วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 23:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2014, 07:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


ใจไม่เคยว่างจากการปรุงแต่ง คราวใดที่กิเลสเกิดขึ้น คราวนั้นกุศลก็ว่าง
คราวใดกุศลเกิดขึ้น คราวนั้นกิเลสตัณหาก็ว่าง
ถ้าทำใจให้ว่างจริงต้องว่างจากกิเลสตัณหาเท่านั้นพอ ต่อจากนั้น
ก็จะเป็นหน้าที่ของกุศลเขาจะเกิดขึ้นมาทำงานของเอง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2014, 09:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ก.พ. 2010, 16:34
โพสต์: 1050

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมาน เขียน:
ถ้าทำใจให้ว่างจริงต้องว่างจากกิเลสตัณหาเท่านั้นพอ ต่อจากนั้น
ก็จะเป็นหน้าที่ของกุศลเขาจะเกิดขึ้นมาทำงานของเอง
อนุโมทนาครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2014, 09:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ย. 2014, 11:55
โพสต์: 123

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สว้สดีครับ ลุงหมาน

ที่ลุงหมาน บอกว่า ทำใจให้ว่างจริงต้องว่างจากกิเลสตัณหาเท่านั้นพอ ลุงช่วยแนะนำอุบายหรือวิธีปฏืบัติในการทำใจให้ว่างด้วยครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2014, 09:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


toy1 เขียน:
สว้สดีครับ ลุงหมาน

ที่ลุงหมาน บอกว่า ทำใจให้ว่างจริงต้องว่างจากกิเลสตัณหาเท่านั้นพอ ลุงช่วยแนะนำอุบายหรือวิธีปฏืบัติในการทำใจให้ว่างด้วยครับ


เจริญสติที่เรียกที่เรียกว่าเจริญสติปัฏฐาน ๔ เพียงเท่านิ้ก็ว่างจากกิเลสแล้ว
กุศลเหล่าอื่นๆก็จะเกิดขึ้นมาทำงานตามหน้าที่ของเขาเอง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2014, 09:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ย. 2014, 11:55
โพสต์: 123

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องการจะเจริญสติสติปัฏฐาน ๔ ปกติเราอ่านจิตของเราที่่แท้จริงไม่ออก เพราะอารมณ์หรือธรรมารมณ์ทั้งหลายที่กดทับจิตอยู่ บางครั้งก็หลงเอาอารมณ์เป็นจิต เราควรทำอย่างไร


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2014, 10:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


toy1 เขียน:
เรื่องการจะเจริญสติสติปัฏฐาน ๔ ปกติเราอ่านจิตของเราที่่แท้จริงไม่ออก เพราะอารมณ์หรือธรรมารมณ์ทั้งหลายที่กดทับจิตอยู่ บางครั้งก็หลงเอาอารมณ์เป็นจิต เราควรทำอย่างไร


อารมณ์ของสติปัฏฐาน ๔ มีได้ทั้งรูปและนาม เช่น ขณะมีโกรธบ้าง
มีความโลภบ้าง มีความหลง มีความตระหนี่ เหล่านี้เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วก็เป็นนามธรรมด้วยกัน จิตที่เข้าไปรู้ก็เป็นนามธรรม
ฉะนั้นจิตก็คอยเป็นตัวรู้คอยสำเหนียกในขณะอารมณ์ที่กำลังเกิดขึ้นเท่านั้นไม่ต้องไปตัดแปลงแต่งเติมอะไร
เหมือนว่าอารมณ์ทั้งหลายที่มาปรากฏนั้นเป็นผู้แสดงลครให้ดู จิตก็เพียงเป็นผู้ดูลครเฉยๆเท่านั้น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2014, 10:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ย. 2014, 11:55
โพสต์: 123

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โดยปกติของชีวิตของคนเราต้องใช้กายเตลื่อนไหว วิญญาณเคลื่อนไหว ด้วยสิ่งที่รวมตัวก่อขึ้นมา มีการปรุงแต่งด้วยความไม่เที่ยงด้วยอารมณ์นานาชนิด วนเวียนจรมาให้จิตยึดถือ จิตเรานั้นเหมือนสำลี กิเลสอารมณ์นั้นเป็นเหมือนน้ำ สำลีชุ่มน้ำนั้นสำลีก็ยุบตัวหนักเป็นก้อน ยิ่งเป็นน้ำดำด้วยแล้วจึงเป็นการยากที่จะทำให้สำลีนั้นเป็นเหมือนเดิม

บางครั้งการทำจิตเหมือนดูละคร มันก็มีสิ่งที่แนบเนียนแอบเข้ามาปรุงแต่งผู้ดูโดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2014, 17:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ย. 2014, 11:55
โพสต์: 123

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จิตมีกรรม ต้องเป็นผู้รับกรรม กรรมที่่เคยทำไว้ที่ธาตุทั้งสี่เก็บเอาไว้ เมื่อถึงเวลากรรมมาทวง ก็ทำให้ธาตุทั้งสี่แปรปรวน ต้องเป็นผู้รับกรรมด้วยธาตุไม่ปกติ สังขารไม่ปกติ มีกายให้อาศัย แต่ใช้กายไม่ได้ดังปกติ ต้องวิตกกังวลด้วยโรคที่เกิดที่กายตน จิตมีกรรมก็ต้องทุกข์ด้วยเวทนากายเวทนาอารมณ์ จิตของผู้หมดทุกข์ด้วยเรื่องอารมณ์ท่านก็รับทุกข์เวทนากายแต่ไม่มีอารมณ์เข้ามาปรุงแต่งจิต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2018, 07:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8585


 ข้อมูลส่วนตัว


toy1 เขียน:
โดยปกติของชีวิตของคนเราต้องใช้กายเตลื่อนไหว วิญญาณเคลื่อนไหว ด้วยสิ่งที่รวมตัวก่อขึ้นมา มีการปรุงแต่งด้วยความไม่เที่ยงด้วยอารมณ์นานาชนิด วนเวียนจรมาให้จิตยึดถือ จิตเรานั้นเหมือนสำลี กิเลสอารมณ์นั้นเป็นเหมือนน้ำ สำลีชุ่มน้ำนั้นสำลีก็ยุบตัวหนักเป็นก้อน ยิ่งเป็นน้ำดำด้วยแล้วจึงเป็นการยากที่จะทำให้สำลีนั้นเป็นเหมือนเดิม

บางครั้งการทำจิตเหมือนดูละคร มันก็มีสิ่งที่แนบเนียนแอบเข้ามาปรุงแต่งผู้ดูโดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน


โดยปกติชีวิตคนเรามีการเคลื่อนไหว มีเดิน เป็นต้น เป็นไปด้วยอำนาจของ จิตกับธาตุลม
ที่เรียกว่า จิตตชวาโยธาตุ หรือ จิตตชรูป หมายถึง ธาตุลมที่เกิดจากจิต ที่ทำให้มีการเคลื่อนไหว
ของร่างกายไปไหมมาไหนได้ ดังจะเห็นกรณีผู้เป็นอัมพฤกษ์ เช่น เคลื่อนไหวขาไม่ได้
แม้จิตจะมีเจตนาที่อยากให้กายเคลื่อนไหว ร่างกายก็มี แต่ก็เคลื่อนไหวไม่ได้ เพราะขาดธาตุลม
ที่เกิดจากจิต (จิตตชวาโยธาตุ ) จึงเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron