วันเวลาปัจจุบัน 27 ก.ค. 2025, 21:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 78 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2014, 05:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8586


 ข้อมูลส่วนตัว


ชื่อว่า
มรรค = อริยมรรค = มัชฌิมาปฏิปทา = มรรค ๘ = ทางดำเนินชีวิตอันประเสริฐ = ทางสายกลาง
เป็นแนวทางดำเนินอันประเสริฐของชีวิตหรือ กาย วาจา ใจ เพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์

อริยมรรค แปลว่า ทางอันประเสริฐ เป็นข้อปฏิบัติที่มีหลักไม่อ่อนแอ จนถึงกับ
ตกอยู่ใต้อำนาจ ความอยากแห่งใจ แต่ก็ไม่แข็งตึงจนถึงกับเป็นการทรมานกายให้เหือด
แห้งจากความสุขทางกาย ที่เรียกว่าสุดโต่ง เพราะฉะนั้นจึงได้เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา คือทางดำเนิน
สายกลาง ไม่หย่อนไม่ตึง แต่พอเหมาะเช่นสายดนตรีที่เทียบเสียงได้ที่แล้ว

คำว่ามรรค แปลว่าทาง ในที่นี้หมายถึงทางเดินของใจ เป็นการเดินจากความทุกข์
ไปสู่ความเป็นอิสระหลุดพ้นจากทุกข์ซึ่งมนุษย์หลงยึดถือและประกอบขึ้นใส่ตนด้วยอำนาจของอวิชชา
มรรคมีองค์แปด คือต้องพร้อมเป็นอันเดียวกันทั้งแปดอย่างดุจเชือกฟั่นแปดเกลียว

องค์มรรคแปดคือ :-
๑. สัมมาทิฏฐิ คือความเข้าใจถูกต้อง = เป็นองค์แห่งปัญญา
๒. สัมมาสังกัปปะ คือความใฝ่ใจถูกต้อง = เป็นองค์แห่งปัญญา
๓. สัมมาวาจา คือการพูดจาถูกต้อง = เป็นองค์แห่งศีล
๔. สัมมากัมมันตะ คือการกระทำถูกต้อง = เป็นองค์แห่งศีล
๕. สัมมาอาชีวะ คือการดำรงชีพถูกต้อง = เป็นองค์แห่งศีล
๖. สัมมาวายามะ คือความพากเพียรถูกต้อง = เป็นองค์แห่งสมาธิ
๗. สัมมาสติ คือการระลึกประจำใจถูกต้อง = เป็นองค์แห่งสมาธิ
๘. สัมมาสมาธิ คือการตั้งใจมั่นถูกต้อง = เป็นองค์แห่งสมาธิ

การปฏิบัติธรรมทุกขั้นตอน รวมลงในมรรคอันประกอบด้วยองค์แปดนี้ เมื่อย่นย่อรวมกัน
ก็ได้แก่ ศีล - สมาธิ - ปัญญา การปฏิบัติธรรม ศีล-สมาธิ-ปัญญา ก็คือการเดินตามมรรค
....
ดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเทศนาธรรมจักรกัปปวัตนสูตรแก่ปัญจวัคคีย์

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2014, 11:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
ที่กบพูดนั้นมันมิใช่การบอกสภาวะแต่เป็นทฤษฎีชี้ทางเข้าไปสัมผัสสภาวะ สภาวธรรมจริงๆบอกเป็นภาษามนุษย์ คำพูดหรือตัวหนังสือไม่ได้ ต้องรู้ตรงที่ใจ เหมือนกับที่อโศกะเคยพูดเป็นตัวอย่างเสมอว่า รสเค็มนั้นอธิบายไม่ได้ แต่วิธีที่จะไปสัมผัสรู้รสเค็มนั้นบอกได้

เหมือนภาวะปกติ กลาง หรือสมดุลย์จริงๆนั้นต้องสัมผัสรู้ที่ใจ

อัตตะกับกามสุขัลลิกานุโยโคนั้น ถ้านิ่งรู้นิ่งสังเกตจิตตนเองให้ดีก็จะรู้และเห็นชัดว่าตอนไหนเป็นอัตตะ ตอนไหนเป็นกามสุขัล...ตอนไหนเป็นกลาง รู้ที่ใจไม่รู้ด้วยคำพูดหรือคิดนึกเอาตามหลักทฤษฎี

ถ้ากบแน่ใจว่าอธิบายสภาวธรรมได้อย่างที่บอกก็ลองอธิบายสิ่งง่ายๆอย่างเช็น รสเค็ม ก่อน

อธิบายให้ฟังหน่อยซิว่า เค็ม มันเป็นยังไง แล้วจึงค่อยมาอธิบาย สภาวะปกติ สมดุลย์หรือเป็นกลาง
s004


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2014, 21:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
:b12:
ที่สุดของมรรค 8 ก็ไปอยู่ที่ปกตินั่นแหละ
อโศกะพูดถึงกลาง ไม่ใช่วิธีทำให้ถึงกลาง กลางจริงๆอยู่ที่ปกติ ซึ่งมีต่ค่าเท่ากับ "สมดุลย์" "พอดี" "กลาง" เป็นสภาวะ เป็นผลปฏิบัติด้วย ไม่ใช่ทฤษฎีอย่างที่กบเข้าใจ
:b17:


เห็นมะ....ว่าอโศกะไม่รู้....
ไม่แปลก..ครับ...ขอให้รู้ว่าเรายังไม่รู้ยังไม่สัมผัส...ไม่ได้แปลกอะไร

ดูคำถามใหม่ให้ดีดี..อโศกะ..
คำถามที่ 1.
กบนอกกะลา เขียน:
.............

ที่ถามนี้....ก็อยากจะให้เห็นว่า...รู้อยู่แล้วว่าสายกลางคือมรรค8 แต่...ขณะปฏิบัติทั้ง..ศีล..ทั้งสมาธิ...ทั้งการโยนิโส....อะไรที่จะเป็นข้อสังเกตว่า..ขณะที่ทำอยู่นั้นนะ...มันยังไม่แฉลบไปทางกามสุขัลลิกานุโยค หรือ...อัตตกิลมถานุโยค....ยังอยู่ตรงกลางไม่ได้ไปไหน


ถ้าอโศกะเคย....ต้องบอกสภาวะได้....ใช่มั้ยอโศกะ...อิอิ

คำถามที่ 2.
กบนอกกะลา เขียน:
.............
นิ่งสังเกต....ของอโศกะ...มีอะไรบ่งชี้ว่า...อาการแบบไหนไม่ได้เข้าไปในกามสุขัลลิกานุโยค...อาการแบบไหนที่แสดงว่า...กำลังถลำไปในกามสุขัลล...เข้าให้แล้ว...ครับผม


ไม่รู้...ก็บอกไม่รู้..ก็ได้ครับ...จะแปลกอะไรถ้าเราไม่รู้สักเรื่อง..ว่ามั้ย?

อีกทีครับว่า...ไม่รู้...ก็บอกไม่รู้..ก็ได้ครับ...จะแปลกอะไรถ้าเราไม่รู้สักเรื่อง..ว่ามั้ย?
อย่ามาแอ๊กแต่...เรื่องรสเค็ม...บอกเป็นตัวหนังสือไม่ได้...อยู่เลย... :b32:
ไม่รู้..ก็ให้รู้ว่าไม่รู้...แล้วรอ....คนรู้เขาแนะนำ...แล้วเอาไปพิจารณา...โดยไม่มีตัวกู..กูเก่ง...กูแน่...ก็จะมีโอกาสรู้ในสิ่งที่ตนยังไม่รู้..ครับ

คุณอโศกะครับ....ถ้าไม่มีอะไรเป็นข้อสังเกต...ละก้อ....หลงลูกเดียวครับ...

พระพุทธองค์ตรัสบอกแล้วทั้งนั้น...ไม่อย่างนั้นสาวกะไปไม่เป็นหรอก....สาวกะคือผู้ตามครับ...

:b9: :b9: :b9:
เห็นอโศกะพูด..พูด...เรื่องนิวรณ์..ไม่เอ่ะใจบ้างหรือ?

นี้ก็ หนึ่งละ....

ยังมีอีกเยอะนะครับ...

ก่อนหน้าโพสต์นี้ก็มีบอกไปแล้วด้วยครับ...นั้นก็หนึ่ง..ละ...ลองอ่านย้อนดูดีดี..ครับอโศกะ

:b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2014, 22:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
บอกสภาวะธรรมอะไรสักอย่างมาให้ฟังก่อนสิ จะได้รู้ว่าใครรู้หรือไม่รู้
:b34:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2014, 23:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
:b9: :b9: :b9:
เห็นอโศกะพูด..พูด...เรื่องนิวรณ์..ไม่เอ่ะใจบ้างหรือ?

นี้ก็ หนึ่งละ....

ยังมีอีกเยอะนะครับ...

ก่อนหน้าโพสต์นี้ก็มีบอกไปแล้วด้วยครับ...นั้นก็หนึ่ง..ละ...ลองอ่านย้อนดูดีดี..ครับอโศกะ

:b12: :b12:

:b32: :b32: :b32:
อ่านยัง....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2014, 23:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อย่ามาแอ๊กแต่...เรื่องรสเค็ม...บอกเป็นตัวหนังสือไม่ได้...อยู่เลย... :b32:
ไม่รู้..ก็ให้รู้ว่าไม่รู้...แล้วรอ....คนรู้เขาแนะนำ...แล้วเอาไปพิจารณา...โดยไม่มีตัวกู..กูเก่ง...กูแน่...ก็จะมีโอกาสรู้ในสิ่งที่ตนยังไม่รู้..ครับ

คุณอโศกะครับ....ถ้าไม่มีอะไรเป็นข้อสังเกต...ละก้อ....หลงลูกเดียวครับ...

:b12: :b12:

:b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2014, 14:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004
ให้ลองบอกสภาวธรรมกบก็บอกได้แค่ว่า "นิวรณ์ 5 ไง"

นั่นมันทฤษฎี หัวข้อทฤษฎีด้วยซ้ำ ยังห่างไกลจากสภาวธรรมมาก

เก่งจริงนึกว่ารู้จริงลองอธิบายสภาวธรรมของนิวรณ์ธรรมสักข้อหนึ่งซิ ดูว่าจะอธิบายเป็นภาษามนุษย์ออกไหม

กุกุจจะ ความหงุดหงิดงุ่นง่านลำคาญ มันเป็นยังไง ลองอธิบายมาให้เข้าใจสภาวะด้วยคำพูด????????

กบเอ๋ย ไอ้ที่เรียน เลียน รู้ ฟังรู้ อ่านรู้หรือคิดรู้ทั้งหมดนั้นนะมันยังไม่ถึงธรรมตัวจริง มันยังไม่เท่ากับสัมผัสรู้หรอกนะ จงอย่าสำคัญตนผิดไป
:b34:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2014, 21:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ให้ลองบอกสภาวธรรมกบก็บอกได้แค่ว่า "นิวรณ์ 5 ไง"

นั่นมันทฤษฎี หัวข้อทฤษฎีด้วยซ้ำ ยังห่างไกลจากสภาวธรรมมาก

เก่งจริงนึกว่ารู้จริงลองอธิบายสภาวธรรมของนิวรณ์ธรรมสักข้อหนึ่งซิ ดูว่าจะอธิบายเป็นภาษามนุษย์ออกไหม

:b34:

:b32: :b32: :b32:
มี....เก่งจริง...ด้วย
:b9: :b9:

อโศกะ...ครับ....อโศกะมีปัญหาในการอ่านให้เข้าใจหรือเปล่า?

กบนอกกะลา เขียน:
เห็นอโศกะพูด..พูด...เรื่องนิวรณ์..ไม่เอ่ะใจบ้างหรือ?

นี้ก็ หนึ่งละ....

ยังมีอีกเยอะนะครับ...

ก่อนหน้าโพสต์นี้ก็มีบอกไปแล้วด้วยครับ...นั้นก็หนึ่ง..ละ...ลองอ่านย้อนดูดีดี..ครับอโศกะ

หนึ่งละ....หมายถึงนอกจากอันนี้ก็ยังมีอันอื่นอีก
ผมว่าหนึ่งละ..ตั้ง2ที :b32: :b32:

อ้างคำพูด:
เก่งจริงนึกว่ารู้จริงลองอธิบายสภาวธรรมของนิวรณ์ธรรมสักข้อหนึ่งซิ ดูว่าจะอธิบายเป็นภาษามนุษย์ออกไหม

อย่ามัวทำเป็นเด็กเล่นขายของอยู่เลย....เรามาเอาสาระจะดีกว่านะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2014, 21:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ลุงหมาน เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ในขณะที่เรากำลังโยนิโสมนสิการธรรมใดๆอยู่......อะไรหรือสภาวะใด...ที่เป็นเครื่องบ่งชี้ว่า...เรากำลังเดินถูกตรงทางสายกลาง...อยู่?


:b8: ธรรมที่เราต้องควรใส่ใจ คือ
ธรรมที่เป็นโพธิปักขิยธรรม ๗ หมวดๆใด หมวดหนึ่ง
ธรรมเหล่านี้ล้วนแล้วเป็นองค์แห่งการตรัสรู้ทั้งสิ้น
พระพุทธองค์จึงกล่าวไว้แล้ว ผิดไปจากนี้คงไม่ใช่ :b8:

:b8:

โพธิปักขิยธรรม37...ธรรมแห่งการตรัสรู้....หากเคร่งเครียดในการปฏิบัติเกินไป....ก็จะเข้าไปใกล้ในส่วนของ..อัตตกิลมถานุโยค ..หากย่อหย่อนเกินไปก็เข้าไปใกล้ในทางของ กามสุขัลลิกานุโยค

หากปฏิบัติถูกส่วน....อยู่ในทางสายกลาง...ภาวะที่พอจะใช้สังเกต..คือ....ในการปฏิบัติในแต่ละข้อในโพธิปักขิยธรรม...ควรจะมีอาการของ....ปราโมทย์...ปิติ....ปัสสัทธิ...สุข...สมาธิ...ฯลฯ..เป็นต้น

เมื่อเราเห็นความจริงตามพระสัทธรรมแม้เพียงได้เริ่มต้น.
ผู้เห็นความจริง....ย่อมอิ่มเอิบ...(ปราโมทย์)....ย่อมยังจิตใจให้ร่าเริง
อิ่มเอมใจ (ปิติ)....กายย่อมสงบระงับ..ใจย่อมสงบระงับ (ปัสสัทธิ)....ใจย่อมเป็นสุข.(สุข)...จิตย่อมอยู่ในอารมณ์เดียว (สมาธิ)...

เมื่อทำบ่อยๆ..(โพธิปักขิยธรรม)....ตรงส่วนทางสายกลาง.เป็นบ่อยๆ.....อารมณ์ใจก็จะพัฒนายิ่งๆขึ้นไปอีก...

....ปราโมทย์...ปิติ....ปัสสัทธิ...สุข...สมาธิ...ฯลฯ
เป็นธรรมของพระพุทธเจ้า..นะครับอโศกะ....ไม่ใช่ของกระผม
เราเป็นแต่เพียงเห็นตาม....เท่านั้น...นะครับอโศกะ....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ต.ค. 2014, 21:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
ให้อธิบายสภาวธรรมก็อธิบายไม่ได้แถมยังเลี่ยงไปเอาเรื่องที่ตนติดยึดมาคุยอีก เรื่องโพธิปักขิยธรรมข้อโพชงค์นั้นนะพูดหลายครั้งแล้ว มันเป็นเพียง 7 ใน 37 ประการเท่านั้น ยึดเอาอยู่แค่นั้นมันก็จะไม่สมดุลย์ ลงกลางไม่ได้หรอก

กลับมาเรื่องปกติ ที่คุยค้างกันไว้จะดีกว่ามั้งเพราะยังไม่ได้ประโยชน์จากเรื่องนี้โดยสมบูรณ์ก็ยังไม่ควรเฉไฉไปเรื่องอื่น

ธรรมะหรือสภาวธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ต้องสัมผัสรู้ที่ใจ ที่คิดเอานั้นมันยังยังไม่ใช่ของจริงถึงได้ท้าทายให้อธิบายจะได้รู้ความจริงว่ามันอธิบายไม่ได้ต้องสัมผัสความจริงและรูด้วยใจเจ้าของเอง

ส่วนเรื่องปกติของสามัญชนทั่วไปนั้นมันเป็นปกติวิสัยที่ไม่ประกอบด้วยศีล เป็นความเคยชินเคยทำจนไม่มีความรู้สึกผิดปกติใดๆเกิดขึ้นในใจเลยใช้คำว่าปกติกันอย่างผิดๆ ตัวอย่างเช่นคนฆ่าไก่ ทำอยู่เป็นอาจิณจนไม่รู้สึกสั่นไหวกลัวบาปกลัวกรรมอะไรฆ่าได้อย่างหน้าตาเฉยแล้วก็พากันบอกว่าเป็นปกติวิสัยของคนฆ่าไก่

ปกติที่เป็นปกติโดยศีลโดยธรรมนั้น มันเป็นความหมดปฏิกิยาทั้งลบและบวก เป็นสูญอยู่ธรรมชาติต่างๆอยู่ตามที่ของมันตามที่มันเป็นไม่ก่อเกิดปฏิกิริยาหรือการสังขารปรุงแต่งอะไร หมดหรือพักกรรมหรือการกระทำไปชั่วขณะ ใจของพระอริยเจ้าทั้งหลายจะอยู่กับปกติตรงนี้เป็นธรรมดา ศีลของท่านจึงบริสุทธิ์หมดจดเสมอ

ปกติอย่างนี้ก็ต้องสัมผัสรู้ที่ใจของใครของเขาเล่าให้กันรู้ได้ยาก
:b36:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2014, 07:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
....
อัตตะกับกามสุขัลลิกานุโยโคนั้น ถ้านิ่งรู้นิ่งสังเกตจิตตนเองให้ดีก็จะรู้และเห็นชัดว่าตอนไหนเป็นอัตตะ ตอนไหนเป็นกามสุขัล...ตอนไหนเป็นกลาง รู้ที่ใจไม่รู้ด้วยคำพูดหรือคิดนึกเอาตามหลักทฤษฎี
....

พวกเจ้าเข้าทรงหลอกลวงชาวบ้านก็มักพูดทำนองนี้เหมือนกัน....รู้ที่ใจไม่รู้ด้วยคำพูดหรือคิดนึก....ชาวบ้านก็ทึ่งกันเสียไม่มีกับคำพูดเท่ๆ..นี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2014, 08:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

ให้อธิบายสภาวธรรมก็อธิบายไม่ได้แถมยังเลี่ยงไปเอาเรื่องที่ตนติดยึดมาคุยอีก เรื่องโพธิปักขิยธรรมข้อโพชงค์นั้นนะพูดหลายครั้งแล้ว มันเป็นเพียง 7 ใน 37 ประการเท่านั้น ยึดเอาอยู่แค่นั้นมันก็จะไม่สมดุลย์ ลงกลางไม่ได้หรอก


ไม่แปลกที่อโศกะ....จะคิดอย่างนี้...จะพูดอย่างนี้...พอเห็นว่าคล้ายโพชฌงค์แล้วก็...ก็ทึกทักทันที....อันนี้ก็ไม่ผิด...เพราะโพชฌงค์ก็อยู่ในมรรคเป็นทางสายกลางจริงๆๆนั้นแหละ....แต่สภาวะลำดับที่เกิด..ปราโมทย..ปิติ..ปัสสัทธิ...สุข..สงบ..ฯลฯ...นี้พระพุทธองค์แจกแจงโดยละเอียดแยกออกมาอีกต่างหาก

อย่างนี้ผมจะอนุมานได้มั้ยว่า...อโศกะไม่เคยสัมผัสธรรมสายกลางของพระพุทธองค์...เพราะถ้าคนที่เคยสัมผัสจริงจากการปฏิบัติ....พูดแค่...ปราโมทย์..ปิติ...ปัสสัทธิ..สุข..สงบ..ฯลฯ..แค่นี้เขาก็ร้อง...อ่อ...กันแล้ว

ถัดจากสงบ....ก็จะมีอาการ...รู้เห็นตามความเป็นจริง...ประจักษ์แก่ใจว่า...มีแต่เกิด..มีแต่ดับ...ไม่มีอะไรเที่ยงแท้...หาความมีอยู่จริงไม่ได้เลย

ก็เมื่อเห็นจริงในใจอย่างนั้น....อาการเบื่อหน่าย...มันก็เกิดเอง...ไม่ได้ไปบังคับความคิดว่าให้คิดเบื่อหน่าย

นี้พูดเท่าที่เคยนะ....แต่ธรรมของพระพุทธเจ้าอธิบายใว้มีต่อจากนี้อีก...ผมก็จำไม่ได้หมด....จำได้เฉพาะที่เคย....เดียวจะลองหามาให้ดู..นะอโศกะ

อโศกะครับ....คนเราถ้าไม่มีมานะ..หยิ่งจนเกินไป...สะกดข่มมานะของตัวเองใว้บ้าง...คราวใดที่มานะถูกข่มใว้ไม่พลุกพล่านออกมาเพ่นพ้านจนเห็นชัดทางกาย..ทางวาจา...ทางใจก็สะกดข่มใว้...คราวนั้น...กระแสพระสัทธรรมดีดี...จึงมีโอกาสไหลเข้าสู่ใจได้..นะครับ

ถ้าคิดแต่ว่า..เรารู้ดีแล้ว...เรารู้มากกว่าเขา...เราเป็นถึงคนสอนคนอื่น...จนถึงขนาดคิดว่าเราเป็นอริยะบุคคลแล้ว...คิดว่าเราย่อมรู้ดีกว่าใครๆ...หากเป็นอย่างนี้แล้ว....ความดีของอโศกะก็กลายเป็นอุปกิเลสไปเลยทันที..นะครับ...อย่างนี้...จะเป็นอริยะบุคคลไปได้อย่างไร?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2014, 08:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


หามาฝากครับ...
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 051&Z=2118

ขอให้เจริญในธรรม...ครับ

อ้างคำพูด:
[๑๘๒] ธรรมมีความปราโมทย์เป็นเบื้องต้น ๙ ประการ เมื่อพระโยคาว-
*จรมนสิการโดยความไม่เที่ยง ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อถึงความปราโมทย์ ย่อม
เกิดปีติ เมื่อใจมีปีติ กายย่อมสงบ ผู้มีกายสงบย่อมได้เสวยสุข ผู้มีความสุข
จิตย่อมตั้งมั่น เมื่อจิตตั้งมั่น ย่อมรู้ย่อมเห็นตามความเป็นจริง เมื่อรู้เห็นตามความ
เป็นจริงย่อมเบื่อหน่าย เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายความกำหนัด เพราะคลายความ
กำหนัด จิตย่อมหลุดพ้น เมื่อพระโยคาวจรมนสิการโดยความเป็นทุกข์ ย่อมเกิด
ปราโมทย์ ฯลฯ เมื่อมนสิการโดยความเป็นอนัตตา ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อ
มนสิการรูปโดยความไม่เที่ยง ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อมนสิการรูปโดยความ
เป็นทุกข์ ฯลฯ เมื่อมนสิการรูปโดยความเป็นอนัตตา ฯลฯ เมื่อมนสิการ
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักษุ ฯลฯ ชราและมรณะ โดยความ
ไม่เที่ยง ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อมนสิการชราและมรณะโดยความเป็นทุกข์
ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อมนสิการชราและมรณะโดยความเป็นอนัตตา ย่อมเกิด
ปราโมทย์ เมื่อถึงความปราโมทย์ ย่อมเกิดปีติ เมื่อใจเกิดปีติ กายย่อมสงบ
ผู้มีกายสงบย่อมได้เสวยสุข ผู้มีความสุข จิตย่อมตั้งมั่น เมื่อจิตตั้งมั่น ย่อมรู้
ย่อมเห็นตามความเป็นจริง เมื่อรู้เห็นตามความเป็นจริงย่อมเบื่อหน่าย เมื่อ
เบื่อหน่ายย่อมคลายความกำหนัด เพราะคลายความกำหนัด จิตย่อมหลุดพ้น
ธรรมมีความปราโมทย์เป็นเบื้องต้น ๙ ประการนี้ ฯ
[๑๘๓] ธรรมมีโยนิโสมนนิการเป็นเบื้องต้น ๙ ประการ เมื่อพระ
โยคาวจรมนสิการโดยอุบายอันแยบคายโดยความไม่เที่ยง ย่อมเกิดปราโมทย์
เมื่อถึงความปราโมทย์ ย่อมเกิดปิติ เมื่อใจมีปิติ กายย่อมสงบ ผู้มีกายสงบ
ย่อมได้เสวยความสุข ผู้มีความสุข จิตย่อมตั้งมั่น ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริง
ด้วยจิตอันตั้งมั่นว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
เมื่อพระโยคาวจรมนสิการโดยอุบายอันแยบคายโดยความเป็นทุกข์ ย่อมเกิด
ปราโมทย์ ... เมื่อมนสิการโดยอุบายอันแยบคายโดยความเป็นอนัตตา ย่อมเกิด
ปราโมทย์ ฯลฯ เมื่อมนสิการรูปโดยอุบายอันแยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง
ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อมนสิการรูปโดยอุบายอันแยบคาย โดยความเป็นทุกข์
ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อมนสิการรูปโดยอุบายอันแยบคาย โดยความเป็นอนัตตา
ย่อมเกิดปราโมทย์ ฯลฯ เมื่อมนสิการเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
จักษุ ฯลฯ ชราและมรณะ โดยอุบายอันแยบคาย โดยความเป็นของไม่เที่ยง
ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อมนสิการชราและมรณะโดยอุบายอันแยบคาย โดยความ
เป็นทุกข์ ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อมนสิการชราและมรณะโดยอุบายอันแยบคาย
โดยความเป็นอนัตตา ย่อมเกิดปราโมทย์ เมื่อถึงความปราโมทย์ ย่อมเกิดปีติ
เมื่อใจมีปีติ กายย่อมสงบ ผู้มีกายสงบย่อมได้เสวยสุข ผู้มีความสุข จิตย่อม
ตั้งมั่น ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงด้วยจิตอันตั้งมั่นว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย
นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ธรรมอันมีโยนิโสมนสิการเป็นเบื้องต้น ๙
ประการนี้ ฯ
[๑๘๔] ความต่าง ๙ ประการ ความต่างแห่งผัสสะอาศัยความต่างแห่ง
ธาตุเกิดขึ้น ความต่างแห่งเวทนาอาศัยความต่างแห่งผัสสะเกิดขึ้น ความต่างแห่ง
สัญญาอาศัยความต่างแห่งเวทนาเกิดขึ้น ความต่างแห่งความดำริอาศัยความต่างแห่ง
สัญญาเกิดขึ้น ความต่างแห่งฉันทะอาศัยความต่างแห่งความดำริเกิดขึ้น ความ
ต่างแห่งความเร่าร้อน อาศัยความต่างแห่งฉันทะเกิดขึ้น ความต่างแห่งการแสวงหา
อาศัยความต่างแห่งความเร่าร้อนเกิดขึ้น ความต่างแห่งการได้ (รูปเป็นต้น) อาศัย
ความต่างแห่งการแสวงหาเกิดขึ้น ความต่าง ๙ ประการนี้ ชื่อว่าญาณ เพราะ
อรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า
ปัญญาในการกำหนดธรรม ๙ ประการ เป็นธรรมนานัตตญาณ ฯ


ไม่คิดว่าจะหามาได้..นะเนี้ย
ขอบคุณ...กูลเกิล...อิอิ
:b9: :b9: :b9:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2014, 11:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
อ้างคำพูด:
พูดแค่...ปราโมทย์..ปิติ...ปัสสัทธิ..สุข..สงบ..ฯลฯ..แค่นี้เขาก็ร้อง...อ่อ...กันแล้ว

:b1:
ที่พูดมานี้ฤาษีชีไพรเขาก็เป็นกันมากมาย ไม่ใช่มีแต่เพียงทางเดียวที่กบว่า นอกจากจะมีปัญญามาต่อยอดอย่างที่กบไปคัดลอกมาแปะในตอนท้าย

ก็ไกลเรื่องสภาวธรรมและความเป็นปกติอยู่ดี
:b12: :b12: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2014, 11:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ย. 2014, 11:55
โพสต์: 123

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอความรู้หน่อย ที่สภาวธรรมและความเป็นปกติอยู่ดี นั้นเป็นอย่างไร มีอาการอย่างไร แล้วอาการอย่างไรจึงเรียกว่าปกติ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 78 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร