วันเวลาปัจจุบัน 28 ก.ค. 2025, 05:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2015, 18:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1240

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


 ประวัติและคำสอนหลวงพ่อสด ในด้านที่คุณอาจจะไม่ทราบ

- See more at: http://www.atriumtech.com/cgi-bin/hilig ... IIfbl.dpuf


http://topicstock.pantip.com/religious/ ... 69065.html


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2015, 22:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32:
ทราบ..แล้ว..เปลี่ยน....ว2 ว2...ถึง ..ว5....ทราบ..แล้ว..เปลี่ยน.

ตั้งกะปี 48....ถึงตอนนี้...ปี 58...ทราบแล้วเปลี่ยน...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2015, 10:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1240

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เราเก็บงานที่ทิ้งๆ แล้ว.. ปัญหาที่ไม่มีใครแก้ไขได้ มันก็ได้ประโยชน์ไม่ใช่เหรอ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2015, 13:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าเป็นปี48. กระผมคง...ใบ้กิน...ไม่รู้อะไรเป็นอะไร..แน่ๆ...และคงเชื่อข้อมูล..นี้..ในลักษณะ..ลำเอียงเข้าข้างฝ่ายวิปัสสนา..เพราะดูดีมีเหตุผลรองรับ..

แต่เชื่อมะ..ว่า...ทั้งที่เชื่อวิชชาธรรมกาย..และ..เชื่อข้อมูลของฝ่ายมหาธาตุ...ต่างด็มี..ผิดมีถูก...ด้วยกันทึ้งสองฝ่าย...

ผิดหรือถูก ...ไม่ได้อยู่ที่..วิชชาอะไรที่ไหน...แต่อยู่ที่คน...ที่เข้าข้างตัวเอง...ไม่มีปัญญาเห็นจริง...ครูอาจารย์ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ผิดอะไร...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2015, 17:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1240

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ใครจะเข้าข้างใครก็ช่าง แต่เราไม่แก้ไขอะไรทั้งนั้น คิดตามก็เครียด ปล่อยดับไป ไม่ต้องสนใจอะไร เพราะปัญหาไม่ได้มีไว้ให้แก้ไข ปัญหามีไว้ให้ดับ ดับปัญหาได้ก็พ้นทุกข์แล้ว...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2015, 19:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ดับแบบพรหม..พรหมเขาก็ว่าเขาพ้นทุกข์แล้ว....

มีแต่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า...ที่รู้ยิ่ง...รู้จริง..รู้แจ้ง...ว่าพรหมก็ไม่ได้พ้นทุกข์จริง...ดังที่พระองค์ท่านไปแก้ทิฏฐิของผกาพรหม..

ดับแบบพุทธ..กับ..ดับแบบพรหม...

พรหมเขาจะแยกออกมั้ย...แยกไม่ออกหรอก

จึงต้องมาเทียบกับปริยัติ...ญาณ 9 ญาณ 16...เป็นสภาวะธรรมที่ต้องผ่าน...
ถ้าไม่...ก็ไปแบบพรหม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2015, 15:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1240

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อะไรๆ ก็ดีทั้งนั้นแหละ ดับๆ ไปก่อนเถอะ ขอให้รู้ทันเท่านั้นว่าดับไปตอนต้น กลาง สุด แต่ถ้ายังไม่ได้ ต้น กลาง สุด ก็เป็นการดับแบบโมหะอยู่ ดับด้วยความรู้ไม่ทัน ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ แต่ถ้าดับด้วยความรู้ทันก็ใช้ประโยชน์ได้ แล้วต้องรู้ละเอียดด้วยว่าดับตอนต้น กลาง หรือสุด ตรงนี้แหละจึงเรียกว่าเป็นผู้ตรัสรู้เอง ไม่ต้องถามใคร ...พระพุทธเจ้าบอกไว้ว่า เราสังเกตเพียรเพ่งอยู่ตลอดเวลาเพื่อจะได้รอวันกาลตรัสรู้เท่านันเอง...ทุกอย่างเกิดขึ้นมาเพื่อให้เรารู้ทัน ดับทัน เท่านั้นเอง ไม่มีการถาม ตอบ ชอบ ชัง อะไรทั้งสิ้น เค้าเกิดมาเพื่อดับ ไม่ใช่เกิดมาเพื่อยึด ...ถ้ามีการถาม ตอบ ชอบ ชัง อยู่ ก็ยังยึดอยู่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2015, 18:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ม.ค. 2015, 21:55
โพสต์: 1240

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค

             [๒๐๒] ปัญญาในความต่างวิหารธรรม เป็นวิหารัฏฐญาณ ปัญญาใน ความต่างแห่งสมาบัติ เป็นสมาปัตตัฏฐญาณ ปัญญาในความต่างแห่งวิหาร- *สมาบัติ เป็นวิหารสมาปัตตัฏฐญาณอย่างไร ฯ              พระโยคาวจรพิจารณาเห็นสังขารนิมิตโดยความเป็นภัย มีจิตน้อมไป ในนิพพานอันไม่มีสังขารนิมิต ถูกต้องแล้วซึ่งสังขารนิมิตด้วยญาณ ย่อมพิจารณา เห็นความเสื่อมไป วิหารธรรมนั้นชื่อว่า อนิมิตตวิหาร พิจารณาเห็นตัณหา อันเป็นที่ตั้งโดยความเป็นภัย มีจิตน้อมไปในนิพพานอันไม่มีตัณหาเป็นที่ตั้ง ถูกต้องแล้วซึ่งตัณหาด้วยญาณ ย่อมพิจารณาเห็นความเสื่อมไป วิหารธรรม นั้น ชื่อว่า อัปปณิหิตวิหาร พิจารณาเห็นความถือมั่นว่าตนโดยความเป็นภัย มีจิต น้อมไปในนิพพานอันว่างจากตน ถูกต้องแล้วซึ่งความถือมั่นว่าตนด้วยญาณ ย่อมพิจารณาเห็นความเสื่อมไป วิหารธรรมนั้นชื่อว่า สุญญตวิหาร ฯ              [๒๐๓] พระโยคาวจรพิจารณาเห็นสังขารนิมิตโดยความเป็นภัย มี จิตน้อมไปในนิพพานอันไม่มีสังขารนิมิต เพิกเฉยความเป็นไปแล้ว คำนึงถึง นิพพานอันเป็นที่ดับ ไม่มีสังขารนิมิตแล้วย่อมเข้าสมาบัติ นี้ชื่อว่า อนิมิตตสมาบัติ พิจารณาเห็นตัณหาอันเป็นที่ตั้งโดยความเป็นภัย มีจิตน้อมไปในนิพพานอันไม่มี ตัณหาเป็นที่ตั้ง เพิกเฉยความเป็นไปแล้ว คำนึงถึงนิพพานอันเป็นที่ดับ ไม่มี ตัณหาเป็นที่ตั้ง แล้วย่อมเข้าสมาบัติ นี้ชื่อว่า อัปปณิหิตสมาบัติ พิจารณา เห็นความถือมั่นว่าตนโดยความเป็นภัย มีจิตน้อมไปในนิพพานอันว่างจากตน เพิกเฉยความเป็นไปแล้วคำนึงถึงนิพพานอันเป็นที่ดับ ว่างจากตน แล้วย่อมเข้า สมาบัติ นี้ชื่อว่า สุญญตสมาบัติ ฯ              [๒๐๔] พระโยคาวจรพิจารณาเห็นสังขารนิมิต โดยความเป็นภัย มี จิตน้อมไปในนิพพานอันไม่มีสังขารนิมิต ถูกต้องแล้วๆ ย่อมเห็นความเสื่อม ไป เพิกเฉยความเป็นไปแล้ว คำนึงถึงนิพพานอันเป็นที่ดับ ไม่มีสังขารนิมิต แล้วย่อมเข้าสมาบัติ นี้ชื่อว่า อนิมิตตวิหารสมาบัติ พิจารณาเห็นตัณหาอัน เป็นที่ตั้งโดยความเป็นภัย มีจิตน้อมไปในนิพพานอันไม่มีตัณหาเป็นที่ตั้ง ถูก ต้องแล้วๆ ย่อมเห็นความเสื่อมไป เพิกเฉยความเป็นไปแล้ว คำนึงถึงนิพพาน อันเป็นที่ดับ ไม่มีตัณหาเป็นที่ตั้ง แล้วย่อมเข้าสมาบัติ นี้ชื่อว่า อัปปณิหิต- *วิหารสมาบัติ พิจารณาเห็นความถือมั่นว่าตนโดยความเป็นภัย มีจิตน้อมไปใน นิพพานอันว่างจากตน ถูกต้องแล้วๆ ย่อมเห็นความเสื่อมไป เพิกเฉยความ เป็นไปแล้ว คำนึงถึงนิพพานอันเป็นที่ดับ ว่างจากตน แล้วย่อมเข้าสมาบัติ นี้ชื่อว่า สุญญตวิหารสมาบัติ ฯ              [๒๐๕] พระโยคาวจรพิจารณาเห็นรูปนิมิตโดยความเป็นภัย มีจิต น้อมไปในนิพพานอันไม่มีรูปนิมิต ถูกต้องแล้วๆ ย่อมเห็นความเสื่อมไป วิหารธรรมนี้ชื่อว่า อนิมิตตวิหาร พิจารณาเห็นตัณหาอันเป็นที่ตั้งแห่งรูปโดย ความเป็นภัย มีจิตน้อมไปในนิพพานอันไม่มีที่ตั้ง ถูกต้องแล้วๆ ย่อมเห็น ความเสื่อมไป วิหารธรรม นี้ชื่อว่า อัปปณิหิตวิหาร พิจารณาเห็นความถือ มั่นว่ารูปโดยความเป็นภัย มีจิตน้อมไปในนิพพานอันว่างเปล่า ถูกต้องแล้วๆ ย่อมเห็นความเสื่อมไป วิหารธรรมนี้ชื่อว่า สุญญตวิหาร ฯ              [๒๐๖] พระโยคาวจรพิจารณาเห็นรูปนิมิตโดยความเป็นภัย มีจิต น้อมไปในนิพพานอันไม่มีนิมิต เพิกเฉยความเป็นไปแล้ว คำนึงถึงนิพพานอัน เป็นที่ดับ ไม่มีนิมิต แล้วย่อมเข้าสมาบัติ นี้ชื่อว่า อนิมิตตสมาบัติ พิจารณา เห็นตัณหาอันเป็นที่ตั้งแห่งรูปโดยความเป็นภัย มีจิตน้อมไปในนิพพานอันไม่มี ที่ตั้ง เพิกเฉยความเป็นไปแล้ว คำนึงถึงนิพพานอันเป็นที่ดับ ไม่มีที่ตั้ง แล้ว ย่อมเข้าสมาบัติ นี้ชื่อว่า อัปปณิหิตสมาบัติ พิจารณาเห็นความถือมั่นว่ารูป โดยความเป็นภัย มีจิตน้อมไปในนิพพานอันว่างเปล่า เพิกเฉยความเป็นไป แล้ว คำนึงถึงนิพพานอันเป็นที่ดับ ว่างเปล่าแล้วย่อมเข้าสมาบัติ นี้ชื่อว่า สุญญตสมาบัติ ฯ              [๒๐๗] พระโยคาวจรพิจารณาเห็นรูปนิมิตโดยความเป็นภัย มีจิต น้อมไปในนิพพานอันไม่มีนิมิต ถูกต้องแล้วๆ ย่อมเห็นความเสื่อมไป เพิก เฉยความเป็นไปแล้ว คำนึงถึงนิพพานอันเป็นที่ดับ ไม่มีนิมิต แล้วย่อมเข้า สมาบัติ นี้ชื่อว่า อนิมิตตวิหารสมาบัติ พิจารณาเห็นตัณหาอันเป็นที่ตั้งแห่งรูป โดยความเป็นภัย มีจิตน้อมไปในนิพพานอันไม่มีที่ตั้ง ถูกต้องแล้วๆ ย่อม เห็นความเสื่อมไป เพิกเฉยความเป็นไปแล้ว คำนึงถึงนิพพานอันเป็นที่ดับ ไม่มีที่ตั้ง แล้วย่อมเข้าสมาบัติ นี้ชื่อว่า อัปปณิหิตวิหารสมาบัติ พิจารณา เห็นความถือมั่นว่ารูปโดยความเป็นภัย มีจิตน้อมไปในนิพพานอันว่างเปล่า ถูก ต้องแล้วๆ ย่อมเห็นความเสื่อมไป เพิกเฉยความเป็นไปแล้ว คำนึงถึงนิพพาน อันเป็นที่ดับว่างเปล่าแล้วย่อมเข้าสมาบัติ นี้ชื่อว่า สุญญตวิหารสมาบัติ ฯ              [๒๐๘] พระโยคาวจรพิจารณาเห็นเวทนานิมิต ฯลฯ สัญญานิมิต สังขารนิมิต วิญญาณนิมิต จักษุ ฯลฯ              พระโยคาวจรพิจารณาเห็นชราและมรณะนิมิตโดยความเป็นภัย มีจิต น้อมไปในนิพพานอันไม่มีนิมิต ถูกต้องแล้วๆ ย่อมเห็นความเสื่อมไป วิหาร ธรรมนี้ชื่อว่า อนิมิตตวิหาร พิจารณาเห็นตัณหาอันเป็นที่ตั้งแห่งชราและมรณะ โดยความเป็นภัย มีจิตน้อมไปในนิพพานอันไม่มีที่ตั้ง ถูกต้องแล้วๆ ย่อม เห็นความเสื่อมไป วิหารธรรมนี้ชื่อว่า อัปปณิหิตวิหาร พิจารณาเห็นความถือมั่น ชราและมรณะโดยความเป็นภัย มีจิตน้อมไปในนิพพานอันว่างเปล่า ถูกต้อง แล้วๆ ย่อมเห็นความเสื่อมไป วิหารธรรมนี้ชื่อว่า สุญญตวิหาร ฯ              [๒๐๙] พระโยคาวจรพิจารณาเห็นชราและมรณนิมิตโดยความเป็นภัย มี จิตน้อมไปในนิพพานอันไม่มีนิมิต เพิกเฉยความเป็นไปแล้ว คำนึงถึงนิพพาน อันเป็นที่ดับ ไม่มีนิมิต แล้วย่อมเข้าสมาบัติ นี้ชื่อว่า อนิมิตตสมาบัติ พิจารณาเห็นตัณหาอันเป็นที่ตั้งแห่งชราและมรณะโดยความเป็นภัย มีจิตน้อม ไปในนิพพานอันไม่มีที่ตั้ง เพิกเฉยความเป็นไปแล้ว คำนึงถึงนิพพานอันเป็น ที่ดับ ไม่มีที่ตั้ง แล้วย่อมเข้าสมาบัติ นี้ชื่อว่า อัปปณิหิตสมาบัติ พิจารณา ความถือมั่นและมรณะโดยความเป็นภัย มีจิตน้อมไปในนิพพานอันว่างเปล่า เพิกเฉยความเป็นไปแล้ว คำนึงถึงนิพพานอันเป็นที่ดับ ว่างเปล่า แล้วย่อม เข้าสมาบัติ นี้ชื่อว่า สุญญตสมาบัติ ฯ              [๒๑๐] พระโยคาวจรพิจารณาเห็นชราและมรณนิมิตโดยความเป็นภัย มี จิตน้อมไปในนิพพานอันไม่มีนิมิต ถูกต้องแล้วๆ ย่อมเห็นความเสื่อมไป เพิกเฉยความเป็นไปแล้ว คำนึงถึงนิพพานอันเป็นที่ดับ ไม่มีนิมิต แล้วย่อม เข้าสมาบัติ นี้ชื่อว่า อนิมิตตวิหารสมาบัติ พิจารณาเห็นตัณหาอันเป็นที่ตั้ง แห่งชราและมรณะโดยความเป็นภัย มีจิตน้อมไปในนิพพานอันไม่มีที่ตั้ง ถูก ต้องแล้วๆย่อมเห็นความเสื่อมไป เพิกเฉยความเป็นไปแล้ว คำนึงถึง นิพพานอันเป็นที่ดับ ไม่มีที่ตั้ง แล้วย่อมเข้าสมาบัติ นี้ชื่อว่า อัปปณิหิต- *วิหารสมบัติ พิจารณาเห็นความยึดมั่นชราและมรณะโดยความเป็นภัย มีจิต น้อมไปในนิพพานอันว่างเปล่า ถูกต้องแล้วๆ ย่อมเห็นความเสื่อมไป เพิก เฉยความเป็นไปแล้ว คำนึงถึงนิพพานอันเป็นที่ดับ ว่างเปล่า แล้วย่อมเข้า สมาบัติ นี้ชื่อว่า สุญญตวิหารสมาบัติ อนิมิตตวิหารเป็นอย่างหนึ่ง อัปปณิหิต- *วิหารเป็นอย่างหนึ่ง สุญญตวิหารเป็นอย่างหนึ่ง อนิมิตตสมาบัติเป็นอย่าง หนึ่ง อัปปณิหิตสมาบัติเป็นอย่างหนึ่ง สุญญตสมาบัติเป็นอย่างหนึ่ง อนิมิตตวิหารสมาบัติเป็นอย่างหนึ่ง อัปปณิหิตวิหารสมาบัติเป็นอย่างหนึ่ง สุญญต- *วิหารสมาบัติเป็นอย่างหนึ่ง ฯ              ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในความต่างแห่งวิหารธรรม เป็น วิหารรัฏฐญาณ ปัญญาในความแตกต่างแห่งสมาบัติเป็นสมาปัตตัฏฐญาณ ปัญญา ในความต่างแห่งวิหารสมาบัติ เป็นวิหารสมาปัตตัฏฐญาณ ฯ

ถ้าสอนให้ดับนิมิตก็พ้นทุกข์ ถ้าสอนให้เพ่งนิมิตก็ไม่พ้นทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2015, 19:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


จะคิดดับ..ๆ..ๆ

ก็ไม่ต่าง..จากคำภาวนาว่า..สังขารไม่มี..สังขารไม่มี...หรือ...สัญญาไม่มี..สัญญาไม่มี...
ตายไปก็ไปเป็นอรูปพรหม

แต่...หากคำว่า..สังขารไม่มี...สัญญาไม่มี..เวทนาไม่มี..วิญญาณไม่มี...เกิดจากการพิจารณาจนเห็นจริงว่า..รูป..เวทนา..สัญญา..สังขาร...วิญญาณ...มีเกิดขึ้น..ตั้งอยู่..แล้วดับไป...ไม่มีอยู่จริง...เราไม่มีในขันธ์...ขันธ์ไม่มีในเรา...จึงไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เราจะยึดขันธ์ว่าเป็นเรา...จนอุทานในจิต...รูปไม่มี...เวทนาไม่มี..สัญญาไม่มี...สังขารไม่มี...วิญญาณไม่มี

เมื่อคำว่า..ไม่มี..เป็นบทสรุปจากการพิจารณา...การภาวนาจึงจะเป็นวิปัสสนาภาวนา

แต่หากคำว่า..ไม่มี...หรือ..ดับ..ดับ...ไม่ได้เกิดจากการเห็นจริงจากการพิจารณา...คำว่า..จะคิดดับ..ๆ.หรือ...สัญญาไม่มี..ๆ..ก็เป็นคำภาวนาโน้มนำให้จิตเกาะเป็นสมาธิ...เฉยๆ...และก็อาจเลยเถิดเป็นมิจฉาสมาธิได้ด้วยเช่นกัน..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2015, 20:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.พ. 2015, 21:06
โพสต์: 84

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอนุญาตนะคะ ดิฉันความรุ้น้อยมากทางธรรม เมื่อได้ทำสมาธิเจอปิติสุข
สุขจนตอนไม่ได้ทำสมาธิปืติสุขก็เกิดค่ะ บางทีทั้งวัน พอความทุกช์เข้ามา
ดิฉันรับมือไม่ได้ค่ะ ก็เลยคิดว่ามิจฉาสมาธิ พอมาพิจารณาธรรม คือตัวกิเลศ
ทำให้ลดลงทีละอย่างๆ เรียกว่าวิปัสนาใช่ป่ะคะ นั่นหล่ะค่ะ มันดับทุกข์
ในใจได้ในระดับหนึ่งตามกำลังจิต ตอนนี้ดิฉันเห็นว่าสุขใดไม่เท่าดับทุกข์ได้
ในวิปัสนาค่ะ :b55: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2015, 20:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อาการใกล้เกิดปัญญาครับ

มันมีลำดับอาการของมัน..เริ่มที่

ปราโมทย์...ปีติ..ปัสสัทธิ...สุข...สงบ...(ฝ่ายสมถะ).... สัมมสนญาณ ...นิพพิทาญาณ...วิราคะ..วิมุตติ(ฝ่ายปัญญา)

สุชาวดี เขียน:
ขอนุญาตนะคะ ดิฉันความรุ้น้อยมากทางธรรม เมื่อได้ทำสมาธิเจอปิติสุข
สุขจนตอนไม่ได้ทำสมาธิปืติสุขก็เกิดค่ะ บางทีทั้งวัน พอความทุกช์เข้ามา
ดิฉันรับมือไม่ได้ค่ะ ก็เลยคิดว่ามิจฉาสมาธิ
พอมาพิจารณาธรรม คือตัวกิเลศ
ทำให้ลดลงทีละอย่างๆ เรียกว่าวิปัสนาใช่ป่ะคะ นั่นหล่ะค่ะ มันดับทุกข์
ในใจได้ในระดับหนึ่งตามกำลังจิต ตอนนี้ดิฉันคิดว่าสุขใดไม่เท่าสุขที่ดับ
ในวิปัสนาค่ะ :b55: :b55:


ถ้าติดสมถะ...ไม่ก้าวมาใช้ปัญญา...ก็จะเรียกปราโมทย์...ปีติ..ปัสสัทธิ...สุข...สงบ..มันว่า..วิปัสสนูกิเลส..ทันที

แต่...จะว่าใช้ปัญญาเลย...ไม่มีอาการทางสมถะ..ก่อน...ความคิดความเห็นที่เกิดขึ้น...จะยังเป็นสุตตมยปัญญา...จินตมยปัญญา...ยังไม่เป็นภาวนามยปัญญา..ที่ต้องการ..นะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2015, 20:50 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 15 ก.พ. 2015, 21:06
โพสต์: 84

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: สาธุค่ะ คุณกบนอกกะลา ที่แนะนำ ดิฉันปฎิบัติธรรม
เองที่บ้านไม่มีครูบาอาจารย์ ด้วยขาดโอกาส
คือเวลา เหมือนตาบอดคลำช้างค่ะ s002 s005


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2015, 21:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


แต่ก็เก่งนะครับ...

สุชาวดี เขียน:
ขอนุญาตนะคะ ดิฉันความรุ้น้อยมากทางธรรม เมื่อได้ทำสมาธิเจอปิติสุข
สุขจนตอนไม่ได้ทำสมาธิปืติสุขก็เกิดค่ะ บางทีทั้งวัน พอความทุกช์เข้ามา
ดิฉันรับมือไม่ได้ค่ะ ก็เลยคิดว่ามิจฉาสมาธิ พอมาพิจารณาธรรม คือตัวกิเลศ
ทำให้ลดลงทีละอย่างๆ เรียกว่าวิปัสนาใช่ป่ะคะ นั่นหล่ะค่ะ มันดับทุกข์
ในใจได้ในระดับหนึ่งตามกำลังจิต ตอนนี้ดิฉันเห็นว่าสุขใดไม่เท่าดับทุกข์ได้
ในวิปัสนาค่ะ
:b55: :b55:


ไม่ใช่จะคิดกันได้ง่ายๆ....

หลายๆคนในนี้...ยังติดปีติ..สุข..ของสมถะอยู่เลย..แล้วคิดว่า..นี้ละใช่แล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2015, 21:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 20:13
โพสต์: 709

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ถ้าติดสมถะ...ไม่ก้าวมาใช้ปัญญา...ก็จะเรียกปราโมทย์...ปีติ..ปัสสัทธิ...สุข...สงบ..มันว่า..วิปัสสนูกิเลส..ทันที


:b8: :b8:


:b32: :b32: ... :b9: :b9: ... s005 s005


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2015, 07:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes rolleyes rolleyes


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร