรู้หมด
ที่ไม่รู้ชัด เกิดจาก สติมีกำลังไม่มากพอ สมาธิมีกำลังมากกว่า



ฌานสมาบัติ กับ นิโรธสมาบัติ แตกต่างกันตรงที่ ความดับ ก่อนกับ กำลังดับ ขณะที่ดับ
ขณะสมาธิกำลังคลาย ความรู้สึกตัวที่มีเกิดขึ้น รู้ทีเดียว รู้ทีละขณะ แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เรื่องที่นำมากล่าวกันว่า นิโรธสมาบัติ มีเกิดขึ้นได้เฉพาะ อนาคามี เรื่องนี้ ไม่จริง

แต่ถ้าบอกว่า ผู้เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ
ไม่จำเป็นสำคัญมั่นหมายว่าได้อะไร เป็นอะไร อันนี้ เรื่องจริง



ฉะนั้น สติ สัมปชัญญะ จึงมีความสำคัญมาก ทั้งในการดำเนินชีวิต และการทำความเพียร

ที่วลัยพรเคยกล่าวไว้าว่า ให้เจริญสติ
เพราะ หากสติมีกำลังมาก สัมปชัญญะ ย่อมมีเกิดขึ้น
เมื่อจิตเป็นสมาธิ ย่อมทำให้เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ขณะจิตเป็นสมาธิอยู่



ในการดำเนินชีวิต สิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด
ตัณหาเป็นตัวผลักดัน ให้เกิดการกระทำ
สัมปชัญญะ คือ ความรู้สึกตัว ความรู้ชัดในผัสสะที่เกิดขึ้น ที่มีผลกระทบทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด
สติ เป็นตัวช่วยยับยั้ง ไม่ให้เกิดการกระทำ

โห รู้จักนิโรธสมาบัติด้วย เยี่ยมจริงๆเลย

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 25 มิ.ย. 2015, 19:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังละโอรัมภาคิยสังโยชน์ไม่ได้
แต่เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะในปัจจุบัน
บุคคลนั้นชอบใจ ยินดีและถึงความปลื้มใจด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น
ยับยั้งอยู่ในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น น้อมใจไป
อยู่จนคุ้นในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ไม่เสื่อม
เมื่อทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนภพ
เขาจุติจากชั้นนั้นแล้วย่อมเป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้

ดูกรสารีบุตร อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้แล้ว
เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ ในปัจจุบัน

บุคคลนั้นชอบใจ ยินดี และถึงความปลื้มใจ ด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น
ยับยั้งในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น น้อมใจไป
อยู่จนคุ้นในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ไม่เสื่อม
เมื่อกระทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนภพ
เขาจุติจากชั้นนั้นแล้ว ย่อมเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้

ดูกรสารีบุตร นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้
จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้

อนึ่ง นี้เป็นเหตุ เป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้
จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ ฯ


http://84000.org/tipitaka/read/?21/171





ขึ้นชื่อว่า การเกิด ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร ล้วนเป็นทุกข์

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 25 มิ.ย. 2015, 19:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ยกมาทั้งหมด งดงามกว่านะ
เพราะ เป็นลำดับที่ผู้ปฏิบัติที่เข้าถึงพึงจะอ่านตามและรู้ได้ เข้าใจได้
เทียบเคียงได้กับสิ่งที่ตนปฏิบัติและเข้าใจ
พระพุทธองค์กล่าวถึง ความสัมพันธ์ของการได้มาซึ่ง อัตภาพ

Quote Tipitaka:
[๑๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อกายมีอยู่ สุขทุกข์ภายในย่อมเกิดขึ้น
เพราะกายสัญเจตนา ๑- เป็นเหตุ หรือเมื่อวาจามีอยู่ สุขทุกข์ในภายในย่อมเกิดขึ้น
เพราะวจีสัญเจตนา ๒- เป็นเหตุ หรือเมื่อใจมีอยู่ สุขทุกข์ภายในย่อมเกิดขึ้น เพราะ
มโนสัญเจตนา ๓- เป็นเหตุ อีกอย่างหนึ่ง เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย บุคคลย่อม
ปรุงแต่งกายสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นด้วยตนเองบ้าง
หรือบุคคลอื่นย่อมปรุงแต่งกายสังขารของบุคคลนั้น อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภาย
ในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้น หรือบุคคลรู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร อันเป็น
ปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง หรือบุคคลไม่รู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร
อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง บุคคลย่อมปรุงแต่งวจีสังขารอันเป็น
ปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นด้วยตนเองบ้าง หรือบุคคลอื่นย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร
ของบุคคลนั้น อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้นบ้าง หรือบุคคล
รู้สึกตัวย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง หรือ
บุคคลไม่รู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง
บุคคลย่อมปรุงแต่งมโนสังขารอันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นด้วยตนเองบ้าง
หรือบุคคลอื่นย่อมปรุงแต่งมโนสังขารของบุคคลนั้น อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภาย
ในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้นบ้าง หรือบุคคลรู้สึกตัวย่อมปรุงแต่งมโนสังขารอันเป็นปัจจัย
ให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง หรือบุคคลไม่รู้สึกตัวย่อมปรุงแต่งมโนสังขารอันเป็น
ปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย อวิชชาติดตามไปแล้วใน
ธรรมเหล่านี้ แต่เพราะอวิชชานั่นแลดับโดยสำรอกไม่เหลือ กายอันเป็นปัจจัย
ให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้น ย่อมไม่มี วาจา ... ใจ ... เขต ... วัตถุ
... อายตนะ ... อธิกรณะอันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้น
ย่อมไม่มี ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความได้อัตภาพ ๔ ประการนี้ ๔ ประการเป็นไฉน
คือ ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนเป็นไป ไม่ใช่สัญเจตนาของผู้อื่นเป็นไป
@๑. ความจงใจทางกาย ๒. ความจงใจทางวาจา ๓. ความจงใจทางใจ
ก็มี ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของผู้อื่นเป็นไป ไม่ใช่สัญเจตนาของตนเป็นไป
ก็มี ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนด้วย สัญเจตนาของผู้อื่นด้วยเป็นไปก็มี
ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนก็มิใช่สัญเจตนาของผู้อื่นก็มิใช่เป็นไปก็มี ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ความได้อัตภาพ ๔ ประการนี้แล ฯ
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระสารีบุตรได้ทูลถามว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสโดยย่อนี้ ข้าพระองค์ทราบชัด
เนื้อความโดยพิสดารอย่างนี้ว่า บรรดาความได้อัตภาพ ๔ ประการนั้น ความได้
อัตภาพที่สัญเจตนาของตนเป็นไป มิใช่สัญเจตนาของผู้อื่นเป็นไปนี้ คือ การจุติ
จากกายนั้นของสัตว์เหล่านั้น ย่อมมีเพราะสัญเจตนาของตนเป็นเหตุ ความได้
อัตภาพที่สัญเจตนาของผู้อื่นเป็นไป มิใช่สัญเจตนาของตนเป็นไปนี้ คือ การจุติ
จากกายนั้นของสัตว์เหล่านั้น ย่อมมีเพราะสัญเจตนาของผู้อื่นเป็นเหตุ ความได้
อัตภาพที่สัญเจตนาของตนด้วย สัญเจตนาของผู้อื่นด้วยเป็นไปนี้ คือ การจุติจาก
กายนั้นของสัตว์เหล่านั้น ย่อมมีเพราะสัญเจตนาของตนและสัญเจตนาผู้อื่นเป็นเหตุ
ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนเป็นไปก็มิใช่ สัญเจตนาของผู้อื่นเป็นไปก็มิใช่นี้
จะพึงเห็นเทวดาทั้งหลายด้วยอัตภาพนั้นเป็นไฉน พระเจ้าข้า ฯ

พ. ดูกรสารีบุตร พึงเห็นเทวดาทั้งหลายผู้เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ
ด้วยอัตภาพนั้น ฯ

สา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้
สัตว์บางจำพวกในโลกนี้ จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอาคามีกลับมาสู่ความเป็นอย่าง
นี้ อนึ่ง อะไรเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้ จุติจากกายนั้น
แล้วเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ พระเจ้าข้า ฯ

พ. ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังละโอรัมภาคิยสังโยชน์
ไม่ได้ แต่เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะในปัจจุบัน บุคคลนั้นชอบใจ ยินดี
และถึงความปลื้มใจด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ยับยั้งอยู่ในเนวสัญญา-
*นาสัญญายตนะนั้น น้อมใจไป อยู่จนคุ้นในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ไม่เสื่อม
เมื่อทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญานา-
*สัญญายตนภพ เขาจุติจากชั้นนั้นแล้วย่อมเป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นอย่าง
นี้ ดูกรสารีบุตร อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้แล้ว
เขาบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ ในปัจจุบัน บุคคลนั้นชอบใจ ยินดี และถึง
ความปลื้มใจ ด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ยับยั้งในเนวสัญญานา-
*สัญญายตนะนั้น น้อมใจไป อยู่จนคุ้นในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ไม่เสื่อม
เมื่อกระทำกาละ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของเหล่าเทวดาผู้เข้าถึงชั้นเนวสัญญา-
*นาสัญญายตนภพ เขาจุติจากชั้นนั้นแล้ว ย่อมเป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความ
เป็นอย่างนี้ ดูกรสารีบุตร นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลก
นี้ จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอาคามี กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ อนึ่ง นี้เป็นเหตุ
เป็นปัจจัยเครื่องให้สัตว์บางจำพวกในโลกนี้ จุติจากกายนั้นแล้วเป็นอนาคามี
ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่ างนี้ ฯ


พระสารีบุตรมีการ เห็น เทวดากลุ่มหนึ่ง ... :b1:
และสงสัยใน การปรากฎแห่ง อัตภาพ ของเทวดาเหล่านั้น

และพระพุทธองค์ ตอบพระสารีบุตร เช่นนั้น
เพราะ พระสารีบุตร ก็ถึง เนวสัญญา ฯ แล้ว และเห็นอะไร รู้อะไรอยู่แล้วเช่นกัน :b1:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 25 มิ.ย. 2015, 23:02, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 25 มิ.ย. 2015, 20:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004
โอ้!!!!ช่างละเอียดละออลึกล้ำและพิสดารยิ่งนักเรื่องญาณของฌาณจนถึงรูปฌาณอรูปฌาณ เนวสัญญญาณ ฯลฯ
Kiss
พากันยกย่องสติเกินไปและกลัวเกินไปจนมองข้ามเรื่องง่ายๆที่ทักท้วง
:b16:
มีผู้สรุปว่า ปฏิบัติ คือการเจริญสติ (แต่เพียงอย่างเดียว)

มีผู้ทักท้วงว่า ปฏิบัติ คือการเจริญ ปัญญา สติ สมาธิ ควบคู่กันไป จึงจะได้ความสมดุลย์ ถ่วงดุลย์กัน ไม่ถ่วงรั้งกั้น

อุปมาว่าดุจอวัยวะทั้ง 32 ในกายสำคัญเหมือนกันหมดในหน้าที่ของใครของมันมาร่วมสนับสนุนการทำงานชิ้นเดียวกันให้ประสบความสำเร็จ

ถ้าเปรียบสติเป็นตา ตาสำคัญที่สุด
เฉพาะตาเห็นอย่างเดียวองคาพยพอื่นไม่ร่วมด้วยช่วยกันงานที่มุ่งมั่นจะสำเร็จได้หรือ

นี่คือประเด็นที่หมายทักท้วงให้เห็น เป็นสำคัญครับ

ทาน ศีล ภาวนา

ปัญญา สติ สมาธิ

โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ
สำคัญเสมอเหมือนกันหมด


โพสต์ เมื่อ: 25 มิ.ย. 2015, 21:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ปฏิบัติจะผ่านเนวสัญญา ไปสู่ สัญญาเวทยิตฯ ได้อย่างไร ถ้าไม่ได้แตะอนาคามีก่อน

...

เพราะจากพระสูตรที่ยกมา ช่วงรอยต่อเนวสัญญา นั่นคือ แตะ อนาคาฯ

และต้องละความเพลินใน เนวสัญญา จึงจะเข้าสู่ สัญญาเวทยิตฯ
ดังนั้น ถ้ามีกรณีที่เข้าสู่ สัญญาเวทยิต โดยที่ไม่ได้เป็นอนาคามี มาก่อน
มันเป็นไปได้อย่างไร

อย่างไร นี่ล่ะ ที่ถ้าหากว่ามันเป็นได้ ต้องอธิบาย

...

:b30: :b30: :b30:

สรุป มันยังไงกันแน่ ...

:b30: :b30: :b30:


โพสต์ เมื่อ: 25 มิ.ย. 2015, 21:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.larnbuddhism.com/puttaprawat ... an/23.html

อ้างคำพูด:
เมื่อพระผู้มีพระภาค ตรัสพระโอวาทประทานเป็นวาระสุดท้ายเพียงเท่านี้แล้ว ก็หยุด มิได้ตรัสอะไรอีกเลย ทรงทำปรินิพพานบริกรรมด้วยอนุปุพพวิหารสมาบัติทั้ง ๙ โดยอนุโลมเป็นลำดับดังนี้ คือ-
ทรงเข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌาณแล้ว
ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว
ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว
ทรงเข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว
ทรงเข้าอากาสานัญจายตนะ ออกจากอากาสานัญจายตนะแล้ว
ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจากวิญญาณัญจายตนะแล้ว
ทรงเข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตนะแล้ว
ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนะแล้ว
ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ
สมาบัติที่ ๙

สัญญาเวทยิตนิโรธนี้ มีอาการสงบที่สุด ถึงดับสัญญาและเวทนา ไม่รู้สึกทั้งกายทั้งใจทุกประการ แม้ลมหายใจเข้าออกก็หยุด สงบยิ่งกว่านอนหลับ ผู้ไม่คุ้นเคยกับสมาบัตินี้ อาจคิดเห็นไปว่าตายแล้ว ดังนั้นพระอานนท์เถระเจ้า ผู้นั่งเฝ้าดูพระอาการอยู่ตลอดทุกระยะ ได้เกิดวิตกจิต คิดว่า พระบรมศาสดาคงจะเสด็จนิพพานแล้ว จึงได้เรียนถามพระอนุรุทธเถระเจ้า ผู้เชี่ยวชาญในสมาบัตินี้ว่า "ข้าแต่ท่านอนุรุทธ พระบรมศาสดาเสด็จนิพพานแล้วหรือยัง"

"ยัง ท่านอานนท์ ขณะนี้พระบรมศาสดากำลังเสด็จอยู่ในสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ" พระอนุรุทธบอก

ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จอยู่ในสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ตามเวลาที่พระองค์ทรงกำหนดแล้ว ก็เสด็จออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนะ ถอยออกจากสมาบัตินั้นโดยปฏิโลมเป็นลำดับจงถึงปฐมฌาน


การเข้า สัญญาเวทยิต ต้องละความเพลินใน เนวสัญญาฯ
การละความเพลินในเนวสัญญา ก็คือ การละความเพลิน ไม่ใช่ การจุติ
การจุติ ไม่ได้หมายความว่า นั่นเป็นการละความเพลินได้แล้ว
เมื่อยังเพลินใน เนวสัญญา แล้วเกิดการจุติ
จึงไปเพลินต่อในอัตภาพใหม่ด้วยความเป็นอนาคามีติดไปด้วย ... :b1:

ยังไม่ได้ละความเพลินจากเนวสัญญาเลย ก็ได้อนาคาติดมาแล้ว
ซึ่งสัญญาเวทยิตฯ คือลำดับถัดไป ที่ต้องละความเพลินในเนวสัญญา
จะไม่เป็น อนาคา ... ได้ด้วยหรือ

:b30: :b30: :b30:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 25 มิ.ย. 2015, 23:03, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 25 มิ.ย. 2015, 22:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ไปเจอท่อนนี้มา ...

http://www.phuttawong.net/index.aspx?Co ... 7105504251

อ้างคำพูด:
สัญญาเวทยิตนิโรธ คือ อารมณ์จิตของพระอรหันต์ขั้นปฏิสัมภิทาญาณ หรือ พระอนาคามีระดับปฏิสัมภิทาญาณเท่านั้นที่มีจิตที่ว่างจากอารมณ์ทุกชนิด โดยจิตไม่ยอมรับรู้อารมณ์อะไรเลย แม้จะเป็นพระอรหันต์ระดับเตวิชโช หรือฉฬภิญโญ ก็ไม่สามารถทำจิตว่างจากอารมณ์ใดๆ ได้


โพสต์ เมื่อ: 25 มิ.ย. 2015, 23:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b23: :b23: :b23:


โพสต์ เมื่อ: 25 มิ.ย. 2015, 23:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s006
อ้างคำพูด:
เช่นนั้น ปฏิบัติ : คือการเจริญสติ การทำจิตตภาวนาเพื่อให้สติมีกำลัง มีความไว

:b16:
ท่านเช่นนั้นจะเอาแต่สติอย่างเดียวหรือครับ สติถ้ามากนักโดยไม่มีตัวถ่วงดุลย์มักทำให้ไปติดสุขในสมาธิและวิปัสสนาเกิดยากนะครับ

องคาพยพแห่งมรรคธรรมนั้นประกอบด้วย ปัญญา สติ สมาธิ เหมือนส่วนประกอบทั้ง 32 ประการของกายมนุษย์ ซึ่งไปไหนก็ต้องไปด้วยกันทั้งพรวน

สติ สมาธิ ปัญญาจึงควรเป็นองค์สมบูรณ์ของปฏิปัตติศาสนานะครับ ไม่พึงเน้นสติโดดเด่นแต่เพียงอย่างเดียวอันอาจทำให้เกิดการขาดสมดุลย์แห่งองค์ความรู้เพื่อมรรคธรรมนะครับ
s004 s004


หัวข้อ กระทู้คือ เรื่องผัสสะ และมีการดับผัสสะ อันดับต่อไป
เช่นนั้น ตอบ สติ ถูกแล้วครับ อโศกะ

อ่านต่อไปสิครับ
ในช่วงปฏิเวธ เช่นนั้น ไม่ลืมเรื่อง การบำเพ็ญมรรค หรอกครับ อโศกะ

แม้การติดสุขในสมาธิ หากสติเป็นสัมมาสติ ก็ไม่ติดสุขในสมาธิครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสต์ เมื่อ: 26 มิ.ย. 2015, 20:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


huh huh huh

อ๊บซ์ งงรัยน่ะ ... :b32:

งงว่าทำไมเอกอนช่างมั่วได้อย่างหน้ามึนใช่ป๊ะ...

:b13: :b13: :b13:


โพสต์ เมื่อ: 26 มิ.ย. 2015, 20:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
๓. มหาเวทัลลสูตร

การสนทนาธรรมที่ทำให้เกิดปีติ

[๔๙๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก-
*เศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นเวลาเย็น ท่านพระมหาโกฏฐิกะออกจากที่หลีกเร้นแล้ว
จึงเข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ ได้ทักทายปราศรัยกับท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการทักทาย
ปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันแล้ว จึงนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

เรื่องปัญญากับวิญญาณ

[๔๙๔] ท่านพระมหาโกฏฐิกะครั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว จึงถามท่านพระสารีบุตรว่าดูกร
ท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า บุคคลมีปัญญาทรามๆ ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไรหนอ จึง
ตรัสว่า บุคคลมีปัญญาทราม?

ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ท่านผู้มีอายุ บุคคลไม่รู้ชัดๆ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาค
จึงตรัสว่า เป็นบุคคลมีปัญญาทราม ไม่รู้ชัดอะไร ไม่รู้ชัดว่านี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ
นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา บุคคลไม่รู้ชัดๆ เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า บุคคลมีปัญญาทราม.

ท่านพระมหาโกฏฐิกะ ยินดี อนุโมทนาภาษิต ของท่านพระสารีบุตรว่า ถูกละ ท่านผู้มี
อายุ ดังนี้แล้ว ได้ถามปัญหาต่อไปว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า บุคคลมีปัญญาๆ
ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไรหนอ จึงตรัสว่าบุคคลมีปัญญา?

สา. ดูกรท่านผู้มีอายุ บุคคลรู้ชัดๆ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า เป็นบุคคล
มีปัญญา รู้ชัดอะไร รู้ชัดว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เพราะ
ฉะนั้น จึงตรัสว่า บุคคลมีปัญญา.

ก. ดูกรท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า วิญญาณๆ ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไรหนอ
จึงตรัสว่า วิญญาณ?

สา. ธรรมชาติที่รู้แจ้งๆ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาค จึงตรัสว่าวิญญาณ รู้แจ้งอะไร
รู้แจ้งว่า นี้สุข นี้ทุกข์ นี้มิใช่ทุกข์ มิใช่สุข ธรรมชาติย่อมรู้แจ้งๆ เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า
วิญญาณ.

ก. ปัญญาและวิญญาณ ธรรม ๒ ประการนี้ ปะปนกัน หรือแยกจากกันท่านผู้มีอายุ
อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้หรือไม่?

สา. ปัญญาและวิญญาณ ธรรม ๒ ประการนี้ ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน ผมไม่อาจแยก
ออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้ เพราะปัญญารู้ชัดสิ่งใด วิญญาณก็รู้แจ้งสิ่งนั้น วิญญาณ
รู้แจ้งสิ่งใด ปัญญาก็รู้ชัดสิ่งนั้น ฉะนั้น ธรรม ๒ ประการนี้ จึงปะปนกัน ไม่แยกจากกัน ผมไม่
อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้.

ก. ปัญญาและวิญญาณ ธรรม ๒ ประการนี้ ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน แต่มีกิจที่จะพึง
ทำต่างกันบ้างหรือไม่?

สา. ปัญญาและวิญญาณ ธรรม ๒ ประการนี้ ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน แต่ปัญญาควร
เจริญ วิญญาณควรกำหนดรู้ นี่เป็นกิจที่จะพึงทำต่างกันแห่งธรรม ๒ ประการนี้.

เรื่องเวทนาสัญญาและวิญญาณ

[๔๙๕] ก. ดูกรท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เวทนาๆ ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไร
หนอ จึงตรัสว่า เวทนา?

สา. ดูกรท่านผู้มีอายุ ธรรมชาติที่รู้ๆ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า เวทนา
รู้อะไร รู้สุขบ้าง รู้ทุกข์บ้าง รู้สิ่งที่มิใช่ทุกข์มิใช่สุขบ้าง ธรรมชาติย่อมรู้ๆ ฉะนั้น จึงตรัสว่า
เวทนา.

ก. ดูกรท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สัญญาๆ ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงไรหนอ
จึงตรัสว่า สัญญา?

สา. ธรรมชาติที่จำๆ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาค จึงตรัสว่า สัญญา จำอะไร จำสีเขียว
บ้าง จำสีเหลืองบ้าง จำสีแดงบ้าง จำสีขาวบ้าง ธรรมชาติย่อมจำๆ ฉะนั้น จึงตรัสว่า สัญญา

ก. เวทนา สัญญา และวิญญาณ ธรรม ๓ ประการนี้ ปะปนกัน หรือแยกจากกัน
ท่านผู้มีอายุ อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้หรือไม่?

สา. เวทนา สัญญา และวิญญาณ ธรรม ๓ ประการนี้ ปะปนกัน ไม่แยกจากกัน
ผมไม่อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้ เพราะเวทนารู้สิ่งใด สัญญาก็จำสิ่งนั้น
สัญญาจำสิ่งใด วิญญาณก็รู้แจ้งสิ่งนั้น ฉะนั้น ธรรม ๓ ประการนี้ จึงปะปนกัน ไม่แยกจากกัน
ผมไม่อาจแยกออกแล้ว บัญญัติหน้าที่อันต่างกันได้.

[๔๙๖] ก. ดูกรท่านผู้มีอายุ พระโยคาวจรมีมโนวิญญาณ (จิตอันสัมปยุตด้วยรูปาวจร-
*ฌานที่ ๔) อันสละแล้ว อันบริสุทธิ์จากอินทรีย์ ๕ พึงรู้สิ่งอะไร?

สา. ดูกรท่านผู้มีอายุ พระโยคาวจรมีมโนวิญญาณอันสละแล้ว อันบริสุทธิ์จากอินทรีย์ ๕
พึงรู้อากาสานัญจายตนฌานว่า อากาศหาที่สุดมิได้ พึงรู้วิญญาณัญจายตนฌานว่า วิญญาณหาที่สุด
มิได้ พึงรู้อากิญจัญญายตนฌานว่า น้อยหนึ่งมิได้มี.

เรื่องประโยชน์แห่งปัญญาและเหตุเกิดสัมมาทิฏฐิ

ก. พระโยคาวจรย่อมรู้ธรรมอันตนพึงรู้ด้วยอะไร?

สา. พระโยคาวจรย่อมรู้ธรรมอันตนพึงรู้ด้วยปัญญาจักษุ.

ก. ปัญญา มีอะไรเป็นประโยชน์?

สา. ปัญญา มีความรู้ยิ่งเป็นประโยชน์ มีความกำหนดรู้เป็นประโยชน์ มีความละเป็น
ประโยชน์.

[๔๙๗] ก. ดูกรท่านผู้มีอายุ ก็ปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ มีเท่าไร?

สา. ธรรม ๒ ประการ คือความได้สดับแต่บุคคลอื่น ๑ ความทำในใจโดยแยบคาย ๑
เป็นปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ ธรรม ๒ ประการนี้แล เป็นปัจจัยเมื่อความเกิดขึ้นแห่ง
สัมมาทิฏฐิ.

ก. สัมมาทิฏฐิ มีเจโตวิมุติเป็นผล และมีผลคือเจโตวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย มีปัญญา
วิมุติเป็นผล และมีผลคือปัญญาวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย อันองค์ธรรมเท่าไรอนุเคราะห์แล้ว?

สา. สัมมาทิฏฐิ มีเจโตวิมุติเป็นผล และมีผลคือเจโตวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย มีปัญญา
วิมุติเป็นผล และมีผลคือปัญญาวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย อันองค์ธรรม ๕ ประการ อนุเคราะห์
แล้ว คือ สัมมาทิฏฐิ อันศีลอนุเคราะห์แล้ว ๑ อันสุตะอนุเคราะห์แล้ว ๑ อันสากัจฉาอนุเคราะห์
แล้ว ๑ อันสมถะอนุเคราะห์แล้ว ๑ อันวิปัสสนาอนุเคราะห์แล้ว ๑ สัมมาทิฏฐิ มีเจโตวิมุติเป็น
ผล และมีผลคือเจโตวิมุติเป็นอานิสงส์ด้วย มีปัญญาวิมุติเป็นผล และมีผลคือปัญญาวิมุติ
เป็นอานิสงส์ด้วย อันองค์ธรรม ๕ ประการนี้แล อนุเคราะห์แล้ว.


ทดไว้ก่อง ... :b13:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 26 มิ.ย. 2015, 20:35, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 90 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร