วันเวลาปัจจุบัน 13 ต.ค. 2025, 02:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2014, 16:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ธ.ค. 2012, 16:46
โพสต์: 412

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำพูดนี้ เป็นเพียงการพูดเปรียบเปรยไม่ให้ประมาทใช่หรือไม่

คงไม่มีใครทำตามใช่ไหม

โดยธรรมชาติ เราไม่สามารถ บังคับความนึกคิดของเราได้อยู่แล้ว
หากเรานึกถึงความตาย เมื่อมีสติ ความนึกคิดนั้นจะหายไป

จากการคิดวิเคราะห์ พระพุทธองค์ น่าจะหมายถึง

อย่าประมาทเพราะความตายมาถึงเราได้ตลอดเวลา
ให้ภาวนา เจริญสติ ระลึกรู้อยู่ทุกลมหายใจนั่นเอง

ผิดถูกเช่นไร ขอคำชี้แนะด้วยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2014, 17:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2011, 10:18
โพสต์: 590

โฮมเพจ: www.bhuddhakhun.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เหตุใดคนเราจึงกลัวผีรู้มั้ยครับ

นั่นเป็นเพราะคนเราบางครั้งก็ลืมไปว่าต้องตาย

เขาลืมใช้สติพิจารณาว่า ผี ครั้งนึงเขาก็เคยเป็นมนุษย์อย่างพวกเราๆท่านๆ
เพียงแค่พวกเขาตายก่อนเราเท่านั้นเอง และวันนึงพวกเราทั้งหลายก็ต้อง
เป็นผีเหมือนกันกับพวกเขาเหล่านั้น เมื่อคิดแบบนี้ บางคนที่เป็นมนุษย์ธรรมดา
ก็กลัวน้อยลงหรือบางคนก็ไม่กลัวเลย

การนึกถึงความตายทุกลมหายใจคือการปล่อยวาง ซึ่งการปล่อยวางนี้ไม่ได้
หมายความว่าให้ท่านละทิ้งทรัพย์สมบัติพัสถานทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งข้าว
ของเงินทองแล้วออกบวชเเข้าป่าเข้าดอยปลีกตัวออกจากสังคมเลยนะครับ
แต่หมายถึงว่าให้เราปล่อยวางจากการยึดมั่นถือมั่น ทรัพย์สมบัติเงินทอง
ที่เรามี เราใช้เพื่อการดำรงชีวิต หากมีมากก็แบ่งปันผู้อื่นที่ทุกข์ยากลำบากมั่ง

เราใช้เงินทองแต่อย่าให้เงินทองใช้เรา พอเราตายเราก็ปล่อยมันไป อย่าไป
ห่วงหาอาวรณ์ เคยได้ยินเรื่องผีหวงสมบัติมั้ยครับ งกจนตัวตายแล้วก็ต้องกลับ
มาเฝ้าสมบัติให้เป็นทุกข์เพราะยังวางไม่ได้

บางคนงกบุญ ทำบุญใส่บาตรทุกเช้า ทำสังฆทาน กิจวัดไม่เคยขาด แต่เห็นคน
อดข้าว คนลำบาก ไม่ยอมยื่นมือเข้าช่วย แม้แต่ข้าวซักจานให้ผู้อื่นอิ่มท้องยัง
ไม่คิดจะแบ่งปัน คิดแต่ว่าใส่บาตร ถวายเงินเยอะๆ เกิดมาชาติหน้าจะได้รวย
เหมือนเดิม นี่คืองกบุญโดยไม่มองโลกของความเป็นจริง

หากเราคิดว่าทุกสิ่งที่เรามี ไม่เที่ยง สักวันเราก็ต้องจากมันไป ก็จะทำให้เรา
ไม่ยึดมั่นถือมั่น รู้จักแบ่งปันให้ผู้อื่นทุกครั้งที่มีโอกาส

หากคุณได้เป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้แต่เพียงผู้เดียวแล้วจะมี
ประโยชน์อะไรหากซักวันคุณต้องทิ้งทุกสิ่งที่เป็นเจ้าของ(ตายจากไป)

.....................................................
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2014, 01:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
คำพูดนี้ เป็นเพียงการพูดเปรียบเปรยไม่ให้ประมาทใช่หรือไม่

คงไม่มีใครทำตามใช่ไหม

โดยธรรมชาติ เราไม่สามารถ บังคับความนึกคิดของเราได้อยู่แล้ว
หากเรานึกถึงความตาย เมื่อมีสติ ความนึกคิดนั้นจะหายไป

จากการคิดวิเคราะห์ พระพุทธองค์ น่าจะหมายถึง

อย่าประมาทเพราะความตายมาถึงเราได้ตลอดเวลา
ให้ภาวนา เจริญสติ ระลึกรู้อยู่ทุกลมหายใจนั่นเอง

ผิดถูกเช่นไร ขอคำชี้แนะด้วยครับ


ก็จริงอยู่ที่ผัสสะเกิดที่มโนก็จะเกิดความคิดขึ้น แต่พอมีสติที่ลมหายใจมโนก็จะดับไป

ท่านหมายถึง"สังขาร"ในขันธ์5หรือปล่าวครับคือความคิด ไม่ใช่"มโน"ของอายตนะภายใน

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2014, 06:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8601


 ข้อมูลส่วนตัว


เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
คำพูดนี้ เป็นเพียงการพูดเปรียบเปรยไม่ให้ประมาทใช่หรือไม่

คงไม่มีใครทำตามใช่ไหม

โดยธรรมชาติ เราไม่สามารถ บังคับความนึกคิดของเราได้อยู่แล้ว
หากเรานึกถึงความตาย เมื่อมีสติ ความนึกคิดนั้นจะหายไป

จากการคิดวิเคราะห์ พระพุทธองค์ น่าจะหมายถึง

อย่าประมาทเพราะความตายมาถึงเราได้ตลอดเวลา
ให้ภาวนา เจริญสติ ระลึกรู้อยู่ทุกลมหายใจนั่นเอง

ผิดถูกเช่นไร ขอคำชี้แนะด้วยครับ


การนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ของกัมมฐานบทหนึ่ง ในมรณานุสติ คือ
ระลึกถึงความตายเป็นอารมณ์เป็นกัมมัฏฐานชั้นสูงสุด เพราะว่าเมื่อระลึกถึงความตาย
เป็นอารมณ์แล้วก็เป็นการเจริญสติ ที่เรียกว่าเจริญสติปัฏฐาน เมื่อนึกถึงความตายเป็นอารมณ
จิตก็จะสลดสังเวชถอนจากอารมณ์อื่น ๆ ความตายเป็นการดำเนินถึงที่สุดของชีวิตคนเรา
เมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วยังจะมีอะไรเหลืออยู่อีก นอกจากความตายแล้วไม่มีอะไรเหลืออยู่อีก
นอกจากความตายแล้วไม่มีอะไร

สิ่งทั้งปวงที่เกี่ยวข้องพัวพันอยู่นี้ล้วนแล้วแต่เป็นของทิ้งทั้งหมด ถึงไม่อยากทิ้งมันก็ต้องทิ้ง
ไปโดยปริยาย เราตายแล้วมันก็ทอดทิ้งลงทันที จึงว่ามรณสติ นั้นเป็นยอดของกัมมัฏฐาน
ใครจะพิจารณาอะไร ๆ ก็ตามเถิด ถ้าหากพิจารณามรณสติแล้ว จิตยังไม่รวมลงไปได้
ยังไม่เกิดสลดสังเวช ยังไม่ละ ยังไม่ถอน ก็หมดกัมมัฏฐาน ไม่มีอะไรเหลือแล้ว

การระลึกรู้นึกถึงความตายอยู่ตลอดทุกลมหายใจ ก็หมายความว่า
ให้เราเจริญสติอยู่ทุกลมหายใจนั่นเอง โดยเอาความตายมาเป็นอารมณ์กัมมฐาน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2014, 18:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2011, 10:18
โพสต์: 590

โฮมเพจ: www.bhuddhakhun.blogspot.com
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
คำพูดนี้ เป็นเพียงการพูดเปรียบเปรยไม่ให้ประมาทใช่หรือไม่


ใช่ครับ ให้เรามีสติ เพื่อจะได้ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น
ตัวกู ของกู ไม่โลภ โดยรวมๆก็คือไม่ให้ทำบาปนั่นแหล่ะครับ

เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
คงไม่มีใครทำตามใช่ไหม


มีครับ แต่จะตามมากตามน้อย อันนี้แล้วแต่บุคคลครับ หากให้อธิบายหมดคงยาวครับ เคยเห็นมั้ย
บางคนงกสมบัติ กระทั่งตายก็กอดสมบัติไว้ไม่ให้กระเด็นซักบาทเดียว ในขณะที่บางคนปล่อยวาง
บริจาคออกไป ช่วยเหลือผู้อื่นตามที่โอกาสและทรัพย์และกำลังอำนวย บางคนโลภ อยากได้แต่
ของผู้อื่น ในขณะที่บางคนแจกจ่ายให้ผู้อื่น ประมาณนี้ครับ

เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
โดยธรรมชาติ เราไม่สามารถ บังคับความนึกคิดของเราได้อยู่แล้ว
หากเรานึกถึงความตาย เมื่อมีสติ ความนึกคิดนั้นจะหายไป


เราเป็นปุถุชน บางทีก็มีหลุดๆบ้าง แต่ก็รีบดึงสติกลับมาไวๆนะครับ อย่าให้หลุดนาน

เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
จากการคิดวิเคราะห์ พระพุทธองค์ น่าจะหมายถึง

อย่าประมาทเพราะความตายมาถึงเราได้ตลอดเวลา
ให้ภาวนา เจริญสติ ระลึกรู้อยู่ทุกลมหายใจนั่นเอง

ผิดถูกเช่นไร ขอคำชี้แนะด้วยครับ


ใช่ครับ

.....................................................
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2014, 21:20 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เปลี่ยนชื่อใหม่ เขียน:
คำพูดนี้ เป็นเพียงการพูดเปรียบเปรยไม่ให้ประมาทใช่หรือไม่

คงไม่มีใครทำตามใช่ไหม

โดยธรรมชาติ เราไม่สามารถ บังคับความนึกคิดของเราได้อยู่แล้ว
หากเรานึกถึงความตาย เมื่อมีสติ ความนึกคิดนั้นจะหายไป

จากการคิดวิเคราะห์ พระพุทธองค์ น่าจะหมายถึง

อย่าประมาทเพราะความตายมาถึงเราได้ตลอดเวลา
ให้ภาวนา เจริญสติ ระลึกรู้อยู่ทุกลมหายใจนั่นเอง

ผิดถูกเช่นไร ขอคำชี้แนะด้วยครับ


วิเคราะห์...นะครับ

ผมว่า....ทำได้..ครับ

เอาแบบหลักการง่ายๆ..ก่อนนะครับ

ให้ทำสัญญา...ความตาย....ไปผูกติดพ่วงใว้กับ...ลมหายใจ...ว่าถ้า..รู้สึกถึงลมหายใจก็ให้ระลึกรู้ถึงความตายด้วย...คือ...ทำให้ลมหายใจเป็นสัญญลักษณ์ของความตายขึ้นในใจตัวเอง...อะไรทำนองนี้..นะครับ
หลังจากนั้น...พอเห็นลมหายใจ..ก็เห็นความตายไปพร้อมๆกัน....ขั้นนี้...ไม่ต้องใช้การต้องมานึกถึงอีก...มันเป็นญาณไปเลย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2014, 11:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อฝึกปฏิบัติ นึกถึงความตาย ในทุกขณะที่ หายใจเข้า หายใจออก
จนเป็นอุปนิสัยอันเคยชิน แนบแน่นได้แล้ว
ด้วยผลจากการปฏิบัติ เช่นนั้น จิตก็จะระลึกถึงความตายทุกลมหายใจได้เอง ....

ดังนั้น ทำยังไง ....
ก็คือ ....ค่อยๆ ปลูกฝังความเคยชินแก่จิต

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2014, 12:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
"นึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก"

พูดก็ง่าย ทำก็ง่าย สังเกตดีๆ

หายใจเข้าสุด......ตาย......ถ้าไม่หายใจออก

หายใจออกสุด......ตาย.....ถ้าไม่หายใจเข้า

เห็นการหายใจและการสิ้นสุดของลมหายใจ..เป็นสัมมาทิฏฐิ

รู้ความตายระหว่างการหายใจเป็นภาวนามยปัญญา

สังเกตการหายใจ..เป็นสัมมาสังกัปปะ

จิตตั้งมั่นอยู่กับการรู้ลมหายใจ...เป็นสัมมาสมาธิ

สติรู้ทันการหายใจเข้า การสิ้นสุด การหายใจออก ..การสิ้นสุด.ทันปัจจุบันอารมณ์ตลอดเวลา...เป็นสัมมาสติ

การกระทำอยู่อย่างนี้เป็นสัมมากัมมันตะสัมมาอาชีวะ

การพูดย้ำซ้ำทบทวนอยู่แต่เรื่องนี้...เป็นสัมมาวาจา

ครบองค์ของการเจริญมรรค 8 แล้วครับ
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2014, 18:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5392


 ข้อมูลส่วนตัว


การนึกถึงความตายเป็น อนุสติ อย่างที่บางท่านกล่าวมาข้างต้น คือ เป็นการระลึกถึงความตาย แต่ว่า
จิตเราคิดนั่นคิดนี่สามารถทำได้ คือจิตเราเปรียบเหมือนม้า ถ้าเราฝึกม้าตอนแรกม้าก็จะไม่เชื่องบางทีก็ไม่ตรงกับที่เราบังคับ แต่ถ้าเราพยายามฝึกม้าให้เชื่องม้าก็จะเดินทางตามที่เราบังคับได้ จิตก็เช่นเดียวกันตอนแรก บางทีคิดนั่นคิดนี่ซึ่งถ้าเราทำต่อไปเรื่อยๆ ถ้าคิดก็ปล่อยให้คิดเพราะไม่สามารถบังคับบัญชาได้ เพราะการฝึกสมาธิใหม่ๆก็เป็นอย่างนี้ เมื่อใจเป็นสมาธิมากขึ้นการคิดก็จะน้อยลง อย่าเพิ่งไปสนใจกับการคิดถ้าคิดก็ให้สักแต่ว่ารู้ว่ากำลังคิดถ้าเราเอาจิตไปใส่ใจกับความคิดเมื่อไม่ได้ดั่งใจเรานั้นแหละที่เป็นทุกข์เพราะฉะนั้นให้ระลึกถึงความตายเป็นองค์กรรมฐานต่อไปเรื่อยๆ มันจะคิดก็สักแต่ว่ารู้ นี่แหละ ลองพยายามทำไปเรื่อยๆ เพราะอนุสติกรรมฐานมีประโยชน์คือทำให้ไม่เกิดความประมาทในชีวิต ขออนุโมทนาบุญกับกัลยณมิตรด้วยครับ สาธุ.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2014, 18:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5392


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
เมื่อฝึกปฏิบัติ นึกถึงความตาย ในทุกขณะที่ หายใจเข้า หายใจออก
จนเป็นอุปนิสัยอันเคยชิน แนบแน่นได้แล้ว
ด้วยผลจากการปฏิบัติ เช่นนั้น จิตก็จะระลึกถึงความตายทุกลมหายใจได้เอง ....

ดังนั้น ทำยังไง ....
ก็คือ ....ค่อยๆ ปลูกฝังความเคยชินแก่จิต


ขออนุโมทนาสาธุ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2014, 12:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมคิดว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ให้ต้องนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออกหรอกครับ

แต่ทรงต้องการให้รู้สึกต่อความตายให้ได้อย่างใกล้ชิดที่สุดว่าความตายนั้นอยู่ใกล้เรามาก

หายใจเข้าไม่ทันหายใจออกก็อาจตายได้ หายใจออกไม่ทันหายใจเข้าก็อาจตายได้

เช่นในพระสูตรที่พระองค์ทรงถามหมู่ภิกษุว่าแต่ละคนรู้สึกต่อเรื่องความตายอย่างไร

ท่านแรกๆยังตอบได้ไกลจากตัวและประมาทอยู่ คือเข้าใจว่าเช้ามีชีวิตตกเย็นอาจตายได้

เย็นมีชีวิตเช้าอาจตายก็ได้ ภิกษุท่านต่อมาที่ตอบก็ยังรู้สึกและเข้าใจเรื่องความตายได้ไกลตัวอยู่

จนถึง2รูปสุดท้ายที่ตอบได้ใกล้ชิดที่สุดว่าความตายมันอยู่แค่ปลายจมูกเอง

พระองค์จึงสรรเสริญพระที่รู้สึกต่อเรื่องความตายอย่างนี้ว่าเป็นผู้ไม่ประมาทที่เลิศกว่าท่านอื่นๆ

ในพระสูตรนี้จึงไม่ได้หมายความว่าพระต้องนั่งนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก

แต่พระต้องรู้สึกต่อความตายให้ใกล้ชิดว่าตนพร้อมจะตายเสมอในทุกการเข้าออกของลม

ถ้าเข้าใจต่อความตายอย่างนี้ประจำใจเขาก็จะไม่ประมาทต่อชีวิตได้อย่างดีที่สุดครับ

:b1: :b1: :b1:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร