วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 09:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 พ.ย. 2014, 12:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แนวปฏิบัติในองค์ฌานทั้ง ๕
�����
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
วัดบวรนิเวศวิหาร
คัดจากเทปธรรมอบรมจิต ข้อความสมบูรณ์
อณิศร โพธิทองคำ บรรณาธิการ

บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุกๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระผู้มีพระภาค
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจนมัสการพร้อมทั้งพระธรรมพระสงฆ์ ตั้งใจ
ถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรมพระสงฆ์
เป็นสรณะคือที่พึ่ง ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจให้เป็นศีล
ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญาในธรรม
ในการปฏิบัติสมาธินั้น แนวทางปฏิบัติ
ทั่วไป ก็อาศัยแนวทางแห่งองค์ทั้ง ๕ ของปฐมฌาน
คือฌานที่ ๑ อันคำว่า ฌาน นั้นตามศัพท์แปลว่า
ความเพ่ง หมายถึงจิตที่เพ่งแนบแน่น เป็นอัปปนาสมาธิ
คือสมาธิที่แนบแน่น จึงจะเรียกว่าฌานคือความเพ่ง
เป็นความเพ่งของจิตในกรรมฐานอย่างแนบแน่น จึง
จะเรียกว่าฌาน ซึ่งอัปปนาสมาธิ
สมาธิอย่างแนบแน่นอันเรียกว่าฌานนั้น ก็
ยังมีลักษณะของความแนบแน่นเป็นชั้นๆ ขึ้นไป
อัปปนาสมาธิ ปฐมฌาน
สำหรับในชั้นแรกซึ่งเป็นปฐมฌาน
ความเพ่งที่ ๑ นั้น มีองค์ ๕ คือ
๑ วิตก
ความยกจิตขึ้นสู่อารมณ์กรรมฐาน ซึ่งเราแปลกันทั่วไปว่า
ความตรึก แต่ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความตรึกนึกคิดทั่วไป
แต่หมายถึงความตรึกนึกกำหนดในอารมณ์ของกรรมฐาน
เท่านั้น
๒ วิจาร ความตรอง ที่แปลกัน
ทั่วไปว่าความตรอง แต่สำหรับสมาธิหมายถึง
ความประคองจิตไว้ในอารมณ์ของกรรมฐาน คือ
ให้ตรึกนึกกำหนดอยู่จำเพาะอารมณ์ของกรรมฐานเท่า
นั้น ความที่คอยประคองจิตไว้ดั่งนี้เรียกว่าวิจาร
ซึ่งมักแปลกันทั่วไปว่าความตรอง แต่ไม่ได้หมายความ
ถึงความตรองเรื่องอะไรต่ออะไร
๓ ปีติ ความอิ่มใจดูดดื่มใจ
๔ สุข ความสบายกายความสบายใจ
และ
๕ เอกัคคตา
ความที่จิตมีอารมณ์อันเดียว ซึ่งเป็นลักษณะของสมาธิ
โดยตรง เพราะสมาธิโดยตรงนั้นจะต้องมีเอกัคคตา คือ
ความที่จิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว หรือความมีอารมณ์
เป็นอันเดียวกันของจิต เรียกว่าเอกัคคตา
เป็นลักษณะของสมาธิทั่วไป
องค์ฌานทั้ง ๕
องค์ทั้ง ๕ นี้เป็นองค์ของฌาน
ตั้งต้นแต่ปฐมฌานคือฌานที่ ๑ แต่แม้ว่าจิตจะยังไม่
เป็นสมาธิแนบแน่นถึงปฐมฌาน
ในการปฏิบัติสมาธิตั้งแต่เบื้องต้นที่เป็นขั้น
บริกัมมภาวนา การภาวนาเริ่มต้น อุปจารภาวนา
ภาวนาที่จิตเป็นสมาธิใกล้จะแนบแน่น ก็จะ
ต้องอาศัยการปฏิบัติในองค์ฌานทั้ง ๕ นี้ เป็นอันว่าจะ
ต้องมีการอาศัยองค์ฌานทั้ง ๕ นี้ปฏิบัติตั้งแต่
ในเบื้องต้น
คือ ๑ ในการเริ่มปฏิบัติ
ในขั้นบริกัมมภาวนา ก็จะต้องมีวิตก คือ
ความยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ของสมาธิ ดั่งเช่น
จะยกเอาลมหายใจเข้า ลมหายใจเข้าออก
เป็นอารมณ์ของสมาธิ คือเป็นกรรมฐานที่จะปฏิบัติ ก็
ต้องยกจิตมากำหนดอยู่ที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก
ตั้งต้นแต่ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนเอา
ไว้ว่านั่งกายตรง ดำรงสติมั่น จำเพาะหน้า
คือนำสติมาตั้งอยู่จำเพาะลมหายใจเข้าออก
เรียกว่าจำเพาะหน้า เพราะว่าต้องการลมหายใจ
เข้าออกมาเป็นกรรมฐาน ลมหายใจเข้าออกจึง
ได้ถูกยกขึ้นมาไว้จำเพาะหน้า จำเพาะหน้าของจิต
นั้นเอง เหมือนอย่างจิตเป็นบุคคล ก็มีหน้าจับ
อยู่ที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก
ดูอยู่ที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก เห็น
อยู่ที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ด้วยสติคือ
ความกำหนด อาการที่ยกจิตขึ้นสู่ลมหายใจเข้าออก
กำหนดอยู่ด้วยสติ หายใจเข้าก็ให้รู้ หายใจออกก็ให้รู้
ดั่งนี้เรียกว่าวิตกคือความตรึก ต้องใช้วิตกคือ
ความตรึกนี้ ตรึกถึงสมาธิ คือตรึกถึงอารมณ์ของสมาธิ
แต่ไม่ตรึกนึกคิดไปในเรื่องอื่นตั้งแต่ในเริ่มต้น
อันนี้แหละเป็นตัวบริกัมมภาวนา คือการภาวนาที่
เป็นการปฏิบัติเบื้องต้น ต้องมีการกระทำโดยรอบ
ความหมายของคำว่าบริกรรมภาวนา
บริกัมมนั้นตามศัพท์ก็แปลว่ากระทำ
โดยรอบ ก็หมายความว่ากระทำสติ คือ
ความกำหนดลมหายใจนี้โดยรอบ คือว่าทั่วถึง เมื่อไม่
ทั่วถึงก็แปลว่าไม่โดยรอบ ทั่วถึงก็คือว่าลมหายใจเข้าก็
ให้รู้ ลมหายใจออกก็ให้รู้ และซึ่งความทั่วถึงนี้
ท่านอาจารย์จึงได้มีอธิบายดังที่กล่าวแล้ว ว่าหายใจ
เข้านั้นก็เข้าไป ๓ จุด ปลายจมูก
หรือริมฝีปากเบื้องบน อุระคือทรวงอก นาภีที่พองขึ้น
และเมื่อหายใจออกก็ ๓ จุด นาภีที่ยุบลง
อุระคือทรวงอก และก็มาออกที่ปลายจมูก
หรือริมฝีปากเบื้องบน
แปลว่ามีสติกำหนดให้ทั่วถึงดั่งนี้
จึงเรียกว่าบริกัมมที่แปลว่ากระทำไว้โดยรอบ
คือกระทำสติกำหนดลมหายใจเข้าออกทั้งหมดคือ
โดยรอบ
และก็ดังที่ได้กล่าวอธิบายแล้วว่า
เมื่อจิตรวมตัวเข้ามาแล้ว ก็ไม่
ต้องเอาจิตเดินทางดูลมหายใจ เข้าไป ๓ จุด ออก ๓
จุดดั่งกล่าวนี้ เพราะว่าเมื่อนำจิตเดินทาง
เข้าเดินทางออก ตามลมหายใจเข้าลมหายใจออก
อยู่ดั่งนี้ จิตก็ยังไม่เป็นเอกัคคตา คือยังไม่มีอารมณ์
เป็นอันเดียว ยังต้องเดินทางเข้าเดินทางออก
อยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น เมื่อรวมจิตเข้าแล้ว ท่าน
จึงตรัสสอนให้ทิ้งเสีย ๒ จุด เหลือแต่จุดเดียว
ซึ่งบางอาจารย์ก็ได้แนะให้ใช้ริมฝีปากเบื้องบน
หรือปลายจมูกดังกล่าวนั้น อันเป็นที่ๆ
ลมกระทบเมื่อหายใจเข้า กระทบเมื่อหายใจออก
และก็ให้รู้อยู่ตลอด
เอกัคคตา
เมื่อเป็นดั่งนี้แล้วจิตจึงจะมี เอกัคคตา
คือมีอารมณ์เป็นอันเดียว
ซึ่งท่านเปรียบเหมือนช่างกลึง ช่างกลึงนั้นเมื่อกลึงไม้
กลึงสั้นก็รู้ กลึงยาวก็รู้ และก็ดูอยู่ที่จุดเดียวไม่
ต้องไปตามดู ทีแรกนั้นก็จะต้องตามดูสิ่งที่กลึงนั้น
ทั้งหมด แต่เมื่อการกลึงนั้นดำเนินไปด้วยดีแล้ว
ก็กำหนดดูอยู่เพียงจุดเดียวได้
หรือเหมือนอย่างว่าทอผ้า หรือเหมือนอย่างว่านั่งชิงช้า
เมื่อนำเด็กลงนั่งชิงช้า แล้วก็พี่เลี้ยงก็แกว่งชิงช้า
ไกวชิงช้าไปมา ทีแรกก็ดูชิงช้าทั้งหมด ทั้งตรงที่เด็กนั่ง
และทั้งหัวทั้งท้าย แต่เมื่อไกวชิงช้าเข้าที่แล้วก็ไม่
ต้องตามทั้งหมด ดูที่จุดเดียว เช่นว่าดูตรงที่เด็กนั่ง
จะเห็นเด็กแกว่งไปแกว่งมา ไม่
ต้องไปดูหัวดูท้ายของชิงช้า การกำหนดลมหายใจ
เข้าออกก็เช่นเดียวกัน
เพราะฉะนั้น จิตจึงจะมีอารมณ์
เป็นอันเดียว ดั่งนี้ต้องใช้วิตกคือความตรึก
คือยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ด้วยสติ และกำหนดดู
ให้รอบคอบ เรียกว่าเป็น บริกัมม คือการกระทำ
โดยรอบ ซึ่งเป็นภาวนาเบื้องต้นทีแรก
และเมื่อจิตออกไปจากอารมณ์ของสมาธิเช่น
จากลมหายใจเข้าออก ก็ต้องนำจิตเข้ามาด้วยสติ
ในเวลาปฏิบัติทีแรก
เพราะบางคราวนั้น หรือบ่อยๆ เสียด้วย
ในเวลาปฏิบัติทีแรก จิตจะแว่บออกไปข้างนอก ไม่อยู่
ในอารมณ์ของสมาธิ สติตามไม่ทันทีแรก
หลุดออกไปเสียก่อนแล้วจึงได้สติ ก็ต้องมีสติ
เอาสตินำจิตกลับเข้ามาตั้งไว้ใหม่ แล้วก็
ใช้สตินี้เองคอยประคองเอาไว้ คือคอยระมัดระวังที่จะ
ไม่ให้จิตหลุดออกไป ดั่งนี้เรียกว่าวิจารคือความตรอง
คือการที่คอยประคองจิตไว้ให้อยู่ในอารมณ์ของสมาธิ
ต้องมีวิตกและมีวิจารดังกล่าวนี้อยู่ตลอดเวลา สำหรับ
ในขั้น บริกัมมภาวนา การปฏิบัติในเบื้องต้น จิตจึงยัง
ไม่ได้สมาธิในเบื้องต้น แต่เมื่อได้ใช้วิตกวิจารดั่งนี้อยู่
ไม่ขาดแล้วจิตก็จะเริ่มเชื่องคืออยู่ตัวขึ้น กำหนดอยู่
ในอารมณ์ของสมาธิได้ และเมื่อกำหนดอยู่
ในอารมณ์ของสมาธิได้ ก็แสดงว่าจิตใกล้ต่อความ
เป็นสมาธิเข้ามา จึงเรียกอุปจาระสมาธิ สมาธิที่
เป็นอุปจาระ หรืออุปจารคือใกล้ที่จะเป็นตัวสมาธิ
คือที่แนบแน่นเข้ามา และการปฏิบัติ
ในขั้นนี้ก็เรียกว่าอุปจารภาวนาดังที่ได้กล่าวแล้ว
เมื่อจิตเริ่มรวมตัวเข้ามาดั่งนี้แล้ว ก็
จะทิ้งวิตกวิจารไม่ได้ ก็จะต้องมีวิตกวิจาร อัน
เป็นตัวสตินี่เอง ไม่ใช่อื่น คอยยกจิตเอาไว้ กำหนดจิต
อยู่ในอารมณ์ของสมาธินั้น และ
ต้องคอยประคับประคองจิตเอาไว้ ไม่ให้ออกไป
อยู่ตลอดเวลา และเมื่อปฏิบัติดั่งนี้เป็นผลขึ้น ก็จะ
ได้ปีติคือความอิ่มใจจากการปฏิบัตินั้น
อันปีตินี้เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้น
ในอันดับของวิตกวิจาร นับว่าเป็นข้อที่ ๓ และเมื่อได้
ความอิ่มใจ ได้ความดูดดื่มใจในสมาธิที่เริ่มจะมีขึ้น
จิตก็จะสยบอยู่กับสมาธิได้ สยบอยู่
กับอารมณ์ของสมาธิได้ วิตกวิจารนั้นก็จะไม่
ต้องทำงานหนักมาก แต่ก็ต้องมี วิตกวิจารก็จะเบาลง
ได้ แต่ว่าสตินั้นต้องมีอยู่ประจำ
เป็นวิตกวิจารอย่างละเอียด ประคับประคองจิตอยู่ร่วม
กับปีติคือความอิ่มใจ จิตก็จะอยู่ตัวขึ้น
อาลัยของจิต
เพราะว่าในเบื้องต้นนั้น การที่จิตยัง
ไม่ยอมอยู่กับสมาธินั้น เป็นธรรมดาของสามัญชน
ทั้งปวง เพราะว่าจิตนั้นมีปรกติเป็นกามาพจร
คือเที่ยวไปในกาม
คืออารมณ์ที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งหลาย
กามคุณารมณ์จึงเป็นเหมือนอย่างที่อยู่ของจิต ในชั้นที่
เป็นกามาพจรนี้ของสามัญชนทั่วไป จึงได้ตรัสเปรียบ
ไว้ว่าเหมือนอย่างปลาที่มีน้ำเป็นที่อาศัย เรียกว่า อาลัย
อาลัยนั้นก็คือว่าที่อาศัย น้ำ
เป็นอาลัยคือที่อาศัยของปลา จิตที่
เป็นชั้นกามาพจรก็เช่นเดียวกัน มีกามคุณารมณ์
เป็นอาลัยคือเป็นที่อาศัย และอาลัยนี้เองที่
เป็นเครื่องหน่วงจิต หรือดึงจิตที่จะ
ให้ไปสู่กามคุณารมณ์อยู่เสมอ จิตยังได้ปีติคือ
ความดูดดื่มใจ พร้อมทั้งความสุขอยู่ในกามคุณารมณ์
อันเรียกว่าเป็นกามสุข มีความคุ้นเคยอยู่
ในกามคุณารมณ์ อยู่ในกามสุข
เพราะฉะ
นั้นเมื่อยกจิตขึ้นมาสู่อารมณ์ของสมาธิ ซึ่งจิตยังไม่
ได้ปีติพร้อมทั้งไม่ได้สุขอยู่ในสมาธิ สมาธิจึง
เป็นของแห้งแล้ง และจิตเมื่ออยู่กับสมาธิ
เพราะเหตุว่ามีวิตกวิจารนำเข้ามาดั่งนี้ จิตจึงไม่มีปีติ ไม่
ได้ความอิ่มใจอะไร แล้วก็ไม่ได้สุขคือความสบาย จึ่ง
ได้มีอาการที่เป็นความฟุ้งซ่าน เป็นความรำคาญ
แปลว่าไม่ชอบใจ เพราะฉะนั้นจะ
ต้องหลบออกไปสู่กามคุณารมณ์
เหมือนอย่างปลาที่จับขึ้นมาจากน้ำวางไว้บนบก ก็จะ
ต้องดิ้นที่จะไปลงน้ำ ซึ่งเป็นที่อาศัยของปลา
จิตก็เช่นเดียวกัน ก็จะ
ต้องดิ้นรนกวัดแกว่งกระสับกระส่ายไปสู่กามคุณารมณ์
ซึ่งเป็นอาลัย หรือเป็นที่อาศัยของจิตที่
เป็นชั้นกามาพจรดั่งกล่าว ( เริ่ม๑๖๔/๒ ) จนกว่า
จะเริ่มปฏิบัติเป็นขั้นบริกรรมภาวนา
และเมื่อเริ่มมีสติที่มีพลังขึ้น สมาธิที่มีพลังขึ้น
ก็แปลว่าจับจิตเอาไว้พออยู่ หรือว่าดักจิตเอาไว้พออยู่
จะเรียกว่าเป็นการบังคับก็ได้
บังคับจิตเอาไว้พออยู่
ปีติ สุข
พอจิตอยู่ตัวได้บ้าง จิตก็เริ่มได้ปีติ ซึ่ง
เป็นธรรมดา ซึ่งเป็นผลของวิตกวิจารนั้น คือ
ความอิ่มใจ แล้วก็ได้ข้อที่ ๔ คือสุข คือ
ความสบายกายสบายใจต่อไป และเมื่อถึงขั้นนี้
แล้วจิตก็จะเริ่มพอใจในสมาธิ ในอารมณ์ของสมาธิ
เพราะว่าจิตรู้สึกว่าอยู่สบาย จึงลดความฟุ้งซ่าน
ความกระสับกระส่ายคับแค้นใจในสมาธิเสียได้ จิตก็
อยู่ตัวขึ้น อยู่ในเอกัคคตาคืออารมณ์อันเดียวซึ่ง
เป็นตัวสมาธินั้นได้นานขึ้น แต่ยังไม่แน่น
เผลอเมื่อไหร่ก็ยังหลุดออกไปอีก ต้องกลับเข้ามา
ด้วยสติใหม่ แล้วก็จะเริ่มอยู่ได้เป็นพักๆ มากขึ้น ก็
เป็นอุปจารสมาธิ สมาธิที่ใกล้จะ
ได้สมาธิที่แนบแน่นยิ่งขึ้น
เพราะฉะนั้นวิตกวิจารนี้ต้องมี
เป็นเบื้องต้น แล้วก็เมื่อมีวิตกวิจารก็จะ
ได้ผลของวิตกวิจารก็คือปีติคือความอิ่มใจ และก็จะได้
ความสุขคือความสบายกายสบายใจ และเมื่อได้ปีติ
ได้สุขมากเพียงไรจากสมาธิ จิตก็จะอยู่กับสมาธิ
ได้มากเพียงนั้น
และในขั้นนี้เองผู้ปฏิบัติจึงจะรู้สึกว่า
สามารถทำสมาธิได้ และสามารถอยู่กับสมาธิได้
ในทีแรกนั้นจะนั่งสัก ๕ นาที ก็ไม่สามารถจะสงบจิตได้
จะดึงจิตได้ จิตจะดิ้นกวัดแกว่งกระสับกระส่ายไม่หยุด
แต่พอได้ปีติได้สุขคือพอสบายขึ้น สงบขึ้น อิ่มใจขึ้น
จิตก็จะเริ่มอยู่ตัว นั่ง ๑๐ นาทีก็นั่งได้สบาย และเมื่อ
ได้ปีติได้สุขมากขึ้นเพียงใด จะนั่งนานเท่าใดก็นั่งนาน
ได้ โดยที่ไม่รู้สึกเบื่อ ครึ่งชั่วโมงก็ไม่เบื่อ ชั่วโมงหนึ่งก็
ไม่เบื่อ สองชั่วโมงก็ไม่เบื่อ ตามแต่ที่จะมีปีติมีสุข
ในสมาธิเพียงใด
แต่ว่าผู้ปฏิบัตินั้นก็จะต้องรู้ความสมควร
ว่าสมควรที่จะใช้เวลาปฏิบัติสักเท่าไร
หรือว่ามีเวลาที่จะปฏิบัติสักเท่าไร
เช่นว่ามีเวลาปฏิบัติสักครึ่งชั่วโมง ก็ครึ่งชั่วโมง
หนึ่งชั่วโมงก็หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมงก็สองชั่วโมง แล้วก็
ให้กายพักผ่อน เช่นว่าหลับนอนตามที่ร่างกายต้องการ
เพราะว่ามีกิจการที่จะต้องปฏิบัติกระทำเป็นอันมาก ยิ่ง
เป็นฆราวาสก็จะต้องมีอาชีพที่จะต้องปฏิบัติกระทำ ก็
จะต้องจัดเวลาให้พอเหมาะพอดี เมื่อเป็นดั่งนี้แล้วก็
เป็นอันว่าจิตก็จะได้สมาธิด้วย และจะ
ไม่เสียการเสียงานของตนเองด้วย
อุปจาระสมาธิ อัปปนาสมาธิ
และเมื่อจิตมีปีติมีสุขอยู่กับสมาธินานขึ้น
ก็เป็นอุปจาระสมาธิ และเมื่ออุปจาระสมาธินี้มีมากขึ้นๆ
ก็จะเป็นอัปปนาสมาธิต่อไป และการปฏิบัตินั้นก็ชื่อว่า
เป็นการปฏิบัติที่เป็นอุปจารภาวนา และ
เป็นอัปปนาภาวนาไปโดยลำดับ จนถึงปฐมฌานอัน
เป็นขั้นต้น เมื่อเป็นดั่งนี้แล้วจึงจะชื่อว่าเป็นผู้ที่ปฏิบัติ
ได้สมาธิ นับว่าเป็นขั้นที่ ๑ แต่เมื่อยังไม่
ถึงปฐมฌานขั้นที่ ๑ นี้แล้ว การปฏิบัตินั้นก็ยังไม่ชื่อว่า
ได้สมาธิที่เป็นขั้นอัปปนา แต่เมื่อปฏิบัติไปโดยลำดับ
แล้ว ก็ย่อมจะได้จะถึงความเจริญของสมาธิขึ้นไป
โดยลำดับ วันนี้ยุติเท่านี้


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร