วันเวลาปัจจุบัน 03 พ.ค. 2025, 02:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=19



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2014, 23:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว




ทำไมลำไส้ต้องมีแบคทีเรีย.jpg
ทำไมลำไส้ต้องมีแบคทีเรีย.jpg [ 47.66 KiB | เปิดดู 1481 ครั้ง ]
onion onion onion

ความรู้รอบตัวคุณรู้หรือไม่? ทำไมลำไส้ต้องมีแบคทีเรีย

เราสามารถเรียกชื่อแบคทีเรียในลำไส้ได้หลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็น โปรไบโอติก, อาซิโดฟิลัส, บิฟิดัส, ไมโครฟลอรา, แบคทีเรียดี, หรือแบคทีเรียเลว ซึ่งในที่นี้จะขอเรียกว่า แบคทีเรียดี และแบคทีเรียเลว แทนแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ เพื่อง่ายแก่การเข้าใจ

“อาซิโดฟิลัส” และ “บิฟิดัส” เป็นแบคทีเรียหลักสำคัญที่อาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่ ซึ่งมีปริมาณมากที่สุดในบริเวณลำไส้ใหญ่ตอนต้นช่วงขวา และจะมีปริมาณน้อยลงเรื่อย ๆ เมื่อมาถึงลำไส้ใหญ่ส่วนกลาง และน้อยที่สุดในลำไส้ใหญ่ส่วนปลายและแทบไม่เหลือเลยในส่วนใกล้ปากทวาร

ปกติในลำไส้จะมีทั้งแบคทีเรียดีและแบคทีเรียเลว ช่วงแรกเกิดเราจะมีปริมาณแบคทีเรียดีในลำไส้มาก ซึ่งมักจะลดลงไปตามอายุขัยที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับลำไส้ที่สกปรกสะสมมากขึ้น โดยแบคทีเรียดีนี้จะทำหน้าที่เปรียบเสมือนทหารตัวน้อยในร่างกายที่คอยต่อสู้กับเชื้อโรค แบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย ช่วยทำให้ร่างกายมีสุขภาพดี แข็งแรง และยังช่วยป้องกันการเพิ่มปริมาณของแบคทีเรียเลวที่จะแทรกซึมไปตามระบบเลือดและอวัยวะส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ตัวการบ่อเกิดอาการท้องผูก และโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ มากมาย

ในความเป็นจริงด้วยสภาพแวดล้อมที่เป็นมลพิษและการรับประทานอาหารและการใช้ชีวิตที่ย่ำแย่ลง เป็นบ่อเกิดให้ภายในลำไส้ของคนส่วนใหญ่มักเต็มไปด้วยแบคทีเรียเลว โรคมะเร็ง และร่างกายที่เสื่อมถอยของประชากรทั่วโลกเป็นตัวชี้วัดได้ดีสภาวะที่ทำให้แบคทีเรียเลวเพิ่มปริมาณมาก คือ การบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนสารเคมี ยาฆ่าแมลง สารถนอมอาหาร เป็นต้น ดื่มแอลกอฮอล์ รับประทานอาหารที่ผ่านกรรมวิธีความร้อนสูง ไฟเบอร์ต่ำ ใช้ยาจำพวกยาแก้ท้องผูก ยาคุมกำเนิด

สภาวะที่แบคทีเรียดีสามารถเพิ่มปริมาณและทำงานได้ดีคือ มีความเป็นกรดเล็กน้อยที่ pH 5.9 ถึง 6.9 ซึ่งสภาวะนี้ถือเป็นสวรรค์สำหรับแบคทีเรียดีเลยทีเดียว และการที่จะให้ลำไส้มีสภาวะที่ดีแบบนี้ได้เราจำเป็นที่จะต้องดูแลอาหารการกินให้มีไฟเบอร์ไม่ต่ำกว่า 60-80% ในแต่ละมื้อ ดูแลลำไส้ให้สะอาดและมีสุขภาพดีด้วยการรับประทานอาหารเสริมจำพวกโปรไบโอติก หรือล้างพิษด้วยการกิน หรือ Colon Hydrotherapy

อ่านจบแล้วอย่าลืมมาทำให้ลำไส้เต็มไปด้วยทหารที่ดีเพื่อปกป้องร่างกายกันนะคะ

ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก : รู้หรือไม่ จาก Msolution
ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

tongue tongue tongue

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2014, 23:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว




ไม่อยากป่วยต้องเลี่ยง 5 สาเหตุ ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ.jpg
ไม่อยากป่วยต้องเลี่ยง 5 สาเหตุ ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ.jpg [ 31.7 KiB | เปิดดู 1480 ครั้ง ]
:b8: :b8: :b8:

เพื่อสุขภาพเรื่อง ไม่อยากป่วยต้องเลี่ยง 5 สาเหตุ ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ

1. กินของหวานมากเกินไป

การรับประทานของหวานมากเกินไปไม่ใช่แค่เพียงทำให้คุณอ้วนขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ระบบ
ภูมิคุ้มกันของคุณอ่อนแอลงอีกด้วยเพราะมีการศึกษาหนึ่งซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Clinical Nutrition พบว่าการรับประทานน้ำตาล 100 กรัม จะทำให้ความสามารถในการทำลายเชื้อแบคทีเรียของเม็ดเลือดขาวหยุดชะงักไปถึง 5 ชั่วโมงหลังจากการรับประทานน้ำตาล

2. ดื่มน้ำไม่เพียงพอ

เคยสงสัยกันไหมคะว่าทำไมเวลาเราไม่สบายเมื่อไปหาหมอ คุณหมอมักจะบอกให้ดื่มน้ำมาก ๆ นั่นก็เป็นเพราะว่าน้ำจะช่วยชำระล้างสารพิษต่าง ๆ ในร่างกายที่เป็นสาเหตุของโรคภัยไข้เจ็บและถ้าหากเราดื่มน้ำไม่เพียงพอก็จะทำให้สารพิษที่อยู่ในร่างกายตกค้าง ดังนั้นจึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอ ซึ่งโดยปกติคนเราควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6 - 8 แก้ว

3. อ้วนเกินไป

เรามักจะรู้แต่ว่าการมีน้ำหนักมากเกินไปจะส่งผลกระทบต่อหัวใจ สมอง และอวัยวะส่วนอื่น ๆ ได้ แต่จริง ๆ แล้วการมีน้ำหนักมากเกินไปก็ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลงได้เช่นกัน โดยเฉพาะคนที่มีดัชนีมวลกายมากกว่า 40 เพราะน้ำหนักส่วนเกินจะไปทำให้ฮอร์โมนในร่างกายเกิดความไม่สมดุลและส่งผลให้เกิดการอักเสบและความบกพร่องของภูมิคุ้มกันที่ช่วยในการต่อสู้กับการติดเชื้อต่าง ๆ

4. จมูกของคุณแห้งเกินไป

รู้หรือเปล่าคะว่าการที่จมูกของเราแห้งเกินไปก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เราป่วยได้เหมือนกัน เพราะโดยปกติแล้วอาการคัดจมูกและน้ำมูกไหลนั้นเป็นขบวนการในการป้องกันโรคไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ เพราะน้ำมูกที่อยู่ในจมูกเป็นตัวที่คอยดักเชื้อโรคและขจัดเชื้อโรคออกจากร่างกาย และการที่จมูกของคุณแห้งเกินไปก็ทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น ดังนั้นถ้าหากคุณมีอาการจมูกแห้งควรจะหาน้ำเกลือมาล้างจมูกเพื่อให้จมูกชุ่มชื้นอยู่เสมอ และถ้าหากเป็นบ่อยจนเกินไปก็ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยค่ะ

5. ความเครียด

หลายคนคงจะเคยป่วยเป็นไข้หวัดในช่วงใกล้กำหนด ส่งงานชิ้นใหญ่นั่นก็เป็นเพราะว่าเรามีความเครียดมากเกินไป ซึ่งถ้าหากเรามีความเครียดสะสมก็ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันของเราอ่อนแอ และถ้ายิ่งเราเกิดความเครียดในช่วงที่กำลังเป็นไข้หวัดด้วยละก็ อาการก็จะยิ่งหนักกว่าเดิม ดังนั้น อย่าเครียดกันเลยนะคะระบบภูมิคุ้มกันของเรา เปรียบเหมือนปราการด่านสุดท้ายของร่างกาย ก่อนที่เชื้อโรคต่าง ๆ จะเข้าไปทำให้ร่างกายเกิดความผิดปกติ ซึ่งถ้าหากภูมิคุ้มกันอ่อนแอมากเกินไปก็อาจจะทำให้ป่วยได้บ่อยมากขึ้น ซึ่งสามารถสังเกตได้ว่าถ้าคุณเป็นไข้หวัดมากกว่า 3 - 4 ครั้งต่อฤดูกาล นั่นก็แปลว่าภูมิคุ้มกันของคุณอ่อนแอมากแล้วล่ะค่ะ ซึ่งวิธีการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันที่ง่ายที่สุดก็คือการพักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอรวมทั้งเลือกรับประทานอาหารทีมีประโยชน์ต่อร่างกายโดยเฉพาะผักและผลไม้ค่ะสุขภาพไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ ดังนั้นอย่าละเลยเด็ดขาดเพราะเราไม่รู้หรอกว่าการที่สุขภาพอ่อนแอเราจะพบกับโรคภัยอะไรบ้างและความร้ายแรงจะมากแค่ไหนซึ่งคงไม่ใช่เรื่องสนุกแน่ถ้าหากต้องเสียเวลาและเสียเงินไปกับการรักษาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ จริงไหมคะ

ที่มา : เว็บไซต์ ASTV ผู้จัดการออนไลน์
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

onion onion onion

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2014, 23:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว




news_img_117974_2.jpg
news_img_117974_2.jpg [ 43.28 KiB | เปิดดู 1480 ครั้ง ]
cool cool cool

เกร็ดความรู้ สารพัดประโยชน์จาก "ลูกเดือย"

>>> ลูกเดือย และสรรพคุณของลูกเดือย สามารถบำบัดโรคได้เยอะมาก และที่สำคัญชาวจีนต่างยกให้ลูกเดือยนี้เป็นยาอายุวัฒนะอีกชนิดหนึ่งด้วยแหละ แต่ว่า ประโยชน์ของลูกเดือย และ สรรพคุณของลูกเดือย ยังไม่หมดแค่นี้นะค่ะ ถ้าไงแล้ววันนี้เราเข้าไปรู้จักกับ สรรพคุณของลูกเดือย และ ประโยชน์ของลูกเดือย ให้มากขึ้นกันเลยดีกว่านะค่ะ รับรองได้เลยว่าเกร็ดน่ารู้ๆ แบบนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่รักสุขภาพ อย่างแน่นอนค่ะ ว่าแล้วเราก็เข้าไปดูสรรพคุณของลูกเดือยและประโยชน์ของลูกเดือยกันเลยค่ะ

>>> ในตำรายาจีนบอกไว้ว่า ลูกเดือย ซึ่งมีรสจืดนั้นมีฤทธิ์เป็นยาเย็น ช่วยบำรุงกำลัง หล่อลื่นกระเพาะอาหารและลำไส้ บำรุงปอด ม้าม ตับ ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ แก้ไข้ แก้ท้องเสีย แก้ทางเดินหายใจ เหน็บชา แก้ปวดเข่า ปวดข้อ ไขข้ออักเสบ แก้ชักกระตุก บวมน้ำ ปอดอ่อนแอไอเป็นเลือด ฝีที่ลำไส้ แก้อาการ ตกขาวผิดปกติ ช่วยย่อยอาหาร บำรุงเส้นผมและผิวหนัง แก้ร้อนในกระหายน้ำ ลดการเกิดกระ รักษาโรคหูด ลดการ เกิดมะเร็ง เพราะมีสารคอกซีโนไลด์ (coxenolide)ที่มีสรรพคุณในการยับยั้งการเกิดเนื้องอก ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ว่าสารคอกซีโนไลด์ในเมล็ดเดือยมีสรรพคุณในการยับยั้งการเจริญของเนื้องอกและพบว่าสารสกัดด้วยน้ำหรือตัวทำละลายอินทรีย์ จากรากหรือเมล็ดเดือยมีฤทธิ์ทำให้การหมุนเวียนของเลือดที่ผิวหนังดีขึ้นทำให้เส้นผมงอกงามดี

>>> ผลการทดลองการรักษาโรคหูดที่มักจะเป็นเรื้อรังก็ช่วยยืนยันสรรพคุณของลูกเดือย โดยการทดลองในคนไข้ 23 ราย ให้กินลูกเดือย 60 กรัม ต้มรวมกับข้าวรับประทานวันละ 1 ครั้ง ติดต่อกันจนกว่าจะหาย หลังจากกินลูกเดือยติดต่อกัน 7-76 วัน ได้ผลหายขาด 11 ราย อาการดีขึ้น 8 ราย ไม่ได้ผล 6 ราย ซึ่งอาจเป็นเพราะสารจากลูกเดือยมีฤทธิ์ทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ผิวหนังดีขึ้น หรือจากฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกนั่นเอง

>>> เหตุที่ลูกเดือยมีคุณค่าทางอาหารสูง เพราะมีปริมาณโปรตีน 13.84% คาร์โบ-ไฮเดรต 70.65% เยื่อใย 0.23% ไขมัน 5.03% แร่ธาตุต่างๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะฟอสฟอรัสซึ่งช่วยบำรุงกระดูกมีอยู่ในปริมาณสูงรวมทั้งวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตา วิตามินบี 1 และวิตามินบี 2 โดยเฉพาะวิมามินบี 1 มีในปริมาณ มาก (มีมากกว่าข้าวกล้อง) ซึ่งช่วยแก้โรคเหน็บชาด้วย

>>> คุณค่ายังไม่หมดเท่านี้ เพราะลูกเดือยยังมีกรดอะมิโนทุกชนิดที่สูงกว่าความต้องการตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก ยกเว้นเมทไธโอนีนและไลซีน เช่น มีกรดกลูตามิกในปริมาณมากตามด้วยลูซีน, อลานีน, โปรลีน วาลีน, ฟินิลอลานีน, ไอโซลูซีน และอาร์จีนีนลดหลั่นลงมา แถมลูกเดือยยังมีกรดไขมันจำเป็นชนิดที่ไม่อิ่มตัวด้วย เช่น กรดโอเลอิค และกรดลิโนเลอิก รวมแล้วถึง 84% และเป็นกรดไขมันชนิดอิ่มตัว คือ ปาล์มิติ และสเตียริก เพียง 16% เท่านั้น

เห็นมั้ยค่ะว่า ลูกเดือยเป็นอาหารคุณภาพคับเมล็ดจริงๆ เพราะให้ทั้งพลังงาน ไขมัน แร่ธาตุ และกรดที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างยอดเยี่ยม ลูกเดือยจึงเป็นอาหารบำรุงกำลังชั้นดีเหมาะสำหรับคนทุกเพศทุกวัย เด็กๆ ที่รับประทานลูกเดือยเป็นประจำจะช่วยบำรุงม้ามและกระเพาะอาหาร สตรีหลังคลอดควรรับประทานลูกเดือยเพื่อบำรุงเลือด และผู้สูงอายุที่รับประทานลูกเดือยจะช่วยบำรุงการทำงานของไต

เหตุที่ลูกเดือยมีคุณค่าทางโภชนาการสูงดังกล่าวแล้ว คนจีนส่วนใหญ่จึงนิยมนำมาบดผสมข้าวต้มกินทุกวัน นอกจากนี้ลูกเดือยยังนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายชนิดรวมไปถึงทำเป็นอาหารเสริมหรือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอีกด้วยค่ะ ลูกเดือยเป็นธัญพืชที่หาซื้อได้ง่ายมีขายกันทั่วไปใครใคร่รับประทานแบบไหนก็เลือกซื้อหากันตามชอบใจนะค่ะ

แหล่งที่มา : http://www.gigail.com/?p=5495

tongue tongue tongue

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร