วันเวลาปัจจุบัน 25 ส.ค. 2025, 21:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 90 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 20 มิ.ย. 2015, 06:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
student เขียน:
ขอเชิญทุกท่านร่วมแสดงความเห็นเรื่องผัสสะ
ว่าหลังจากศึกษาปริยัติ หรือปฏิบัติ หรือปฏิเวท
ว่าผัสสะนั้นเป็นเหตุเป็นผลอย่างไร?
อะไรเรียกว่าผัสสะดับลง
หรือเพราะผัสสะมี
เอาตามความเข้าใจตนเองครับผม

:b12:
ตั้งประเด็นได้ดีนะครับคุณ student
:b4:
ครูบาอาจารย์สอนไว้ว่า ให้สนใจเอาสติปัญญามาสังเกตพิจารณาที่ช่วงต่อของเวทนากับตัณหา จึงจะหักวงปฏิจจสมุปบาทได้ง่ายกว่าช่วงต่อที่อื่นซึ่งแม้แต่สติปัฏฐาน 4 พระบรมศาสดาก็ทรงให้ความสำคัญกับช่วงต่อนี้ดังที่ทรงตรัสสอนว่า

"กาเยกายา , เวทนาสุเวทนา ,จิตเตจิตตา ,ธัมเมธัมมา นุปัสสี วิหารติ"
"อาตาปี สัมปฌาโน สติมา วิเนยยะโลเก อภิชฌา โทมนัสสัง"

เธอพึงเฝ้าพิจารณาเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม อยู่เนืองๆ

มีความเพียรเผากิเลส มีปัญญาและสติ เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความ ยินดี ยินร้าย ใน โลก (คือผัสสะของทวารทั้ง 6)

สังเกตดูให้ดีๆนะครับ มีประเด็นชี้ชัดลงไปที่ ยินดี ยินร้าย อันเป็นผลจากเวทนา

ไม่ใช่ โลก ซึ่งหมายถึงผัสสะหรือการกระทบรู้ของทวารทั้ง 6
s004
แต่ครูบาอาจารย์รุ่นหลังๆต่อมาจำนวนไม่น้อยได้สอนศิษย์ให้เอาสติมาระวังที่ช่วงต่อของผัสสะกับเวทนา อันเป็นเรื่องที่ต้องเน้นสติมากกว่าปัญญา

สติ เป็นเหตุให้เกิดสมาธิ จึงพากันหลบเข้าสมาธิเข้าฌาณไปอยู่เหนือเวทนากันเสียเป็นส่วนมาก ดีอยู่

แต่เป็นการปิดโอกาสของปัญญาที่จะได้มาสังเกต พิจารณา ค้นหาสมุทัยเหตุทุกข์จากความยินดียินร้าย ความเห็นภัยในทุกข์ ความกลัวทุกข์ ความเบื่อหน่ายในทุกข์ ความดิ้นรนเพื่อจะให้พ้นไปเสียจากทุกข์และเหตุทุกข์ ความจางคลายและสลัดคืนเสียซึ่งเหตุทุกข์ จึงเกิดขึ้นได้ยากและเนิ่นช้า
s006
นี่คืออีกมุมมองหนึ่งในเรื่อง ผัสสะ นะครับคุณ student
โปรดพิจารณา
onion
คำที่ท่านอโศกะ ยกมานั้นแหล่ะคือหลักการปฎิบัติเลยครับ คำว่าอาตาปีสัมปชาโนสติมา แต่คำนี้จะไปหยุดอยู่ตรงไหนแค่ไหนถึงจะพอ คำว่าไม่ยินดียินร้าย สภาวะอะไรที่จะทำให้ไม่ยินดียินร้ายได้ ปัญญาระดับเข้าถึงสภาวะอะไรถึงจะตัดคำว่ายินดียินร้ายได้จริง แต่ที่แน่ๆตามพระสูตรที่ผมยกมานั้นการดับสังขารทั้งหลายสามารถทำให้เป็นอริยได้จนถึงการกำจักอาสาวะทั้งหมดได้ ก็มาจากคำว่าอาตาปีสัมปชาโนสติมาฯลฯ. คำนี้อาจจะต้องเดินทางมาถึงตรงนี้ก็ได้ จากการสังเกตุการตอบคำถามของพระอนุรุธท ถ้าพระอนุรุธทตอบไม่ครบไม่ตรงตามความจริงพระองค์จะต้องคัดค้านแบะเพิ่มเติม นั้นหมายความว่าการบรรลุธรรมแต่ละขั้นนั้นเป็นไปตามที่พระอนุรุธทตอบคำถาม โปรดพิจารณา

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


แก้ไขล่าสุดโดย bigtoo เมื่อ 20 มิ.ย. 2015, 07:20, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสต์ เมื่อ: 20 มิ.ย. 2015, 07:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




IMG_20150611_45320.jpg
IMG_20150611_45320.jpg [ 31.95 KiB | เปิดดู 2160 ครั้ง ]
:b8:
อ้างคำพูด:
ความเข้าไปสงบสังขารเหล่านั้นย่อมเป็นสุข” นั้นหมายถึง ความเข้าไปสงบระงับสังขาร คือความปรุงแต่งทั้งทางใจ (มโนสังขาร) ที่เป็นปัจจัยให้เกิดกิเลส ตัณหา อุปาทาน เป็นความดับกิเลสตัณหาอุปาทาน 1 และทั้งทางกาย (กายสังขาร) กับ ทางวาจา (วจีสังขาร) เป็นความดับสนิทหมดทั้งเบญจขันธ์ คือความแตกกายทำลายขันธ์อีก 1 รวมความว่า “ดับรอบ” ชื่อว่า เสด็จดับขันธ์ (เข้าปรินิพพาน) ด้วย อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ

นี้เป็นความดับสังขารโดยสิ้นเชิง คงแต่ “นิพพานธาตุ” อันเป็น ”วิสังขาร” ที่ไม่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง (อสังขตธรรม) ที่เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน และก็ไม่ปรากฏความเสื่อมสลาย เป็นอมตธรรม จึงไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ และตายอีก

:b27:
เจริญธรรมคุณ bigtoo
:b43:
ดับความปรุงแต่ง (สังขาร)
กับ
ดับผู้ปรุงแต่ง (สักกาย+มานะทิฏฐิ)

อย่างไหนจะดับได้เด็ดขาดและสนิทกว่ากันครับ
s006
โพสต์ เมื่อ: 20 มิ.ย. 2015, 07:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
อ้างคำพูด:
ความเข้าไปสงบสังขารเหล่านั้นย่อมเป็นสุข” นั้นหมายถึง ความเข้าไปสงบระงับสังขาร คือความปรุงแต่งทั้งทางใจ (มโนสังขาร) ที่เป็นปัจจัยให้เกิดกิเลส ตัณหา อุปาทาน เป็นความดับกิเลสตัณหาอุปาทาน 1 และทั้งทางกาย (กายสังขาร) กับ ทางวาจา (วจีสังขาร) เป็นความดับสนิทหมดทั้งเบญจขันธ์ คือความแตกกายทำลายขันธ์อีก 1 รวมความว่า “ดับรอบ” ชื่อว่า เสด็จดับขันธ์ (เข้าปรินิพพาน) ด้วย อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ

นี้เป็นความดับสังขารโดยสิ้นเชิง คงแต่ “นิพพานธาตุ” อันเป็น ”วิสังขาร” ที่ไม่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง (อสังขตธรรม) ที่เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน และก็ไม่ปรากฏความเสื่อมสลาย เป็นอมตธรรม จึงไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ และตายอีก

:b27:
เจริญธรรมคุณ bigtoo
:b43:
ดับความปรุงแต่ง (สังขาร)
กับ
ดับผู้ปรุงแต่ง (สักกาย+มานะทิฏฐิ)

อย่างไหนจะดับได้เด็ดขาดและสนิทกว่ากันครับ
s006
ดับทุกอย่างทั้งหมดอยู่ตรงนั้นเพราะผู้ปรุ่งแต่งก็คือสังขารทั้งหลาย

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 20 มิ.ย. 2015, 07:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004
ความปรุงแต่งนี่คือสังขารนั่นใช่แล้วครับ แต่.........
ผู้ปรุงแต่งนี่เป็น สังขาร หรือ อุปาทาน กันแน่ครับ คุณ bigtoo
s004


โพสต์ เมื่อ: 20 มิ.ย. 2015, 10:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004
ความปรุงแต่งนี่คือสังขารนั่นใช่แล้วครับ แต่.........
ผู้ปรุงแต่งนี่เป็น สังขาร หรือ อุปาทาน กันแน่ครับ คุณ bigtoo
s004
ผู้ปรุ่งแต่งที่จริงไม่มีหรอก มีแต่จิตเดิม จิตที่ถูกปรุงแต่งด้วยกิเลส อุปทานยึดเอาอารมณ์ต่างๆจนกลายมาเป็นจิตสังขาร. แต่ถ้าท่านจะหมายความว่าผู้ปรุงแต่งนั้นก็คือสังขาร ส่วนอุปทานนั้นพื้นฐานมาจากโมหะ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 20 มิ.ย. 2015, 13:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
student เขียน:
ขอเชิญทุกท่านร่วมแสดงความเห็นเรื่องผัสสะ
ว่าหลังจากศึกษาปริยัติ หรือปฏิบัติ หรือปฏิเวท
ว่าผัสสะนั้นเป็นเหตุเป็นผลอย่างไร?
อะไรเรียกว่าผัสสะดับลง
หรือเพราะผัสสะมี
เอาตามความเข้าใจตนเองครับผม

:b12:
ตั้งประเด็นได้ดีนะครับคุณ student
:b4:
ครูบาอาจารย์สอนไว้ว่า ให้สนใจเอาสติปัญญามาสังเกตพิจารณาที่ช่วงต่อของเวทนากับตัณหา จึงจะหักวงปฏิจจสมุปบาทได้ง่ายกว่าช่วงต่อที่อื่นซึ่งแม้แต่สติปัฏฐาน 4 พระบรมศาสดาก็ทรงให้ความสำคัญกับช่วงต่อนี้ดังที่ทรงตรัสสอนว่า

"กาเยกายา , เวทนาสุเวทนา ,จิตเตจิตตา ,ธัมเมธัมมา นุปัสสี วิหารติ"
"อาตาปี สัมปฌาโน สติมา วิเนยยะโลเก อภิชฌา โทมนัสสัง"

เธอพึงเฝ้าพิจารณาเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม อยู่เนืองๆ

มีความเพียรเผากิเลส มีปัญญาและสติ เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความ ยินดี ยินร้าย ใน โลก (คือผัสสะของทวารทั้ง 6)

สังเกตดูให้ดีๆนะครับ มีประเด็นชี้ชัดลงไปที่ ยินดี ยินร้าย อันเป็นผลจากเวทนา

ไม่ใช่ โลก ซึ่งหมายถึงผัสสะหรือการกระทบรู้ของทวารทั้ง 6
s004
แต่ครูบาอาจารย์รุ่นหลังๆต่อมาจำนวนไม่น้อยได้สอนศิษย์ให้เอาสติมาระวังที่ช่วงต่อของผัสสะกับเวทนา อันเป็นเรื่องที่ต้องเน้นสติมากกว่าปัญญา

สติ เป็นเหตุให้เกิดสมาธิ จึงพากันหลบเข้าสมาธิเข้าฌาณไปอยู่เหนือเวทนากันเสียเป็นส่วนมาก ดีอยู่

แต่เป็นการปิดโอกาสของปัญญาที่จะได้มาสังเกต พิจารณา ค้นหาสมุทัยเหตุทุกข์จากความยินดียินร้าย ความเห็นภัยในทุกข์ ความกลัวทุกข์ ความเบื่อหน่ายในทุกข์ ความดิ้นรนเพื่อจะให้พ้นไปเสียจากทุกข์และเหตุทุกข์ ความจางคลายและสลัดคืนเสียซึ่งเหตุทุกข์ จึงเกิดขึ้นได้ยากและเนิ่นช้า
s006
นี่คืออีกมุมมองหนึ่งในเรื่อง ผัสสะ นะครับคุณ student
โปรดพิจารณา
onion


อนุโมทนาครับกับความเห็นเรื่องผัสสะ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 20 มิ.ย. 2015, 13:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาคุณ bigtoo

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 20 มิ.ย. 2015, 21:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
"อนิจจา วต สังขารา อุปปาทวยธัมมิโน

อุปปัชชิตวา นิรุชชันติ เตสัง วูปสโม สุโข"

อนิจจา วต สังขารา-สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ......

อุปปาทวยธัมมิโน-มีอันเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา.......

อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ-บังเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป......

เตสัง วูปสโม สุโข-การเข้าไประงับสังขารเหล่านั้นเสียได้ เป็นความสุข


:b8:


โพสต์ เมื่อ: 23 มิ.ย. 2015, 01:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อ้างคำพูด:
"อนิจจา วต สังขารา อุปปาทวยธัมมิโน

อุปปัชชิตวา นิรุชชันติ เตสัง วูปสโม สุโข"

อนิจจา วต สังขารา-สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ......

อุปปาทวยธัมมิโน-มีอันเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา.......

อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ-บังเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป......

เตสัง วูปสโม สุโข-การเข้าไประงับสังขารเหล่านั้นเสียได้ เป็นความสุข


:b8:

:b1: :b1: s006
ใครหนอ เป็นผู้เข้าไประงับสังขารเหล่านั้นเสียได้
s004 s004


โพสต์ เมื่อ: 23 มิ.ย. 2015, 01:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




IMG_20150611_5592.jpg
IMG_20150611_5592.jpg [ 27.7 KiB | เปิดดู 2097 ครั้ง ]
bigtoo เขียน:
asoka เขียน:
ความปรุงแต่งนี่คือสังขารนั่นใช่แล้วครับ แต่.........
ผู้ปรุงแต่งนี่เป็น สังขาร หรือ อุปาทาน กันแน่ครับ คุณ bigtoo
s004
ผู้ปรุ่งแต่งที่จริงไม่มีหรอก มีแต่จิตเดิม จิตที่ถูกปรุงแต่งด้วยกิเลส อุปทานยึดเอาอารมณ์ต่างๆจนกลายมาเป็นจิตสังขาร. แต่ถ้าท่านจะหมายความว่าผู้ปรุงแต่งนั้นก็คือสังขาร ส่วนอุปทานนั้นพื้นฐานมาจากโมหะ

:b12: :b12:
ผู้ปรุ่งแต่งที่จริงไม่มีหรอก

คำพูดนี้จริงตามตำราและสัจจธรรม ......แต่ มันไปคล้ายกับคำว่า กู อัตตา หรือสักกายทิฏฐินี้ ไม่มีอยู่จริงๆหรอก

แต่ความจริงในระดับสายตาของคนธรรมด้าธรรมดาทั่วไป

มันมี กู ถูกด่า กูเก่ง กูได้รับคำชม กูเจ็บ กูสบาย กูหิว
กูอิ่ม กูไม่พอใจ กูขำ ฯลฯ อยู่ร่ำไป มันเป็นยังไงหนอ จะทำยังไงจึงจะเอาปรากฏการณ์ที่ไม่มีตัวตนนี้ออกจากจิตใจให้ได้
s004 s004 s006 s006
โพสต์ เมื่อ: 23 มิ.ย. 2015, 07:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
อ้างคำพูด:
"อนิจจา วต สังขารา อุปปาทวยธัมมิโน

อุปปัชชิตวา นิรุชชันติ เตสัง วูปสโม สุโข"

อนิจจา วต สังขารา-สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ......

อุปปาทวยธัมมิโน-มีอันเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา.......

อุปปัชชิตวา นิรุชฌันติ-บังเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป......

เตสัง วูปสโม สุโข-การเข้าไประงับสังขารเหล่านั้นเสียได้ เป็นความสุข


:b8:

:b1: :b1: s006
ใครหนอ เป็นผู้เข้าไประงับสังขารเหล่านั้นเสียได้
s004 s004

ผู้รู้...ว่า..นิพพานัง ปรมัง...สุขัง


โพสต์ เมื่อ: 23 มิ.ย. 2015, 10:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
bigtoo เขียน:
asoka เขียน:
ความปรุงแต่งนี่คือสังขารนั่นใช่แล้วครับ แต่.........
ผู้ปรุงแต่งนี่เป็น สังขาร หรือ อุปาทาน กันแน่ครับ คุณ bigtoo
s004
ผู้ปรุ่งแต่งที่จริงไม่มีหรอก มีแต่จิตเดิม จิตที่ถูกปรุงแต่งด้วยกิเลส อุปทานยึดเอาอารมณ์ต่างๆจนกลายมาเป็นจิตสังขาร. แต่ถ้าท่านจะหมายความว่าผู้ปรุงแต่งนั้นก็คือสังขาร ส่วนอุปทานนั้นพื้นฐานมาจากโมหะ

:b12: :b12:
ผู้ปรุ่งแต่งที่จริงไม่มีหรอก

คำพูดนี้จริงตามตำราและสัจจธรรม ......แต่ มันไปคล้ายกับคำว่า กู อัตตา หรือสักกายทิฏฐินี้ ไม่มีอยู่จริงๆหรอก

แต่ความจริงในระดับสายตาของคนธรรมด้าธรรมดาทั่วไป

มันมี กู ถูกด่า กูเก่ง กูได้รับคำชม กูเจ็บ กูสบาย กูหิว
กูอิ่ม กูไม่พอใจ กูขำ ฯลฯ อยู่ร่ำไป มันเป็นยังไงหนอ จะทำยังไงจึงจะเอาปรากฏการณ์ที่ไม่มีตัวตนนี้ออกจากจิตใจให้ได้
s004 s004 s006 s006
ตัวนี้คือโมหะความหลงผิดเข้าไปยึดเลยเกิดอุปทานคิดว่าเป็นตัวกูของกูฯ ถ้าทำวิชาวิมุติให้ปรากฎโมหะถูกทำลายลงก็ดับความหลงผิดว่าเป็นตัวกูของกูได้ตามฐานะของมรรคญานตามลำดับ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 23 มิ.ย. 2015, 17:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


student เขียน:
ขอเชิญทุกท่านร่วมแสดงความเห็นเรื่องผัสสะ
ว่าหลังจากศึกษาปริยัติ หรือปฏิบัติ หรือปฏิเวท
ว่าผัสสะนั้นเป็นเหตุเป็นผลอย่างไร?
อะไรเรียกว่าผัสสะดับลง
หรือเพราะผัสสะมี
เอาตามความเข้าใจตนเองครับผม

ปริยัติ : ผัสสะเป็นการประจวบของอายตนะภายนอก ภายใน และการรู้ว่ารู้กระทบ
ผัสสะอันเป็นเหตุ ผัสสะอันเป็นวิบาก
ผัสสะอันเป็นวิบาก เป็นไปตามเหตุที่กระทำ ตามความรู้ความปรุงแต่งความคิดที่เกิดขึ้น
ผัสสะอันเป็นเหตุ เป็นความรู้กระทบซึ่งเป็นไปตามความคิดความปรุง อันเป็นเหตุให้จิตมีความรู้สึกสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์เป็นไปตามอำนาจของความคิดความปรุง

การดับ : การดับไม่ใช่เป็นการทำลายอายตนะ ไม่ใช่เป็นการปิดกั้นความรู้ทางอายตนะ
แต่เป็นการดับแห่งความคิดความปรุงอันเกิดขึ้นจากอวิชชา และกิเลส ซึ่งก่อให้เกิดผัสสะอันเป็นเหตุแห่งทุกข์
การดับผัสสะจึง เป็นไปได้โดยมรรคปฏิปทา ไม่ใช่การดับโดยวิธีอื่นใด

ปฏิบัติ : คือการเจริญสติ การทำจิตตภาวนาเพื่อให้สติมีกำลัง มีความไว

ปฏิเวท : เป็นผลจากการเจริญสติ การบำเพ็ญมรรค จิตมีความไวต่อความรู้ขณะกระทบ ไม่กระทำความคิดความปรุงที่รู้อยู่เห็นอยู่ขณะกระทบอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์

ผัสสะทั้งหลายจึงเป็นเพียงผัสสะอันเป็นวิบากแห่งขันธ์ที่เป็นไปแล้วเท่านั้น

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสต์ เมื่อ: 24 มิ.ย. 2015, 03:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
student เขียน:
ขอเชิญทุกท่านร่วมแสดงความเห็นเรื่องผัสสะ
ว่าหลังจากศึกษาปริยัติ หรือปฏิบัติ หรือปฏิเวท
ว่าผัสสะนั้นเป็นเหตุเป็นผลอย่างไร?
อะไรเรียกว่าผัสสะดับลง
หรือเพราะผัสสะมี
เอาตามความเข้าใจตนเองครับผม

ปริยัติ : ผัสสะเป็นการประจวบของอายตนะภายนอก ภายใน และการรู้ว่ารู้กระทบ
ผัสสะอันเป็นเหตุ ผัสสะอันเป็นวิบาก
ผัสสะอันเป็นวิบาก เป็นไปตามเหตุที่กระทำ ตามความรู้ความปรุงแต่งความคิดที่เกิดขึ้น
ผัสสะอันเป็นเหตุ เป็นความรู้กระทบซึ่งเป็นไปตามความคิดความปรุง อันเป็นเหตุให้จิตมีความรู้สึกสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์เป็นไปตามอำนาจของความคิดความปรุง

การดับ : การดับไม่ใช่เป็นการทำลายอายตนะ ไม่ใช่เป็นการปิดกั้นความรู้ทางอายตนะ
แต่เป็นการดับแห่งความคิดความปรุงอันเกิดขึ้นจากอวิชชา และกิเลส ซึ่งก่อให้เกิดผัสสะอันเป็นเหตุแห่งทุกข์

การดับผัสสะจึง เป็นไปได้โดยมรรคปฏิปทา ไม่ใช่การดับโดยวิธีอื่นใด

ปฏิบัติ : คือการเจริญสติ การทำจิตตภาวนาเพื่อให้สติมีกำลัง มีความไว

ปฏิเวท : เป็นผลจากการเจริญสติ การบำเพ็ญมรรค จิตมีความไวต่อความรู้ขณะกระทบ ไม่กระทำความคิดความปรุงที่รู้อยู่เห็นอยู่ขณะกระทบอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์

ผัสสะทั้งหลายจึงเป็นเพียงผัสสะอันเป็นวิบากแห่งขันธ์ที่เป็นไปแล้วเท่านั้น



อนุโมทนาครับ
ไม่รู้นะครับว่าทำไมผมก็มีความเห็นอย่างนี้เช่นกัน

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 24 มิ.ย. 2015, 08:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


อุบายในการละผัสสะ ควรศึกษาพระธรรมคำสอน เกี่ยวกับโยนิโสมนสิการ

ส่วนคำว่า ดับผัสสะ นั้น หมายถึง การดับเหตุปัจจัยที่มีอยู่
ว่าด้วย ผัสสะ ที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด

และที่สำคัญ ควรศึกษาพระธรรมคำสอน ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสไว้ เกี่ยวกับ ผัสสะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 90 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร