วันเวลาปัจจุบัน 26 ส.ค. 2025, 00:00  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 90 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2015, 03:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเชิญทุกท่านร่วมแสดงความเห็นเรื่องผัสสะ
ว่าหลังจากศึกษาปริยัติ หรือปฏิบัติ หรือปฏิเวท
ว่าผัสสะนั้นเป็นเหตุเป็นผลอย่างไร?
อะไรเรียกว่าผัสสะดับลง
หรือเพราะผัสสะมี
เอาตามความเข้าใจตนเองครับผม

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2015, 06:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




9_2pic.gif
9_2pic.gif [ 29.99 KiB | เปิดดู 4146 ครั้ง ]
student เขียน:
ขอเชิญทุกท่านร่วมแสดงความเห็นเรื่องผัสสะ
ว่าหลังจากศึกษาปริยัติ หรือปฎิบัติ หรือปฎิเวท
ว่าผัสสะนั้นเป็นเหตุเป็นผลอย่างไร?
อะไรเรียกว่าผัสสะดับลง
หรือเพราะผัสสะมี
เอาตามความเข้าใจตนเองครับผม


ผัสสะเกิดได้ทั้ง ๖ ทวาร ที่ ตา หู จมูหก เป็นต้น ฉะนั้น ผัสสะ ก็คือ
มีของสามสิ่งมากระทบกัน หรือมาเป็นปัจจัยให้กันแก่กันพร้อมกัน
สิ่งนั้นถ้าเป็นผัสสะทางตา คือ ตา + รูป + จิต = ผัสสะ
ผัสสะทางหู คือ หู + เสียง + จิต = ผัสสะ
ผัสสะทางจมูก คือ จมูก + กลิ่น + จิต = ผัสสะ
ในทวารที่เหลือก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน ผัสสะ เป็นเหตุให้เกิด เวทนา

ตามนัยปฏิจจสมุปบาทผัสสะ ดับลง เวทนาก็ดับลง เวทนาดับลง ตัณหา ก็ดับลง เป็นต้น
มันจะดับกันเป็นทอดๆไป อันนี้ได้แก่สายดับ ถ้าเป็นสายเกิด ผัสสะ เกิดขึ้น เวทนาก็เกิดขึ้น
เวทนาเกิดขึ้น ตัณหาก็เกิดขึ้น (ดูสายปฎิจจสมุปบาท)

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2015, 06:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ขอเชิญทุกท่านร่วมแสดงความเห็นเรื่องผัสสะ
ว่าหลังจากศึกษาปริยัติ หรือปฏิบัติ หรือปฏิเวท
ว่าผัสสะนั้นเป็นเหตุเป็นผลอย่างไร?
อะไรเรียกว่าผัสสะดับลง
หรือเพราะผัสสะมี
เอาตามความเข้าใจตนเองครับผม


ผัสสะคืออะไร ตรงไหน ยังไง เพื่ออะไร
เหมือนจะรู้จัก แต่แยกไม่ออกค่ะ
เช่น :b9:
หูได้ยินเสียงมากระทบ=ผัสสะรึเปล่า

:b43: :b43: ไม่ค่อยรู้เรื่องเลยค่ะ
แต่รอชม^^เพราะได้ยินคำนี้บ่อยๆ


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2015, 07:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


idea เขียน:
อ้างคำพูด:
ขอเชิญทุกท่านร่วมแสดงความเห็นเรื่องผัสสะ
ว่าหลังจากศึกษาปริยัติ หรือปฏิบัติ หรือปฏิเวท
ว่าผัสสะนั้นเป็นเหตุเป็นผลอย่างไร?
อะไรเรียกว่าผัสสะดับลง
หรือเพราะผัสสะมี
เอาตามความเข้าใจตนเองครับผม


ผัสสะคืออะไร ตรงไหน ยังไง เพื่ออะไร
เหมือนจะรู้จัก แต่แยกไม่ออกค่ะ
เช่น :b9:
หูได้ยินเสียงมากระทบ=ผัสสะรึเปล่า

:b43: :b43: ไม่ค่อยรู้เรื่องเลยค่ะ
แต่รอชม^^เพราะได้ยินคำนี้บ่อยๆ


ผัสสะมี ๖ ทาง
ผัสสะทางตา ได้แก่ จักขายตนะ ๑. รูปายตนะ ๑. มนายตนะ ๑. = ผัสสะ
ผัสสะทางหู ได้แก่ โสตายตนะ ๑. สัททายตนะ ๑. มนายตนะ ๑. = ผัสสะ
ผัสสะทางจมูก ได้แก่ ฆานายตนะ ๑. คันทายตนะ ๑. มนายตนะ ๑. = ผัสสะ
ผัสสะที่เหลือก็ทำนองเดียวกัน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2015, 07:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ค่ะ คุณลุงหมาน
แล้วถ้าเราดูทีวี
หูได้ยินเสียง,,พร้อมกับตาเห็นรูป นี่เรียกว่าเกิดผัสสะ
มันต่างกับจิตเกิดดับยังไงคะ


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2015, 08:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


idea เขียน:
:b8: ค่ะ คุณลุงหมาน
แล้วถ้าเราดูทีวี
หูได้ยินเสียง,,พร้อมกับตาเห็นรูป นี่เรียกว่าเกิดผัสสะ
มันต่างกับจิตเกิดดับยังไงคะ

อันนี้ก็ผัสสะ เราจะดูเหมือนว่าเราจะได้เห็นได้ยินไปพร้อมๆกัน ในความเป็นจริงแล้วความเกิดดับ
มันรวดเร็วมากจึงดูเหมือนพร้อมกัน เมื่อตาเห็นรูป หูก็จะไม่ได้ยินเสียง
เมื่อหูได้ยินเสียงตาก็จะไม่เห็นรูป
เมื่อผัสสะเกิด ความยินดีพอไปหรือไม่พอใจก็เกิดขึ้น
จึงเห็นว่า เวทนา ตัณหา อุปาทาน เกิดขึ้น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2015, 09:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.พ. 2015, 21:06
โพสต์: 84

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b1: ตอนเริ่มปฏิบัติผัสสะกระทบไปไม่ถูก รับทุกข์เต็มๆ มันกระเทือนไปถึงไหนๆ ร้อนวูบๆ วาบๆ ดิฉันฝึกรับมือคือ มีคนที่เกลียดเรามากพอเราเดินผ่านเขาจะพูดจาดูถูก หาเรื่อง นินทา ซุบซิบกันต่อหน้าเรา ดิฉันทนไม่ตอบโต้ (ทนนี่ก็ทุกข์นะยังไม่วาง) ตอนหู ตา รับผัสสะจะเช็คดูจิตทันทีว่ากระเทือนมากน้อยแค่ไหนพยายามรู้ทันให้เร็วที่สุด ใช้ตามลมสู้ ครั้วต่อๆไปก็ทำแบบนี้ จะเห็นด้วยตัวเองว่าระดับกระเทือนในใจลดน้อยลงเรื่อยๆ จนรู้สึกไม่รับผัสสะนั้น มองเป็นเรื่องธรรมดาของโลกธรรม พลอยเห็นความชั่วร้ายในจิตของตัวเองที่มีใจส่งความคิดไม่ดีไปหาเขาตอนรับผัสสะ และเกิดความสงสารเขาที่เขาไม่ได้ฝึกเหมือนเราเขาจะทุกข์มากแค่ไหนที่หลงเบียดเบียนเราด้วยวาจา ขนาดเราฝึกแทบตายยังรับทุกข์เต็มๆ :b48:
:b41: ผลจากการรู้ทันผัสสะที่มากระทบ คนที่เบียดเบียนเราเขาก็ค่อยลดระดับความเบียดเบียนลง ตามจิตที่ลดความกระเทือนของเรา จนทุกวันนี้พอเดินผ่านเขาหลบหน้าเราและไม่มีคำพูดไม่ดีให้เราอีกค่ะและดิฉันก็ไม่ลืมที่จะเช็คดูจิต อีกว่าพอใจมั้ย ถ้าพอใจก็ตามรู้ จนระดับความพอใจอยู่ตรงกลาง :b41:


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2015, 13:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ตอนเริ่มปฏิบัติผัสสะกระทบไปไม่ถูก รับทุกข์เต็มๆ มันกระเทือนไปถึงไหนๆ ร้อนวูบๆ วาบๆ ดิฉันฝึกรับมือคือ มีคนที่เกลียดเรามากพอเราเดินผ่านเขาจะพูดจาดูถูก หาเรื่อง นินทา ซุบซิบกันต่อหน้าเรา ดิฉันทนไม่ตอบโต้ (ทนนี่ก็ทุกข์นะยังไม่วาง) ตอนหู ตา รับผัสสะจะเช็คดูจิตทันทีว่ากระเทือนมากน้อยแค่ไหนพยายามรู้ทันให้เร็วที่สุด ใช้ตามลมสู้ ครั้วต่อๆไปก็ทำแบบนี้ จะเห็นด้วยตัวเองว่าระดับกระเทือนในใจลดน้อยลงเรื่อยๆ จนรู้สึกไม่รับผัสสะนั้น มองเป็นเรื่องธรรมดาของโลกธรรม พลอยเห็นความชั่วร้ายในจิตของตัวเองที่มีใจส่งความคิดไม่ดีไปหาเขาตอนรับผัสสะ และเกิดความสงสารเขาที่เขาไม่ได้ฝึกเหมือนเราเขาจะทุกข์มากแค่ไหนที่หลงเบียดเบียนเราด้วยวาจา ขนาดเราฝึกแทบตายยังรับทุกข์เต็มๆ  
 ผลจากการรู้ทันผัสสะที่มากระทบ คนที่เบียดเบียนเราเขาก็ค่อยลดระดับความเบียดเบียนลง ตามจิตที่ลดความกระเทือนของเรา จนทุกวันนี้พอเดินผ่านเขาหลบหน้าเราและไม่มีคำพูดไม่ดีให้เราอีกค่ะและดิฉันก็ไม่ลืมที่จะเช็คดูจิต อีกว่าพอใจมั้ย ถ้าพอใจก็ตามรู้ จนระดับความพอใจอยู่ตรงกลาง 



ออ แบบนี้เองเหรอคะ
พอเข้าใจละ :b27:
ถ้าเป็นแบบคุณสุชาวดีว่า....ไอเดียคิดว่า...พอสอบผ่าน อิอิ^^
เห็นทุกข์ก็รู้ว่าทุกข์ ก็แค่นั้น
มันใช้ความเข้าใจ..ไม่ว่าอะไรจะเกิดเป็นเรื่องธรรมดา
แต่ก็เพียงครึ่งต่อครึ่ง..ที่หยุดอยู่แค่นั้น...
บางทีก็มองเห็นเลยไปถึงความขุ่นมัวของจิต,,พยาบาท
แต่ก็แค่ความกระเพื่อมเลยไปนิด...มันไม่ไปมาก
เช่นเมื่อกระทบ..มีความไม่พอใจ..มันเห็นเข้ามาข้างในว่ามัน..ขุ่นมัว
มองใจตัวเองมากกว่า..
มองเห็นมันก็คลาย...คลายช้าบ้าง..ก็มองไป..เดียวมันก็รู้สึกหน่าย
:b55: แต่ก็มีบางกรณี กระทบปุ๊ป...มันแบบว่า...
ชอบ/ไม่ชอบ,,,จะหยุดหรือจะปรุง
ซึ่งส่วนมากเป็นเรื่องทั่วไป ที่ไม่น่าจะไปสร้างความเดือดร้อนเบียดเบียนใคร
เรื่องแบบนางมารร้าย,,ขี้วีน มันปลุกไม่ขึ้นซะแล้ว อิอิ
ทุกวันนี้..บางทีไอเดียคิดว่า
ไม่มีเรื่องอะไร....ที่จะทำให้เราทุกข์หนัก เกิดขึ้นได้อีกแล้ว
แต่ก็จะติดสุข :b12:
บางทีต้องเตือนตัวเองบ่อย เวลาปล่อยจิตมันปรุงไปเรื่อยๆ หลงนะๆๆๆๆๆ
พอมันหยุด ก็ขำๆ
แต่ก็ไม่จำ เอาใหม่อีก


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2015, 13:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูจิตอย่างเดียวเลยค่ะตอนนี้..เพราะธรรมชาติของขันธ์5 เป็น อนิจจังอยู่แล้ว...อะไรเกิดขึ้นทาง หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ..จะฝึกรู้ตรงที่ใจอย่างเดียว หรือรู้ใน จิตนั่นเอง.. ให้สติสัมปชัญญะรู้ทันผัสสะ..เวลาเกิดเหตุปัจจัย..ทำให้เกิดการกระเพื่อมหรือการไม่ปกติของจิต..ก็จะปรากฏเห็น อาการของ เจตสิกฝ่าย อกุศล ..ก็จะรีบดับทันที..เพราะจะมีตัวรู้ผุดขึ้นมาให้ทันกิเลส..ทีนี้ก็ดับด้วยการโยนิโส..ถ้าฝึกรู้ทันจิตบ่อยๆ..ก็จะทำให้ดับอวิชชาได้..การเกิดขึ้นของปฏิจจสมุปบาท ต้นเหตุของการเกิดทุกข์(สมุทัย) ก็จะสั้นลง.. ทุกวันนี้เห็นว่า ทุกข์ก็ไม่เที่ยง สุขก็ไม่เที่ยง..เลยไม่ค่อยทุกข์..ไปเรื่อยๆ
ไม่ยึดติด..และไม่มีกฏตายตัวว่า ต้องปฏิบัติเคร่งครัด..คือดูจิตอย่างเดียว..สบายๆชิลๆ .ทุกวันนี้เตรียมพร้อมถ้าความตายจะมาถึง..ต้องวัดกันอีกทีตอนตายโน่นแหละค่ะ..ถ้าอวิชชายังมี..


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2015, 16:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
ดูจิตอย่างเดียวเลยค่ะตอนนี้..เพราะธรรมชาติของขันธ์5 เป็น อนิจจังอยู่แล้ว...อะไรเกิดขึ้นทาง หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ..จะฝึกรู้ตรงที่ใจอย่างเดียว หรือรู้ใน จิตนั่นเอง.. ให้สติสัมปชัญญะรู้ทันผัสสะ..เวลาเกิดเหตุปัจจัย..ทำให้เกิดการกระเพื่อมหรือการไม่ปกติของจิต..ก็จะปรากฏเห็น อาการของ เจตสิกฝ่าย อกุศล ..ก็จะรีบดับทันที..เพราะจะมีตัวรู้ผุดขึ้นมาให้ทันกิเลส..ทีนี้ก็ดับด้วยการโยนิโส..ถ้าฝึกรู้ทันจิตบ่อยๆ..ก็จะทำให้ดับอวิชชาได้..การเกิดขึ้นของปฏิจจสมุปบาท ต้นเหตุของการเกิดทุกข์(สมุทัย) ก็จะสั้นลง.. ทุกวันนี้เห็นว่า ทุกข์ก็ไม่เที่ยง สุขก็ไม่เที่ยง..เลยไม่ค่อยทุกข์..ไปเรื่อยๆ
ไม่ยึดติด..และไม่มีกฏตายตัวว่า ต้องปฏิบัติเคร่งครัด..คือดูจิตอย่างเดียว..สบายๆชิลๆ .ทุกวันนี้เตรียมพร้อมถ้าความตายจะมาถึง..ต้องวัดกันอีกทีตอนตายโน่นแหละค่ะ..ถ้าอวิชชายังมี..

พระศาสดากล่าวว่ากายคตาสติอันชนเหล่าใดหลงลืม ชื่อว่าอมตะหลงลืม. บริโภคกายคตาสติชื่อว่าบริโภคอมตะ

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2015, 16:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


เราเกิดขึ้นมาแล้วมีรูปนามมีสฬายตนะแล้วจะดับผัสจะดับกันยังไง มันต้องปิดหูปิดตาปิดจมูกกันหรือเปล่าคงไม่มีใครทำอย่างนั้นกันใช่ไม๊? แล้วทำอย่างไรดี ก็วางเฉยกับสิ่งที่มาสัมผัสด้วยอุเบกขาธรรม ด้วยการมีสติอยู่กับกายใดกายหนึ่ง พระองค์แสดงกายคตาสิด้วย อานาปานสติคือการมีสติอยู่กับลมหายใจ จนกระทำให้ วจีสังขารดับ กายสังขารดับ จิตสังขารดับ. ดั่งที่เคยยกมาให้ดูเรื่องสัญญาเวทยิตนโรธ ทเมื่อสังขารทั้งหลายดับ วิญญานก็ดับ เมื่อวิญญานดับ รูปนามก็ดับ เมื่อสฬายตนะดับ ผัสสะก็ดับ เมื่อผัสสะดับทุกอย่างก็ดับไล่ไปตามสายปฎิจสมุปบาทจนถึงอวิชาดับ ทุกอย่างดับลงการทำสังขารทั้งหลายให้ดับ บวกกับการปฎิบัติที่ผมกระทำถึงคือวจีสังขารและกายสังขารดับไป จึงรู้ว่าผัสสะนั้นดับเป็นอย่างไร เพียงแค่เราเอาจิตอยู่กับลมหายใจเพียงอย่างเดียวก็เข้าถึงสภาวะนี้ได้เมื่อบวกกับปัญญาที่เราได้สะสมสมสุตะและจินตะมานั้นก็เกิดความรู้ตามเป็นภาวนามยปัญญาได้

”ความเข้าไปสงบสังขารเหล่านั้นย่อมเป็นสุข” นั้นหมายถึง ความเข้าไปสงบระงับสังขาร คือความปรุงแต่งทั้งทางใจ (มโนสังขาร) ที่เป็นปัจจัยให้เกิดกิเลส ตัณหา อุปาทาน เป็นความดับกิเลสตัณหาอุปาทาน 1 และทั้งทางกาย (กายสังขาร) กับ ทางวาจา (วจีสังขาร) เป็นความดับสนิทหมดทั้งเบญจขันธ์ คือความแตกกายทำลายขันธ์อีก 1 รวมความว่า “ดับรอบ” ชื่อว่า เสด็จดับขันธ์ (เข้าปรินิพพาน) ด้วย อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ

นี้เป็นความดับสังขารโดยสิ้นเชิง คงแต่ “นิพพานธาตุ” อันเป็น ”วิสังขาร” ที่ไม่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง (อสังขตธรรม) ที่เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน และก็ไม่ปรากฏความเสื่อมสลาย เป็นอมตธรรม จึงไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ และตายอีก

เพราะเหตุนั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ในที่อเนกสถานว่า

“นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ”
พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
(ขุ.ธ.25/25/42)

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2015, 20:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


bigtoo เขียน:
เราเกิดขึ้นมาแล้วมีรูปนามมีสฬายตนะแล้วจะดับผัสจะดับกันยังไง มันต้องปิดหูปิดตาปิดจมูกกันหรือเปล่าคงไม่มีใครทำอย่างนั้นกันใช่ไม๊? แล้วทำอย่างไรดี ก็วางเฉยกับสิ่งที่มาสัมผัสด้วยอุเบกขาธรรม ด้วยการมีสติอยู่กับกายใดกายหนึ่ง พระองค์แสดงกายคตาสิด้วย อานาปานสติคือการมีสติอยู่กับลมหายใจ จนกระทำให้ วจีสังขารดับ กายสังขารดับ จิตสังขารดับ. ดั่งที่เคยยกมาให้ดูเรื่องสัญญาเวทยิตนโรธ ทเมื่อสังขารทั้งหลายดับ วิญญานก็ดับ เมื่อวิญญานดับ รูปนามก็ดับ เมื่อสฬายตนะดับ ผัสสะก็ดับ เมื่อผัสสะดับทุกอย่างก็ดับไล่ไปตามสายปฎิจสมุปบาทจนถึงอวิชาดับ ทุกอย่างดับลงการทำสังขารทั้งหลายให้ดับ บวกกับการปฎิบัติที่ผมกระทำถึงคือวจีสังขารและกายสังขารดับไป จึงรู้ว่าผัสสะนั้นดับเป็นอย่างไร เพียงแค่เราเอาจิตอยู่กับลมหายใจเพียงอย่างเดียวก็เข้าถึงสภาวะนี้ได้เมื่อบวกกับปัญญาที่เราได้สะสมสมสุตะและจินตะมานั้นก็เกิดความรู้ตามเป็นภาวนามยปัญญาได้

”ความเข้าไปสงบสังขารเหล่านั้นย่อมเป็นสุข” นั้นหมายถึง ความเข้าไปสงบระงับสังขาร คือความปรุงแต่งทั้งทางใจ (มโนสังขาร) ที่เป็นปัจจัยให้เกิดกิเลส ตัณหา อุปาทาน เป็นความดับกิเลสตัณหาอุปาทาน 1 และทั้งทางกาย (กายสังขาร) กับ ทางวาจา (วจีสังขาร) เป็นความดับสนิทหมดทั้งเบญจขันธ์ คือความแตกกายทำลายขันธ์อีก 1 รวมความว่า “ดับรอบ” ชื่อว่า เสด็จดับขันธ์ (เข้าปรินิพพาน) ด้วย อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ

นี้เป็นความดับสังขารโดยสิ้นเชิง คงแต่ “นิพพานธาตุ” อันเป็น ”วิสังขาร” ที่ไม่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง (อสังขตธรรม) ที่เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน และก็ไม่ปรากฏความเสื่อมสลาย เป็นอมตธรรม จึงไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ และตายอีก

เพราะเหตุนั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ในที่อเนกสถานว่า

“นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ”
พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
(ขุ.ธ.25/25/42)


ตัวผัสสะก็คือตัวปัจจุบัน ถ้าถึงเวทนาก็เลยลงไถึงใจแล้วตัณหาก็ต้องเกิดขึ้น อุปาทานเข้ายึดทันที
ฉะนั้นเราต้องรู้ทันที่ตรงผัสสะ เพื่อตัดเวทนา เพื่อมิให้ตัณหามาเชื่อมต่อ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2015, 20:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มิ.ย. 2012, 14:54
โพสต์: 2805


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
bigtoo เขียน:
เราเกิดขึ้นมาแล้วมีรูปนามมีสฬายตนะแล้วจะดับผัสจะดับกันยังไง มันต้องปิดหูปิดตาปิดจมูกกันหรือเปล่าคงไม่มีใครทำอย่างนั้นกันใช่ไม๊? แล้วทำอย่างไรดี ก็วางเฉยกับสิ่งที่มาสัมผัสด้วยอุเบกขาธรรม ด้วยการมีสติอยู่กับกายใดกายหนึ่ง พระองค์แสดงกายคตาสิด้วย อานาปานสติคือการมีสติอยู่กับลมหายใจ จนกระทำให้ วจีสังขารดับ กายสังขารดับ จิตสังขารดับ. ดั่งที่เคยยกมาให้ดูเรื่องสัญญาเวทยิตนโรธ ทเมื่อสังขารทั้งหลายดับ วิญญานก็ดับ เมื่อวิญญานดับ รูปนามก็ดับ เมื่อสฬายตนะดับ ผัสสะก็ดับ เมื่อผัสสะดับทุกอย่างก็ดับไล่ไปตามสายปฎิจสมุปบาทจนถึงอวิชาดับ ทุกอย่างดับลงการทำสังขารทั้งหลายให้ดับ บวกกับการปฎิบัติที่ผมกระทำถึงคือวจีสังขารและกายสังขารดับไป จึงรู้ว่าผัสสะนั้นดับเป็นอย่างไร เพียงแค่เราเอาจิตอยู่กับลมหายใจเพียงอย่างเดียวก็เข้าถึงสภาวะนี้ได้เมื่อบวกกับปัญญาที่เราได้สะสมสมสุตะและจินตะมานั้นก็เกิดความรู้ตามเป็นภาวนามยปัญญาได้

”ความเข้าไปสงบสังขารเหล่านั้นย่อมเป็นสุข” นั้นหมายถึง ความเข้าไปสงบระงับสังขาร คือความปรุงแต่งทั้งทางใจ (มโนสังขาร) ที่เป็นปัจจัยให้เกิดกิเลส ตัณหา อุปาทาน เป็นความดับกิเลสตัณหาอุปาทาน 1 และทั้งทางกาย (กายสังขาร) กับ ทางวาจา (วจีสังขาร) เป็นความดับสนิทหมดทั้งเบญจขันธ์ คือความแตกกายทำลายขันธ์อีก 1 รวมความว่า “ดับรอบ” ชื่อว่า เสด็จดับขันธ์ (เข้าปรินิพพาน) ด้วย อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ

นี้เป็นความดับสังขารโดยสิ้นเชิง คงแต่ “นิพพานธาตุ” อันเป็น ”วิสังขาร” ที่ไม่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง (อสังขตธรรม) ที่เมื่อตั้งอยู่ไม่ปรากฏความแปรปรวน และก็ไม่ปรากฏความเสื่อมสลาย เป็นอมตธรรม จึงไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ และตายอีก

เพราะเหตุนั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ในที่อเนกสถานว่า

“นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ”
พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
(ขุ.ธ.25/25/42)


ตัวผัสสะก็คือตัวปัจจุบัน ถ้าถึงเวทนาก็เลยลงไถึงใจแล้วตัณหาก็ต้องเกิดขึ้น อุปาทานเข้ายึดทันที
ฉะนั้นเราต้องรู้ทันที่ตรงผัสสะ เพื่อตัดเวทนา เพื่อมิให้ตัณหามาเชื่อมต่อ

ก็บอกแล้วไงครับว่ารู้ผัสสะก็ได้แค่อุบกขาไม่เข้าไปยินดียินยินร้ายก็ทำได้แค่นั้น แต่ถ้าจะดับผัสสะก็ต้องไปดับที่สังขารทั้งหลายที่สัญญเวทยิตนโรธเลยทำลายอาสวะดั่งพระสูตรที่ยกมาให้ดู


[๓๖๕] พ. ดีละ ดีละ อนุรุทธ ก็เมื่อพวกเธอเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร
ส่งตนไปอยู่อย่างนี้ คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความเป็นพระอริยะ อันยิ่งกว่า
ธรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นเครื่องอยู่สำราญ ที่พวกเธอได้บรรลุแล้ว มีอยู่หรือ?
อ. เพราะเหตุอะไรเล่า จะไม่พึงมี พระพุทธเจ้าข้า ขอประทานพระวโรกาส พวกข้าพระ
องค์หวังอยู่เพียงว่า พวกเราสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร
มีปีติและสุข เกิดแต่วิเวกอยู่ เมื่อพวกข้าพระองค์เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปอยู่
คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความเป็นพระอริยะ อันยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็น
เครื่องอยู่สำราญนี้แล พวกข้าพระองค์ได้บรรลุแล้ว.
พ. ดีละ ดีละ อนุรุทธ ก็คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความเป็นพระ
อริยะ อันยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นเครื่องอยู่สำราญที่พวกเธอได้บรรลุแล้ว เพื่อความก้าวล่วง
เพื่อความระงับ แห่งธรรมเป็นเครื่องอยู่อันนี้ อย่างอื่นมีอยู่หรือ?
อ. เพราะเหตุอะไรเล่า จะไม่พึงมี พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระองค์หวังอยู่เพียงว่า
พวกเราบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจาร
สงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปิติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่ อันนี้ได้แก่คุณวิเศษคือญาณทัสสนะ
อันสามารถกระทำความเป็นพระอริยะ อันยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นเครื่องอยู่สำราญ เพื่อ
ความก้าวล่วง เพื่อความระงับ แห่งธรรมเป็นเครื่องอยู่อันนี้อย่างอื่น.

พ. ดีละ ดีละ อนุรุทธ ก็คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความเป็นพระ
อริยะ ... อย่างอื่นมีอยู่หรือ?
อ. เพราะเหตุอะไรเล่า จะไม่พึงมี พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระองค์หวังอยู่เพียงว่า
พวกเรามีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่
พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข อันนี้ได้แก่
คุณวิเศษ คือญาณทัสสนะ อันสามารถกระทำความเป็นพระอริยะ ... อย่างอื่น.
พ. ดีละ ดีละ อนุรุทธ ก็คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความเป็นพระ
อริยะ ... อย่างอื่นมีอยู่หรือ?
อ. เพราะเหตุอะไรเล่า จะไม่พึงมี พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระองค์หวังอยู่เพียงว่า
พวกเราบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ
ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ อันนี้ได้แก่คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำ
ความเป็นพระอริยะ ... อย่างอื่น.
พ. ดีละ ดีละ อนุรุทธ ก็คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความเป็นพระ
อริยะ อย่างอื่นมีอยู่หรือ?
อ. เพราะเหตุอะไรเล่า จะไม่พึงมี พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระองค์หวังอยู่เพียงว่า
เพราะล่วงเสียซึ่งรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะปฏิฆสัญญาดับไป เพราะไม่ใส่ใจซึ่งนานัตต
สัญญา พวกเราบรรลุอากาสานัญจายตนฌานด้วยพิจารณาว่า อากาศหาที่สุดมิได้ ดังนี้อยู่ อันนี้
ได้แก่คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความเป็นพระอริยะ ... อย่างอื่น.
พ. ดีละ ดีละ อนุรุทธ ก็คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความเป็นพระ
อริยะ ... อย่างอื่นมีอยู่หรือ?
อ. เพราะเหตุอะไรเล่า จะไม่พึงมี พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระองค์หวังอยู่เพียงว่า
เพราะล่วงเสียซึ่งอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง พวกเราบรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน ด้วย
พิจารณาว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้ ดังนี้อยู่ อันนี้ได้แก่คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความความเป็นพระอริยะ อย่างอื่น.
พ. ดีละ ดีละ อนุรุทธ ก็คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความเป็นพระ
อริยะ ... อย่างอื่นมีอยู่หรือ
อ. เพราะเหตุอะไรเล่า จะไม่พึงมี พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระองค์หวังอยู่เพียงว่า
เพราะล่วงเสียงซึ่งวิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง พวกเราบรรลุอากิญจัญญายตนฌาน
ด้วยพิจารณาว่า น้อยหนึ่งไม่มี ดังนี้อยู่ อันนี้ได้แก่คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำ
ความเป็นพระอริยะ ... อย่างอื่น.
พ. ดีละ ดีละ อนุรุทธ ก็คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความเป็นพระ
อริยะ ... อย่างอื่นมีอยู่หรือ?
อ. เพราะเหตุอะไรเล่า จะไม่พึงมี พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระองค์หวังอยู่เพียงว่า
เพราะล่วงเสียซึ่งอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวง พวกเราบรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนญาน
อยู่ อันนี้ได้แก่คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความเป็นพระอริยะ ... อย่างอื่น.
พ. ดีละ ดีละ อนุรุทธ ก็คุณวิเศษคือญาณทัสสนะอันสามารถกระทำความเป็นพระ
อริยะ อันยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์ ซึ่งเป็นเครื่องอยู่สำราญที่พวกเธอได้บรรลุแล้ว เพื่อความก้าวล่วง
เพื่อความระงับ แห่งธรรมเป็นเครื่องอยู่อันนี้ อย่างอื่นมีอยู่หรือ?
อ. เพราะเหตุอะไรเล่า จะไม่พึงมี พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระองค์หวังอยู่เพียงว่า
เพราะล่วงเสียซึ่งเนวสัญญานาสัญญายตนะโดยประการทั้งปวง พวกเราบรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่
เพราะเห็นแม้ด้วยปัญญา อาสวะของท่านผู้นั้นย่อมหมดสิ้นไป อันนี้ได้แก่คุณวิเศษคือญาณทัสสนะ
อันสามารถกระทำความเป็นพระอริยะอันยิ่งกว่าธรรมของมนุษย์
ซึ่งเป็นเครื่องอยู่สำราญอย่างอื่น
เพื่อความก้าวล่วง เพื่อความระงับ แห่งธรรมเป็นเครื่องอยู่อันนี้ ได้บรรลุแล้ว พระพุทธเจ้าข้า
อนึ่ง พวกข้าพระองค์ยังไม่พิจารณาเห็นธรรมเป็นเครื่องอยู่สำราญอย่างอื่น ที่ยิ่งกว่า หรือประณีต
กว่า ธรรมเป็นเครื่องอยู่สำราญอันนี้.
พ. ดีละ ดีละ อนุรุทธ ธรรมเป็นเครื่องอยู่สำราญอย่างอื่น ที่ยิ่งกว่า หรือประณีตกว่า
ธรรมเป็นเครื่องอยู่สำราญอันนี้หามีไม่.
สัญญาเวทยิตนิโรธดับสังขารทั้งหลาย เมื่อดูในสายปฎิจสมุปบาทฝ่ายดับแล้วไล่ลงมาจะเห็นการดับหมดไปจนถึงอวิชาเป็นอรหันต์สิ้นอาสวะได้ตามพระสูตร อรหัถตมรรคจิตเกิดตรงนี้ ถ้าการสิ้นอาสวะสามารถเกิดขึ้นได้ตรงฌานอื่นๆทำไมพระอนุรุทธไม่กล่าวถึงเพียงแต่กล่าวว่าความเป็นอริยะเท่านั้นไม่กล่าวคำว่าอาสวะสิ้นไป แต่มากล่าวตรงฌานสุดท้าย ฝากไว้พิจารณา

.....................................................
อย่าลืมทำกิจในอริยสัจ
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thaidhamma.net


โพสต์ เมื่อ: 20 มิ.ย. 2015, 00:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับกับทุกความเห็น

ความเข้าใจของผมคือ อายตนะภายในกระทบอายตนะภายนอกมีวิญญาณ เกิดผัสสะ

แต่ เพราะอัตตา ทำให้เกิดความเห็นว่า ภาพที่เห็นนั้นเป็นของเรา

เสียงที่ได้ยินนั้นเพราะโสตเรา รสชาตที่ได้รับเพราะประสาทลิ้นเรา กลิ่นที่ได้รับเพราะจมูกเรา

ความสัมผัสต่างๆเพราะกายเรา

และความรู้ตามต่างๆเป็นจิตเรา

ดังนั้นผัสสะที่เกิด จึงไม่พ้นเป็นของเราเพราะความเป็นอัตตาว่าของๆเรา

เมื่อเห็นเป็นอนัตตาแล้ว

ธรรมต่างๆที่ปรากฎจึงเป็นสภาวะธรรม ที่หาเจ้าของที่แท้จริงไม่ได้

ผัสสะจึงเป็นหน้าที่หนึ่งตามสัจจธรรม หากว่าวิปัสสนาญาณหยั่งรู้ที่ลึกลงไปถึงขั้นประหารกิเลส ทุกผัสสะจึงเป็นทุกขัง อนิจจัง อนัตตา

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสต์ เมื่อ: 20 มิ.ย. 2015, 06:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว




IMG_20150611_50129.jpg
IMG_20150611_50129.jpg [ 40.23 KiB | เปิดดู 4003 ครั้ง ]
student เขียน:
ขอเชิญทุกท่านร่วมแสดงความเห็นเรื่องผัสสะ
ว่าหลังจากศึกษาปริยัติ หรือปฏิบัติ หรือปฏิเวท
ว่าผัสสะนั้นเป็นเหตุเป็นผลอย่างไร?
อะไรเรียกว่าผัสสะดับลง
หรือเพราะผัสสะมี
เอาตามความเข้าใจตนเองครับผม

:b12:
ตั้งประเด็นได้ดีนะครับคุณ student
:b4:
ครูบาอาจารย์สอนไว้ว่า ให้สนใจเอาสติปัญญามาสังเกตพิจารณาที่ช่วงต่อของเวทนากับตัณหา จึงจะหักวงปฏิจจสมุปบาทได้ง่ายกว่าช่วงต่อที่อื่นซึ่งแม้แต่สติปัฏฐาน 4 พระบรมศาสดาก็ทรงให้ความสำคัญกับช่วงต่อนี้ดังที่ทรงตรัสสอนว่า

"กาเยกายา , เวทนาสุเวทนา ,จิตเตจิตตา ,ธัมเมธัมมา นุปัสสี วิหารติ"
"อาตาปี สัมปฌาโน สติมา วิเนยยะโลเก อภิชฌา โทมนัสสัง"

เธอพึงเฝ้าพิจารณาเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม อยู่เนืองๆ

มีความเพียรเผากิเลส มีปัญญาและสติ เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความ ยินดี ยินร้าย ใน โลก (คือผัสสะของทวารทั้ง 6)

สังเกตดูให้ดีๆนะครับ มีประเด็นชี้ชัดลงไปที่ ยินดี ยินร้าย อันเป็นผลจากเวทนา

ไม่ใช่ โลก ซึ่งหมายถึงผัสสะหรือการกระทบรู้ของทวารทั้ง 6
s004
แต่ครูบาอาจารย์รุ่นหลังๆต่อมาจำนวนไม่น้อยได้สอนศิษย์ให้เอาสติมาระวังที่ช่วงต่อของผัสสะกับเวทนา อันเป็นเรื่องที่ต้องเน้นสติมากกว่าปัญญา

สติ เป็นเหตุให้เกิดสมาธิ จึงพากันหลบเข้าสมาธิเข้าฌาณไปอยู่เหนือเวทนากันเสียเป็นส่วนมาก ดีอยู่

แต่เป็นการปิดโอกาสของปัญญาที่จะได้มาสังเกต พิจารณา ค้นหาสมุทัยเหตุทุกข์จากความยินดียินร้าย ความเห็นภัยในทุกข์ ความกลัวทุกข์ ความเบื่อหน่ายในทุกข์ ความดิ้นรนเพื่อจะให้พ้นไปเสียจากทุกข์และเหตุทุกข์ ความจางคลายและสลัดคืนเสียซึ่งเหตุทุกข์ จึงเกิดขึ้นได้ยากและเนิ่นช้า
s006
นี่คืออีกมุมมองหนึ่งในเรื่อง ผัสสะ นะครับคุณ student
โปรดพิจารณา
onion
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 90 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร