วันเวลาปัจจุบัน 10 ต.ค. 2025, 16:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 09 ธ.ค. 2014, 15:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ย. 2014, 11:55
โพสต์: 123

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
จริงๆแล้ว ผมก็ไม่อาจทราบถึงคำตอบที่แท้จริงได้ เพราะคำตอบตอบที่แท้จริง มันเป็นเรื่องเฉพาะตัวจริงๆ

คำตอบของแต่ละท่าน ที่ตอบมาต่างๆกัน ตามสภาวะปรุงแต่ง ตามปัญญาของแต่ละท่าน ตามประสบการณ์ของแต่ละคน ตามแต่ที่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ละคน ก็ได้คำตอบที่ไม่เหมือนกัน

หากเป็นคำตอบที่ถูกต้องแล้ว มันควรจะเป็นเช่นไรครับ

มันควรจะมีคำตอบแบบเดียวกัน หรือเป็นคำตอบเฉพาะที่รู้ๆได้โดยคนคนนั้นเอง ใช่ไหมครับ

:b8: :b8:


การแสวงหาความจริงนั้น พระพุระองค์ก็แนะนำไว้ให้ในเรื่องการปฏิบัติให้ได้สมาธิแล้วเราก็จะค่อยเรียนรู้ความเป็นจริง ตามที่ท่านทรงสอน การรู้เฉยๆแต่ไม่ได้ปฏิบัติ ผลมันก็ไม่เกิด การปฏิบัติธรรมก็เหมือนการเข้าชั้นเรียน ชั้นประถม ไปจนถึงมหาวิทยาลัย เป็นการศึกษาที่ต้องใช้จิตของผู้นั้นศึกษาเอง มีการฝึกงาน การทำรายงาน วิเคราห์ วิจัย การสรุป เหตุผลที่แท้จริง การแก้ไข บางเรื่องก็เกิดวิสัยสามัญชนปกติ ที่มาที่ไปของเหตุที่เป็นผู้มีกรรม ชดใช้กรรม เหตุให้พ้นทุกข์ ผลเป็นความหลุดพ้น บางเรื่องก็เป็นเรื่องเกินวิสัยที่จิตอย่างพวกเราจะเข้าถึง ยิ่งเราอยู่กับครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติมาแล้ว ท่านไม่ได้บอกมาก ท่านไม่ให้รู้ก่อนทำ ท่านให้เราปฏิบัติให้ได้เป็นขั้นๆ เหมือนเด็กในโรงเรียนที่มีความแตกต่างๆ กันในเรื่องของชั้นเรียนสติปัญญา ชั้นนี้พึงสอนให้ปฏิบัติอยู่ตรงนี้ให้ช้ำชองเสียก่อน จึงบอกหัวข้อที่ต้องทำต่อ เหมือนการเดินลด ละ อารมณ์ ลดละกรรม เราไม่สามารถละได้หมดที่เดียว เราก็ค่อยๆ ละไปที่ตัวสองตัว พอแก่กำลังของชีวิตเยี่ยงฆราวาส แล้วยิ่งเป็นเรื่องเกียวกับจิต เจตสิก นิพพาน เราก็หาผู้ที่รู้จริง ทำได้ทำถึงไม่ได้เลย เอาเพียงแค่คำว่าจิต ยังไม่ต้องถึงคำว่าเจตสิกนิพพาน เรารู้จักจิตของเราไหม บางคนก็บอกว่าจิตไม่ใช่ของเรา ก็อยากจะถามว่าแล้วเคยเห็นจิตไหม ที่ตัวเองพูดได้คำว่าจิต ยิ่งคำว่าเจตสิก นิพพานยิ่งไม่เคยเห็น พูดได้เพียงลมปากที่พ่นออกมา จิตจริงๆก็ไม่รู้จัก เจตสิกจริงก็ไม่รู้จัก นิพพานก็ห่างไกล เพราะไม่นำกายวาจาใจมาปฏิบัติ ที่บอกว่าเป็นเหมือนประตูสู่นิพพาน ความรู้ที่เราได้ก็หยุดอยู่แค่ความรู้ที่ได้จากตำรา รู้ไปตามตำราหยุดเพียงแค่สัญญาจำ ใครจำได้มากน้อยก็เอามาอวดกัน แล้วเราจะแสวงหาความจริงกันแบบไหน แลัวรู้ได้โดยสํญญาจำไปทำไมถ้าไม่นำไปปฏิบัติให้เกิดผลแก่ตนเอง

ต้องขออภัยด้วยครับไม่ได้ตั้งใจเขียนให้ใครกระเทือน แต่เป็นทัสนะของผมเอง ผิดถูกก็บอกกล่าวได้ว่า ทัสนะแบบนี้ผิด ไม่มีเหตุผลความเป็นจริงมิได้เป็นเช่นนี้ ก็คงต้องแสวงหาความเป็นจริงกันต่อไป เพราะเริ่มเป็นเรื่องเฉพาะตน หาความเป็นจริงด้วยตัวเอง ปฏิบัติด้วยตัวเองรู้ด้วยตัวเองตามที่ท่านสอนไว้


แก้ไขล่าสุดโดย toy1 เมื่อ 09 ธ.ค. 2014, 16:41, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสต์ เมื่อ: 09 ธ.ค. 2014, 16:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
จริงๆแล้ว ผมก็ไม่อาจทราบถึงคำตอบที่แท้จริงได้ เพราะคำตอบตอบที่แท้จริง มันเป็นเรื่องเฉพาะตัวจริงๆ

คำตอบของแต่ละท่าน ที่ตอบมาต่างๆกัน ตามสภาวะปรุงแต่ง ตามปัญญาของแต่ละท่าน ตามประสบการณ์ของแต่ละคน ตามแต่ที่เคยได้ยินได้ฟังมาแต่ละคน ก็ได้คำตอบที่ไม่เหมือนกัน

หากเป็นคำตอบที่ถูกต้องแล้ว มันควรจะเป็นเช่นไรครับ

มันควรจะมีคำตอบแบบเดียวกัน หรือเป็นคำตอบเฉพาะที่รู้ๆได้โดยคนคนนั้นเอง ใช่ไหมครับ

:b8: :b8:

คำตอบที่ถูกต้อง :
จิต เป็นธรรมชาติประภัสสร
เป็นสภาพรู้
ปรุงแต่งได้ และถูกปรุงแต่งได้

ไม่มีคำตอบอื่นนอกไปจากนี้

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร