วันเวลาปัจจุบัน 05 ส.ค. 2025, 11:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 13:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๓๑ ปฏิจจสมุปบาท ข้ออาสวะ อวิชชา
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๓๑ ปฏิจจสมุปบาท ข้ออาสวะ อวิชชา
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
ได้แสดงเถราธิบายของท่านพระสารีบุตร
ในข้อสัมมาทิฏฐิมาโดยลำดับ จนถึงในข้อสุดท้ายซึ่ง
ได้แสดงอธิบายข้อว่า เพราะอวิชชาเกิดขึ้น
จึงเกิดอาสวะ และท่านก็
ได้แสดงเหตุผลของธรรมะที่เป็นเหตุเกิดสืบเนื่อง
กันไปเหมือนดังลูกโซ่ โดยเฉพาะในข้อสุดท้ายนี้
เมื่อแสดงว่าเพราะอวิชชาเกิดขึ้นจึงเกิดอาสวะ
และเมื่อแสดงถึงเหตุปัจจัยที่สืบกันไปเหมือนดังลูกโซ่
ก็แสดงต่อไปว่า เพราะอาสวะเกิด จึงเกิดอวิชชา ก็
เป็นอันว่าในหมวดสุดท้ายนี้อัน
เป็นยอดของปฏิจจสมุปบาท ธรรมะที่อาศัย
กันบังเกิดขึ้น จึงต่างเป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน อัน
ได้แก่ อวิชชาและอาสวะ หรือ อาสวะและอวิชชา
เมื่อท่านแสดงถึงอวิชชา ก็จะต้องมีปัญหาว่า
เพราะอะไรเกิดจึงเกิดอวิชชา ท่านจึงแสดงว่า
เพราะอาสวะเกิดจึงเกิดอวิชชา
และมีปัญหาต่อไปอีกว่า เพราะอะไรเกิด
จึงเกิดอาสวะ ท่านจึงแสดงว่า เพราะอวิชชาเกิด
จึงเกิดอาสวะ
ก็เป็นอันว่าอาสวะกับอวิชชานี้เป็นเหตุปัจจัยของกันและ
กัน อันนับว่า
เป็นเหตุปัจจัยสุดท้ายที่ทางพระพุทธศาสนาได้แสดงไว้
จึงไม่มีเหตุปัจจัยที่จะแสดงสืบต่อขึ้นไปอีก และก็
ได้แสดงอธิบายแล้วว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
ให้เกิดอาสวะ หรือเพราะอวิชชาบังเกิดขึ้น
จึงเกิดอาสวะ จึงจะได้แสดงในทางที่กลับ
กันอีกครั้งหนึ่งว่า เพราะอาสวะเกิดจึงเกิดอวิชชา
หรือเพราะมีอาสวะจึงมีอวิชชาบังเกิดขึ้น
จิตไม่มีสรีระสัญฐาน
ในข้อนี้ก็พึงทำความเข้าใจไว้ก่อนข้อหนึ่งว่า
บรรดาเหตุปัจจัยเหล่านี้
เหตุปัจจัยที่สุดยอดคืออวิชชากับอาสวะหรืออาสวะ
กับอวิชชา และเหตุปัจจัยที่สืบต่อกันไป รวมว่า
ทั้งหมดย่อมเป็นสิ่งที่เกิดได้เพิ่มเติมได้ และเป็นสิ่งที่ดับ
ได้ จิตวิมุตติหลุดพ้นจากเหตุปัจจัยเหล่านี้ได้ ทั้งนี้ก็
เพราะว่าเหตุปัจจัยเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเนื้อแท้ของจิต
เนื้อแท้หรือธรรมชาติของจิตนั้น
เป็นสิ่งที่ประภัสสรคือผุดผ่อง และ
เป็นธาตุรู้ที่เรียกว่าวิญญาณธาตุ ธาตุรู้ และจิตนี้
ไม่มีสรีระสัณฐานเหมือนอย่างกาย แต่มีกายนี้
เป็นที่อาศัยดังที่มีพระพุทธภาษิตตรัสเอาไว้ว่า
อสรีรํ ไม่มีสรีระคือไม่มีร่างกาย ไม่ใช่วัตถุ
คูหาสยํ มีคูหาคือถ้ำเป็นที่อาศัย
คูหาคือถ้ำนี้ พระอาจารย์ได้แสดงอธิบายคลุม ๆ
ว่ากาย คือมีกายนี้เป็นที่อาศัย เพราะฉะนั้น ทุกคน
จึงมีกายและจิตซึ่งอาศัยกันอยู่ กายนั้น
เป็นวัตถุประกอบด้วยธาตุที่เป็นวัตถุทั้งหลาย ที่แสดง
ไว้ก็คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ซึ่งหมายถึงว่า
ส่วนที่แข้นแข็งในกายนี้ก็เรียกว่า ธาตุดิน
ส่วนที่เอิบอาบเหลวไหลก็เรียกว่า ธาตุน้ำ
ส่วนที่อบอุ่นก็เรียกว่า ธาตุไฟ
ส่วนที่พัดไหวก็เรียกว่า ธาตุลม
และในบางพระสูตรยังเติมอีก ๑ ธาตุ คือ
อากาศธาตุ ช่องว่าง คือบรรดาช่องว่างทั้งหลาย
ในกายอันนี้ก็เรียกว่าอากาศธาตุ ธาตุคือช่องว่าง
เป็นธาตุ ๕
แต่โดยมากแสดงไว้เพียงธาตุ ๔
เพราะอากาศธาตุคือช่องว่างนั้นไม่ใช่วัตถุ
แต่ว่าเติมขึ้นอีกก็เพราะว่า
ในกายนี้เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา
เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป ย่อมมีอากาศธาตุ
คือช่องว่างอยู่เป็นอันมาก เช่น ช่องตา ช่องหู ช่องจมูก
ช่องปาก และช่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ตลอดจน
ถึงทุกขุมขน และช่องว่างเหล่านี้เองทำ
ให้แบ่งขอบเขตของอวัยวะร่างกายเป็นส่วน ๆ ออกไป
ได้ เช่นว่านิ้วทั้ง ๕ ของบุคคลมีช่องว่างอยู่ในระหว่าง
จึงได้แบ่งออกได้เป็น ๕ นิ้ว ถ้าไม่มีช่องว่างอยู่
ในระหว่างก็จะต้องรวมกันเป็นพืดแบ่งออกเป็น ๕ นิ้ว
ไม่ได้ ร่างกายเช่นแขนทั้ง ๒ ขาทั้ง ๒ และทุกส่วนก็
ต้องมีช่องว่างอยู่ในระหว่าง ๆ ทั้งนั้น จึงแบ่งออกได้เป็น
ส่วน ๆ ตลอดจนถึงอวัยวะภายใน เช่น เส้นเอ็น ตับ ปอด
หัวใจ เป็นต้น ต่างก็มีช่องว่างในระหว่าง ๆ จึงทำ
ให้แบ่งออกเป็นส่วน ๆ ไปได้
และบรรดาช่องว่างอันนี้ถ้ายุบรวมเข้า ไม่
ให้มีช่องว่างเลยแม้แต่น้อย ร่างกายของทุก ๆ คนที่
ใหญ่โตอยู่เท่านี้จะเหลือเล็กนิดเดียว
อย่างเช่นขนาดปลายไม้ขีด มีท่านหนึ่งแสดงว่าอย่างนี้
แต่ว่าที่ใหญ่โตปรากฏเป็นอาการต่าง ๆ ๓๑ หรือ ๓๒
เป็นต้น ก็เพราะมีช่องว่างอยู่เป็นอันมากเพราะฉะนั้น
ในบางพระสูตรจึงได้ยกขึ้นเป็นอีกธาตุอันหนึ่ง
เรียกว่าอากาศธาตุ ธาตุคือช่องว่าง นี้เป็นส่วนกาย
ซึ่งมีสรีระ รูปร่างสัณฐานทรวดทรง
จิตเป็นธาตุรู้
แต่ว่าจิตไม่มีสรีระสัณฐานเหมือนอย่างกาย
แต่ว่ามีคูหาเป็นที่อาศัย ที่ท่านอธิบายว่าก็คือมีกายนี้
เป็นที่อาศัย จึงมีปัญหาว่าถ้าจิตไม่มีสรีระสัณฐาน
มองเห็นไม่ได้จับต้องไม่ได้ก็จะรู้ได้อย่างไรว่ามีจิต
ก็ตอบได้ว่ารู้ได้ที่ความรู้ เพราะจิตนี้
เป็นธาตุรู้อะไร ๆ ได้ หากจะถามว่าจิตอยู่ที่ไหน ก็ตอบ
ได้ว่า จิตอยู่ที่ตัวรู้ รู้อยู่ที่ไหนจิตก็อยู่ที่นั่น และจิตนี้
เพราะเป็นธาตุรู้และไม่มีสรีระสัณฐาน จึงกำหนด
ได้ที่ตัวรู้หรือที่ความรู้ที่ทุก ๆ คนมีอยู่ดังกล่าว
และนอกจากนี้ทุกคนก็รู้จิตใจของตัวเองได้ว่าจิต
เป็นอย่างไร ตั้งต้นแต่จิตคิดอะไร ดำริอะไร
ทุกคนก็รู้จิตของตัวเอง และเมื่อจิตคิดอะไรรู้อะไร
แล้ว จิตชอบอะไร ชังอะไร อยากได้อะไร ไม่อยาก
ได้อะไร หรือว่ายินดีอะไรยินร้ายอะไร
หลงใหลอะไร ทุกคนก็รู้ และโดยที่จิตนี้
เป็นธาตุรู้ ทุกคนจึงเรียนรู้เพิ่มเติมขึ้นไปได้ดั่งที่ทุก ๆ
คนเรียนกันอยู่ ตั้งต้นแต่ขั้นอนุบาล ขั้นประถม
ขั้นมัธยม ขั้นอุดม ตามหลักสูตรต่าง ๆ
แต่ว่าเมื่อเรียนรู้อะไร ๆ สิ่งที่รู้นั้นก็
ไม่มีสรีระสัณฐานอีกเช่นเดียวกัน จะบอกว่า
ความรู้ที่เรียนนั้นกว้างเท่าไร ยาวเท่าไร ใหญ่
เท่าไร เหมือนอย่างวัตถุ เช่นว่าตึกรามบ้านช่องใหญ่
เล็กหนึ่งชั้น สองชั้น สามชั้น กี่ห้อง อะไรเป็นต้น
จะเอามาแสดงความรู้ที่เรียนหรือที่รู้ว่ากว้างเท่า
นั้นยาวเท่านี้ใหญ่เท่านั้นนี้หาได้ไม่ ความรู้ที่เรียน
กันมาก็ไม่มีสรีระสัณฐานอีกเช่นเดียวกัน แต่ว่า
ความรู้ทั้งหมดนี้ก็เก็บอยู่ที่จิตอันนี้
และจิตอันนี้เมื่อปฏิบัติทางสมาธิได้อุปจารสมาธิ
อัปปนาสมาธิ ดังเช่นพระพุทธเจ้าก่อนจะตรัสรู้ทรง
ได้อัปปนาสมาธิ ก็ทรงได้ญาณคือ
ความหยั่งรู้ระลึกชาติได้ ระลึกชาติในหนหลัง
ได้ว่าทรงเกิดเป็นอะไร มีชื่อมีนามสกุล
หรือโคตรอย่างไร มีสุขมีทุกข์อย่างไรเป็นต้น
เป็นอันมาก อันแสดงว่าจิตนี้
เป็นที่เก็บสิ่งที่ประสบพบผ่านไว้ทั้งหมด เก็บอยู่
ในจิตที่ขอยืมคำมาพูดว่าจิต ส่วนลึกหรือที่พบกัน
ในบัดนี้เรียกกันว่าจิตใต้สำนึก เพราะฉะนั้น
เมื่อทำสมาธิจนถึงได้อัปปนาสมาธิรู้ถึงจิตใต้สำนึก
หรือจิตส่วนลึกนี้ได้ สิ่งที่เก็บไว้ในจิต
ส่วนลึกก็ปรากฏเป็นความรู้ขึ้นมา ดัง
ความรู้ระลึกชาติได้ของพระพุทธเจ้า
จิตเก็บบารมีและอาสวะ
และจิตนี้เองก็ยังเก็บดีเก็บชั่วไว้อีกด้วย เมื่อทำดี
กิริยาที่ทำนั้นทำแล้วก็เสร็จกันไปเป็นคราว ๆ แต่ว่า
ความดีที่ทำไว้นั้นก็ยังเก็บอยู่ในจิตส่วนลึก เรียกว่า
บารมี เก็บดี ความดีที่ทำไว้นั้นไม่หายไปไหน
แม้ว่ากิริยาที่ทำเสร็จไปเป็นคราว ๆ แต่ว่าความดีที่ทำ
นั้นก็ยังเก็บไว้ในจิตส่วนลึก
ทำชั่วก็เหมือนกัน
เมื่อทำชั่วทางกายทางวาจาทางใจอะไรไว้ ทำไปแล้ว
ความชั่วก็ยังเก็บเอาไว้ในจิตส่วนลึก ก็เป็น อาสวะ
ดองจิตสันดาน
เพราะฉะนั้น จิตนี้จึงมีทั้งส่วนดีที่เป็นบารมี ทั้ง
ส่วนชั่วที่เรียกว่าอาสวะ พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ลึก
เข้าที่จิตของพระองค์เองจนทรงพบอาสวะ จึง
ได้ตรัสรู้และก็ได้ตรัสแสดงสั่งสอนเอาไว้เป็น
กามาสวะ อาสวะคือกาม
ภวาสวะ อาสวะคือภพ
อวิชชาสวะ อาสวะคืออวิชชา
ก็เป็นอันว่าใจจิตของบุคคลทั่วไปมีกามเก็บอยู่ในจิต
ส่วนลึก คือความใคร่ความปรารถนา
ต้องการพร้อมกับสิ่งที่ใคร่ สิ่งที่ปรารถนา สิ่งที่
ต้องการ มีภวาสวะ อาสวะคือภพ ความเป็น คือเป็นเรา
เป็นของเราเป็นนั้นเป็นนี่เก็บอยู่ในจิตส่วนลึก
มีอวิชชาสวะ อาสวะ คืออวิชชาซึ่งเป็นตัวไม่รู้ อันหมาย
ถึงว่ารู้ที่เป็นรู้หลงรู้จิต ก็เหมือนอย่างไม่รู้ ก็คือ
ไม่รู้ในทุกข์ ในเหตุเกิดทุกข์ ในความดับทุกข์
ในทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เป็นต้น
เป็นตัวอวิชชาเก็บอยู่ในจิตส่วนลึก นี้เป็นส่วนอาสวะ
อาสวะทำให้เกิดกาม เกิดภพ และเกิดอวิชชา
เพราะฉะนั้น เมื่อเห็นอะไรทางตา ได้ยินอะไรทางหู
ได้ทราบกลิ่น ทราบรส ทราบโผฏฐัพพะ สิ่งถูก
ต้องทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ได้คิดเรื่องอะไรต่าง ๆ
ทางใจ ตัวกามซึ่งเก็บอยู่ในจิตส่วนลึกนั้นจึงโผล่ขึ้นมา
ปรากฏเป็นความรักใคร่ปรารถนา พอใจ
ในรูปเสียงเป็นต้นที่ประสบพบผ่านนั้น เป็นฝ่าย
ราคะ หรือ โลภะ หรือว่าฝ่ายความยินดี
แต่ว่าถ้าขัดกับกามที่เก็บไว้ในจิตใจส่วนลึกนี้ก็เป็น
ปฏิฆะ คือความกระทบกระทั่งอันเป็นมูลของโกธะ
ความโกรธ โทสะ ความประทุษร้ายใจ พยาบาท
ความมุ่งร้ายต่าง ๆ อันเป็นกองโทสะ
และ ภวาสวะ อาสวะคือภพ
คือตัวเราของเราก็โผล่ขึ้นมาเป็นตัวเราเป็นนั่นเป็นนี่
เป็นของเราในสิ่งนั้นในสิ่งนี้
อวิชชาสวะ อวิชชาคือตัวความไม่รู้ ก็โผล่ขึ้นเป็น
ความรู้ที่หลงรู้ผิด คือว่าไม่เห็นทุกข์
ไม่เห็นเหตุเกิดทุกข์ ไม่เห็นความดับทุกข์
ไม่เห็นทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ แต่เห็นตรง
กันข้าม เห็นทุกข์นั้นว่าเป็นสุข เห็นเหตุเกิดทุกข์คือตัณหา
นั้นว่า เป็นตัวความเพลิดเพลินยินดีสนุกสนาน
ความรักใคร่พอใจ เห็นตรงกันข้ามกับอริยสัจ นี้
เป็นตัวอวิชชา
อวิชชาตกตะกอนในจิตเพราะอาสวะ
เพราะฉะนั้น เมื่ออาสวะโผล่ขึ้นมาเป็นกาม เป็นภพ
เป็นอวิชชา ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส
ในโผฏฐัพพะ สิ่งถูกต้อง
ในเรื่องราวที่ประสบพบผ่านทางตา ทางหู ทางจมูก
ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ อยู่เป็นปกติ จึงเป็นอวิชชาคือ
ความไม่รู้จริง หรือความไม่รู้ที่เป็นความรู้จริง
แต่ว่าเป็นความรู้ความเห็น
ว่าน่ารักใคร่ปรารถนาพอใจบ้าง
ไม่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจบ้าง
น่าเพลิดเพลินยินดีบ้าง เห็นทุกข์ว่าเป็นสุข
เห็นสมุทัยเหตุแห่งทุกข์คือตัณหาว่า
เป็นสิ่งที่น่าเพลิดเพลินยินดี เป็นตัวความสนุกสนาน
ความติดใจยินดี จึงติดใจยินดีอยู่ในตัณหาเหตุ
ให้เกิดทุกข์และในตัวทุกข์ ไม่เห็นว่าเป็นทุกข์ตามที่
เป็นจริง ไม่เห็นอนิจจัง ไม่เห็นทุกขัง ไม่เห็นอนัตตา
แต่เห็นว่าเที่ยง เห็นว่าเป็นสุข เห็นว่าเป็นตัวเราของเรา
ความรู้ความเห็นดั่งนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิต่อองค์มรรค
เป็นอวิชชา คือตัวความไม่รู้เป็นโมหะ คือความหลง
เพราะฉะนั้น เมื่ออาสวะโผล่ขึ้นมาในอารมณ์
คือเรื่องทั้งหลายที่ประสบพบผ่านอยู่เป็นปกติดั่งนี้
ความรู้ความเห็น จึงเป็นอวิชชาไปหมด
ไม่เห็นอริยสัจที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเอาไว้
เห็นตรงกันข้าม เพราะฉะนั้น อวิชชาจึงได้เพิ่มมากขึ้น
ตกตะกอนลงในจิตส่วนลึกเพิ่มขึ้น ๆ อาสวะ จึง
เป็นเหตุให้เกิดอวิชชาดั่งนี้ คือเมื่ออาสวะเกิดขึ้น
อวิชชาก็เกิดขึ้น
ปฏิบัติเพิ่มวิชชาเพื่อละอวิชชา
เป็นอันว่าอาสวะเกิดขึ้น อวิชชาก็เกิดขึ้น
และก็ลงไปเพิ่มเติมอวิชชา ซึ่งเป็นอวิชชาสวะ อัน
เป็นข้อสำคัญนั้นให้มากขึ้น แต่ว่าเมื่อบารมีโผล่ขึ้นมา
คือความดีที่ได้กระทำเอาไว้เก็บเอาไว้ในจิต
ส่วนลึกโผล่ขึ้นมา ดังบุคคลที่เกิดมาเป็นมนุษย์ทุก ๆ
คนนี้ก็กล่าวได้ว่าบารมีให้เกิดมาเป็นมนุษย์
ก็คือตัวปัญญาหรือตัววิชชานั้นเอง ซึ่งเป็นตัวความรู้
ความฉลาดรู้ถูกต้อง ตั้งต้นแต่รู้จักบาปบุญคุณโทษ
ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ดั่งที่สามัญชนรู้กันอยู่
เมื่อประสบอารมณ์ทางตาทางหูเป็นต้น
บารมีโผล่ขึ้นมา ทั้งได้ฟัง
ได้สดับคำสอนของพระอริยะทั้งหลาย
โดยตรงคือของพระพุทธเจ้าที่ตรัสสอนเอาไว้ ชี้
ให้รู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดทุกข์ รู้จักความดับทุกข์
รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ก็ปฏิบัติกำหนดพิจารณารู้ว่า
สิ่งที่ตาเห็น หูได้ยินเป็นต้น เหล่านั้นเป็นตัวทุกข์
คืออนิจจะไม่เที่ยง เกิดดับเป็นทุกข์ คือ
ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไม่ตั้งอยู่คงที่ บังคับไม่
ได้ คือบังคับให้เป็นไปตามปรารถนาต้องการไม่ได้
เป็นอนัตตามิใช่อัตตาตัวตน ไม่ใช่ตัวเราของเรา
มองเห็นตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยากของใจว่า
เป็นตัวสมุทัย เห็นความดับตัณหาว่า เป็นตัวดับทุกข์
เห็นมรรคมีองค์ ๘ ย่นลงในศีลสมาธิปัญญาว่า
เป็นทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ดังนี้
ก็เป็นอันว่าเป็นการปฏิบัติเพิ่มวิชชา ผ่อนคลายอวิชชา
ให้น้อยลง วิชชาคือความรู้ก็ลงไปเพิ่มบารมีส่วนดี
ในจิตส่วนลึกนี้ให้มากขึ้น
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๒๘ มีนาคม ๒๕๒๘
-------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 13:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๓๒ ปฏิจจสมุปบาท ข้ออวิชชา สังขาร
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๓๒ ปฏิจจสมุปบาท ข้ออวิชชา สังขาร
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
ได้แสดงพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตร
ในข้อสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบมาโดยลำดับ ภิกษุ
ทั้งหลายได้กราบเรียนถามท่านถึงอธิบาย
ในข้อสัมมาทิฏฐิ เมื่อท่านได้ตอบไปตอนหนึ่งแล้ว ภิกษุ
ทั้งหลายก็
ได้กราบเรียนถามปริยายคือทางอธิบายอย่าง
อื่นต่อไปอีกซึ่งท่านก็ตอบไป
โดยลำดับตามหลักแห่งปฏิจจสมุปบาท
ธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น
โดยยกเอาธรรมะที่อาศัย
กันบังเกิดขึ้นเหล่านี้มาแสดงอธิบายทีละข้อ
จำแนกออกเป็น ๔ ตามแนวแห่งอริยสัจทั้ง ๔ ทุกข้อ จึง
เท่ากับว่าพระเถราธิบายนี้ได้แสดงอธิบายอริยสัจ ๔
หลายนัยหลายปริยายอย่างละเอียด
ไปตามข้อธรรมะที่เนื่องกัน
เป็นสายแห่งปฏิจจสมุปบาทธรรมะที่อาศัย
กันบังเกิดขึ้น
โดยจับข้างปลายคือชรามรณะขึ้นมาจน
ถึงอวิชชาอาสวะ และก็
ได้แสดงอธิบายอวิชชาอาสวะนี้ว่าต่างเป็นปัจจัยของกัน
และกัน
พระพุทธาธิบายในปฏิจจสมุปบาทนี้จบลงแค่อวิชชา
เป็นส่วนมาก ท่านพระสารีบุตร
ได้จับเอาพระพุทธาธิบาย
หรือพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าในที่
อื่นมาเพิ่มขึ้นอีกข้อหนึ่ง คืออาสวะ อวิชชาเกิด
เพราะอาสวะ ก็จบลงแค่อาสวะ แต่อาสวะเกิด
เพราะอะไรก็ต้องกลับมาหาอวิชชาอีกว่าเกิด
เพราะอวิชชา ซึ่งได้แสดงอธิบายในที่นี้แล้วว่า
อวิชชาเกิดเพราะอาสวะอย่างไร และอาสวะเกิด
เพราะอวิชชาอย่างไร จึงมาถึงข้อที่
จะอธิบายต่อไปตามพระเถราธิบายว่า
เพราะอวิชชาเกิด จึงเกิดสังขาร และคำว่าสังขาร
นั้นก็ได้อธิบายในที่นี้แล้วว่า ได้แก่ สังขาร ๓
กายสังขาร ได้แก่ ลมอัสสาสะปัสสาสะ ลมหายใจ
เข้าลมหายใจออก
วจีสังขาร ได้แก่ วิตกวิจารความตรึกความตรอง
จิตตสังขาร ได้แก่ สัญญาเวทนา
ในวันนี้จะได้อธิบายว่า อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร
หรือว่า เพราะอวิชชาเกิดสังขารจึงเกิดอย่างไร จึง
จะต้องอธิบายคำว่าสังขารก่อน
สังขารให้หมวดธรรมต่าง ๆ
คำว่า สังขาร นั้นใช้ในหมวดธรรมะหลายหมวด
เช่น
สังขาร ๒ คือสังขารที่มีใจครองหรือมีผู้ครอง
เรียกว่า อุปาทินนกสังขาร สังขารที่ไม่มีใจครอง
หรือไม่มีผู้ครอง เรียกว่า อนุปาทินนกสังขาร
สังขารในเบญจขันธ์ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ ซึ่งหมายถึงความคิดปรุงหรือ
ความปรุงคิดของจิตใจ
สังขารที่แสดงไว้ในโลก ๓ คือ โอกาสโลก
โลกคือโอกาส อันได้แก่ พื้นพิภพนี้ สังขารโลก
โลกคือสังขาร อันได้แก่ทุก ๆ สิ่งที่ปรุงแต่งขึ้น
จากพื้นพิภพนี้ ตลอดจนถึงเป็นอุปาทินนกสังขาร
และอนุปาทินนกสังขารดังกล่าว สัตวโลก
โลกคือหมู่สัตว์ โดยตรงก็หมายถึงจิตใจ
ซึ่งครองสังขารอยู่ ซึ่งยังมีความข้องความติด
สังขาร ๓ คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร
ที่ท่านพระสารีบุตรได้ยกมาอธิบาย
ในข้อว่าสังขารนี้
และ สังขาร ๓ อีกหมวดหนึ่ง ปุญญาภิสังขาร
ปรุงแต่งบุญก็คือทำบุญ อปุญญาภิสังขาร
ปรุงแต่งกรรมที่มิใช่บุญคือบาป ก็คือทำบาป
อเนญชาภิสังขาร ปรุงแต่งธรรมะที่ไม่หวั่นไหว
หมายถึงสมาธิที่เป็นอัปปนาสมาธิ สมาธิที่แนบแน่น
สำหรับในข้อสังขารที่ว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย
ให้เกิดสังขาร หรือเพราะอวิชชาเกิดสังขารเกิดนี้
ก็มีอธิบายถึงสังขาร ๓ ปุญญาภิสังขาร
อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร จึงรวมเข้า
ได้ว่าท่านยกเอาสังขาร ๓ ทั้ง ๒
หมวดนี้มาอธิบายสังขารในที่นี้
อธิบายความหมายของสังขารที่เป็นกลาง ๆ
แต่ในเบื้องต้นนี้จะได้อธิบายเป็นกลาง ๆ ก่อน
ว่าสังขารก็คือสิ่งประสมปรุงแต่ง
หรือการประสมปรุงแต่ง ทุก ๆ สิ่ง ทุก ๆ อย่างที่
เป็นไปตามจิตก็ตาม เป็นไปทางกาย หรือเป็นไปอยู่
ในโลกธาตุทั้งสิ้น ที่ปรากฏเป็นนั่นเป็นนี่ ทั้งที่
เป็นอย่างหยาบ ทั้งที่เป็นอย่างละเอียด ล้วน
เป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งสิ้น ถ้าหากว่า
ไม่มีสิ่งผสมปรุงแต่งหรือไม่มีการผสมปรุงแต่ง ก็
จะไม่ปรากฏเป็นนั่นเป็นนี่อะไรทั้งสิ้น จะ
ไม่ปรากฏสัตว์บุคคล จะไม่ปรากฏต้นไม้ภูเขา จะ
ไม่ปรากฏโลกธาตุนี้ ไม่ปรากฏพื้นพิภพนี้
ไม่ปรากฏกลางวันกลางคืน
ไม่ปรากฏหนาวร้อนลมฝน
ไม่ปรากฏดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ดวงดาวอะไรทั้งสิ้น
แต่ที่ปรากฏเป็นนั่นเป็นนี่อยู่ดังกล่าว ตลอดจน
ถึงสัตว์บุคคลดั่งเราทั้งหลาย ทุก ๆ คนที่มีกายมีใจ ก็
เพราะมีการผสมปรุงแต่ง
จึงมีสิ่งผสมปรุงแต่งปรากฏเป็นนั่นเป็นนี่ขึ้น
ดังเช่นตัวอย่างที่ยกมากล่าวแล้ว
และการผสมปรุงแต่งนี้ย่อมมีอยู่ตลอดเวลา
ไม่มีหยุด หยุดทีหนึ่งก็คือว่าแตกสลาย
หรือว่าดับไปทีหนึ่ง เกิดก็คือผสมปรุงแต่งขึ้นใหม่
แล้วก็ดับ ในระหว่างเกิดและดับ ซึ่งเรียกว่าตั้งอยู่ ก็
ไม่หยุดผสมปรุงแต่ง ไม่หยุด
ความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง
สังขารมีความปรุงแต่งที่เป็นสันตติ
ดังจะพึงเห็นได้ว่า ร่างกายของทุก ๆ คนนี้
เป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งอย่างหนึ่งต้องมี
ความปรุงแต่งติดต่อกันอยู่ตลอดเวลาไม่มีหยุด
ดังเช่นต้องหายใจเข้าหายใจออกติดต่อกัน
อยู่ตลอดเวลาไม่มีหยุด แต่อันที่จริงนั้นไม่ใช่หมาย
ความว่า สืบเนื่องกันเป็นอันเดียวเพราะว่ามีเกิดมีดับต่อ
เนื่องกันไป คือหมายความว่าเกิดดับแล้วก็เกิด
แล้วก็ดับ แล้วก็เกิด ติดต่อกันไป อันเรียกว่า สันตติ
ลมหายใจเข้าลมหายใจออกนี้
เป็นตัวอย่างที่ปรากฏพิจารณาเห็นได้ คือเอา
เป็นว่าหายใจเข้านี่เป็นเกิด และหายใจออกนั้นเป็นดับ
ก็สมมติเท่านั้น แต่อันที่จริงนั้นหายใจ
เข้าเองก็เกิดดับเกิดดับ เข้าไปเช่นทีแรก
อยู่ที่ปลายจมูก ก็แปลว่าเกิดที่ปลายจมูกแล้วก็
เข้าไปก็ดับจากปลายจมูกเข้าไป
ถึงจุดหนึ่งก็ไปเกิดที่นั่นจุดหนึ่ง ผ่านจุดนั้นไปก็ดับจากจุด
นั้นไปเกิดในจุดอื่นต่อไปอีก หายใจออกก็เหมือนกัน
ก็แปลว่าเกิดเหมือนกัน คือลมหายใจนั้นใน
ส่วนที่นำออก ก็เกิดตั้งแต่จุดออกทีแรก ผ่านจุด
นั้นมาก็ดับจากจุดนั้นอีกจุดหนึ่งก็มาเกิดที่จุดนั้น ผ่าน
แล้วก็ดับที่จุดนั้นมาสู่อีกจุดหนึ่งก็มาเกิดอีกจุดหนึ่ง
เรื่อยมาดั่งนี้ จนถึงปลายจมูกก็พ้นปลายจมูกไป
ดั่งนี้คือสังขาร ปรุงแต่งไม่หยุด ชีวิตจึงดำรงอยู่ได้
นอกจากนี้อาการทั้งหลายในร่างกายนี้ ที่แบ่ง
เป็นอาการ ๓๑ หรืออาการ ๓๒ หรือว่า
จะแบ่งตามหลักสรีรศาสตร์ในปัจจุบัน ทั้งที่เป็น
ส่วนภายนอกทั้งที่เป็นส่วนภายใน ล้วนมีการปรุงแต่ง
อยู่ตลอดทุกส่วนทุกสิ่ง ไม่มีหยุดการปรุงแต่งชีวิต
จึงดำรงอยู่
ดับการปรุงแต่ง ดับสังขาร
เพราะฉะนั้น สังขารคือความปรุงแต่งนี้จึง
เป็นตัวชีวิตของร่างกายนี้ เมื่อหยุดการปรุงแต่ง
โดยที่ไม่มีสันตติคือความสืบต่อ ก็แปลว่าชีวิตนี้ดับ
ซึ่งเรียกตามภาษาธรรมะว่า กายแตกทำลาย
กาย นั้นแปลว่า ประชุม ส่วนทั้งหลายที่มาประชุม
กันเป็นกายนี้แตกทำลายจึงหยุดปรุงแต่ง ร่างกายนี้
จึงเริ่มเป็นสิ่งที่เน่าเปื่อยผุพัง ต้องนำไปเผาไปฝัง แม้จะ
ไม่เผาก็ผุพังไปเอง ซึ่งในที่สุดก็แตกสลายไปหมด
เพราะเหตุว่า หยุดความเป็นสังขารคือหยุด
ความปรุงแต่ง เพราะฉะนั้น จึง
ได้ตรัสยกเอา ลมอัสสาสะปัสสาสะ ขึ้นมา ว่าเป็นตัว
กายสังขาร เครื่องปรุงแต่งกายเป็นตัวอย่าง
ให้พิจารณาเห็นได้
กายนี้ดำรงชีวิตอยู่ก็เพราะมีลมหายใจ
เข้าลมหายใจออก ลมหายใจเข้าลมหายใจออกดับ
ก็แปลว่าเครื่องปรุงกายนี้ดับ กายนี้ก็แตกสลาย
จิตใจก็เหมือนกัน มีเครื่องปรุงแต่งคือมีวิตกมีวิจาร
ความตรึกความตรองหรือความคิด ซึ่งเป็นเหตุ
ให้พูดออกมาเป็นวาจา วาจาที่พูดนี้ก็
เพราะมีวิตกวิจารคือความตรึกความตรอง จึง
เป็นอันว่าต้องมีวิตกวิจาร ความตรึก
ความตรองขึ้นก่อน วาจาจึงจะออกมา ถ้าหากว่าไม่มี
ความตรึกความตรองก็ไม่มีวาจา เพราะฉะนั้น
ความตรึกความตรอง จึงเป็นเครื่องปรุงวาจา
ที่เรียกว่า วจีสังขาร
วาจานี้เป็นผลที่ออกมาจากวิตกวิจารความตรึก
ความตรอง และจิตที่มีความคิดไปต่าง ๆ
ดังเช่นมีวิตกวิจารความตรึกความตรอง ซึ่งเป็น
ความตรึกความตรองของจิตนั้นเอง ก็
เพราะว่ามีสัญญามีเวทนา สัญญาก็คือความจำ
ได้หมายรู้ เวทนาก็มีความรู้เป็นสุขเป็นทุกข์เป็นกลาง
ๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข เพราะมีสัญญาเวทนานี้ จิตจึงมี
ความคิดหรือมีวิตกมีวิจารความตรึก
ความตรองไปต่าง ๆ ถ้าไม่มีสัญญา ไม่มีเวทนา จิตก็
ไม่ปรากฏ คือจะไม่มีความคิด ไม่มีความตรึก
ความตรองต่าง ๆ เพราะฉะนั้น สัญญาเวทนานี้จึงเป็น
จิตตสังขาร เครื่องปรุงจิต
อันคนที่จะตายนั้นท่านแสดงไว้ว่า ดับวจีสังขาร
คือดับวิตกวิจารความตรึกความตรองก่อน วาจา
จึงดับ นิ่งไม่พูด เพราะไม่มีความตรึกความตรอง
แต่ว่าเพียงนี้ยังไม่ตาย ต่อไปก็ดับกายสังขาร
คือดับลมอัสสาสะปัสสาสะ หยุดหายใจ แต่ว่าแม้
จะดับลมหายใจดับกายสังขารก็ยังไม่ตาย จะ
ต้องดับสัญญาเวทนาซึ่งเป็นตัวจิตตสังขาร
เมื่อดับสัญญาเวทนาที่เป็นตัวจิตตสังขาร นั่นแหละจึง
จะตาย
ซึ่งข้อนี้ก็ตรงกับความรู้ในปัจจุบันที่ว่า แม้ว่า
จะดับลมหายใจเข้าออก แต่ว่าถ้าสมองยังไม่ดับคนก็ยัง
ไม่ตาย ต้องสมองดับ เพราะฉะนั้น จึงมาตรงกับที่ว่า
จะต้องดับสัญญาเวทนาซึ่งเป็นจิตตสังขาร
ดับจิตตสังขาร ดับสัญญาเวทนานั่นแหละจึงจะตาย
นี้คือสังขาร ๓
ทำบุญ ทำบาป ทำสมาธิ เป็นสังขาร
และเมื่อสังขาร ๓ ดังกล่าวนี้ยังมีอยู่ คน
ยังมีลมหายใจเข้าออกอยู่ มีวิตกวิจารอยู่
มีสัญญาเวทนาอยู่ ร่างกายก็ยังดำรงอยู่และเป็นไป
ได้ เดินยืนนั่งนอนได้ อาการต่าง ๆ ในร่างกายนี้ใช้ได้
มือเท้าใช้ได้ จักษุประสาทโสตประสาทเป็นต้นใช้ได้
และพูดได้คิดอะไรได้ก็เพราะว่าสังขารทั้ง ๓ นี้
ยังดำรงอยู่ และเมื่อเป็นดั่งนี้ จึงทำดีได้ทำชั่วได้
ตลอดจนถึงทำสมาธิจนถึงได้อัปปนาสมาธิ
สมาธิที่แนบแน่นได้ เพราะฉะนั้น จึงมี ปุญญาภิสังขาร
ปรุงแต่งบุญ อปุญญาภิสังขาร ปรุงแต่งบาป
คือทำบุญทำบาป อเนญชาภิสังขาร ทำสมาธิกันได้
ดังที่มาปฏิบัติทำสมาธิกันนี้
ฉะนั้น แม้บุญแม้บาปแม้สมาธิที่ทำกันนี้ ก็
เป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่ง ต้องแต่งคือต้องทำ ถ้า
ไม่ทำก็ไม่เกิดเป็นบุญไม่เกิดเป็นบาปไม่เกิด
เป็นสมาธิที่ปรุงแนบแน่น ต้องทำคือต้องปรุงต้องแต่ง
ให้เป็นบุญขึ้นมาจึงเป็นบุญ ให้เป็นบาปขึ้นมาจึงเป็นบาป
ให้เป็นสมาธิขึ้นมาจึงเป็นสมาธิคือทำได้
มรรค ๘ เป็นยอดของสังขตธรรม
แม้มรรคมีองค์ ๘ ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเอาไว้
ให้ปฏิบัติเป็นตัวมรรค ข้อปฏิบัติให้ถึง
ความดับทุกข์ทุกข้อก็เป็นสังขาร คือ
เป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง คือต้องปฏิบัติ ต้องกระทำ
ต้องปฏิบัติอบรมทิฏฐิ คือความเห็นให้เห็นถูก
ให้เห็นชอบ จึงจะเป็นสัมมาทิฏฐิ ต้องปฏิบัติอบรม
ความดำริให้ถูกให้ชอบ จึงจะเป็นสัมมาสังกัปปะ
ความดำริชอบ ต้องปฏิบัติ
ต้องกระทำกรรมทางวาจาให้ถูกให้ชอบ เว้นจากที่
ไม่ถูกไม่ชอบจึงจะเป็นสัมมาวาจา ต้องปฏิบัติ
ต้องกระทำกรรมทางกายให้ถูกให้ชอบเว้นจากที่
ไม่ถูกไม่ชอบ จึงจะเป็นสัมมากัมมันตะ
ทางอาชีพก็เหมือนกัน จึงจะเป็นสัมมาอาชีวะ
ความเพียรก็เหมือนกัน จึงจะเป็นสัมมาวายามะ
สติก็เหมือนกัน จึงจะเป็นสัมมาสติ สมาธิก็เหมือนกัน จึง
จะเป็นสัมมาสมาธิ คือต้องทำต้องปฏิบัติ ถ้าไม่ทำ
ไม่ปฏิบัติ มรรคมีองค์ ๘ ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น จึง
ได้ตรัสเอาไว้ว่ามรรคมีองค์ ๘ นี้
เป็นยอดของสังขตธรรม ธรรมะที่ปรุงแต่งขึ้น
เพราะว่ามรรคมีองค์ ๘ นี้ เมื่อได้ปรุงแต่งขึ้นจน
เป็นมรรคสมังคี กำจัดกิเลสได้หมดสิ้นแล้ว
ก็เสร็จกิจ ไม่ต้องปรุงแต่งกันอีกต่อไป จึงชื่อว่า
เป็นยอด เหมือนอย่างขึ้นไปถึงยอดไม้แล้ว ก็ไม่
ต้องขึ้นต่อไป เมื่อขึ้นไปถึงมรรคมีองค์ ๘ ที่
เป็นมรรคสมังคีแล้ว กำจัดกิเลสได้หมดสิ้นแล้ว ก็
เป็นอันว่าหมดกิจ ไม่ต้องขึ้นไม่ต้องทำกันต่อไป
เสร็จกิจ เพราะฉะนั้น จึง
เป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่ง
แต่ว่าปรุงแต่งมรรคมีองค์ ๘ ก็นับเข้าว่า
เป็นปุญญาภิสังขาร ปรุงแต่งบุญ และก็นับเข้า
ในข้ออเนญชาภิสังขาร ปรุงแต่งอเนญชา
เพราะมีสมาธิอยู่ด้วย
สังขารเกิดเพราะอวิชชา
สังขารทั้งปวงนี้คือสิ่งผสมปรุงแต่ง
การผสมปรุงแต่งทั้งปวงนี้มีเพราะอวิชชา
เมื่อมีอวิชชาจึงมีการผสมปรุงแต่ง ดังจะพึงเห็นได้ว่า
เพราะมีอวิชชา จึงได้มีชาติความเกิดขึ้นมาเป็นสังขาร
๓ กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร
และ เมื่อมีสังขาร ๓ ก็แปลว่ามีขันธ์ ๕ บริบูรณ์
มีกายใจบริบูรณ์ ก็ทำบุญทำบาปทำสมาธิกันได้
ปฏิบัติในมรรคมีองค์ ๘ ได้
และ การปฏิบัติแม้ที่เป็นบุญ ก็เพราะว่าเพื่อที่
จะชำระบาปชำระกิเลส ซึ่งมีอวิชชานี่แหละ
เป็นหัวหน้า
ถ้าหากว่า ไม่มีอวิชชาแล้ว คือดับอวิชชาเสียได้แล้ว ก็
ไม่ต้องทำบุญ ไม่ต้องทำบาปกันต่อไป เรียกว่า
เสร็จกิจ
การที่ต้องทำบุญอยู่นั้น ก็เพราะว่ามีบาปที่จะต้องละ
มีกิเลสที่จะต้องละ มีอวิชชาที่จะต้องละ จึง
ต้องทำบุญ ต้องปฏิบัติในมรรคมีองค์ ๘ ต้องปฏิบัติ
ในศีลในสมาธิในปัญญากัน และเมื่อยังมีอวิชชาก็
ต้องทำบาป เพราะความไม่รู้ เพราะฉะนั้น จึง
ต้องทำบาปทำบุญกันอยู่ ต้องทำสมาธิกันอยู่
ทำบุญก็เพื่อละบาปละกิเลส และ
จะทำบาปก่อกิเลสกันอยู่ก็เพราะยังมีอวิชชา
เพราะฉะนั้น จึงแปลว่าต้องมีกิจที่จะต้องทำ
จิตหยุดปรุงแต่งเมื่อสิ้นอวิชชา
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอนเอาไว้ว่า
พึงอบรมศีลสมาธิปัญญา ตราบเท่าจนถึงสิ้น
ความติดใจยินดี บรรลุนิพพาน ดับกิเลส
และกองทุกข์ได้หมดสิ้น คือแปลว่าเมื่อดับกิเลส
ได้หมดสิ้นแล้ว ดับอวิชชาได้แล้ว อวิชชาเป็นหัวหน้า
ใหญ่ของกิเลสทั้งหลาย หรือจะว่าอาสวะเป็นหัวหน้า
ใหญ่ของกิเลสทั้งหลายก็ได้ เมื่อดับได้แล้วก็
เป็นอันว่าเสร็จกิจ ไม่ต้องปรุงไม่ต้องแต่งกันต่อไป
ดังที่ตรัสเอาไว้ว่า จิตถึงวิสังขาร
คือธรรมะที่ปราศจากความปรุงแต่ง ไม่มี
ความปรุงแต่งอันหมายถึงนิพพาน เพราะสิ้นตัณหา
ทั้งหลาย
ก็เป็นอันว่าจิตนี้หยุดปรุงแต่งเพราะละอวิชชาได้
จิตประกอบด้วยวิชชา คือความรู้แจ่มแจ้งถูกต้องตาม
ความจริง วิมุตติ คือความหลุดพ้น เรียกว่า
เป็นจิตที่รู้พ้น จิตนี้รู้อะไร ๆ
ทุกอย่างทางอายตนะตาหูเป็นต้น แต่รู้แล้วก็ไม่ยึด
หลุดพ้นทุกอย่าง เป็นจิตที่รู้พ้น
จิตที่รู้ก็คือจิตที่มีวิชชา จิตที่พ้นก็คือจิตที่มีวิมุตติ รู้พ้น
จึงเป็นจิตที่บรรลุวิสังขารที่เรียกว่านิพพาน
คือธรรมะที่ไม่มีสังขาร ไม่ปรุงแต่งอะไรทั้งสิ้น
ไม่ปรุงแต่งบุญไม่ปรุงแต่งบาป ไม่ปรุงแต่งอเนญชา
ทั้งหมด อยู่กับรู้และพ้น ในเมื่อวิบากขันธ์นี้ยังดำรง
อยู่ ก็คงมีกายสังขารปรุงแต่งกาย อย่างหายใจ
เข้าหายใจออก มีวจีสังขารคือวิตกวิจาร ตรึกตรอง
พูด มีจิตตสังขาร สัญญาเวทนา คิดตรึกตรองเป็นต้น
ดังพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้ตรัสรู้แล้ว
จิตของพระองค์ดับกิเลสและกองทุกข์ได้สิ้นแล้ว
ดับอวิชชาได้แล้ว จิตของพระองค์อยู่กับวิชชาวิมุตติ
แต่พระกายก็ยังหายใจเข้าหายใจออก และ
ยังทรงมีวิตกวิจาร แสดงธรรมะสั่งสอนก็
เป็นพระวาจาที่แสดงออกมา วิตกวิจารหรือวิชชาคือ
ความรู้ วิมุตติคือความพ้น จิตของพระองค์ก็ยัง
เป็นจิตตสังขารมีสัญญาเวทนานี้ปรุงแต่งจิตให้คิด
จึงทรงตรึกตรอง ทรงพระญาณดูสัตว์ทั้งหลาย
ในตอนเช้า เมื่อผู้ใดเข้าในข่ายของพระญาณว่า
เป็นเวไนยชน คือบุคคลที่พึงแนะนำอบรมได้
ก็เสด็จไปทรงแสดงธรรมะโปรด ก็เป็นอันว่า
กายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร ของพระองค์นั้น
เป็นวิบากขันธ์ที่เหลืออยู่และก็ทรง
ใช้วิบากขันธ์ที่เหลืออยู่นี้ด้วยพระมหากรุณา
ทรงแสดงธรรมะสั่งสอนโปรดให้เวไนยนิกรพ้น
จากกิเลสและกองทุกข์ตามพระองค์ซึ่งต้องใช้
อยู่ตลอดเวลาถึง ๔๕ ปี จึงดับขันธปรินิพพาน
ดับกายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขาร แต่
เพราะสิ้นกิเลสหมดสิ้นแล้ว จึงไม่ทรงเกิดอีก
ไม่ก่อเกิดกายสังขาร วจีสังขาร จิตตสังขารคือขันธ์
๕ หรือนามรูปขึ้นอีก เป็นผู้ไม่เกิด เมื่อไม่เกิดก็เป็นผู้ที่
ไม่แก่ไม่ตาย พ้นจากถ้อยคำที่จะพูดถึงว่าเป็นอะไร
เพราะเมื่อพูดถึงว่าเป็นอะไร ก็ต้องเป็นสังขารขึ้นมา
ต้องเป็นนั่นเป็นนี่ขึ้นมาจึงจะพูดถึงได้ แต่เมื่อไม่
เป็นสังขาร ไม่เป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมา ไม่เป็นนั่น
เป็นนี่ขึ้นมา ก็ไม่มีอะไรจะพูดถึง อาจกล่าว
ได้แต่เพียงว่า เป็นอมตธรรม ธรรมะที่ไม่ตาย ที่
เป็นวิสังขาร ไม่มีการปรุงแต่ง
หรือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งหมด แต่ตราบใดที่
ยังมีอวิชชาอยู่ ก็จะต้องมีสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่ง
กายผสมปรุงแต่ง ต้องทำบุญต้องทำบาปต้องทำสมาธิ
ตลอดจนถึงต้องปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ เป็นต้นกันไป
ดับอวิชชาได้แล้วก็ดับสังขารหรือสิ่งผสมปรุงแต่ง
ได้หมดสิ้น
เพราะฉะนั้น เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงเกิดสังขาร
สิ่งผสมปรุงแต่งหรือการผสมปรุงแต่งดั่งนี้
และสิ่งผสมปรุงแต่ง
หรือการผสมปรุงแต่งอันเรียกว่าสังขารนี้ต้องมี
อยู่ตลอดเวลา ดังชีวิตนี้ต้องมีการผสมปรุงแต่งกัน
อยู่ตลอดเวลาดังที่ได้กล่าวมาแล้ว หยุดเมื่อ
ใดก็ดับชีวิตเมื่อนั้น
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๑๒ เมษายน ๒๕๒๘
-------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 13:35 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๓๓ ปฏิจจสมุปบาท ข้ออวิชชา สังขาร (๒)
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๓๓ ปฏิจจสมุปบาท ข้ออวิชชา สังขาร (ต่อ)
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
จะได้แสดงขยายความ อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร
หรือ เมื่ออวิชชาเกิดสังขารก็เกิด ต่อไปอีก
อวิชชาปรุงแต่งจิตให้รู้ผิดรู้หลง
อันสังขารนั้นก็ได้แสดงมาแล้วถึงหมวดธรรมต่าง ๆ
ที่มีคำว่าสังขาร และได้แสดง
ความหมายของสังขารที่เป็นส่วนกลาง ๆ อัน
เป็นที่มุ่งหมายว่าอวิชชาเป็นเหตุให้เกิดสังขารในที่นี้ แต่
ยังมีอีกบางหมวด
และลักษณะของสังขารที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้
อันสมควรแสดงรวมเข้าในข้อนี้ด้วย อวิชชาคือความ
ไม่รู้อันหมายถึงไม่รู้ในสัจจะที่เป็นความจริงดังที่
ได้กล่าวมาแล้ว และเกิดขึ้นที่จิตนี้เอง อันหมาย
ถึงจิตที่เป็นวิญญาณธาตุคือธาตุรู้ซึ่งมีอยู่ในบุคคลทุก
ๆ คน บุรุษบุคคลนี้พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอา
ไว้ว่าประกอบด้วยธาตุ ๖ คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ
ธาตุลม ธาตุอากาศ ทั้ง ๕ นี้เป็นธาตุที่ไม่มีความรู้ในตัว
และวิญญาณธาตุคือธาตุรู้เป็นข้อที่ ๖ เพราะฉะนั้น
จึงรู้อะไร ๆ ได้ และวิญญาณธาตุหรือธาตุรู้
หรือที่เรียกว่าจิตในที่นี้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสเอาไว้ว่า
เป็นธรรมชาติประภัสสรคือผุดผ่อง แต่เมื่อยังมิ
ได้ปฏิบัติทำจิตตภาวนาคือการอบรมจิต จิต
หรือธาตุรู้นี้ก็ยังประกอบด้วยอวิชชาคือความไม่รู้
ในสัจจะที่เป็นตัวความจริง อันหมายถึงว่าแม้จะ
เป็นธาตุรู้ แต่ก็เป็นความรู้ผิดรู้หลง ไม่ถูกต้องตาม
ความเป็นจริงเป็นอวิชชา ดังที่ได้แสดงแล้ว แต่
เพราะอวิชชา คือไม่รู้นี้เองจึงเป็นเหตุให้ปรุงแต่ง
ปรุงแต่งเพื่ออะไร ก็เพื่อให้รู้นั้นเอง
เหมือนอย่างบุคคลที่ไม่รู้ในเรื่องอะไร เมื่อ
ต้องการที่จะรู้ในเรื่องนั้นก็ต้องปรุงแต่ง เช่นว่าต้อง
ค้นคว้า ต้องไต่ถามสดับตรับฟัง ต้องสืบสวนสอบสวน
ต้องคิดพินิจพิจารณา เพื่อจะให้รู้ในเรื่องนั้น
นี้คือสังขารคือปรุงแต่ง และเมื่อรู้แล้วก็
เป็นอันว่าหยุดคิด เพื่อที่จะรู้ในเรื่องนั้นได้
แต่ว่าที่ว่าคิดว่ารู้แล้วนั้น บางทีก็ไม่ใช่รู้จริงรู้ถูก
เป็นความรู้ผิดรู้หลงก็มี ก็เป็นอันว่า ก็คง
เป็นอวิชชาคือไม่รู้อยู่นั่นเอง แต่สำคัญว่ารู้
เพราะฉะนั้น จึงยังมีสังขารคือปรุงแต่ง อันหมาย
ความว่า ความรู้ที่คิดว่ารู้นั้นไม่ใช่เป็นตัวความรู้ แต่
เป็นความปรุงแต่งขึ้นว่ารู้ คือไม่ใช่รู้จริง เมื่อไม่
ใช่รู้จริง ความรู้นั้นจึงเป็นความปรุงแต่ง
ปรุงแต่งขึ้นว่ารู้ ไม่ใช่เป็นความรู้จริง ต่อเมื่อเป็น
ความรู้จริง จึงจะไม่ใช่เป็นสังขาร คือความปรุงแต่ง
ความรู้ที่ปรุงแต่งไม่เป็นความรู้จริง
เพราะฉะนั้น วิชชาคือ
ความรู้ที่บังเกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้าในอริยสัจ ๔ ท่าน
จึงได้แสดงไว้ว่า
จักษุ คือดวงตาผุดขึ้น
ญาณ คือความหยั่งรู้ผุดขึ้น
ปัญญา คือความรู้ทั่วถึงผุดขึ้น
วิชชา คือความรู้ถูกต้องผุดขึ้น
อาโลก คือความสว่างผุดขึ้นในธรรมะทั้งหลายที่
ยังมิได้เคยสดับมาก่อนว่านี้ทุกข์ นี้เหตุเกิดทุกข์ นี้
ความดับทุกข์ นี้ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เป็นต้น
ความรู้ที่ผุดขึ้นดั่งนี้ไม่ใช่เป็นความรู้ที่ปรุงแต่ง แต่
เป็นความรู้จริง ส่วนความรู้ที่ปรุงแต่งนั้นยังไม่ใช่
เป็นความรู้จริง แต่เป็น
ความปรุงแต่งต่างหากอันเรียกว่า สังขาร แม้
ความรู้ที่เป็นปริยัติคือที่เล่าเรียน อัน
ได้แก่สดับตรับฟังอ่านท่องบ่นจำทรง
ดังเช่นสดับตรับฟัง อ่าน ท่องบ่น
จำทรงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จำอริยสัจได้ นี้ก็
เป็นสังขารคือเป็นความปรุงแต่งขึ้นของผู้เรียน ไม่ใช่
เป็นความรู้ของตนเอง แต่เป็น
ความรู้ของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสสอนเอาไว้
แล้วก็มาฟัง มาจำทรง เป็นความจำเป็นความจำทรง
ซึ่งเป็นตัวสังขารคือเป็นความปรุงแต่ง ไม่ใช่เป็น
ความรู้ที่เป็นตัวปัญญาของตนเอง จะเป็นความรู้ที่
เป็นปัญญาของตัวเองนั้น ต้องเป็นความรู้ที่ผุดขึ้น ไม่
ใช่คิดขึ้น มิใช่จำเอาไว้ เป็นความรู้ที่ผุดขึ้นโดยที่มิ
ได้คิด มิได้แต่ง มิได้จำ
ดังจะพึงเห็นได้ว่าในปฐมเทศนา
พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาคือธรรมจักรแก่พระปัญจวัคคีย์
ได้ตรัสแสดงถึงทางที่ทรงปฏิบัติมา ทรงละทางที่
เป็นสุดโต่ง ๒ อย่าง ทรงปฏิบัติทางที่เป็นมัชฌิมา ซึ่ง
อยู่ในท่ามกลาง ไม่ข้องแวะด้วยทางสุดโต่งทั้ง ๒ นั้น
อันได้แก่มรรคมีองค์ ๘ จึงได้ตรัสรู้อริยสัจทั้ง ๔
ก็ทรงแสดงอริยสัจทั้ง ๔
และทรงแสดงพระญาณที่มีวนรอบ ๓ มีอาการ
๑๒ ในอริยสัจทั้ง ๔ และ
เพราะพระญาณที่มีวนรอบ ๓ มีอาการ ๑๒
ในอริยสัจทั้ง ๔ นี้ บริสุทธิ์บริบูรณ์แก่พระองค์ จึง
ได้ทรงปฏิญญาพระองค์ว่าได้ตรัสรู้แล้วดั่งนี้
ธรรมจักษุ คือดวงตาเห็นธรรม
ได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระโกณฑัญญะว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้น
ทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา
นี้เป็นตัว ปัญญา
เห็นสังขารเห็นความเกิดดับของสังขาร
จึงชื่อว่าเห็นทุกข์
จะเห็น
ได้ว่าธรรมจักษุที่บังเกิดขึ้นแก่ท่านพระโกณฑัญญะนี้
ไม่เกี่ยวแก่ถ้อยคำที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดง
ในปฐมเทศนานั้น แต่เมื่อท่านพระโกณฑัญญะ ท่าน
ได้ฟังแล้ว ท่านเข้าใจ ความเข้าใจของท่านนั้น
ก็ผุดขึ้นมาแก่ท่านว่า
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้น
ทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา
คือท่านเห็นเกิดดับของทุก ๆ สิ่งที่เกิดขึ้น ก็และอันทุก ๆ
สิ่งที่เกิดดับนี้เป็นตัวสังขารคือเป็นสิ่งผสมปรุงแต่ง
สิ่งที่มีที่เป็นขึ้นทุกอย่างในโลกนี้
เป็นสิ่งผสมปรุงแต่งทุกอย่างดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
เพราะฉะนั้น จึงต้องเกิดดับเป็นธรรมดา
เห็นเกิดเห็นดับคู่กันไปในขณะเดียวกัน นี้
เป็นตัวธรรมดาหรือเป็นธรรมะของทุก ๆ สิ่งทุก ๆ
อย่างในโลก ที่มีเกิดขึ้นก็ต้องมีดับ
นี้แหละคือตัวสังขาร และเมื่อเห็นสังขาร
และเห็นเกิดดับของสังขารจึงชื่อว่าเห็นทุกข์ ซึ่ง
เป็นทุกขสัจจะ สภาพที่จริงคือทุกข์
ก็คือทุกขอริยสัจที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงไว้
ในปฐมเทศนานั้นเอง
แต่ว่าความรู้ที่ผุดขึ้นแก่ท่านนั้น ไม่
ได้อิงพยัญชนะถ้อยคำในปฐมเทศนา แต่ว่าเป็น
ความรู้ที่ผุดขึ้นซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นอรรถรส หรือ
เป็นสาระคือแก่นสารของเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง
นั้น อันจะเปรียบได้ว่า
เทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง
หรือที่พระสาวกแสดงกันต่อมาก็ตาม ซึ่งทุก ๆ คน
ได้สดับตรับฟัง ได้เล่าเรียนศึกษาได้ท่องบ่นจำทรง
ก็เหมือนอย่างอาหารที่จัดใส่ไว้ในสำรับ
และที่ทุกคนก็ตักหยิบบริโภคคือนำเข้าใส่ปาก
อาหารเหล่านี้ก็รวมกันและกลืนลงไปสู่ท้อง เมื่อ
เข้าไปสู่ท้องแล้วก็ต้องย่อยให้โอชะของอาหาร
นั้นแผ่ไปเลี้ยงร่างกาย ถ้าหากว่า
ไม่ย่อยเอาโอชะของอาหารนั้นไปเลี้ยงร่างกาย
อาหารที่บริโภคเข้าไปนั้นไม่ย่อยก็กลายเป็นพิษ ทำ
ให้ปวดท้อง ทำให้เป็นโรค
ต่อเมื่อย่อยเอาโอชะไปเลี้ยงร่างกาย และส่วนกาก
นั้นก็เป็นอาหารเก่าถ่ายทิ้งต่อไป
ใช้แต่โอชะของอาหารนั้นไปเลี้ยงร่างกายเท่านั้นดังนี้
อาหารนั้นจึงจะสำเร็จประโยชน์
แผ่ไปเลี้ยงร่างกายได้ ธรรมะที่ฟังก็ฉันนั้น
ก็เหมือนอย่างอาหารที่ยังใส่อยู่ในสำรับ แม้ที่หยิบ
ใส่ปากเคี้ยวก็เป็นสิ่งนั้นเป็นสิ่งนี้ แต่ว่าที่จะ
เป็นธรรมะที่เป็นธรรมจักษุดวงตาเห็นธรรมขึ้น
นั้น จะต้องใช้ปัญญาย่อย ย่อยให้เหลือแต่โอชะ
โอชะของถ้อยคำ โอชะของปริยัติ โอชะของแบบแผน
ส่วนที่เป็นกากที่ไม่ใช่โอชะนั้นก็วางทิ้งไป
ให้เหลือแต่โอชะ
ฉันใดก็ดี เมื่อท่านพระโกณฑัญญะฟังธรรม ท่านก็มิ
ได้จับเอาพยัญชนะถ้อยคำมิได้จับเอาปริยัติ
แต่ว่าย่อยปริยัติคือย่อยถ้อยคำนั้น
ด้วยปัญญาที่พิจารณา จน
ได้โอชะของปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้าผุดขึ้นแก่ท่าน
คือท่านเห็นเกิดดับ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น
เป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไป
เป็นธรรมดา เป็นความเห็นเกิดดับที่ผุดขึ้นมา
เพราะฉะนั้น ข้อความ
ในธรรมจักษุของท่านพระโกณฑัญญะนั้น จึงคล้าย
ๆ กับเป็นคนละเรื่องกับปฐมเทศนา แต่อันที่จริงนั้นไม่
ใช่เป็นคนละเรื่อง แต่เป็นตัวโอชะของปฐมเทศนานั้น
อันนี้แหละเป็นสิ่งสำคัญ ฉะนั้น ที่จะเห็นธรรมะได้
นั้นก็อาศัยถ้อยคำนั่นแหละ อาศัยปริยัตินั่นแหละ
แต่ว่าจับเอาโอชะของปริยัติของถ้อยคำนั้นได้
เป็นสาระคือตัวแก่นสารจริง ๆ ให้ความรู้ดั่งนี้ผุดขึ้น
นั่นแหละจึงจะเป็น ธรรมจักษุ คือดวงตาเห็นธรรม
เป็น วิชชา
และเมื่อเป็นวิชชาแล้วก็สิ้นสงสัย ไม่ต้องคิดปรุงแต่ง
กันอีกต่อไป แต่ที่ยังต้องปรุงแต่งกันอยู่นั้น ก็เพราะ
ยังมีอวิชชาคือความไม่รู้ ไม่รู้ในสัจจะที่เป็นตัว
ความจริง ในข้อนี้เห็นได้ธรรมดาทั่วไป
ดังเช่นเมื่อเห็นอะไรทางตา เพราะอวิชชาคือไม่รู้
ในรูปที่ตาเห็นนั้น จึงได้ยึดถือและก็ปรุงแต่งรูปนั้น
ว่านี่สวยนี่งามนี่ไม่สวยนี่ไม่งาม นี้
เป็นสังขารคือปรุงแต่งขึ้นมาแล้ว แต่ง
ให้รูปที่ตาเห็นนั้นว่างามบ้างไม่งามบ้าง และเมื่อแต่ง
ให้เห็นว่างามบ้างไม่งามบ้างขึ้นแล้ว
กิเลสก็เกิดขึ้นจับทันที
เมื่อแต่งให้เห็นว่างาม ราคะ ความติดความยินดี โลภะ
ความโลภอยากได้ก็บังเกิดขึ้น
เมื่อเห็นว่าไม่งาม ก็ไม่สนใจ หรือว่า โทสะ ปฏิฆะ
ความหงุดหงิดกระทบกระทั่งขัดเคืองก็บังเกิดขึ้น ก็
เป็นความปรุงแต่งที่เพิ่มเติมขึ้นไปอีก
เหล่านี้สังขารทั้งนั้น คือใจปรุงขึ้นทั้งนั้น
ว่างามก็ใจปรุงขึ้น ว่าไม่งามก็ใจปรุงขึ้น ทั้งนี้ก็
เพราะว่ายังมีอวิชชาคือไม่รู้ คือไม่รู้ว่านี่คือสังขาร
รูปที่ตาเห็นนี้คือสังขารเป็นสิ่งที่เกิดดับ เห็นรูปนั้นก็
เป็นเกิด แล้วก็รูปนั้นก็ดับทันที คือหมาย
ความว่าการเห็นนั้นเป็นปัจจุบันแล้วก็เป็นอดีตไปทันที
เมื่อเป็นอดีตก็คือว่าดับไปแล้ว อันที่จริง
นั้นเมื่อคนเห็นอะไรทางตา รูปที่ตาเห็น
นั้นก็เกิดดับไปทันทีในขณะนั้น และเห็นรูป
อื่นขึ้นอีกก็เกิดดับไปทันทีในขณะนั้น แต่คราวนี้ยัง
ไม่ดับอยู่ในใจ เพราะว่าจิตใจนี้ยังมีอวิชชาคือ
ไม่รู้ว่านี่คือตัวทุกข์ เป็นตัวสังขาร เป็นสิ่งที่เกิดดับ เมื่อ
เป็นดั่งนี้จึงยึดถือ ยึดถือเอารูปนั้นมาตั้งอยู่ในใจ
เพราะฉะนั้น รูปนั้นจึงไม่ดับอยู่ในใจ
เป็นที่ตั้งของราคะบ้าง ของโทสะบ้าง
หรือว่าของโลภะบ้าง โทสะบ้างสืบต่อไป นี้
เป็นสังขารตัวปรุงแต่งทั้งนั้น
คราวนี้เมื่อเห็นรูปอะไรทางตา
แล้วรู้ทันทีว่าเกิดดับ รูปที่เห็นในบัดนี้เกิด
ในบัดนี้ก็ดับไปในบัดนี้แล้ว คือผ่านไปแล้วเป็นอดีตไป
แล้ว ถ้าเห็นเกิดดับทันทีดั่งนี้แล้ว จะไม่เกิด
ความปรุงแต่ง คือไม่ยึดเอารูปที่ดับไปแล้ว
นั้นมาปรุงแต่งในใจว่างามหรือไม่งาม และก็เกิดชอบ
หรือเกิดชังขึ้นมา ก็เป็นสังขารคือปรุงแต่งสืบต่อไป
อวิชชาจึงเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารคือปรุงแต่งขึ้นดั่งนี้
แต่ว่าถ้ารู้แล้วก็จะหยุดปรุงแต่งทันที ไม่ปรุงแต่ง
ปล่อยให้รูปที่ตาเห็นนั้น รู้ว่าดับไปแล้ว เสียงที่
ได้ยินก็ดับไปแล้ว จะ
เป็นเสียงสรรเสริญเสียงนินทาก็ดับไปแล้ว
กลิ่นรสโผฏฐัพพะเรื่องราวที่บังเกิดขึ้น
ในใจที่คิดที่นึก เกิดก็ดับไปแล้ว คือเป็นอดีตไป
แล้วทันทีคู่กันไปกับเกิด เกิดดับเกิดดับไปทันที
ดังนี้เรียกว่า ธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรม เมื่อ
เป็นวิชชาขึ้นมาดังนี้แล้ว ก็จะหยุดไม่ปรุงแต่ง
ในสิ่งเหล่านี้ ว่าเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แล้วก็ชอบ
แล้วก็ชังกันเป็นต้นต่อไป ซึ่งเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้
ชอบหรือชังเป็นต้นต่อ ๆ ไปนั้น ก็เป็นความปรุง
ความแต่งทั้งสิ้นเป็นสังขารทั้งสิ้น
คือใจนี้เองปรุงขึ้นแต่งขึ้น แต่งเอาสิ่งที่ผ่านไปแล้วว่า
ยังมีอยู่ อันนี้แหละเป็นสิ่งสำคัญคือไม่เห็นเกิดดับ
ความเห็นเกิดดับเป็นธรรมจักษุ
เพราะฉะนั้น ความเห็นเกิดดับที่เป็นธรรมจักษุนี้จึง
เป็นสิ่งสำคัญมาก ฟังธรรมะทุกข้อทุกบทที่จะ
เป็นตัวธรรมจักษุคือดวงตาเห็นธรรมนั้น
ซึ่งก็คือเห็นเกิดดับนี้เอง และเมื่อเห็นเกิดดับ ก็ไม่
ใช่หมายความว่า
เห็นเกิดดับเฉพาะตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้
แต่ว่าทำให้เห็นเกิดดับในธรรมะคือในสิ่งที่เป็นปัจจุบัน
ในโลกที่เป็นปัจจุบันนี้ทุกอย่าง
คือสิ่งที่มาประสบทางตาเป็นรูปที่ตาเห็น
มาประสบทางหูเป็นเสียงที่หูได้ยิน เป็นกลิ่นเป็นรส
เป็นโผฏฐัพพะที่จมูกที่ลิ้นที่กายได้ทราบ และ
เป็นธรรมะเรื่องราวต่าง ๆ ที่ใจ
ได้คิดนึกที่รู้เหล่านี้ทั้งสิ้น ที่ประสบพบผ่านอยู่
ทั้งขณะนี้ เมื่อประสบพบผ่านขึ้นเมื่อใด ก็เกิดดับไปเมื่อ
นั้นทันที คู่กันไปเลย ไม่มีเหลืออยู่ นี้เป็นวิชชา เมื่อ
เป็นวิชชาขึ้นมาดั่งนี้ได้จริง ๆ แล้ว ก็
จะหยุดปรุงหยุดแต่ง หยุดยึด ไม่ยึดให้
เป็นสังโยชน์คือข้อที่ผูกพันจิตใจอยู่ จิตใจไม่ผูกพันอยู่
กับสิ่งเหล่านั้น สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ผูกพันจิตใจอยู่ และ
ไม่ปรุงแต่งว่าสิ่งเหล่านั้นงามหรือไม่งามดีหรือไม่ดี
ชอบใจหรือไม่ชอบใจ กิเลสที่
เป็นกองราคะโทสะโมหะ ก็ไม่บังเกิดขึ้น ซึ่งล้วน
เป็นสังขารคือสิ่งปรุงแต่งทั้งสิ้น
ดับอวิชชา ดับสังขาร ด้วยวิชชา
เพราะฉะนั้น ธรรมจักษุที่เป็นตัวเห็นทุกข์นั้น จึง
ต้องเห็นเกิดดับ และเมื่อเห็นเกิดดับก็ชื่อว่าเห็นทุกข์ ฉะ
นั้น จะเห็นทุกข์ได้ก็ต้องเห็นสังขาร คือเห็นว่า
เป็นสังขาร สิ่งผสมปรุงแต่ง และเมื่อเห็นสังขารก็
จะเห็นเกิดดับของสังขาร เมื่อเป็นดั่งนี้รวมกัน
เข้าก็ชื่อว่าเห็นทุกข์ ต้องอาศัยวิชชาจึงจะเห็นทุกข์
เห็นสังขาร เห็นเกิดดับ และเมื่อเห็น
เป็นวิชชาขึ้นดังนี้ก็หยุดปรุงหยุดแต่ง หยุดกิเลสได้
ในสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ในโลก แต่ที่ทุกคนยังต้องยึด ยัง
ต้องปรุง ยังต้องแต่ง เป็นตัวสังขารอยู่นี้ก็
เพราะอวิชชาคือไม่รู้ คือไม่เห็นเกิดดับของสิ่ง
ทั้งหลายในโลก
ในขณะที่ประสบพบผ่านทางตาทางหูเป็นต้น จึงต้องยึด
ต้องปรุงต้องแต่งก็ใจนี้เอง นี้
เป็นสังขารคือการผสมปรุงแต่งเท่า
นั้นที่บังเกิดขึ้นจิตใจ อวิชชาจึงทำให้เกิดสังขารขึ้น ดังนี้
และก็กล่าวได้ว่าก็เพราะอวิชชานี้เองก็จะทำ
ให้เกิดวิชชาขึ้น คือทำให้เกิดปรุงแต่งเพื่อที่จะรู้
จะเห็นขึ้นดังที่เมื่อ
ได้ฟังพระธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเอา
ไว้เช่นดังที่นำมาแสดงนี้ก็ตั้งใจที่ปฏิบัติในศีลในสมาธิ
ในปัญญา หรือในมรรคมีองค์ ๘ ขึ้นมา
และเมื่อปฏิบัติได้ ดังนี้ ก็จะได้วิชชาคือความรู้ ตรง
กันข้ามกับอวิชชา คืออวิชชาก็จะดับไป วิชชาก็
จะบังเกิดขึ้น ก็จะทำให้หยุดปรุง หยุดแต่งในที่สุดได้
เพราะฉะนั้น ก็กล่าวได้อีกว่า ก็เพราะอวิชชานี้เอง
เป็นปัจจัยให้เกิดปรุงแต่ง เพื่อที่จะรู้เป็นวิชชาขึ้นมา
และเมื่อเป็นวิชชาขึ้นมา อวิชชาดับ
ก็หยุดปรุงหยุดแต่ง เพราะว่ารู้แล้วก็ไม่
ต้องปรุงแต่งกัน ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
เมื่อเห็นเกิดเห็นดับทุก ๆ
อย่างที่ประสบพบผ่านทางตาทางหูเกิดดับอยู่ในปัจจุบัน
ทุกอย่างไม่มีอะไรเหลืออยู่ ก็ไม่มีอะไรที่จะไปยึดถือ
เพราะว่าดับไปแล้วจึงไม่ต้องคิดปรุงคิดแต่งว่างาม
หรือไม่งาม ดีหรือไม่ดี แล้วก็เกิดยินดีหรือเกิด
ความยินร้าย ก็เป็นอันว่าหมดเรื่องกันไป เพราะฉะ
นั้น อวิชชาจึงเป็นเหตุให้เกิดสังขารคือความปรุงแต่ง
และเมื่อเป็นวิชชาขึ้นมาก็หยุดสังขารคือ
ความปรุงแต่งได้
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๑๓ เมษายน ๒๕๒๘
-------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 13:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๓๔ ปฏิจจสมุปบาท ข้อสังขาร วิญญาณ
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๓๔ ปฏิจจสมุปบาท ข้อสังขาร วิญญาณ
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
ได้แสดงอธิบายข้อสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ
ตามพระเถราธิบายของท่าน พระสารีบุตรมา
โดยลำดับ พระเถราธิบายของท่านนั้นก็
ได้แสดงข้อสัมมาทิฏฐิ จับตั้งแต่เบื้องต้น
และเลื่อนขึ้นสู่ธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น
อันเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท นับแต่ชรามรณะ มี
เพราะชาติสืบไปจน
ถึงอวิชชาอาสวะแต่ละข้อก็แจกออกเป็น ๔
ตามหลักอริยสัจทั้ง ๔ และในการอธิบาย ก็
ได้อธิบายในข้อที่ ๑ ของแต่ละหมวด เมื่อจบแล้วก็
ได้จับอธิบายในข้อที่ ๒ ของแต่ละหมวด คือเป็นปัจจัย
ให้บังเกิดกันขึ้นได้อย่างไร จับแต่
เพราะอาสวะบังเกิดขึ้นอวิชชาจึงเกิดอย่างไร
เพราะอวิชชาบังเกิดขึ้นอาสวะจึงเกิดอย่างไร อันนับว่า
เป็นการแสดงอริยสัจสายสมุทัยที่สุดยอด จับอาสวะ
และอวิชชาหรืออวิชชาและอาสวะ
เป็นสุดยอดขอสายสมุทัยเหตุให้เกิดทุกข์
และก็แสดงถอยลงมาว่า
เพราะอวิชชาเกิดสังขารเกิดขึ้นอย่างไร
จึงมาถึงในข้อว่า เพราะสังขารเกิดวิญญาณจึงเกิด
ธาตุ ๕ ผสมปรุงแต่งขึ้นเป็นสังขาร
สังขาร นั้นก็ได้แสดงอธิบายแล้ว กล่าวรวม ๆ ก็
ได้แก่สิ่งที่ผสมปรุงแต่งหรือการผสมปรุงแต่ง
ซึ่งตามพระเถราธิบายก็ได้ยกเอา
กายสังขาร เครื่องปรุงแต่งกาย อันได้แก่ลมหายใจ
เข้าลมหายใจออก
วจีสังขาร เครื่องปรุงแต่งวาจา ก็ได้แก่วิตกวิจาร
ความตรึกความตรอง
จิตตสังขาร เครื่องปรุงจิต ก็ได้แก่สัญญาเวทนา
อาศัยสังขารทั้ง ๓ นี้ จึงมีการทำบุญทำบาป
มีการปฏิบัติสมาธิจนถึงอัปปนาสมาธิได้
ทำบุญเรียกว่า ปุญญาภิสังขาร ปรุงแต่งบุญ
ทำบาปก็เรียกว่า อปุญญาภิสังขาร ปรุงแต่งบาปที่ไม่
ใช่บุญ
ทำสมาธิจนถึงอัปปนาสมาธิก็เรียกว่า
อเนญชาภิสังขาร ปรุงแต่งธรรมะที่ไม่หวั่นไหว
และก็ได้แสดงแล้วว่า กายและใจนี้ของทุกคน
ซึ่งรวมเรียกว่าอัตภาพนี้เป็นสังขาร
คือสิ่งผสมปรุงแต่ง ต้องมีการปรุงแต่ง
อยู่ตลอดเวลาหยุดไม่ได้ ชีวิตจึงดำรงอยู่
และการที่จะเข้าใจในข้อว่า
เพราะสังขารเกิดขึ้นวิญญาณจึงเกิด หรือ
เพราะสังขารเป็นปัจจัยวิญญาณจึงเกิดขึ้น ดังที่
ได้แสดงถึงชาติกำเนิดของสัตว์ บุคคล
ซึ่งมีพระพุทธภาษิตแสดงเอาไว้ว่า บุรุษบุคคลนี้มีธาตุ
๖ คือ ปฐวีธาตุ ธาตุดิน อาโปธาตุ ธาตุน้ำ เตโชธาตุ
ธาตุไฟ วาโยธาตุ ธาตุลม อากาศธาตุ ธาตุอากาศ
และวิญญาณธาตุ ธาตุวิญญาณ ซึ่งแปลกันว่า ธาตุรู้
ธาตุ ๕ ข้างต้น คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ
ธาตุลมธาตุอากาศ คือช่องว่าง เป็นรูปธาตุ ธาตุที่เป็น
ส่วนรูป ไม่มีความรู้อยู่ในตัว หรือเรียกว่าเป็นส่วนที่
เป็นวัตถุ
วิญญาณธาตุเข้ามาประกอบกับธาตุ ๕ เป็นสัตว์บุคคล
เมื่อธาตุทั้ง ๕ นี้มาเป็นสังขารคือผสมปรุงแต่งกันขึ้น
ดังที่มีพระบาลีแสดงไว้ถึงความเกิดขึ้นของบุคคล
ในครรภ์ของมารดาว่าเริ่มตั้งต้นแต่เป็นกลละ
ซึ่งเปรียบเหมือนเป็นหยดน้ำที่ละเอียดที่สุดติด
อยู่ที่ปลายขนทราย ซึ่งในกลละนี้ก็กล่าวได้ว่า
ธาตุดินธาตุน้ำธาตุไฟธาตุลมธาตุอากาศได้รวมกัน
อยู่วิญญาณจึงลงปฏิสนธิ อันเรียกว่า
ปฏิสนธิวิญญาณ ก็คือธาตุรู้
วิญญาณธาตุ ธาตุรู้ เข้ามาประกอบ เริ่ม
เป็นสัตว์บุคคล เพราะว่าจะเป็นบุคคลชายหญิง ก็
ต้องประกอบด้วยธาตุทั้ง ๖ คือต้องมีวิญญาณธาตุ
ธาตุรู้เข้ามาประกอบด้วย และวิญญาณธาตุ ธาตุรู้
นี้ก็เข้าสู่ปฏิสนธิในครรภ์มารดา ในเมื่อธาตุทั้ง ๕
ประกอบกันพร้อมเป็นสังขาร คือผสมปรุงแต่ง
วิญญาณจึงเข้าปฏิสนธิ ซึ่งมีพระบาลีเรียกว่า
คันธัพพะ (ดูเชิงอรรถ ๑) คนธรรพ์ หมายถึงสัตว์ที่
จะบังเกิดก็เข้าสู่ครรภ์ ก็คือปฏิสนธิวิญญาณนั้นเอง
เกิดวิถีวิญญาณหรือวิญญาณ ๖ เพราะสังขาร
เพราะฉะนั้น เพราะสังขารคือ
ส่วนผสมปรุงแต่งนี้เกิด วิญญาณ
จึงเกิดมาตั้งแต่เบื้องต้นดังนี้ และแม้เมื่อก่อเกิด
เป็นบุคคลชายหญิง มีธาตุ ๖ ดังกล่าวสมบูรณ์
โดยลำดับตั้งแต่ในครรภ์ของมารดาจน
ถึงเมื่อคลอดออกมาแล้ว กายใจอันนี้ก็
ต้องผสมปรุงแต่งกันอยู่เป็นกายสังขาร วจีสังขาร
จิตตสังขาร วิญญาณจึงบังเกิดขึ้น
วิญญาณที่บังเกิดขึ้นถัดมาจากปฏิสนธิวิญญาณก็
เป็นวิถีวิญญาณ ก็คือวิญญาณ ๖
รู้ทางตาคือเห็นรูปเรียกว่า จักษุวิญญาณ
รู้ทางหูคือได้ยินเสียงก็เรียกว่า โสตวิญญาณ
รู้ทางจมูกทางลิ้นทางกายก็เรียกว่า ฆานวิญญาณ
ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ
รู้ทางมโนคือใจซึ่งเรื่องราว
ทั้งหลายที่ใจคิดใจรู้ก็เรียกว่า มโนวิญญาณ
เกิดกายสังขาร เกิดวิญญาณ
แม้วิถีวิญญาณดังกล่าวนี้จะบังเกิดขึ้นก็
ต้องอาศัยกายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขาร
ปรุงแต่งกันอยู่ วิญญาณจึงเกิดได้ ดังจะพึงเห็นได้ว่า
กายสังขาร เครื่องปรุงกาย ได้แก่ ลมหายใจ
เข้าออก ซึ่งต้องหายใจเข้าออกกันอยู่ตลอดเวลาหยุด
ไม่ได้
ดับกายสังขาร ดับวิญญาณ
เมื่อเป็นดั่งนี้ วิญญาณจึงเกิดขึ้น
ได้ตามวิถีคือทางตาทางหูเป็นต้นดังที่กล่าวมาแล้ว
ถ้าหากว่าดับลมหายใจเข้าออก
กายนี้แตกสลายวิญญาณก็ดับ ชีวิตนี้ย่อมมีความตาย
เป็นที่สุดเหมือนกันหมด ก็คือว่าจะต้องถึงเวลาหนึ่งซึ่ง
จะต้องหยุดหายใจ ที่เรียกว่าตายหรือสิ้นชีวิต
ก็แปลว่าดับกายสังขาร ดับลมหายใจเข้าออก
วิญญาณก็ดับไม่เกิด ดังที่ได้มีพระพุทธภาษิตแสดงเอา
ไว้ว่า
อจิรํ วตยํ กาโย ปฐวึ อธิเสสฺสติ
ไม่นานหนอกายนี้จักนอนทับแผ่นดิน
ฉุฑฺโฑ อเปตวิญฺญาโณ มีวิญญาณไปปราศ
แล้วคือปราศจากวิญญาณต้องถูกทอดทิ้ง
นิรตฺถํ ว กลิงฺครํ เหมือนอย่างท่อนไม้ท่อนฟืน
ไม่มีประโยชน์
เกิดวจีสังขาร เกิดวิญญาณ
และแม้วจีสังขาร เครื่องปรุงแต่งกาย วิตกวิจาร
ไม่เกิดขึ้น คือเมื่อไม่คิดไม่นึก ไม่ตรึกไม่ตรอง
ถึงเรื่องอะไร วิญญาณก็ไม่เกิดขึ้นในเรื่องอันนั้น
ต่อเมื่อตรึกตรองคิดนึกถึงเรื่องอันใด วิญญาณ
จึงเกิดขึ้นในเรื่องอันนั้น เพราะฉะนั้น เมือความตรึก
ความตรองความคิดความนึกดับ วิญญาณก็ดับ เมื่อ
ความตรึกความตรองคิดนึกบังเกิดขึ้น
วิญญาณก็เกิดขึ้นในเรื่องที่ตรึกตรองคิดนึกนั้น
เกิดจิตตสังขาร เกิดวิญญาณ
แม้จิตตสังขารคือสัญญาเวทนาก็เช่นเดียวกัน
เมื่อมีสัญญาเวทนา จิตจึงจะคิดนึกตรึกตรอง วิญญาณ
จึงเกิดขึ้นในเรื่องที่จิตคิดนึกตรึกตรองนั้น
เพราะว่าจิตจะคิดนึกตรึกตรองได้ ก็
เพราะมีเวทนามีความรู้เป็นสุขเป็นทุกข์เป็นกลาง ๆ
ไม่ทุกข์ไม่สุข มีสัญญาจำได้หมายรู้อยู่ในเรื่องอันนั้น
จิตจึงคิดถึงเรื่องอันนั้นได้ ถ้าไม่มีเวทนา
ยกตัวอย่างเช่นฉีดยาชาที่ร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่ง หมด
ความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์ที่ร่างกายส่วนนั้น แม้
จะเอามีดมาผ่าตัดอย่างหมอผ่าตัดคนไข้
ความรู้สึกเจ็บก็ไม่มี เมื่อความรู้สึกเจ็บไม่มี ก็ไม่ทำ
ให้เกิดความคิดถึงส่วนนั้น วิญญาณก็ไม่เกิดขึ้นในส่วน
นั้น ต่อเมื่อมีความรู้สึกเจ็บขึ้นในส่วนนั้น วิญญาณจึง
จะเกิดขึ้นในส่วนนั้น คือเป็นความรู้
รู้ทางกายที่เรียกว่ากายวิญญาณ แต่เมื่อกายส่วนนั้น
ไม่มีความรู้สึกเจ็บ กายวิญญาณก็ไม่เกิดขึ้นในส่วนนั้น
มาถึงสัญญาความจำก็เช่นเดียวกัน จิตจะคิดจะนึก
ถึงเรื่องอันใดก็เพราะจำเรื่องอันนั้นได้ ถ้าลืมเสีย
แล้วก็ไม่มีอะไรที่จะคิดนึกได้ จะคิดนึกได้ก็คิดนึกได้
ในเรื่องที่จำได้เท่านั้น ถ้าจำไม่ได้หรือไม่จำก็คิดนึกไม่
ได้ วิญญาณก็บังเกิดขึ้นในเรื่องนั้นไม่ได้
เพราะฉะนั้น เมื่อมีสัญญามีเวทนา จิตคิดถึงเรื่องอันใด
อาศัยสัญญาเวทนา ก็เกิดวิญญาณขึ้นในเรื่องนั้นตามวิถี
ถ้าดับสัญญาเวทนาเสีย วิญญาณก็ดับ ยกตัวอย่างง่าย ๆ
ดังเช่น โสตวิญญาณ วิญญาณทางหูคือได้ยินเสียง
ในขณะนี้กำลังแสดงธรรมบรรยายเป็นเสียง
เป็นเสียงที่ไปกระทบโสตประสาทคือกระทบหู
จิตตั้งใจฟัง ก็หมายความว่ามีสัญญามีเวทนาอยู่
ในเสียงที่ไปกระทบโสตประสาท โสตวิญญาณ
ความรู้เสียงทางหูจึงบังเกิดขึ้นคือได้ยิน ได้ยินถ้อยคำที่
ได้แสดงนี้ แต่ถ้าจิตไม่ตั้งอยู่ในเสียงที่แสดงนี้
ส่งจิตไปคิดถึงเรื่องอื่น ก็ไปมีสัญญาเวทนาในเรื่อง
อื่นที่ส่งจิตไปนั่น วิญญาณก็ไปบังเกิดขึ้นในเรื่องอื่นนั้น
แต่ว่าวิญญาณไม่บังเกิดขึ้นในเสียงที่กำลังแสดงอยู่นี้
แปลว่าหูดับ แม้ว่าเสียงที่แสดงนี้
จะไปกระทบโสตประสาทอยู่เป็นปกตินั่นแหละ
โสตประสาทก็ดีอยู่ แต่ว่าจิตไม่ตั้งใจฟัง จิตไปคิด
ถึงเรื่องอื่น หูก็ดับจากเสียงที่กำลังแสดงนี้ ไม่ได้ยิน
ไม่เกิดโสตวิญญาณในเสียง แต่ว่าไปเกิดมโนวิญญาณ
ในเรื่องต่าง ๆ ที่ส่งจิตไปคิดถึงนั้น
โสตวิญญาณทางหูนี้ก็ดับไปเกิดมโนวิญญาณ
ในเรื่องที่คิดไป
เพราะฉะนั้น จึงต้องอาศัยสังขาร เมื่อมีสังขาร
จึงมีวิญญาณดังกล่าวนี้ ตั้งแต่ถือกำเนิดเกิดก่อขึ้น
ในครรภ์ของมารดาดังกล่าว
คือตั้งแต่ปฏิสนธิวิญญาณ และมา
ถึงวิถีวิญญาณคือวิญญาณที่บังเกิดขึ้นทางตา ทางหู
ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางมนะคือใจ ก็เช่นเดียวกัน
ต้องอาศัยสังขาร
กายสังขารวจีสังขารมโนสังขารจิตตสังขารดังกล่าวนี้
เป็นปัจจัยจึงได้เกิดวิญญาณขึ้น เป็นวิถีวิญญาณทางตา
ทางหูเป็นต้นตามประเภท เพราะฉะนั้น
เพราะสังขารบังเกิดขึ้นวิญญาณจึงเกิด
ข้อที่ท่านพระสารีบุตรได้แสดงมาโดยลำดับ
เป็นธรรมะที่เป็นเหตุเป็นผลสืบต่อกัน เมื่อ
ได้ตั้งใจฟังและตั้งใจที่จะทำความเข้าใจ ย่อมจะได้
ความเข้าใจในธรรมะ ที่เป็นสัจจะคือ
ความจริงตามเหตุและผล จะทำให้จับเหตุจับผล
ตั้งต้นแต่จับทุกข์จับสมุทัยคือเหตุเกิดทุกข์และทำ
ให้จับเงื่อนต้นเงื่อนปลายได้ เพราะทุก ๆ ข้อที่เป็นเหตุ
เป็นผลสืบต่อกันนั้น ต่างเป็นเงื่อนต้นเงื่อนปลายของ
กันและกันไปทุก ๆ ข้อ และเมื่อจับได้ถูกต้อง ก็ย่อม
จะมีความเข้าใจถึงเหตุและผลอันถูกต้อง
การพิจารณาตามทางที่ท่านแสดงดังนี้ย่อม
เป็นทางเจริญปัญญาและโดยเฉพาะเรียกว่า
เป็นทางวิปัสสนาทางที่ให้เกิดปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง
อันจะทำให้จับสัจจะความจริงที่เป็นตัวเป็นเหตุและ
เป็นผลได้ แม้การที่ปฏิบัติทำสติหรือว่าตั้งสติ
ในกายเวทนาจิตธรรม อันเป็นตัวสติปัฏฐานทุกข้อ ก็
เป็นการพิจารณาจับเหตุจับผลแต่ละข้อเช่นเดียว
กัน ทำให้ได้สมาธิและทำให้ได้ปัญญา
เป็นเครื่องขัดเกลากิเลสไปได้โดยลำดับ
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๒๗ เมษายน ๒๕๒๘
____________________________________
๑. “คนฺธพฺพ” ศัพท์ในอภิธานัปปทีปิกาสูจิ ให้คำแปล
โดยพยัญชนะไว้ว่า บริโภคกลิ่น อ่อนไหว ในสวรรค์
ด้วยอำนาจการขับการฟ้อนเป็นต้น เมื่อเป็นไป
ในอรรถแปลไว้ว่า ๑. คายน (ความขับร้อง) ๒.
คายก (คนขับร้อง) ๓.อสฺส (ม้า) ๔.เทวตนฺตร (
เทพคนธรรพ์) ๕.ตตฺรูปคสตฺต (สัตว์ที่จะเกิด
ในท้องมารดา)
สำหรับในอรรถว่า ตตฺรูปคสตฺต สัตว์ที่จะเกิด
ในท้องมารดานั้น เป็นภาษาพื้นเมืองที่เข้าใจกันอยู่
แล้วโดยทั่วไป มีหลักฐานปรากฏ
ในอัสสลายนสูตร พระพุทธเจ้าตรัส
กับอัสสลายนมาณพ ยกเรื่องอสิตเทวลฤษีว่า ...
เคยมีพราหมณ์ฤษี ๗ คน ผู้มีความเห็นผิด
ในเรื่องวรรณะพราหมณ์ว่า ประเสริฐสุด
ต่อมาอสิตเทวฤษีได้เดินทางไปแก้ทิฏฐิพราหมณ์ฤษีทั้ง ๗
คน ได้ถามคันธัพพปัญหาว่า ท่านรู้หรือ
ไม่ว่าการก้าวลงแห่งสัตว์ในครรภ์ (
การตั้งครรภ์) เป็นอย่างไร พราหมณ์ฤษีตอบว่า
ข้าพเจ้าทราบคือ ๑. มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน ๒.
มารดามีระดู (อรรถกถาธิบายว่า มารดาอยู่
ในสมัยที่จะตั้งครรภ์ได้) ๓.คนธรรพ์ปรากฏ (สัตว์
ผู้จะเกิดในครรภ์ปรากฏ) อสิตเทวลฤษีจึงถามว่า
ท่านรู้หรือไม่ว่า “คนธรรพ์” นั้นเป็นกษัตริย์
หรือพราหมณ์ หรือแพศย์ หรือศูทร
พราหมณ์ฤษีตอบว่า ไม่รู้ ... เรื่องอสิตเทวลฤษีนี้
พระองค์ตรัสเป็นเรื่องภูตปุพพํ คือมีแล้วในปางก่อน
คำตอบของพราหมณ์ฤษีตอนนี้ตรงกับพระพุทธภาษิต
ในมหาตัณหาสังขยสูตรซึ่งตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย
ถึงเหตุ ๓ อย่างประชุมกันเป็นเหตุให้มีการตั้งครรภ์
อภิธานสันสกฤตได้อธิบาย “คนฺธรฺว” คล้าย ๆ
กับอรรถเช่นนี้ไว้ว่า “... The soul after death and
previous to its being born again (corresponding in
some respects to the western notion of a ghost) “
วิญญาณภายหลังตายและก่อนที่จะเกิดอีก”
ในบางเล่มให้ที่มาประกอบไว้ว่า ตสฺยาสีทฺทุหิตา
คนฺธรฺวคฺฤหิตา.
-------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 14:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๓๕ ปฏิจจสมุปบาท ข้อวิญญาณนามรูป
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๓๕ ปฏิจจสมุปบาท ข้อวิญญาณนามรูป
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
ได้แสดงพระเถราธิบายข้อสัมมาทิฏฐิ
ความเห็นชอบมาโดยลำดับ จนถึงได้แสดงอธิบาย
ในข้อที่แสดงถึงเหตุปัจจัย เมื่ออวิชชาเกิดอาสวะเกิด
เมื่ออาสวะเกิดอวิชชาเกิด เมื่ออวิชชาเกิดสังขารเกิด
เมื่อสังขารเกิดวิญญาณเกิด
และในวันนี้จะได้แสดงอธิบายต่อไป
เมื่อวิญญาณเกิดนามรูปก็เกิด
พระพุทธาธิบายเรื่องวิญญาณและนามรูป
ในข้อวิญญาณนี้ที่ได้แสดงอธิบายมาแล้ว
ในพระเถราธิบายก็ยกเอาวิญญาณ ๖ ซึ่ง
เป็นวิถีวิญญาณคือวิญญาณในวิถี คือ
ในทางของอายตนะภายในภายนอกทั้ง ๖ ส่วน
ในพระสูตรบางพระสูตร
โดยเฉพาะมหานิทานสูตร พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดง
ถึงปฏิสนธิวิญญาณรวมเข้าด้วย และก็
ได้มีพระพุทธาธิบายในพระสูตรนั้นว่า
เมื่อวิญญาณเกิด นามรูปก็เกิดอย่างไร โดยที่
ได้ตรัสแสดงแก่ภิกษุทั้งหลาย โดยทรงตั้ง
เป็นพระพุทธปุจฉา คือเป็นคำถามภิกษุทั้งหลายว่า
เมื่อวิญญาณไม่หยั่งลงคือไม่เป็นไป ไม่ปฏิสนธิ
ในครรภ์ของมารดา นามรูปจะก่อตัวขึ้น
ในครรภ์ของมารดาได้หรือไม่ ภิกษุทั้งหลายก็
ได้กราบทูลว่าไม่ได้ และก็ได้มีอธิบายในคำที่ว่า
จะก่อตัวขึ้นได้หรือไม่ ก็หมายถึงว่าจะก่อตัวขึ้นโดย
เป็นกลละเป็นต้นนั้นเอง เมื่อรวมพระพุทธปุจฉา
และคำกราบทูลตอบของภิกษุทั้งหลายเข้าด้วยกัน
ก็รวมความเข้าว่า
ในการถือกำเนิดเกิดก่อของเด็กชายหญิงตั้งต้นขึ้น
ในครรภ์ของมารดานั้น ถ้าหากว่าวิญญาณ
ไม่ก้าวลงคือไม่เป็นไปดังที่เรียกว่าไม่ถือปฏิสนธิ
หรือปฏิสนธิวิญญาณไม่เข้ามานามรูปก็จะก่อตัวขึ้น
โดยเป็นรูปตั้งต้นแต่กลละ และ
เป็นนามตั้งต้นแต่วิญญาณประกอบกันเป็นธาตุ ๖ หาได้
ไม่
ได้มีพระพุทธปุจฉาต่อไปอีกว่า
เมื่อวิญญาณหยั่งลงดังที่เรียกว่าถือปฏิสนธิ
ในครรภ์ของมารดแล้ว หากว่าดับไปเคลื่อนไป
นามรูปจักบังเกิดเจริญขึ้นต่อไปได้หรือไม่ ภิกษุ
ทั้งหลายก็กราบทูลว่าไม่ได้ รวมพระพุทธปุจฉา
และคำกราบทูลตอบเข้าก็ได้ความว่า แม้วิญญาณ
จะปฏิสนธิในครรภ์ของมารดา เริ่มก่อตัว
เป็นนามรูปขึ้นแล้ว แต่ถ้าหากว่าวิญญาณที่
เข้าถือปฏิสนธินั้น จุติคือเคลื่อนออกไป ดับไป
นามรูปแม้จะก่อตัวขึ้น ก็จะ
ไม่บังเกิดเจริญเติบโตขึ้นต่อไป
ได้มีพระพุทธปุจฉาต่อไปอีกว่า แม้เมื่อเด็กคลอดออก
จากครรภ์ของมารดาแล้ว เป็นเด็กหญิง
เป็นเด็กชายที่เป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นแล้ว
หากวิญญาณดับไปขาดไป นามรูปจักดำรงต่อไปได้
หรือไม่ ภิกษุทั้งหลายก็กราบทูลว่า
นามรูปก็จัดดำรงต่อไปไม่ได้ ก็จะต้องดับ
ต้องแตกสลาย รวมความเข้าแล้วก็ได้ว่า
แม้เมื่อคลอดออกมาเป็นเด็กชายหญิง แม้เติบโต
เป็นหนุ่มเป็นสาว หากวิญญาณขาดไปดับไปเสียเมื่อใด
นามรูปก็แตกสลายเมื่อนั้น หากวิญญาณยังอยู่
นามรูปก็ดำรงอยู่
ก็ได้มีพระพุทธาธิบายโดยตรงตั้ง
เป็นพุทธปุจฉาขึ้นเพียงเท่านี้ แม้เพียงเท่านี้ก็ย่อมทำให้
เข้าใจต่อไปได้ทั้งหมดว่า แม้เมื่อเด็กชายหญิงที่เป็นหนุ่ม
เป็นสาวเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่เป็นคนแก่ เมื่อวิญญาณยัง
เป็นไปอยู่ นามรูปนี้ก็เป็นไปอยู่ เมื่อวิญญาณนี้ดับ
หรือเคลื่อนไปที่เรียกว่าจุติ นามรูปนี้ก็จักขาดจักดับ
ก็เป็นไปตามพระพุทธภาษิตที่ได้ยกขึ้นแล้วว่า
กายนี้ไม่นานหนอจักนอนทับแผ่นดิน มีวิญญาณไปปราศ
คือ
ปราศจากวิญญาณ
ถูกทอดทิ้งเหมือนอย่างท่อนฟืนท่อนไม้ไม่มีประโยชน์
นามรูปเกิดเพราะปฏิสนธิวิญญาณ
เพราะฉะนั้น วิญญาณ ตามพระพุทธาธิบายนี้ จึง
เป็นวิญญาณที่มักจะเรียกกันว่า ปฏิสนธิวิญญาณ
แต่ว่ามัก
จะเรียกว่าปฏิสนธิวิญญาณก็จำเพาะเมื่อแรกปฏิสนธิ
ต่อจากปฏิสนธิคือทีแรกนั้นแล้ว วิญญาณนั้นก็
ยังดำรงอยู่ และท่านยังมีคำเรียกอีกคำหนึ่งว่า
ภวังคจิต พระอาจารย์ผู้แสดงอธิบายพระสูตรท่าน
ใช้คำเรียกอย่างนั้น และก็ได้อธิบายถึงนามรูป
เช่นอธิบายรูปเป็น กัมมชรูป รูปที่เกิดจากกรรม
เป็นต้น ตามนัยในอภิธรรม
เมื่อรวมความเข้าแล้วก็คือว่า นามรูปนี้ที่
ยังดำรงชีวิตอยู่ จะต้องมีวิญญาณหรือมีจิต
หรือมีวิญญาณธาตุ คือธาตุรู้ตั้งอยู่ เมื่อวิญญาณธาตุ
หรือจิต
หรือวิญญาณดังกล่าวจุติคือว่าเคลื่อนไปดับไป
นามรูปนี้ก็แตกสลาย เพราะฉะนั้น
เมื่อวิญญาณเกิดขึ้นนามรูปจึงเกิดหรือ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยนามรูปจึงบังเกิดขึ้น
ดังนี้ตามพระพุทธาธิบาย
นามรูปเกิดเพราะวิถีวิญญาณ
อนึ่ง อธิบายได้โดยทาง วิถีวิญญาณ
คือวิญญาณที่บังเกิดขึ้นตามวิถี
คือตามทางของอายตนะภายในภายนอกทั้ง ๖
ที่มาประจวบกัน เป็น
จักขุวิญญาณ รู้รูปทางจักษุก็คือเห็นรูป
โสตวิญญาณ รู้เสียงทางหูก็คือได้ยินเสียง
ฆานวิญญาณ รู้กลิ่นทางจมูกคือทราบกลิ่น
ชิวหาวิญญาณ รู้รสทางลิ้นคือทราบรส
กายวิญญาณ รู้โผฏฐัพพะสิ่งที่กายถูก
ต้องทางกายคือทราบสิ่งถูกต้อง และ
มโนวิญญาณ คือรู้เรื่องราวทางมโนคือใจ
ก็ต้องมีวิญญาณนี้บังเกิดขึ้นก่อน นามรูปจึงบังเกิดขึ้น
อันหมายความว่า ส่วนที่เป็นรูปก็ปฏิบัติหน้าที่ของรูป
ส่วนที่เป็นนามคือเวทนา สัญญา สังขาร
ก็บังเกิดขึ้นสืบต่อจากวิญญาณ
เป็นไปตามพระเถราธิบายนั้น เพราะฉะนั้น
จึงต้องมีวิญญาณบังเกิดขึ้นก่อนนามรูปจึงบังเกิดขึ้น
ในข้อนี้ก็พึงทำความเข้าใจง่าย ๆ ว่า ในเบื้องต้นนั้นทุกคน
จะต้องเกิดวิญญาณขึ้นก่อนตามวิถี เช่นจะต้องเห็นรูป
ต้องได้ยินเสียง ต้องได้ทราบกลิ่น ทราบรส
ทราบโผฏฐัพพะ และได้คิดได้รู้เรื่องทางมโนคือใจ
และเมื่อเป็นดั่งนี้ นามคือเวทนาสัญญาสังขาร
ทั้งหลายจึงบังเกิดสืบต่อกันไป และรูป
จึงปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามนามเวทนาสัญญาสังขาร
นั้นสืบต่อไป ถ้าหากว่าไม่มีวิญญาณคือไม่เห็นรูป ไม่
ได้ยินเสียงเป็นต้น นามรูปก็ไม่ปฏิบัติหน้าที่คือไม่บังเกิด
เป็นนามรูปขึ้น
ปิยรูป สาตรูป
และข้อที่พึงหยิบยกขึ้นมาพิจารณา
ให้เห็นชัดขึ้นไปอีกก็คือ ตัว จิต กับ อารมณ์ จิตที่คิดไป
ในอารมณ์ต่าง ๆ ดำริไปในอารมณ์ต่าง ๆ
ครุ่นคิดไปในอารมณ์ต่าง ๆ ก็
ต้องอาศัยวิญญาณบังเกิดขึ้นก่อน และการที่จะทำ
ความเข้าใจในข้อนี้ก็จะต้องทำความเข้าใจในข้อ
นามรูป อีกสักหน่อยหนึ่ง
คำว่า นาม นั้นเข้าใจกันง่าย ๆ ก็คือ มิใช่รูป สักแต่ว่า
เป็นชื่อเรียกขึ้นในสิ่งที่ไม่มีรูปคือมีแต่นามไม่มีรูป
ส่วนที่เป็น รูป นั้นก็คือ ที่เป็นวัตถุอัน
เป็นรูปอย่างหยาบ และ ที่เป็นตัวที่ตั้งของจิต แม้ไม่
ใช่รูป
ที่กำหนดของจิตแม้ไม่ใช่รูป ก็ขอยืมคำว่ารูปมาเรียก
ด้วย เช่นคำว่า ปิยรูป สาตรูป รูปที่เป็นที่รัก รูปที่
เป็นที่พอใจสำราญใจ อันหมายถึงทุก ๆ สิ่งที่จิตกำหนด
ถึงก็คือตัวอารมณ์นั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ที่เป็น
ส่วนรูป หรือเป็นอารมณ์ที่เป็นส่วนธรรมคือ
เป็นเรื่องเป็นราวไม่ใช่รูป แต่ว่าเป็นสิ่งที่จิตกำหนด
ถึง จิตคิดถึง อันเป็นส่วนที่รักใคร่เป็น
ส่วนที่ชอบใจสำราญใจ ก็เรียกว่าปิยรูปสาตรูปได้
ขอยืมคำว่ารูปมาใช้เรียกครอบไปได้ทั้งหมด และ
โดยเฉพาะส่วนที่เป็นอารมณ์ของจิตนั้นคือเป็นตัวเรื่อง
ไม่ใช่เป็นตัววัตถุโดยตรง เป็นตัวเรื่อง
เป็นเรื่องของวัตถุก็ได้ เป็นเรื่องของสิ่งที่ไม่ใช่วัตถุก็
ได้ คือเรื่องที่จิตคิด เรื่องที่จิตดำริ
เรื่องที่จิตครุ่นคิดถึงหรือหมกมุ่นถึง
อันเรียกว่าอารมณ์ อารมณ์นี่แหละซึ่ง
เป็นที่รักใคร่ที่พอใจสำราญใจ ก็เรียกว่าปิยรูป
สาตรูปได้ คือเป็นสิ่ง รูปก็คือเป็นสิ่ง
สิ่งที่จิตคิดดำริหมกมุ่นถึงอันเป็นที่ชอบใจสำราญใจ
พอใจ ก็เป็นปิยรูป สาตรูป
คำว่า รูป จึงมีความหมายถึง สิ่งที่เป็นวัตถุโดยตรง
หรือหมายถึง สิ่งที่จิตกำหนดคิดถึงหมกมุ่นถึง
อันเรียกว่าอารมณ์ดังกล่าว นี้เป็นตัวอารมณ์
อารมณ์เข้าสู่จิตได้เพราะวิญญาณ
และเมื่ออายตนะภายในภายนอกมาประจวบกัน
จิตก็ออกจากภวังค์น้อมออกไปรับอารมณ์
คือไปรับเรื่องของรูป ของเสียง ของกลิ่น ของรส
ของโผฏฐัพพะ ของธรรมะคือเรื่องราวนั้นเข้ามา
ตัวรูปจริง ๆ เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะจริง ๆ
เป็นวัตถุ ย่อมเข้ามาสู่จิตซึ่งมิใช่วัตถุ เพราะจิต
ไม่มีสรีระรูปร่างสัณฐาน
ดังที่มีพระพุทธภาษิตตรัสไว้ว่า
อสรีรํ ไม่มีสรีระรูปร่างสัณฐาน แต่มีกายนี้
เป็นที่อาศัย
วัตถุเข้ามาสู่จิตไม่ได้ สิ่งที่เข้ามาสู่จิตได้ก็คือตัวอารมณ์
คือเป็นเรื่อง เรื่องของสิ่งเหล่านั้น ธรรมารมณ์
อารมณ์คือเรื่องราวของรูปเสียงเป็นต้น
ที่ประสบพบผ่านมาแล้วเป็นต้น ก็เหมือนกัน ไม่
ใช่วัตถุก็เข้าสู่จิตได้ เข้าสู่จิตในฐานะเป็นอารมณ์คือ
เป็นเรื่องเช่นเดียวกัน อารมณ์คือเรื่องที่จะเข้าสู่จิต
ได้นี้ก็จะต้องเริ่มต้นตั้งแต่วิญญาณเช่นเดียวกันคือ จะ
ต้องเกิดวิญญาณขึ้นก่อน อารมณ์ทั้งหลายจึงจะ
เข้าสู่จิตได้
ภวังคจิต
และจิตนี้ท่านได้มีแสดงอธิบายไว้ในอภิธรรมว่า จิตที่
เป็นตัวจิตซึ่งยังไม่มีอารมณ์ เรียกว่า ภวังคจิต คำว่า
ภวังค์ นั้นแปลว่า องค์ของภวะ คือองค์ของภพ คือความ
เป็นพิจารณาดูในทางหนึ่งก็น่าเข้าใจว่า
นามรูปนี้เมื่อมีจิตที่เริ่มแต่ปฏิสนธิจิต
หรือปฏิสนธิวิญญาณดังที่กล่าวมา
แล้วตามพระพุทธาธิบายที่อ้างมาข้างต้นนั้น
จึงมีตัวภพคือความเป็น ในที่นี้มุ่งถึงความมีชีวิต
นามรูปนี้ก็ดำรงอยู่
และเมื่อมีปฏิสนธิจิตปฏิสนธิวิญญาณตั้งแต่เบื้องต้น
ก็ก่อตั้งนามรูปนี้มาในเบื้องต้น เติบใหญ่ขึ้นเจริญขึ้นมา
โดยลำดับ ดังที่ปรากฏอยู่แก่ทุก ๆ คนในบัดนี้ เพราะ
ยังมีตัวจิตที่เป็นปฏิสนธิจิต ที่เป็นปฏิสนธิวิญญาณ
ในเบื้องต้น และดังที่ได้กล่าวแล้วว่า
พระอาจารย์ท่านเรียกว่าภวังคจิตอีกคำหนึ่งด้วย
คือจิตที่เป็นองค์ของภพ คือเป็นองคสมบัติ
หรือองคคุณแห่งภพคือความเป็น ในที่นี้คือชีวิต
ความดำรงอยู่ ความเป็นอยู่ ความมีชีวิตอยู่ ชีวิตก็คือ
ความเป็น ไม่ตาย ยังเป็นอยู่
เพราะฉะนั้น ตัวจิตที่ทำให้ชีวิตนี้ดำรงอยู่ ทำ
ให้นามรูปนี้ดำรงอยู่ จึงเรียกอีกคำหนึ่งว่า ภวังคะ
องค์ของภพ องค์ของความเป็น เป็นอยู่ ดำรงอยู่
ไม่ตาย ยังมีจิตนี้อยู่ก็แปลว่ายังไม่ตาย ยังดำรงอยู่ ยัง
เป็นอยู่ พิจารณาดูความก็เป็นดังนี้ได้จึงเรียกว่า
ภวังคจิต ท่านอาจารย์ท่านก็เรียกดังนั้นว่าภวังคจิต
อันทำให้ยังดำรงอยู่ ยังเป็นอยู่ไม่ตาย
วิถีจิต
และความหมายของภวังคจิตอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า
ตัวภวังคจิตที่แท้ ๆ นั้นยังไม่มีอารมณ์ คือ จิตที่ยัง
ไม่มีอารมณ์ เรียกว่า ภวังคจิต ต่อเมื่อมีอารมณ์ จึง
เป็น วิถีจิต วิถีวิญญาณ จิตที่บังเกิดขึ้นเป็นไปตามทาง
ในเมื่ออายตนะภายในภายนอกมาประจวบกันเป็นต้น
จิตที่เป็นไปตามทางนี้ก็คือว่าจิตเดินทาง จิตเคลื่อนไหว
จิตที่น้อมไป ไม่ใช่จิตที่อยู่ตัวคือนิ่งอยู่เฉย ๆ เพราะฉะ
นั้น ท่านจึงมีคำเปรียบเอาไว้ว่า
เหมือนอย่างคนที่นอนหลับอยู่ใต้ต้นมะม่วง
เมื่อผลมะม่วงหล่นลงมา
เสียงผลมะม่วงหล่นลงมากระทบแผ่นดิน เสียง
นั้นก็มากระทบโสตประสาทของคนที่นอนหลับก็ตื่นขึ้นมา
ตื่นขึ้นมาก็เอื้อมมือไปหยิบเอาผลมะม่วงมาบริโภค
เสร็จแล้วก็หลับไปใหม่ นี้เป็นอุปมา
มีข้ออุปมัยว่าจิตที่อยู่ในภวังค
นั้นก็เหมือนอย่างคนนอนหลับ
และจิตที่ออกรับอารมณ์
นั้นก็เหมือนอย่างคนนอนหลับที่ตื่นขึ้น
เอื้อมมือออกไปหยิบผลมะม่วงบริโภคแล้วก็หลับไป
ใหม่ ก็คือเมื่ออายตนะภายในภายนอกมาประจวบกัน
ก็เหมือนอย่างเป็นสิ่งที่มากระทบเข้ากับภวังคจิต
ภวังคจิตก็ตื่นขึ้นมาน้อมออกรับอารมณ์
เมื่อรับอารมณ์แล้วก็กลับเข้าภวังค์
ใหม่คือเหมือนอย่างหลับไปใหม่ เมื่ออายตนะภาย
ในภายนอกมาประจวบกันใหม่ จิตก็ออกมา
จากภวังค์น้อมออกรับอารมณ์ เสร็จแล้วก็หลับไป
ใหม่คือเข้าภวังค์ใหม่ ท่านแสดงธรรมชาติของจิต
ไว้ดังนี้
จิตที่ไม่รับอารมณ์นั้น เรียกว่า ภวังคจิต
และจิตที่ออกรับอารมณ์นั้น เรียกว่า วิถีจิต
วิถี ก็คือ ทาง ก็หมาย
ความว่าจิตน้อมออกไปเหมือนอย่างเดินทาง
วิถีจิตเป็นวิญญาณก่อน แล้วจึงเป็นนามรูป
และในการที่น้อมออกรับอารมณ์นี้
เมื่อแสดงตามขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ ก็เป็นวิญญาณขึ้นก่อน
คือว่าเริ่มแต่จักขุวิญญาณ คือเมื่อตา
กับรูปมาประจวบกันกระทบถึงจิต จิตก็ออก
จากภวังค์ มาเป็นวิถีจิต ทีแรกก็เป็นจักษุวิญญาณ
รู้รูปทางจักษุคือเห็นรูป ในข้ออื่นก็เช่นเดียวกัน
และเมื่อจักขุวิญญาณเห็นรูปขึ้นแล้ว ก็เกิดสัมผัส
เกิดเวทนา เกิดสัญญา เกิดสังขาร ก็โดยอาศัยรูป
นั้นเอง เป็นนามรูปคือจะต้องมีรูปเป็นที่อาศัยอยู่ด้วย
จึงจะเกิดเป็นสัมผัสเป็นเวทนาทางกายทางใจ
หรือว่าทางรูปกายและทางใจ
เกิดสัญญาเกิดสังขารคือคิดปรุงหรือปรุงคิด
เสร็จแล้วก็เข้าสู่ภวังค์ใหม่ในอารมณ์นั้น
ครั้นเมื่ออายตนะภายในภายนอกประจวบกันใหม่อีก
จิตก็ออกจากภวังค์น้อมออกรับอารมณ์ใหม่ ก็
เป็นวิญญาณขึ้นก่อน แล้วก็เป็นสัมผัส เป็นเวทนา
เป็นสัญญาสังขาร โดยมีรูปเป็นที่อาศัยไปด้วยกัน
เสร็จแล้วก็กลับสู่ภวังค์ใหม่ เป็นไปดั่งนี้ทุกอารมณ์
แต่ว่าเป็นไปรวดเร็วมาก
และจิตนี้ก็มีปกติรับอารมณ์ได้คราวละหนึ่งเท่านั้น
จะรับพร้อมกันสองไม่ได้ คราวละหนึ่ง
และเมื่อที่หนึ่งเกิดดับไปแล้ว จึงรับอารมณ์ที่สอง
ได้ อารมณ์ที่สองเกิดดับไปแล้ว
จึงรับอารมณ์ที่สามได้ต่อ ๆ ไปดั่งนี้ ที่ว่า
เกิด นั้นก็คือว่า ออกจากภวังค์
ดับ นั้นก็คือว่า เข้าสู่ภวังค์ตามเดิม
เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดาของจิตดั่งนี้
เพราะฉะนั้น อารมณ์ทุกอารมณ์นั้นก็
เป็นนามรูปนั่นเองรวมกันอยู่ ซึ่งตั้งต้นแต่วิญญาณ
เมื่อมีวิญญาณขึ้นก่อนแล้วจึงออกรับอารมณ์ บังเกิด
เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร คือเป็นความรู้สึก
เป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข เป็น
ความจำได้หมายรู้ เป็นความคิดปรุงเป็น
ความปรุงคิด ในเรื่องนั้นไปทีละอารมณ์ดั่งนี้ แต่ว่า
เพราะรวดเร็วมากจึงได้ไม่รู้สึกว่าหรือไม่รู้ว่า
เป็นทีละอารมณ์เป็นทีละอารมณ์ เกิดดับ
อยู่ทีละอารมณ์ ๆ และจิตก็ออกจากภวังค์เข้าสู่ภวังค์
อยู่ทีละอารมณ์ ๆ ดั่งนี้ เป็นธรรมชาติ
เป็นธรรมดาของจิตเป็นไปอยู่ดั่งนี้
เพราะฉะนั้น ภวังคจิตซึ่งเป็นตัวจิตต้นเดิม
รับอารมณ์ก็ออกจากภวังค์มาเป็นวิถีจิต วิถีจิต
นั้นทีแรกก็เป็นวิญญาณ แล้วจึงจะเป็นนาม เป็นรูป
เป็นตัวอารมณ์ดังที่ปรากฏอยู่ในจิตใจของทุก ๆ
คนอย่างเต็มที่ ทุกคนก็มีสุขมีทุกข์มีเป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์
ไม่สุข มีความจำได้หมายรู้ มีความคิดปรุงมี
ความปรุงคิด ทั้งหมดนี้ก็เป็นนามรูปนี่แหละรวมกัน
อยู่ เป็นตัวอารมณ์ซึ่งจะต้องมีวิญญาณเป็นเบื้องต้น
เพราะฉะนั้น เมื่อวิญญาณเกิดนามรูปจึงเกิดนี้
เป็นอธิบายตามวิถีวิญญาณหรือวิถีจิต
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๒๘ เมษายน ๒๕๒๘
-------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 14:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๓๖ ปฏิจจสมุปบาทข้อนามรูปอายตนะ
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๓๖ ปฏิจจสมุปบาท ข้อนามรูปอายตนะ
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
ความเห็นชอบคือเห็นถูกต้องในปฏิจจสมุปบาท
ธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น
ตามที่ท่านพระสารีบุตรได้ให้เถราธิบายไว้ ฟังดูก็
เป็นเรื่องยากหรือเข้าใจยาก แต่เมื่อ
ได้ตั้งใจฟังทราบอธิบายของข้อธรรมะนั้น ๆ
และตั้งใจฟังว่าธรรมะนั้น ๆ เป็นเหตุปัจจัยที่เกี่ยว
เนื่องกันเหมือนอย่างลูกโซ่อย่างไร แม้ตามที่
ได้อธิบาย ก็ย่อมจะพอเข้าใจไปโดยลำดับ ความ
เข้าใจนี้แม้ว่าจะเริ่มต้นเพียงเล็กน้อย
หรือเฉพาะบางข้อบางประการก็ย่อมเป็นการดี
เป็นอันว่าได้เริ่มเข้าใจบ้าง และความเข้าใจบ้างนี้เมื่อ
ได้ตั้งใจฟังตั้งใจพิจารณาซ้ำ ๆ ไปบ่อย ๆ และเมื่อ
ได้มีการปฏิบัติทางศีลทางสมาธิประกอบ
กับปัญญาที่พิจารณา ก็จะทำให้เข้ามากขึ้น ๆ
เปรียบเหมือนอย่างว่าน้ำฝนที่ตกทีละหยาด ๆ
จากชายคาลงตุ่มน้ำ ก็ทำตุ่มน้ำให้เต็มได้
จากน้ำฝนที่ตกทีละหยาด ๆ เท่านั้น แต่ท่านก็สอน
อยู่เสมอว่าให้ทำบ่อย ๆ ใช้คำว่า ส้องเสพให้มาก ปฏิบัติ
ให้มาก ปฏิบัติบ่อย ๆ จึงจะได้ผลที่สืบต่อและเพิ่มพูน
เหมือนอย่างน้ำที่ตกทีละหยาด ๆ นั้นลงตุ่ม
เมื่อตกลงไปได้สัก ๑๐ หยด ๒๐ หยด ๑๐ หยาด ๒๐
หยาดก็หยุด ทิ้งไว้สักวันสองวันน้ำในตุ่มนั้นก็จะแห้งไป ก็
เป็นอันว่าต้องรองน้ำฝนกันใหม่อีกทีละ ๑๐ หยด ๒๐
หยด แล้วก็หยุดไปอีกวันสองวัน น้ำฝน
นั้นก็หมดไปอีกแห้งไปอีก เพราะฉะนั้น จะ
ต้องรองติดต่อทีละหยาด ๆ นั้น ก็หมายความว่าจะ
ต้องติดต่อด้วย ไม่ทันที่จะแห้ง น้ำจึงจะเพิ่มเติมขึ้นมาจน
ถึงเต็มตุ่มได้ เพราะฉะนั้น การทำบ่อย ๆ ที่เรียกว่ามี
ความเพียรไม่ย่อหย่อน แต่ว่ามีความเพียรที่มั่นคง
คือติดต่อสืบต่อกันไปอยู่เสมอ
แม้ทีละน้อยที่เหมือนอย่างน้ำทีละหยาด ๆ นั้น ก็ทำ
ให้เต็มได้ แต่ให้ติดต่อกันไปอยู่เสมอเท่านั้น ความเข้าใจ
ในธรรมะก็เช่นเดียวกัน ก็ย่อมได้มาทีละน้อย ๆ
แต่ว่าไม่ติดต่อที่จะฟังที่จะพิจารณา ก็จะไม่ได้ความ
เข้าใจติดต่อกันมากขึ้น
จะได้แสดงอธิบายต่อถึงข้อที่ว่า
เพราะนามรูปบังเกิดขึ้น อายตนะทั้ง ๖ จึงเกิดขึ้น
หรือว่าเพราะนามรูปเป็นปัจจัย อายตนะทั้ง ๖
จึงเกิดขึ้น ซึ่งสืบต่อมาจากเบื้องต้น ว่าเพราะอาสวะ
เป็นปัจจัยอวิชชาเกิด หรืออวิชชาเป็นปัจจัยอาสวะเกิด
อาสวะเป็นปัจจัยอวิชชาเกิด และ
เพราะอวิชชาเกิดสังขารความปรุงแต่งก็เกิด
เพราะสังขารเกิดวิญญาณก็เกิด
เพราะวิญญาณเกิดนามรูปก็เกิด
เพราะนามรูปเกิดอายตนะก็เกิด
จะได้กล่าวถึง นามรูป เพิ่มเติมจากที่ได้อธิบายไป
แล้ว
อธิบายทบทวนความหมายของนามรูป
คำว่า นามรูป นี้ประกอบขึ้นด้วย นาม และ รูป
หรือว่ารูปและนาม แต่ว่าเมื่อเรียกคู่กัน
ย้ายเอานามไว้ข้างหน้าเป็นนามรูป มักจะฟังอธิบาย
หรือฟังเทศน์กันบ่อย ๆ ว่า ขันธ์ ๕ คือรูป เวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณ ย่อลงเป็น ๒
รูปก็เป็น รูป
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็น นาม
โดยมากก็เทศน์กันหรืออธิบายกันดั่งนี้ แต่พึงเข้าใจว่า
ไม่จำเป็นที่จะต้องจัดอย่างนี้ไปทั้งหมด คือเมื่อเป็นนาม
แล้วก็จะต้องเป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร
เป็นวิญญาณในขันธ์ ๕ อะไรจะ
เป็นนามก็สุดแต่พุทธาธิบายในหมวดธรรมที่แสดง
ถึงนามรูปนั้น ๆ ในเมื่อแสดงขันธ์ ๕ ก็ย่อขันธ์ ๕
เข้านามรูปดังกล่าว แต่ว่าเมื่อแสดงในหมวดธรรม
อื่น การจะจัดอะไรเข้าเป็นรูปเป็นนามนั้น
ก็สุดแต่ปริยายแหงธรรม คือทางแสดงแห่งธรรม
นั้น ๆ ดังเช่นในปฏิจจสมุปบาท ธรรมะที่อาศัย
กันบังเกิดขึ้นนี้ ก็ได้มีพระเถราธิบายถึงรูปและนาม
ไว้แล้ว ซึ่งก็ได้แสดงอธิบายไว้ในที่นี้แล้ว แต่
จะขอกล่าวซ้ำเพื่อไม่ต้องนึกอีกครั้งหนึ่งว่า
รูป นั้นก็ มหาภูตรูป กับ อุปาทายรูป รูปใหญ่
รูปอาศัย การอธิบายรูปก็ตรงกัน
ในปริยายแหงธรรมทั้งปวง
ส่วน นาม นั้นท่านพระสารีบุตรได้ให้อธิบายไว้ว่า
ได้แก่
เวทนา ความรู้เป็นสุขเป็นทุกข์หรือเป็นกลาง ๆ
ไม่ทุกข์ไม่สุข
สัญญา ความจำได้หมายรู้
เจตนา ความจงใจ
ผัสสะ ก็คือความกระทบแห่งอายตนาภายในภายนอก
และวิญญาณรวมกัน คือเป็น
ความกระทบแห่งอารมณ์ถึงจิตที่มีความแรง
ให้เกิดเวทนาขึ้นได้ และ
มนสิการ ความทำไว้ในใจคือใส่ใจในอารมณ์นั้น ๆ
ในเรื่องนั้น ๆ
นามจึงได้แก่ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ
และมนสิการดังกล่าว
เจตนาจัดเป็นสังขาร ผัสสะและมนสิการจัด
เป็นวิญญาณ
จะเห็นได้ว่าไม่มีสังขารไม่มีวิญญาณแสดงโดยชื่อไว้
ในข้อนามในที่นี้ ทำไมจึงไม่แสดงไว้ ก็น่าจะเห็นว่าเพื่อที่
จะให้ไม่เข้าใจสับสนในลำดับของธรรมะที่เกิดเนื่อง
กันเป็นสาย เหมือนอย่างลูกโซ่ที่คล้องเนื่องกันไป
เป็นสาย เพราะว่าสังขารและวิญญาณได้กล่าวไว้
ในลำดับข้างต้นมาแล้ว
อวิชชาเกิดสังขารเกิด หรืออวิชชาเป็นปัจจัย
ให้เกิดสังขาร
สังขารเกิดวิญญาณเกิด หรือว่าสังขารเป็นปัจจัย
ให้เกิดวิญญาณ
วิญญาณเกิดนามรูปเกิด หรือวิญญาณเป็นปัจจัย
ให้เกิดนามรูป
เพราะได้กล่าวหรือยกเอาคำว่าสังขาร
และคำว่าวิญญาณไปใช้ในลำดับข้างต้นนั้นแล้ว มา
ถึงนามรูปเมื่ออธิบายถึงข้อนามจึงไม่ใช้คำว่าสังขาร
ไม่ใช้คำว่าวิญญาณในข้อนามนี้ แม้ว่า
ความหมายของคำว่าสังขารกับคำว่าวิญญาณ
ในลำดับที่กล่าวมาข้างต้น
ในหมวดปฏิจจสมุปบาทธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้นนี้
จะมีความหมายที่แตกต่างไปจาก
ความหมายของคำว่าสังขารและวิญญาณในขันธ์ ๕
ก็ตาม แต่หากว่าเอามาใช้ในข้อนามนี้สำหรับ
ในหมวดธรรมนี้ ก็จะเป็นคำที่ซ้ำกัน แม้เนื้อความ
จะต่างกันก็ตามก็จะทำให้เข้าใจสับสน
จึงเอาเจตนาผัสสะ มนสิการมาใช้แทน แต่ก็ยังมีข้อ
ซ้ำอีกเหมือนกัน คือคำว่าเวทนากับผัสสะ ที่จะกล่าว
ในอันดับต่อไป แต่แม้เช่นนั้นก็เป็นความจำเป็นที่จะต้อง
ให้มี ๒ ข้อนี้อยู่ในที่นี้ด้วย เพราะว่า ๒ ข้อนี้ย่อมเป็นนาม
ในขันธ์ ๕ หรือในข้อว่านามรูปนี้ด้วยจริง ๆ
และแม้คำว่าสังขาร คำว่าวิญญาณจะไม่ได้กล่าวถึง
แต่คำว่าเจตนา ผัสสะ มนสิการ ก็เป็นคำที่หมาย
ถึงสังขาร วิญญาณ ได้คือ
เจตนา นั้นก็เป็นความจงใจ ก็จัดเป็นสังขารในขันธ์ ๕
นั้นเอง เพราะสังขารในขันธ์ ๕ นั้น ได้แก่
ความคิดปรุงหรือปรุงคิดตามสัญญาคือ
ความจำหมาย เจตนาคือความจงใจ ก็มีลักษณะเป็น
ความคิดปรุงหรือความปรุงคิดนั้นเอง ซึ่ง
เป็นไปตามสัญญา
ผัสสะ นั้นเล่าก็เนื่องด้วยวิญญาณในขันธ์ ๕
และ มนสิการ นั้นเล่า ทำไว้ในใจ ก็เท่ากับ
เป็นวิญญาณเหมือนกัน เพราะวิญญาณนั้นที่เป็น
ความรู้คือเห็นรูป รู้คือได้ยินเสียงเป็นต้นนั้นก็
ต้องเอาเรื่องรูป เรื่องเสียงนั้นเข้ามาใสไว้ในใจ จึง
จะเกิดการรู้รูปที่เรียกว่าเห็นรูป
รู้เสียงที่เรียกว่าได้ยินเสียงขึ้นมา
เพราะฉะนั้น ผัสสะ มนสิการนั้นก็เนื่องกับวิญญาณ
ที่จัดเข้าเป็นวิญญาณในขันธ์ ๕ ได้ แต่ใช้คำให้แตกต่าง
กันไปเสีย
ธรรมะในปฏิจจสมุปบาทมีอยู่ในกาย
และจิตของทุกคน
และก็พึงเข้าใจว่า ทุก ๆ ข้อในปฏิจจสมุปบาทนี้ มีอยู่
ด้วยกันแล้วทั้งนั้นในจิตนี้หรือในกาย
และจิตนี้ของทุก ๆ คน สำหรับในธรรมะที่แสดง
ถึงข้อที่อาศัยกันบังเกิดขึ้นดังกล่าวมานั้น ก็แสดง
เป็นทางพิจารณาถึงว่าทุก ๆ อย่างที่มีอยู่ในทุก ๆ คนนี้
เนื่องกันไปอย่างไร
เหมือนอย่างว่าเรือนหลังหนึ่งย่อมมี
อยู่พร้อมตั้งแต่ฐานรากเสาและเครื่องทัพสัมภาระ
ทั้งหลายของเรือนจนถึงหลังคา มีอยู่พร้อมทุก ๆ
อย่าง คราวนี้เมื่อต้องการที่จะแสดงว่าความประกอบ
เข้าเป็นเรือนทั้งหลังนี้ ตัวทัพสัมภาระมีเครื่องไม้
เป็นต้นที่ประกอบเข้าเป็นเรือนนั้น ต่อเนื่อง
กันขึ้นไปอย่างไร ตั้งแต่รากฐานจนถึงหลังคา
หรือว่าตั้งแต่หลังคาลงมาจนถึงรากฐาน เหมือนดัง
จะกล่าวว่า รากฐานก็มีเสาตั้งขึ้น
เมื่อมีเสาตั้งขึ้นก็มีตัวพื้นเรือนตั้งขึ้น อันประกอบด้วย
ส่วนประกอบต่าง ๆ ของพื้นเรือน
และเมื่อมีพื้นเรือนตั้งขึ้นก็มีฝาตั้งขึ้น
เมื่อมีฝาตั้งขึ้นก็ย่อมมีประตูมีหน้าต่างตั้งขึ้น
และเมื่อมีประตูหน้าต่างตั้งขึ้นก็มีที่สุดของฝา
เมื่อมีที่สุดของฝาก็ต้องเริ่มมีหลังคา
หลังคามีอะไรบ้างตั้งขึ้นก็ต่อกันขึ้นไปจนถึงอกไก่ จน
ถึงกระเบื้องมุงหลังคา เพราะฉะนั้น
เรือนหลังหนึ่งที่ตั้งขึ้นมานั้นก็ต่างเป็นปัจจัยอาศัยซึ่ง
กันและกันขึ้นไปดังนี้ ตั้งแต่รากฐานขึ้นไปจนถึงยอด
หรือว่ายอดลงมาจนถึงรากฐานข้างล่าง
นี้เปรียบเหมือนว่าเป็นเรือนไม้ใต้ถุนโปร่ง
เหมือนดังเรือนของชาวบ้านในชนบททั่วไป แม้วัตถุ
อื่นก็เช่นเดียวกัน
และในการอธิบายของทัพสัมภาระแต่ละชิ้นนั้น
เช่นว่าเพราะมีรากฐานจึงมีเสาตั้งขึ้นมาบนรากฐาน
รากฐานนั้นได้แก่อะไร รากฐานก็เช่นว่า
เป็นไม้เสาเข็มเป็นคอนกรีตผสมด้วยปูนทรายหิน
และคราวนี้เมื่อมีรากฐานก็มีเสาตั้งขึ้นมาบนรากฐาน
เสานั้นก็ได้แก่อะไร ถ้าเป็นเสาปูนก็ต้องเป็นคอนกรีต
ก็จะต้องว่ากันถึงว่าต้องประกอบด้วยเหล็ก ด้วยหิน
ด้วยทราย ด้วยปูน ก็ซ้ำกันกับรากฐานนั้นแหละ
แต่ว่าสิ่งที่ซ้ำกันนั้นมีหน้าที่ต่างกัน สำหรับที่เป็นเสาเข็ม
เป็นปูน เป็นทราย เป็นเหล็ก เป็นหิน ที่ทำ
เป็นรากฐานนั้นมีหน้าที่เป็นรากฐาน แต่ว่าเมื่อมาถึงเสา
เป็นปัจจัยให้เสาตั้งขึ้นบนรากฐาน พวกเหล็ก ปูน
ทราย หินเหล่านี้ก็มาทำหน้าที่เป็นเสา แม้เครื่อง
ใช้ทัพสัมภาระสูงขึ้น ๆ ถ้าเป็นเครื่องปูน ก็จะต้อง
ใช้วัตถุที่ซ้ำกันอยู่นี่แหละ ถ้าเป็นเครื่องไม้ เช่นว่า
เป็นฝาไม้ก็ต้องประกอบด้วยไม้ เช่นประตูหน้าต่าง ถ้า
เป็นไม้ก็ต้องประกอบด้วยไม้ แต่ว่าทำหน้าที่ต่าง
กันว่านั่นเป็นฝา นั่นเป็นประตูเป็นหน้าต่าง ครั้นมา
ถึงเครื่องหลังคา ถ้าหากว่าเป็นปูนก็ต้องใช้วัตถุที่
เป็นเหล็กเป็นปูนเป็นทรายเป็นหินนั่นแหละ แต่ว่ามา
ใช้เป็นเครื่องบนหลังคา ถ้าเป็นไม้ก็ใช้ไม้นั่นแหละ
แต่มาใช้เป็นเครื่องบนของหลังคาจนถึงยอด
ก็แปลว่าวัตถุที่มาประกอบเป็นเรือนนั้นก็ใช้ไม้
ใช้เหล็ก ใช้อิฐ ใช้ปูน ใช้ทราย
ก็ตั้งแต่รากฐานขึ้นไปจนถึงหลังคา ถ้าใช้ไม้ก็ต้อง
ใช้ไม้เรื่อยขึ้นไปจนถึงหลังคาบ้านนั่นแหละ
เพราะฉะนั้น แม้ว่าวัตถุเหล่านี้จะซ้ำกัน แต่ว่าก็
ใช้ทำหน้าที่ต่างกัน เป็นนั่นเป็นนี่ขึ้นไปดังที่กล่าวมา
แล้ว
อายตนะเกิดเพราะนามรูป
ฉันใดก็ดี เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะที่อาศัย
กันบังเกิดขึ้นนี้ ก็มีข้อที่ซ้ำ ๆ กันอยู่ในข้อที่
เป็นเหตุปัจจัยของกันนั้น แต่ว่าก็จำเป็นที่จะต้องซ้ำ
กันดังที่กล่าวมา ในเมื่อเทียบกับบ้านเรือนที่กล่าวมา
นั้น แต่ว่าแม้ว่าจะซ้ำกันแต่ก็ทำหน้าที่ต่างกัน
อวิชชา ก็ทำหน้าที่เป็นอวิชชาให้เกิดสังขาร
สังขาร ก็ทำหน้าที่เป็นสังขารที่เป็นปัจจัย
ให้เกิดวิญญาณ
วิญญาณ ก็ทำหน้าที่เป็นวิญญาณที่เป็นปัจจัย
ให้เกิดนามรูป
และ นามรูป ก็ทำหน้าที่เป็นนามรูปที่เป็นปัจจัย
ให้เกิดอายตนะทั้ง ๖ ซึ่งแสดงในวันนี้
เพราะฉะนั้น จึงให้ทำความเข้าใจดั่งนี้ คือ
เข้าใจว่าธรรมะทุกข้อในธรรมะที่อาศัย
กันบังเกิดขึ้นนี้ก็มีอยู่พร้อมแล้วในทุก ๆ คน และ
ในทุก ๆ ข้อก็มีผสมกันอยู่ ดังเมื่อแสดงถึง
อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ในตัวสังขาร
นั้นเองก็มีอวิชชาปนอยู่ด้วย
สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ ในวิญญาณ
นั้นเองก็มีตัวอวิชชามีตัวสังขารปนอยู่ด้วย
วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป
ในนามรูปนี้เองก็มีข้างต้นนั้นปนอยู่ด้วย คือ อวิชชา
สังขาร วิญญาณ จึงจะเป็นนามรูปที่เป็นสายบังเกิดขึ้น
สืบเนื่องมาจากอวิชชาซึ่งเป็นสายสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
และ นามรูปดังกล่าวนี้ก็เป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะ
คือหมายความว่าเมื่อนามรูปเป็นนามรูปขึ้นมา รูปก็
เป็นมหาภูตรูป อุปาทายรูป นามก็
เป็นนามดั่งที่ท่านแสดงไว้ว่า เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ
มนสิการ และดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า
ก็มีข้างต้นมารวมอยู่ด้วยทั้งหมด ก็เป็นนามรูป
และเมื่อนามรูปเกิดขึ้นมาเป็นขึ้นมา ดังที่ทุก ๆ คน
ในบัดนี้ก็มีนามรูปของตนบังเกิดขึ้นอยู่ พร้อมอยู่
และในนามรูปนี้ก็มีอวิชชา มีสังขาร มีวิญญาณรวม
อยู่ด้วย และเมื่อเป็นดั่งนี้ อายตนะทั้ง ๖ จึงเกิดขึ้น
อันหมายความว่าอายตนะทั้ง ๖
จึงปฏิบัติหน้าที่ของอายตนะได้ คือตาก็รับรูปได้
หูก็รับเสียงได้ จมูกก็รับกลิ่นได้ ลิ้นก็รับรสได้
กายก็รับโผฏฐัพพะสิ่งที่กายถูกต้องได้ ตลอดจน
ถึงมโนคือใจ ก็รับธรรมะคือเรื่องราวทางใจได้
ตลอดจนถึงปฏิบัติหน้าที่คู่กันไปกับ ๕ ข้อข้างต้นนั้นได้
มโนคือใจเป็นอายตนะข้อพิเศษ
คือข้อมโนคือใจนี้อันเป็นอายตนะข้อที่ ๖ นั้น ไม่
ได้ทำหน้าที่เพียงรับอารมณ์
คือเรื่องที่ใจคิดใจรู้เพียงอย่างเดียว
แต่ว่ามีหน้าที่ประกอบไปกับตาด้วย ตาจึงจะรับรูป
ให้เกิด จักษุวิญญาณ คือเห็นรูปได้
มโนคือใจต้องประกอบไปกับหู หูจึงจะรับเสียงให้เกิด
โสตวิญญาณ คือได้ยินเสียงได้
มโนคือใจจะต้องประกอบไปกับฆานะคือจมูก จมูกจึง
จะรับกลิ่นให้เกิด ฆานวิญญาณ คือรู้กลิ่นได้
มโนคือใจจะต้องประกอบไปกับลิ้น ลิ้นจึง
จะรับรสให้เกิด ชิวหาวิญญาณ คือรู้รสได้
มโนคือใจจะต้องประกอบไปด้วยกาย กายจึง
จะรับสิ่งถูกต้องให้เกิด กายวิญญาณ คือรู้สิ่งถูก
ต้องทางกายได้
และมโนคือใจนี้ก็ยังรับธรรมะคือเรื่องราว
เช่นเรื่องของรูปเสียงเป็นต้น ที่ได้พบได้เห็นมาแล้ว
เช่นว่าได้พบได้เห็นมาแล้วเมื่อเช้านี้ เย็นวันนี้มโนคือใจก็
ยังเอามาคิดได้มานึกถึงได้ ก็เป็นเรื่อง
เป็นราวที่บังเกิดขึ้นทางมโนคือใจซึ่งเป็นอายตนะข้อที่

เพราะฉะนั้น มโนคือใจนี้จึงต้องประกอบไป
กับอายตนะ ๕ ข้อข้างต้นนั้น และ
ต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนเองได้ด้วย จึง
เป็นอายตนะข้อพิเศษ ในข้อนี้ได้กล่าวมาหลายหน
แล้วว่าเช่นกำลังฟังอยู่นี้ มโนคือใจต้องฟังด้วยจึงจะ
ได้ยิน ถ้ามโนคือใจไม่ฟัง เช่นว่าจิตไปคิดถึงเรื่อง
อื่นหูก็ดับทันที เสียงที่พูดนี้ก็จะไม่ได้ยิน ต่อเมื่อจิตตั้งที่
จะฟังดังที่ได้เตือนตั้งแต่ข้างต้นแล้วว่าให้มีสมาธิ
ในการฟัง มโนก็มาพร้อมกับจิตมาฟังเสียง เมื่อ
เป็นดังนี้ หูจึงไม่ดับหูก็ได้ยิน จึงได้เกิดโสตวิญญาณคือ
ได้ยินเสียง รู้เสียงขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้น มโนคือใจนี้
จึงเป็นสิ่งสำคัญซึ่งเท่ากับเป็นทวารของจิต
สำหรับตาหูจมูกลิ้นกายนั้นเป็นทวารนอก ถ้า
จะเปรียบเหมือนอย่างว่าเป็นบ้านที่มีประตูนอกอยู่ ๕
ประตู และยังมีประตูในอีก ๑ ประตูของห้องชั้นใน
ตัวจิตเองนั้นอยู่ในห้องชั้นในเหมือนอย่างว่านั่งอยู่
ในห้องชั้นใน ทุก ๆ อย่างที่ผ่านเข้ามาจะ
ต้องผ่านประตูนอก ๕ ประตูนั้น และจะ
ต้องผ่านประตูในคือมโนซึ่งเป็นตัวมโนทวารจึงจะมา
ถึงจิต จิตก็รับอารมณ์ทางมโนทวาร
และก็ทางทวารตาทวารหู
เป็นต้นตามประเภทของรูปของเสียงเป็นต้น ฉะนั้น
มโนจึงเป็นสิ่งสำคัญ
อายตนะทั้ง ๖ ปฏิบัติหน้าที่ได้เมื่อนามรูปบังเกิดขึ้น
และรวมความว่าอายตนะทั้ง ๖ นี้
ในเมื่อนามรูปบังเกิดขึ้น อายตนะทั้ง ๖ นี้
จึงปฏิบัติหน้าที่ได้ ถ้าหากว่านามรูปไม่บังเกิดขึ้น
อายตนะทั้ง ๖ นี้ก็ปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้
แม้ว่าตาหูจมูกลิ้นกายที่เป็นส่วนเนื้อที่เป็น
ส่วนประสาทจะมีอยู่ก็ตาม แต่ก็แม้
ในเวลาที่หลับสนิท อายตนะทั้ง ๖
คือตาหูจมูกลิ้นกายและมนะคือใจ ก็ไม่บังเกิดขึ้นคือ
ไม่ปฏิบัติหน้าที่ แต่ว่าถึงการหลับนั้นโดยมากหลับ
ไม่สนิท จึงมีฝัน ซึ่งก็มีอธิบายว่า กาย
ส่วนที่เกี่ยวแก่ประสาททั้ง ๕ ข้างต้น จักขุประสาท
โสตประสาท ฆานประสาท ชิวหาประสาท
กายประสาทหลับ แต่ว่าข้อที่ ๖ คือตัวมโนทวารนี้
ไม่หลับ เพราะฉะนั้นจึงฝัน ฝันถึงเรื่องนั้นถึงเรื่องนี้
โดยมากก็เป็นสิ่งที่ได้เคยเห็นมาแล้วเคยได้ยินมาแล้ว
หรือเคยคิดเคยนึกมาแล้วเก็บมาฝัน ก็คือมโนนี้เอง
ไม่หลับ แต่ถ้ามโนหลับก็แปลว่าหลับสนิทไม่ฝัน
ในปัจจุบันนี้ท่านก็ยังแสดงกันว่าคนเรา
นั้นหลับสนิทน้อย ฝันมาก แต่ว่าฝันที่จำไว้ได้ในเมื่อตื่น
นั้นมีน้อย โดยมากจำไม่ได้อันแสดงว่าหลับ
ไม่สนิทจริง ๆ
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๔ พฤษภาคม ๒๕๒๘
-------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 14:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๓๗ ปฏิจจสมุปบาท ข้ออายตน ผัสสะ เวทนา
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๓๗ ปฏิจจสมุปบาท ข้ออายตนะ ผัสสะ เวทนา
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
ได้แสดงพระเถราธิบายในข้อสัมมาทิฏฐิ
ความเห็นชอบ มาโดยลำดับ จับแต่ชาติ ชรา มรณะ
ขึ้นไปจนถึงอวิชชาอสาวะ และกำลังอธิบายในข้อที่
ทั้งหมดนี้ เป็นปัจจัยของกันอย่างไร คือ
เป็นเหมือนอย่างลูกโซ่ที่โยงกันไปเป็นสายโซ่อย่างไร
จับแต่อวิชชาอาสวะ อาสวะอวิชชาซึ่งเป็นปัจจัยของกัน
และกัน และเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารก็
เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณก็เป็นปัจจัย
ให้เกิดนามรูป นามรูปก็เป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะ
และต่อจากนี้ก็ถึงเงื่อนหรือข้อต่อของลูกโซ่ว่า
อายตนะเป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะหรือสัมผัส ผัสสะ
หรือสัมผัสเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนาตามลำดับ
ในปฏิจจสมุปบาท ธรรมะที่อาศัย
กันบังเกิดขึ้นที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้
จึงจะจับอธิบายในเงื่อนหรือข้อต่ออันนี้ว่า
เพราะอายตนะทั้ง ๖ เกิดขึ้น จึงเกิดสัมผัสหรือผัสสะ
ผัสสะเกิดจากอายตนะทั้ง ๖
สำหรับอายตนะทั้ง ๖ นั้นก็ได้อธิบายแล้ว ว่าได้แก่
อายตนะภายในทั้ง ๖ คือ
ตา ที่เป็นเครื่องต่อรูป
หู เป็นเครื่องต่อเสียง
จมูก เป็นเครื่องต่อกลิ่น
ลิ้น เป็นเครื่องต่อรส
กาย เป็นเครื่องต่อโผฏฐัพพะคือสิ่งที่กายถูกต้อง
มโนคือใจ เป็นเครื่องต่อธรรมะคือเรื่องราว
และเมื่ออายตนะทั้ง ๖ ต่อกันดั่งนี้ ก็เป็นปัจจัย
ให้เกิดสัมผัสหรือผัสสะ อันแปลว่า ความกระทบ
ผัสสะหรือสัมผัสนี้ก็มี ๖ อันได้แก่
จักขุสัมผัส สัมผัสทางตา
โสตสัมผัส สัมผัสทางหู
ฆานสัมผัส สัมผัสทางจมูก
ชิวหาสัมผัส สัมผัสทางลิ้น
กายสัมผัส สัมผัสทางกาย และ
มโนสัมผัส สัมผัสทางใจ
ในพระสูตรทั่วไปได้อธิบายสัมผัสไว้ว่า คือ
ความประชุมกันขององค์ ๓ อันได้แก่ อายตนะภายใน ๑
อายตนะภายนอก ๑ และวิญญาณอีก ๑ โดยที่
ได้ตรัสแสดงอธิบายไว้ดังเช่น
ในพระพุทธาธิบายอริยสัจข้อสมุทัยและข้อนิโรธ
ในสัจจปัพพะ ข้อที่ว่าด้วยสัจจะว่า เมื่ออายตนะภายใน
กับอายตนะภายนอกประจวบกันหรือต่อ
กันก็เกิดวิญญาณ
ยกตัวอย่างเช่นเมื่อตาต่อกับรูปก็เกิดจักขุวิญญาณ
ความรู้รูปทางตาที่เรียกว่าเห็นรูป และเมื่อทั้ง ๓
นี้มาประชุมกันก็เรียกว่าสัมผัสที่แปลว่า
ความกระทบกัน ก็คือความประชุมกันของตาของรูป
และของจักขุวิญญาณ ความรู้รูปทางตาคือเห็นรูป
และในอายตนะข้อต่อไปแต่ละข้อก็เช่นเดียวกัน
นามคืออาการที่จิตน้อมออกรับอารมณ์
นี้
เป็นการแสดงวิถีจิตคือทางดำเนินของจิตอย่างละเอียด
และเมื่อเกิดสัมผัสดังกล่าวแล้วจึงเกิดเวทนา
เกิดสัญญา เกิดสังขาร และวิถีจิตดังที่กล่าวมานี้ก็พึง
เข้าใจว่า ตัวจิตคือตัวธาตุรู้
หรือที่เรียกว่าวิญญาณธาตุ โดยปกติย่อมอยู่
ในภวังค์อันเรียกว่า ภวังคจิต
คำว่า ภวังค์ นั้นดังที่ได้เคยอธิบายแล้วว่า แปลว่า
องค์ของภพคือความเป็น ซึ่งกล่าวง่าย ๆ ว่าเป็นตัวชีวิต
หรือเป็นตัวความดำรงอยู่ของชีวิต เพราะว่าทุก ๆ
คนนี้ดำรงชีวิตอยู่ก็เพราะกายและจิตประกอบกัน
อยู่ เมื่อไม่มีจิตหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าปราศ
จากวิญญาณ ร่างกายนี้ก็กลายเป็นศพ กลาย
เป็นเหมือนอย่างท่อนไม้ก้อนหินก้อนดิน แต่
ความดำรงชีวิตอยู่นี้ก็เพราะกายและจิตนี้ประกอบ
กันอยู่ จิตหรือธาตุรู้นี้เมื่อยังอยู่เป็นปกติเฉย ๆ ยัง
ไม่แสดงอาการอะไรก็เรียกว่าภวังค์ หรือภวังค์คะ
เป็นองค์ คือเป็นองคคุณ องคสมบัติของภพคือความเป็น
คือความที่ยังดำรงความเป็นภพเป็นชาติ
ความดำรงชีวิตอยู่ดังกล่าว จึงเรียกว่า ภวังค์
ท่านจึงเปรียบเหมือนอย่างบุรุษที่นอนหลับอยู่
ใต้ต้นมะม่วง เพราะฉะนั้น จิตที่ยังอยู่ปกติเฉย ๆ ก็
เป็นเหมือนอย่างบุรุษที่นอนหลับอยู่ใต้ต้นมะม่วง
คราวนี้เมื่อมีอารมณ์มากระทบก็กระทบทางอายตนะภาย
ในทั้ง ๖ หรือทางทวารทั้ง ๖ มีตาหูเป็นต้นนั่นแหละ
เช่นว่ามีรูปมาประจวบกับตา มีเสียงมาประจวบกับหู
รูปเสียงที่มาประจวบนั้น
ท่านเปรียบเหมือนอย่างว่าผลมะม่วงหล่นจากต้น
หล่นตูมลงมาใกล้บุรุษที่นอนหลับก็
เป็นเครื่องปลุกบุรุษที่นอนหลับนั้นให้ตื่นขึ้น ฉัน
ใดก็ดี จิต
หรือธาตุรู้นี้เมื่อมีอารมณ์มากระทบทางทวาร
หรืออายตนะภายในดังกล่าวนั้น ก็ออก
จากภวังค์คือเหมือนอย่างว่าตื่นขึ้นมา
และก็น้อมออกไปรับอารมณ์
ก็เหมือนอย่างบุรุษที่เมื่อมะม่วงหล่นลงมา
เสียงมะม่วงกระทบหูก็ตื่นขึ้น ก็เอื้อมมือไปหยิบมะม่วง
จิตก็น้อมออกไปจับอารมณ์
กิริยาที่จิตน้อมออกไปนี้แหละเรียกว่า นาม
การรับอารมณ์ครั้งแรกของจิตคือวิญญาณ
คำว่า นาม นั้น ก็มีต้นศัพท์อย่างเดียวกับคำว่า นโม
ที่แปลว่า ความนอบน้อม นามก็คือความน้อม หมาย
ถึงอาการที่จิตน้อมออกรับอารมณ์ เช่นเดียว
กับกิริยาที่บุรุษนอนหลับตื่นขึ้น
เพราะเสียงมะม่วงหล่น
ก็เอื้อมมือออกไปยื่นมือออกไปจับผลมะม่วง
อาการที่เอื้อมแขนออกไป
นั่นก็คืออาการที่จิตน้อมออกไปรับอารมณ์นั่นเอง
และการรับอารมณ์ครั้งแรกของจิตนั้นเรียกว่า
วิญญาณ ที่เราเรียกกันว่า เห็นได้ยิน ทราบ
หรือว่าคิดรู้
เห็นนั้น ใช้ในอาการที่เกี่ยวกับรูปเห็นรูป
ได้ยินนั้น ใช้ในอาการที่เกี่ยวกับเสียงได้ยินเสียง
ทราบนั้น ใช้ในอาการที่เกี่ยวกับกลิ่นรส
และโผฏฐัพพะ
คือทราบกลิ่นทราบรสทราบโผฏฐัพพะสิ่งถูกต้อง
คิดหรือรู้นั้น ใช้ในอาการที่เกี่ยวกับมโนคือใจซึ่ง
เป็นอายตนะข้อที่ ๖ รู้หรือคิดธรรมะคือเรื่องราว
มโนอันเป็นอายตนะข้อที่ ๖ นี้ ก็ได้เคยกล่าวอธิบายไว้
แล้วว่าสัมพันธ์กับอายตนะ ๕ ข้อข้างต้นอย่างไร
และสัมพันธ์กับจิตอย่างไร จึงจะไม่กล่าวซ้ำอีกในที่นี้
ก็เป็นอันว่า อาการที่จิตออกจากภวังค์
น้อมออกรับอารมณ์ กิริยาอันนี้เองที่เรียกว่า นาม
แปลว่า น้อมจิตน้อมออกรับอารมณ์
อาการที่รับอารมณ์แรกก็คือวิญญาณ
มีจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณเป็นต้น และถ้า
เป็นอารมณ์ที่เบามาก จิตก็อาจจะปล่อยอารมณ์
ไว้แค่นั้น แค่วิญญาณเท่านั้น แล้วก็กลับเข้าภวังค์ไป
ใหม่ ถ้า
จะเทียบก็เหมือนอย่างบุรุษที่ตื่นขึ้นมาเอื้อมมือไปหยิบมะม่วง
พอหยิบถูกมะม่วงก็ไม่สนใจต่อไป ก็ปล่อยก็หลับไป
ใหม่ ก็เป็นอันว่า อารมณ์ที่เข้ามาก็ยุติแค่นั้น
สัมผัสหรือผัสสะเกิดจากการรับอารมณ์ที่แรงขึ้น
แต่ถ้าเป็นอารมณ์ที่แรง จิตก็ไม่ปล่อยแค่นั้น
คือเมื่อเริ่มน้อมออกรับอารมณ์
เป็นวิญญาณดังกล่าวแล้ว ก็ยึดอารมณ์นั้นแรง
เข้าอีก อาการที่ยึดอารมณ์นั้นแรงเข้าอีก
นั้นนี้เองที่ท่านแสดงว่า องค์ ๓ มาประชุมกัน
คืออายตนะภายใน ๑ อายตนะภายนอก ๑ วิญญาณ ๑
มาประชุมกัน เป็นสัมผัส หรือเป็นผัสสะ
ก็เหมือนอย่างบุรุษที่นอนหลับเอื้อมมือออกไปถูกผลมะม่วง
ก็ไม่ปล่อยแค่นั้นจับมะม่วงนั้น นี้คือสัมผัสหรือผัสสะ
แปลว่ากระทบมะม่วงนั้น ถูกต้องมะม่วงนั้น
ไม่เพียงแต่ถูกต้องในขั้นแรกแต่เพียงเบา ๆ เท่านั้น
แต่ว่าจับหรือถูกต้องที่แรงขึ้นจึงเป็นสัมผัส และเมื่อ
เป็นสัมผัสดังนี้แล้วก็เกิดเวทนา
และเมื่อเกิดเวทนาก็เกิดสัญญา
เมื่อเกิดสัญญาก็เกิดสังขารคือความคิดปรุงหรือ
ความปรุงคิด เหมือนอย่างบุรุษ
นั้นเอื้อมมือไปจับมะม่วงแล้วก็นำมาเคี้ยวในปาก
แล้วก็กลืนผลมะม่วงลงไป
อาการเหล่านี้เมื่อเทียบ
กับจิตที่น้อมออกไปรับอารมณ์ เป็นวิญญาณ
เป็นสัมผัส เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร ปรุงคิด
หรือคิดปรุง ก็คือว่าเคี้ยวมะม่วงกลืนมะม่วงเข้าไป
เสร็จแล้วก็หลับไปใหม่ จิตนั้นเมื่อคิดปรุง
หรือปรุงคิดแล้ว ก็เป็นอันว่าตกสู่ภวังค์
ใหม่เหมือนดังหลับไปใหม่ และเมื่อมีอารมณ์
อื่นมากระทบเข้าอีกก็ออก
จากภวังค์น้อมออกไปรับอารมณ์ดังกล่าวนั้น
แล้วก็กลับตกสู่ภวังค์ใหม่ เป็นดั่งนี้
อยู่ทุกอารมณ์ที่มากระทบ ท่านอธิบายหลักดั่งนี้
เป็นการอธิบายอย่างละเอียดถึงวิถีจิตที่
เป็นไปของสัตว์บุคคลทั้งปวง
แม้วิถีจิตของพระอริยบุคคลทั้งหลาย
ท่านก็แสดงว่าก็เป็นไปอย่างนี้
อาการที่จิตน้อมออกรับอารมณ์ดั่งนี้แหละคือ นาม
ทรงแสดงขันธ์ ๕ จากส่วนที่หยาบไปหาละเอียด
และ รูป ก็คือกายส่วนที่เป็นรูป รวม
ทั้งอายตนะภายในที่เป็นส่วนรูปทั้ง ๕ ข้างต้น
หรือประสาททั้ง ๕ ก็รวมเรียกว่าเป็นรูปทั้งหมด
ส่วนที่
เป็นนามก็คืออาการที่จิตน้อมออกไปรับอารมณ์ดังที่กล่าวมา
นั้น แต่ว่า ในการที่พระพุทธเจ้า
ได้ทรงแสดงธรรมะสั่งสอน มิได้ทรงแสดง
โดยละเอียดดั่งนี้ไปทุกแห่ง ทรงแสดงเพื่ออะไร เพื่อ
ให้จับพิจารณาทางปัญญาหรือทางวิปัสสนา
ก็ตรัสแสดงโดยเป็น ขันธ์ ๕ คือเป็นรูป เป็นเวทนา
เป็นสัญญา เป็นสังขาร และเป็นวิญญาณ
แม้ว่าวิญญาณนั้น
จะเกิดขึ้นก่อนตามวิถีจิตดังแสดงมาข้างต้น แต่ก็ตรัสไว้
เป็นขันธ์ที่ ๕ และก็ยังมีแสดงไว้ในบางพระสูตรถึง
ความเกิดขึ้นของวิถีจิต เป็นวิญญาณ เป็นสัมผัส
เป็นเวทนา เป็นสัญญา เป็นสังขาร แล้วก็
เป็นวิญญาณต่อไปอีก โดยที่มิได้แจกแจง
ถึงวิถีจิตอย่างละเอียด ซึ่งจะต้องออกจากภวังค์
แล้วก็ตกภวังค์ไปทุกขณะจิตคือทุกอารมณ์ ที่ประสบ
แต่แสดงในทางที่จะหยิบยกขึ้นมาพิจารณาทางปัญญา
หรือทางวิปัสสนาได้ เพราะต้องการที่จะ
ให้พิจารณาโดย ไตรลักษณ์ ให้เห็นอนิจจะไม่เที่ยง
ทุกขะเป็นทุกข์ ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลง อนัตตา
มิใช่อัตตาตัวตน จึงแสดงจากหยาบไปหาละเอียด
แสดงรูปซึ่งเป็นส่วนหยาบ เวทนาซึ่ง
เป็นนามธรรมอันนับว่าหยาบ เพราะเวทนานั้นเกิดขึ้น
ทั้งทางกายทั้งทางใจ คือทั้งทางรูปและทั้งทางใจ
แล้วจึงมาสัญญา สังขาร แล้วจึงมาวิญญาณ ซึ่ง
เป็นนามธรรมที่ละเอียด เมื่อเป็นดั่งนี้ จึง
จะเห็นไตรลักษณ์ในรูป ในเวทนา ในสัญญา
ในสังขาร ในวิญญาณ ได้โดยง่าย
การที่เรียงวิญญาณไว้ท้ายขันธ์ ๕
ยังมีทางพิจารณาเห็นได้อีกว่า เพื่อแสดงสันตติคือ
ความสืบต่อ คือจิตที่น้อมออกรับอารมณ์โดยออก
จากภวังค์ เป็นวิญญาณ ผัสสะ เวทนา สัญญา สังขาร
ในอารมณ์หนึ่ง ๆ แล้วก็ตกภวังค์ แต่ก็มิได้หยุด
อยู่เพียงนั้น ยังน้อมออกรับอารมณ์อื่น ๆ โดยออก
จากภวังค์ เป็นวิญญาณเป็นต้น ในอารมณ์อื่น ๆ นั้น
แล้วก็ตกภวังค์ ทยอยไปทีละอารมณ์ ๆ ซึ่ง
เป็นสันตติที่รวดเร็วมาก ได้เคยเปรียบเทียบ
กับภาพยนตร์ เมื่อดูที่จอจนเห็นภาพคนเดินเป็นต้น
เหมือนเดินจริง ๆ แต่เมื่อดูฟิลม์จะเห็นภาพขาด
เป็นช่อง ๆ มีช่องว่างตัดแยกออกจากกันเป็นภาพ ๆ
ช่องว่างเทียบกันได้กับภวังค์
อนึ่ง ได้เคยอธิบายไว้ในที่อื่นว่า วิญญาณต่อจากสังขาร
คือเมื่อสังขารคิดปรุงหรือปรุงคิด ก็รู้ไปด้วย
ความรู้ที่เกิดต่อไปด้วยนั้นคือวิญญาณ แล้วก็
เป็นผัสสะเวทนาเป็นต้นต่อไป เหมือนเป็นวงกลม ดังนี้
เป็นการอธิบายโดยปริยายคือทางอธิบาย
โดยรวบรัดอย่างง่าย ๆ จะกล่าวว่าโดยสุตตันตนัยก็
ได้ แต่โดยอภิธรรมนัย ซึ่งจะต้องกล่าวถึงภวังค์
ก็มีอธิบายดังกล่าวข้างต้น แต่ก็ไม่ขัดกันเพราะที่ว่า
เป็นวงกลมก็เป็นวงกลมที่ ๑ – ๒ – ๓ เป็นต้น เท่ากับ
เป็นภาพในฟิลม์ภาพหนึ่ง ๆ คืออารมณ์หนึ่ง ๆ
ทรงแสดงการเกิดนามรูป
และสัมผัสอย่างรวบรัดเพื่อวิปัสสนาภูมิ
แม้
ในการแสดงอริยสัจอย่างละเอียดคือปฏิจจสมุปบาท
ธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้นดั่งที่กำลังกล่าวอยู่นี้
ในบางพระสูตรก็ตรัสรวบรัด
เช่นทรงแสดงจับแต่ ชรา มรณะ ชาติ ขึ้นมาจน
ถึงวิญญาณ ไม่ต่อขึ้นไปถึงสังขารถึงอวิชชาอาสวะ
แค่วิญญาณ และบางแห่งก็ตัดอายตนะ
กล่าวคือตรัสแสดงว่า
เพราะวิญญาณเกิดนามรูปก็เกิด
เพราะนามรูปเกิดสัมผัสก็เกิด ไปสัมผัสทีเดียว
ไม่แสดงอายตนะไว้ตรงนี้ คือไม่แสดงว่า
เพราะนามรูปเกิดอายตนะทั้ง ๖ ก็เกิด
เพราะอายตนะทั้ง ๖ เกิด สัมผัสก็เกิด
แปลว่าตัดอายตนะเสียไม่แสดง ตรัสว่า
เพราะนามรูปเกิดสัมผัสก็เกิด
และในการที่ตรัสแสดงนี้ ก็ตรัสแสดงในทางที่
เป็นประโยชน์สำหรับผู้ต้องการจะพิจารณา
โดยไตรลักษณ์ ซึ่งเป็นวิปัสสนาธุระทางปัญญา
สามารถที่จะพิจารณาจับนามรูปและสัมผัสให้
เป็นวิปัสสนาภูมิ ภูมิของวิปัสสนาได้ คือได้ตรัสแสดง
ไว้มีใจความว่า
เมื่อนามรูปเกิดขึ้น สัมผัสจึงเกิดขึ้น ถ้านามรูป
ไม่มีสัมผัสก็ไม่มี
ทรงสอนให้พิจารณานามรูปโดยอาการ เพศ นิมิต
และอุเทศ
และการจับพิจารณา นามรูป ก็ตรัสสอน
ให้จับพิจารณา โดยอาการ โดยเพศ โดยนิมิต
คือเครื่องกำหนด และโดยอุเทศ ก็คือการแสดง
หรือการที่จะตั้งชื่อสำหรับเรียกแสดง จับ นาม
ขึ้นก่อน
เวทนา ก็ให้จับพิจารณาว่าเวทนาที่บังเกิดขึ้น เป็นสุข
เป็นทุกข์ หรือเป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข มี อาการ
เป็นอย่างไร ดูเวทนาที่บังเกิดขึ้นที่ตัวเองในปัจจุบัน ถ้า
เป็นสุขมีอาการเป็นอย่างไร ทุกข์มีอาการ
เป็นอย่างไร ไม่ทุกข์ไม่สุข มีอาการเป็นอย่างไร มี
เพศ เป็นอย่างไร ก็คือมีลักษณะที่ละเอียด
หรือที่ซ่อนเร้นอยู่อย่างไร ของเวทนาที่ทำ
ให้เวทนาต่างจากข้ออื่นมีสัญญาเป็นต้น
เหมือนอย่างสตรีต่างจากบุรุษ บุรุษต่างจากสตรี มี
นิมิต คือว่ามีเครื่องกำหนด มีที่ ๆ จะกำหนดอย่างไร มี
อุเทศ คือมีการแสดงอันหมาย
ความว่ายกชื่อเรียกขึ้นว่าเวทนาอย่างนี้ ๆ
สัญญา ก็เหมือนกัน ดูอาการของสัญญาคือ
ความจำหมายของจิตในอารมณ์นั้น ๆ ว่ามี อาการ
เป็นอย่างไร มี เพศ คือมีลักษณะที่เร้นลับปกปิด
อยู่ตรงไหนอย่างไร มี นิมิต
คือเครื่องกำหนดอย่างไร มี อุเทศ
คือว่ายกชื่อขึ้นเรียกว่า นี่คือสัญญา
สังขาร คือความปรุงคิดหรือคิดปรุงก็เหมือนกัน
ดูจิตของตัวเองที่คิดปรุงหรือปรุงคิดว่ามี อาการ
เป็นอย่างไร มี เพศ ดังกล่าวเป็นอย่างไร มี นิมิต
เครื่องกำหนดเป็นอย่างไร มี อุเทศ
คือว่าตั้งชื่อเรียกว่าเป็นสังขารอย่างนี้ ๆ ไม่ให้ปน
กันว่านั่นเป็นเวทนา นี่เป็นสัญญา นี่เป็นสังขาร
และ วิญญาณ ก็เหมือนกัน ก็ดูตัวที่เมื่ออายตนะต่อ
กันก็เกิดความรู้ขึ้น เป็นเห็น เป็นได้ยิน เป็นทราบ
เป็นคิดหรือรู้ มี อาการ เป็นอย่างไร มี เพศ
เป็นอย่างไร มี นิมิต เครื่องกำหนดเป็นอย่างไร มี
อุเทศ คือว่าตั้งชื่อเรียกว่านี่เป็นจักขุวิญญาณ นี่
เป็นโสตวิญญาณดังนี้เป็นต้น
กำหนดดูจิตของตนเองที่น้อมออกรับอารมณ์ซึ่ง
เป็นตัวนามดังกล่าว ให้รู้จักอาการ ให้รู้จักเพศ
ให้รู้จักนิมิต ให้รู้จักอุเทศดังที่กล่าวมาแล้ว
เป็นอันฝึกให้รู้จักวิปัสสนาภูมิ และเมื่อกำหนด
ให้รู้จักดังนี้ จึงจะเกิดสัมผัสคือ
ความกระทบดังที่กล่าวโดยชื่อ ในรูปคือในส่วนที่
เป็นรูป เพราะว่าก็จะได้กำหนดชื่อหรือรู้ชื่อของตา
ของหู จมูก ลิ้น กาย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
เป็นต้น อันเป็นส่วนรูปนั้นด้วย และก็ให้กำหนดรูป
โดยอาการ โดยเพศ โดยนิมิต และโดยอุเทศ
คือการที่จะตั้งชื่อเรียกดังที่กล่าวมานั้นด้วย
และเมื่อเป็นดั่งนี้จึงจะมีสัมผัสคือความกระทบในนาม
คือกระทบในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร
ในวิญญาณดังที่กล่าวมานั้นด้วย และเมื่อ
ได้พิจารณาทั้งนามทั้งรูปให้รู้จักดังกล่าวมานั้น
สัมผัสคือความกระทบทั้งโดยชื่อทั้งโดยการกระทบ
กันและกันก็ย่อมบังเกิดขึ้น
และเมื่อจับพิจารณาดูสัมผัสคือความกระทบทั้ง
โดยชื่อทั้งโดยความกระทบ ก็
จะรู้จักตัวสัมผัสที่บังเกิดขึ้นในจิตใจอันเป็นส่วนมาก
และทั้งในกายอันเป็นส่วนรูป คือทั้งในนามรูป
ตามที่ตรัสแสดงไว้นี้ เป็นตรัสแสดงมุ่งทางวิปัสสนาภูมิ
โดยที่ตัดเอาข้ออายตนะตรงกลางออกเสีย
จากนามรูปก็มาสัมผัสทีเดียว แต่เมื่อแสดง
โดยปกติก็ตรัสแสดงนามรูป อายตนะ แล้ว
จึงมาสัมผัส เพราะฉะนั้น ในการฟังความที่ข้อเหล่านี้
เป็นปัจจัยของกัน จึงอาจ
ใช้วิธีนี้พิจารณาทางวิปัสสนาภูมิได้ คือพิจารณาจับ
ให้รู้จักนามรูปโดยอาการเป็นต้น นำให้รู้จักสัมผัส
ซึ่งเกิดสืบเนื่อง ก็จะเห็นนามรูปเห็นสัมผัส
เป็นวิปัสสนาภูมิ และก็จะทำให้พิจารณาเห็นอนิจ
จะทุกขะอนัตตาในข้อเหล่านี้
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๑๙ พฤษภาคม ๒๕๒๘
-------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 14:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๓๘ ปฏิจจสมุปบาท ข้อผัสสะ เวทนา ตัณหา
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๓๘ ปฏิจจสมุปบาท ข้อผัสสะ เวทนา ตัณหา
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
ได้แสดงธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้นว่าอาศัย
กันอย่างไร
ความนัยพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตร
ซึ่งท่านอธิบายในข้อสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบประกอบ
ด้วยพระพุทธาธิบายซึ่งนำมาแทรกเข้า และ
ในตอนที่แสดงอธิบายถึงธรรมะที่อาศัย
กันบังเกิดขึ้นสืบไปเป็นสาย เหมือนอย่างสายโซ่
ซึ่งประกอบด้วยลูกโซ่เป็นอันมาก
ในตอนที่กำลังอธิบายนี้ก็เท่า
กับกำลังอธิบายว่าลูกโซ่แต่ละลูกนั้นคล้อง
กันไปอย่างไร จึงได้ต่อกันไปเป็นสายเส้นเดียวกัน ซึ่ง
ได้มาถึงข้อว่า เพราะผัสสะหรือสัมผัสเป็นปัจจัยคือ
เป็นเหตุอาศัยคือเมื่อสัมผัส
หรือผัสสะเกิดขึ้นเวทนาก็เกิด
เงื่อนหรือข้อต่อ ซึ่งได้อธิบายไปแล้วก็คือ
เพราะอายตนะทั้ง ๖ เป็นปัจจัยจึงเกิดสัมผัส
หรือผัสสะ
แต่ก็ได้แสดงอธิบายแทรกว่า
ในพระสูตรบางพระสูตร พระพุทธเจ้า
ได้ทรงแสดงข้ามอายตนะทั้ง ๖ คือตรัสว่า
เพราะนามรูปเป็นปัจจัยเกิดสัมผัส ก็เป็นปริยายคือ
เป็นทางแสดงของธรรมะ ซึ่งเป็นไปตาม
ความเหมาะสมในการแสดงนั้น ๆ
ซึ่งบางครั้งก็แจกแจงอย่างละเอียด
บางครั้งก็แสดงอย่างรวบรัด
เมื่อแสดงอย่างรวบรัดก็ข้ามอายตนะทั้ง ๖ ดังที่
ได้แสดงอธิบายแล้ว แต่เมื่อแสดง
ไม่รวบรัดก็แสดงอายตนะทั้ง ๖ ต่อจากนามรูป คือ
เพราะนามรูปเป็นปัจจัยก็เกิดอายตนะทั้ง ๖
เพราะอายตนะทั้ง ๖ เป็นปัจจัยก็เกิดสัมผัสหรือผัสสะ
และแม้ในข้ออายตนะทั้ง ๖ เป็นปัจจัยแห่งผัสสะนั้น
ผู้ปฏิบัติก็เพ่งพิจารณาจับให้รู้จักอาการ
เป็นต้นของอายตนะทั้ง ๖ นั้นแต่ละข้อเชื่อมกับสัมผัส
หรือผัสสะ ให้เป็น วิปัสสนาภูมิ ภูมิของวิปัสสนาได้
คือเพ่งพินิจพิจารณาให้รู้จัก อาการ ให้รู้จัก เพศ
ให้รู้จัก นิมิต คือเครื่องกำหนด และให้รู้จัก อุเทศ
คือการแสดง เช่นแสดงชื่อของตากับรูปที่ต่อกัน หู
กับเสียงที่ต่อกัน จมูกกับกลิ่นที่ต่อกัน ลิ้นกับรสที่ต่อ
กัน กายและโผฏฐัพพะที่ต่อกัน มโนคือใจ
และธรรมะคือเรื่องราวที่ต่อกัน จึง
ได้เกิดวิญญาณ เช่นจักขุวิญญาณ
รู้รูปทางตาคือเห็นรูป เป็นต้น และเมื่อทั้ง ๓
นี้มาประชุมกัน จึงเกิดสัมผัสหรือผัสสะ
แต่ว่าใน หมวดปฏิจจสมุปบาท ธรรมะที่อาศัย
กันบังเกิดขึ้น แสดงว่า เพราะอายตนะเป็นปัจจัย
ก็เกิดสัมผัสหรือผัสสะ ก็เป็นการรวบรัด
เวทนาเกิดเพราะสัมผัสหรือผัสสะ
การพิจารณาให้รู้จักอาการเป็นต้นของวิถีจิต
ทางดำเนินของจิตใจดั่งนี้ก็เป็นวิปัสสนาภูมิ
ภูมิของวิปัสสนา ดังกล่าวแล้ว และเพราะสัมผัส
หรือผัสสะเป็นปัจจัยหรือว่าเพราะสัมผัส
หรือผัสสะมีขึ้นเกิดขึ้น จึงเกิดเวทนา จึงมีเวทนา
เพราะฉะนั้น เวทนาคือสุขทุกข์หรือมิใช่ทุกข์มิใช่สุข
หรือว่าเวทนาที่จำแนกออกเป็น เวทนา ๕ ได้แก่ สุข
ทุกข์ โสมนัส โทมนัส อุเบกขา ซึ่งมีอธิบายว่า
สุข ก็ได้แก่สุขทางกาย
ทุกข์ ก็ได้แก่ทุกข์ทางกาย
โสมนัส สุขทางใจ
โทมนัส ทุกข์ทางใจ
อุเบกขา ก็คือความเป็นกลาง ๆ มิใช่ทุกข์มิใช่สุข มิ
ใช่โสมนัส มิใช่โทมนัส
แต่เมื่อย่อเข้าก็เป็นเวทนา ๓ ที่แสดงกันโดยมาก คือสุข
ทุกข์ และอทุกขมสุข มิใช่ทุกข์มิใช่สุข เมื่อแสดง
เวทนา ๓ ดั่งนี้
สุข ก็หมายถึงทั้งสุขทางกายทั้งสุขทางใจ
ทุกข์ ก็หมายถึงทั้งทุกข์ทางกายทั้งทุกข์ทางใจ
อทุกขมสุข มิใช่ทุกข์มิใช่สุข ก็หมายถึงอุเบกขา
เป็นกลาง ๆ มิใช่ทุกข์มิใช่สุขทางกายทางใจ
เพราะฉะนั้น แม้จะจำแนกเวทนาเป็น ๓ แม้
จะจำแนกเวทนาเป็น ๕ ก็เป็นอันเดียวกันนั้นเอง ก็หมาย
ถึงสุขทุกข์และมิใช่ทุกข์มิใช่สุขเป็นกลาง ๆ ที่
เป็นไปทางกายบ้างที่เป็นไปทางใจบ้าง
ที่เกิดของเวทนาทางกายและใจ
และท่านมีแสดงขยายความออกไปอีกว่า
อันสุขทุกข์ทางกายนั้น ก็บังเกิดจากกายสัมผัส
สัมผัสทางกาย คือสัมผัสสิ่งที่ถูกต้องทางกาย
ส่วนสัมผัสทางตาที่เห็นรูปต่าง ๆ สัมผัสทางหูที่
ได้ยินเสียงต่าง ๆ สัมผัสทางจมูกที่ได้ทราบกลิ่นต่างๆ
สัมผัสทางลิ้นที่ได้ทราบรสต่าง ๆ
และสัมผัสทางมโนคือใจที่ได้คิดได้รู้เรื่องต่าง ๆ ย่อม
เป็นปัจจัยให้เกิดสุขทุกข์ทางใจ ฉะนั้น สุขทุกข์ทางกาย
นั้นจึงเกิดจากสัมผัสทางกายเพียงทางเดียว
เป็นการจำแนกแสดงสำหรับพิจารณาที่เกิดของเวทนา
จะได้จับพิจารณาได้ถูกต้อง และเวทนาดังที่กล่าวมา
แล้วนั้น ก็พูดกันว่าเป็นสุขเป็นทุกข์ หรือเป็นกลาง ๆ
ไม่ทุกข์ไม่สุข ซึ่งอันที่จริงนั้นก็เป็นตัวความรู้อย่างหนึ่ง
คืออาการที่จิตน้อมออกรู้อารมณ์ที่
เข้ามาทางอายตนะภายในหรือทางทวารทั้ง ๖ นั้น
หน้าที่ของจิตนั้นเป็นวิญญาณธาตุคือธาตุรู้ เพราะฉะ
นั้น อาการที่น้อมออกรับอารมณ์นั้นก็คือรู้อารมณ์
นั้นเอง
ซึ่งรู้ทีแรกก็เป็น วิญญาณทั้ง ๖ ดังที่กล่าวมาแล้ว
รู้ต่อมาแรงขึ้นก็คือ สัมผัส
และแรงขึ้นก็เป็น เวทนา ซึ่งเป็นตัวรู้เหมือนกัน
เพราะฉะนั้น เวทนานั้นคือตัวรู้ ที่รู้เป็นสุข รู้
เป็นทุกข์ หรือรู้เป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข ถ้าไม่มี
ความรู้หรือไม่มีตัวรู้อยู่แล้ว สุขทุกข์หรือ
เป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขก็ย่อมไม่บังเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น คำว่า เวทนา นั้น ตามศัพท์ก็แปลว่า รู้
หรือว่า รับรู้ และก็มีนักธรรมะที่แปลว่า เสวย
เช่น สุขเวทนาก็เสวยสุข ทุกขเวทนาก็เสวยทุกข์
ก็คือกินสุขกินทุกข์ คำว่า อัตตา ที่แปลกันว่า ตัวตน
ก็มีคำแปลอย่างหนึ่งว่า ผู้กินผู้เสวย ก็คือผู้กินผู้เสวยสุข
หรือทุกข์นี้เอง เพราะฉะนั้น เวทนานั้นก็คือความรู้
แต่หมายจำเพาะว่าความรู้ที่เป็นสุขหรือเป็นทุกข์
หรือเป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์ไม่สุขดังที่กล่าวมานั้น
ซึ่งเกิดสืบเนื่องมาจากสัมผัสหรือผัสสะ เพราะสัมผัส
หรือผัสสะเป็นปัจจัย หรือว่าเพราะสัมผัส
หรือผัสสะมีเกิดขึ้นจึงมีเวทนาจึงเกิดเวทนา ท่าน
จึงมีเปรียบเอาไว้
ว่า เหมือนอย่างไม้สีไฟสองอันมาสีกันก็เกิดไฟฉันใด
เพราะสัมผัสก็คืออายตนะภายในภายนอก
กับวิญญาณมาประจวบกันจึงเกิดเวทนา สัมผัส
หรือผัสสะจึงเท่ากับไม้สีไฟสองอันที่มาสีกัน
เวทนาก็เปรียบเหมือนอย่างไฟที่บังเกิดขึ้น
เพราะไม้สีไฟสองอันที่มาสีกันนั้น ฉะนั้น
เมื่อแยกไม้สีไฟสองอันมิให้สีกัน ไฟก็ไม่เกิด
เมื่อแยกอายตนะภายในภายนอกกับวิญญาณมิ
ให้มาประชุมกันได้ก็ไม่เกิดเวทนา
การปฏิบัติดับเวทนาด้วยสมาธิ
ในการปฏิบัติทางสมาธิขั้นสูงนั้น ก็เป็นการปฏิบัติเพื่อ
จะดับเวทนาด้วยสมาธิ โดยที่มิให้ไม้สีไฟสองอันมาสีกัน
คือมิให้อายตนะภายในภายนอกกับวิญญาณมาประชุม
กันมาประจวบกัน เมื่อเป็นดั่งนี้ก็ดับเวทนาได้ และ
ในการปฏิบัติสมาธินั้น ก็เป็นการปฏิบัติใช้สัมผัส
และเวทนาที่เป็น นิรามิส คือไม่มีกิเลส
เป็นเครื่องล่อ มาเป็นเครื่องดับเวทนาที่เป็น สามิส
คือมีกิเลสเป็นเครื่องล่อ
ดังจะพึงเห็นได้ว่า จิตโดยปกติ
นั้นก็เหมือนอย่างไม้สีไฟสองอันที่สีกัน ก็เกิดเวทนา
อยู่เสมอ คือว่าอายตนะภายในภายนอกมาประจวบกัน
เกิดวิญญาณ มีเห็นรูปได้ยินเสียงเป็นต้น และเมื่อทั้ง
๓ ส่วนนี้มาประชุมกันเป็นสัมผัสก็เกิดเวทนา แต่เป็นไป
ในทางกามาพจร คือหยั่งลงในกามโดยมาก
เพราะฉะนั้น
จึงได้เกิด กามฉันท์ ความพอใจรักใคร่ในกามหรือ
ด้วยกามบ้าง
เกิด พยาบาท คือความกระทบกระทั่ง หงุดหงิด
โกรธแค้น ขัดเคือง มุ่งร้าย หมายล้างผลาญบ้าง
คือเกิด นิวรณ์ ต่าง ๆ เพราะว่าตา
กับรูปที่มาประจวบกันเป็นต้นนั้น ก็เป็นตากับรูปที่
เป็นไปในกาม คือ
เป็นรูปที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ
เมื่อตามาต่อกับรูปเช่นนั้นก็เป็นไปในทางกาม ก็เกิด
กามฉันท์
ถ้าไปพบรูปที่ขัดกัน
กับรูปที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจ ก็เกิด พยาบาท
มันจะเป็นไปในทางนี้ อันที่จริงนั้นก็
เป็นกรรมฐานเหมือนกัน แต่เป็นกิเลสกรรมฐาน
คือเป็นที่ตั้งของการงานทางใจที่เป็นฝ่ายกิเลส
อาศัยนิรามิสเวทนาดับสัมผัสกับกิเลสก่อน
เพราะฉะนั้น ในการปฏิบัติสมาธิ พระพุทธเจ้าจึง
ได้ตรัสสอนให้ปฏิบัติในกรรมฐานที่ไม่
เป็นไปเพื่อกิเลส หรือไม่เป็นไปเพื่อก่อกิเลส
เช่นตั้งสติกำหนดพิจารณากายเวทนาจิตธรรม ก็
ใช้มโนกับธรรมะซึ่งเป็นอายตนะที่ ๖ นั้นแหละ คิด
หรือนึกในเรื่องที่
เป็นกรรมฐานแปลว่าพรากจิตออกจากอารมณ์อัน
เป็นไปเพื่อกิเลส มาตั้งอยู่
ในอารมณ์ของกรรมฐานที่ไม่เป็นไปเพื่อกิเลส แต่
เป็นไปเพื่อดับกิเลส เมื่อพรากจิตออกมาตั้งอยู่
ในอารมณ์ของกรรมฐานได้
ตั้งสติกำหนดพิจารณากายเวทนาจิตธรรม ก็
ต้องอาศัยอายตนะที่ ๖ คือมโนกับธรรมะ ใจต่อ
กับธรรมะที่เป็นกรรมฐานก็เกิดสัมผัส
เมื่อเกิดสัมผัสก็เกิดเวทนา แต่ก็เป็นนิรามิสเวทนา
เวทนาที่ไม่มีกิเลสเป็นเครื่องล่อ และเมื่อใจมาตั้ง
อยู่ในอารมณ์ของกรรมฐานได้สัมผัส
กับกรรมฐาน ได้เวทนาที่เป็นนิรามิสดั่งนี้ ก็
เป็นอันว่าดับสัมผัสกับกิเลสกับกามคุณารมณ์
อารมณ์อันเป็นที่ตั้งของกิเลส ดับเวทนาที่
เป็นสามิสคือที่มีกิเลสเป็นเครื่องล่อได้
ก็แปลว่าดับสัมผัสดับเวทนาในฝ่ายกิเลสและเวทนา
ในฝ่ายที่เป็นนิรามิสไม่มีกิเลสเป็นเครื่องล่อ
การเริ่มต้นปฏิบัติกรรมฐานก็ต้องใช้ดั่งนี้ ก็แปลว่า
ใช้ไม้สีไฟสองอันสีกันให้เกิดไฟเหมือนกัน
แต่ว่าไม้สีไฟสองอันที่สีกันให้เกิดเวทนาที่เป็นนิรามิสนี้
เป็นไม้สีไฟสองอันที่พระพุทธเจ้าได้ประทานไว้ เช่น
สติปัฏฐานทั้ง ๔ หรือกรรมฐานทั้งปวง
ที่ตรัสสอนเอาไว้ให้ปฏิบัติก็ล้วนเป็นไม้สีไฟทั้งนั้น
ให้รับเอากรรมฐานนี้แหละมาสีเข้ากับใจ ให้สัมผัส
กับใจ ให้เกิดเวทนาที่เป็นนิรามิส ก็เป็นอันว่า
จะดับไม้สีไฟสองอันฝ่ายกิเลส
ดับเวทนาทั้งหมดจึงจะได้สมาธิขั้นสูง
กล่าวสั้นเข้ามาก็คือว่า อารมณ์ที่มาสีกับใจที่
เป็นฝ่ายกิเลสนั้น ก็ทำให้สัมผัสกับฝ่ายกิเลส
ได้เวทนาที่เป็นสามิสฝ่ายกิเลส แต่เมื่อมาปฏิบัติ
ใช้ไม้สีไฟของพระพุทธเจ้า คือเอากรรมฐานมาสีเข้า
กับใจ ก็จะสัมผัสกับไม้สีไฟที่เป็นกรรมฐานได้
เวทนาที่เป็นนิรามิส เพราะฉะนั้น การปฏิบัติทำสมาธิ
นั้นในเบื้องต้นก็ปฏิบัติด้วยอาศัยวิธีนี้
แต่ว่าจิตนี้เมื่อเริ่มปฏิบัตินั้น ยังเป็นจิตที่
เป็นกามาพจรเต็มที่ เพราะฉะนั้น
จึงยกขึ้นมาสู่กรรมฐานไม่ค่อยจะได้มักจะตกลงไป
ก็คือว่าปกตินั้นไปติดหรือไปพอใจเสียแล้วในไม้สีไฟที่
เป็นฝ่ายกาม เป็นฝ่ายกิเลส รับเข้ามาสีใจอยู่เสมอ
และเมื่อนำเข้ามาสีใจก็เกิดสัมผัสกับใจ
ก็เกิดไฟกิเลสก็เป็นเวทนาที่เป็นสามิส เป็นไปอยู่ดั่งนี้
ครั้นมาเปลี่ยนไม้สีไฟที่
เป็นกรรมฐานของพระพุทธเจ้า นำเอากรรมฐาน
เข้ามาสีกับใจ ใจก็ไม่ค่อยจะยอมรับ ไม่ค่อยจะยอม
ให้กรรมฐานนี้มาสีกับใจ มัก
จะหนีออกไปรับเอาไม้สีไฟที่เป็นฝ่ายกามมาสีใจอยู่ มัก
จะเป็นดั่งนี้
นี้เป็นลักษณะของจิตที่เป็นกามาพจร แต่เมื่อปฏิบัติ
อยู่บ่อย ๆ มีความคุ้นเคยกับไม้สีไฟของพระพุทธเจ้า
เอากรรมฐานมาสีกับใจอยู่ ให้สัมผัสกับใจอยู่
ให้เกิดเวทนาที่เป็นสามิสอยู่ ก็แปลว่า ทีแรกนั้น
เมื่อปฏิบัติกรรมฐานนั้นมักจะได้ทุกขเวทนา
เพราะว่าใจไม่ชอบ มักจะอึดอัดรำคาญ เพราะจิต
เป็นกามาพจรย่อมเป็นดั่งนี้ แต่ครั้นเมื่อนำมาสีใจ
อยู่บ่อย ๆ สัมผัสกับใจบ่อย ๆ ได้เวทนาที่เป็นสุขขึ้นที่
เป็นนิรามิสอันเป็นสุขที่บริสุทธิ์ย่อมจะน้อมใจ
ให้กลับมาสู่กรรมฐานของพระพุทธเจ้า อัน
เป็นไม้สีไฟของพระพุทธเจ้าสัมผัส
กับไม้สีไฟของพระพุทธเจ้า สัมผัสกับความสุขที่ได้ อัน
เป็นสุขเวทนาที่เป็นนิรามิสจะทำให้ได้ฉันทะคือ
ความพอใจในการปฏิบัติกรรมฐานมากขึ้น ก็แปลว่า
จิตจะได้สมาธิมากขึ้น แต่เมื่อถึงสมาธิขั้นสูงแล้ว
ท่านแสดงว่า ปฏิบัติพรากไม้สีไฟทั้งหมด ดับเวทนา
ทั้งหมด จิตจึงจะได้สมาธิถึงขั้นสูง ซึ่ง
เป็นอุเบกขาอันบริสุทธิ์
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๒๐ พฤษภาคม ๒๕๒๘
-------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 14:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๓๙ ปฏิจจสมุปบาท ข้อตัณหา อุปาทาน
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๓๙ ปฏิจจสมุปบาท ข้อตัณหา อุปาทาน
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
ได้แสดงข้อสัมมาทิฏฐิตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรมา
โดยลำดับ โดยที่ท่านได้จับอธิบายในข้อสัมมาทิฏฐิ คือ
ความเห็นชอบ ว่าคือเห็นอย่างไร
จำแนกแจกแจงตามลำดับธรรมะในปฏิจจสมุปบาท
คือธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น
จับแต่ข้อชรามรณะย้อมขึ้นไปจนถึงอวิชชาอาสวะ
แต่ละข้อก็จำแนกออกตามหลักอริยสัจทั้ง ๔ ซึ่ง
เป็นผลและเหตุในด้านเกิดทุกข์ และผลและเหตุ
ในด้านดับทุกข์ไปทีละข้อ ในการอธิบาย
ในที่นี้ก็อธิบายไปตามแนวของท่าน และเมื่อขึ้นไป
ถึงอวิชชาอาสวะ จึงได้รับอธิบายในแต่ละข้อที่
เป็นผลและเหตุในด้านเกิดทุกข์หรือว่าในด้านเกิด ว่า
เป็นปัจจัยที่สืบกันลงไปอย่างไร
ก็จับแต่ข้ออวิชชาอาสวะหรืออาสวะอวิชชาลงมาว่า
เป็นเหตุปัจจัยของกันอย่างไร และก็ต่อลงมา
อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขารอย่างไร
สังขาร เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณอย่างไร
วิญญาณ เป็นปัจจัยให้เกิดนามรูปอย่างไร
นามรูป เป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะ ๖ อย่างไร
อายตนะ ๖ เป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะอย่างไร
ผัสสะ เป็นปัจจัยให้เกิดเวทนาอย่างไร
เวทนา เป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาอย่างไร
ในวันนี้จะได้จับอธิบายว่า ตัณหาเป็นปัจจัย
ให้เกิดอุปาทาน
มีตัณหา ความอยาก ก็มีอุปาทาน ความยึดถือ
คือเมื่อมีตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก
ก็ย่อมมีอุปาทาน คือความยึดถือ และอุปาทาน
นั้นท่านพระเถระก็ได้แยกออกเป็น อุปาทาน ๔ คือ
กามุปาทาน ยึดถือกาม
ทิฏฐุปาทาน ยึดถือทิฏฐิคือความเห็น
สีลัพพตุปาทาน ยึดถือศีลและพรต
อัตตวาทุปาทาน ยึดถือวาทะว่าตน
ซึ่งอุปาทาน ๔ นี้ ก็ได้แสดงอธิบายแล้ว เมื่อได้แสดงมา
ถึงลำดับของอุปาทาน เพราะมีตัณหาคือ
ความดิ้นรนทะยานอยาก จึงมีอุปาทานคือความยึดถือ
คือเพราะอยากจึงยึด ถ้าหากว่าไม่มีอยากซึ่ง
เป็นตัวตัณหา ก็ย่อมไม่มียึดซึ่งเป็นอุปาทาน
ตัณหาทำให้มีการแสวงหาและการได้
แต่ได้มีพระพุทธาธิบายแทรกเข้ามาตรงตัณหานี้
ในพระสูตรอื่น ว่าเพราะตัณหาเป็นเหตุ
ให้เกิดอะไรต่ออะไรต่าง ๆ อีกมากมาย ซึ่งก็เป็นข้อที่
จะพึงเห็นได้อย่างง่าย ๆ เพราะเป็นเรื่องที่มีอยู่เป็นไป
อยู่เหมือนอย่างเป็นธรรมดาโลก ซึ่งโลกนั้นก็
ได้มีพระพุทธภาษิตตรัสแสดงไว้ว่าอันตัณหาก่อ
ให้เกิดขึ้น
ตณฺหาย อุฑฺฑิโต โลโก โลกอันตัณหาก่อให้เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น ข้อที่ตรัสจำแนกว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง
จากตัณหา จึงแสดงถึงความเป็นพระสัพพัญญู
ผู้รู้ธรรมทั้งหมดของพระพุทธเจ้า และแสดง
ถึงทรงเป็นพระผู้จำแนกแจกธรรม สั่งสอน
ได้อย่างถูกต้องแท้จริง คือได้ตรัสแสดงชี้แจง
สิ่งที่เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากตัณหา อันกล่าวได้ว่า
เป็นเรื่องธรรมดาโลกที่ตัณหาก่อขึ้น คือ
ได้ตรัสแสดงไว้ว่า
เพราะมีตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยาก จึงมี
การแสวงหา
คือมีการแสวงหาสิ่งที่ตัณหาทะยานอยากเพื่อจะได้
ทะยานอยากเพื่อจะได้อะไรก็แสวงหาสิ่งนั้น
ทะยานอยากเพื่อจะเป็นอะไร ก็แสวงหาเพื่อจะ
เป็นอย่างนั้น ทะยานอยากเพื่อที่จะไม่ให้เป็นอะไร
ก็แสวงหาเพื่อที่จะไม่ให้เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น
เพราะมีตัณหาจึงมีการแสวงหา
และ เพราะมีการแสวงหา ก็มี ลาภคือการได้มา
ในเมื่อการแสวงหานั้นเป็นเหตุให้ได้มาก็ย่อมจะได้ เช่น
ได้ทรัพย์ได้สิ่งที่ตัณหาต้องการ อันมีคำเรียก เช่น
เรียกว่ากามหรือวัตถุกาม หรือกามคุณ คือรูป เสียง
กลิ่น รส โผฏฐัพพะ คือสิ่งถูกต้อง
ที่น่ารักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งหลาย ได้เป็นนั่น
เป็นนี่ตามที่ตัณหาต้องการ หรือว่าได้ที่จะไม่เป็นนั่น
เป็นนี่หรือที่ให้สิ่งที่เป็นนั่นเป็นนี่ต้องหายไป หมดไป
เสื่อมไปสิ้น ไปตามที่ตัณหาต้องการ เหล่านี้รวมเข้า
ในคำว่า “การได้”
และ เพราะมีการได้ จึงมี
ความปลงใจตกลงใจว่าเราได้มาซึ่งสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้ว
และ เพราะมีความปลงใจตกลงใจดังนี้ จึงมี
ฉันทราคะ ความพอใจยินดี ความติดใจ พอใจอยู่
ในสิ่งที่ได้นั้น ซึ่งตกลงใจว่าเราได้มาแล้ว
รับรู้ว่าเราได้มาแล้ว ก็มีความยินดีพอใจ มี
ความพอใจติดใจ หรือติดใจพอใจอยู่ในสิ่งนั้น
และ เพราะมีความพอใจติดใจหรือว่ายินดีพอใจอยู่
ในสิ่งนั้น จึงได้มี ความสยบติด อันหมายความว่า
ความพอใจติดใจนั้น ทำให้ตนหรือจิตใจของตนสยบอยู่
ในสิ่งนั้นติดอยู่ในสิ่งนั้น เหมือนอย่างวัตถุที่ติดกันอยู่
ด้วยกาว อันทำให้มีความสยบอยู่ด้วยความติด
และ เพราะมีความสยบอยู่ด้วยความติด จึงมี
ความยึดถือ รวบถือ อันหมายความว่าไม่ต้องการที่
จะพรากออก แต่ว่าแถมมีความยึดถืออยู่ในความติดนั้น
แปลว่า ต้องการจะให้ติดอยู่ ต้องการที่จะให้สยบอยู่
ไม่ต้องการที่จะให้พรากออก แม้มีใครมาบอกว่า
ให้พรากออก เพราะความที่สยบติดอยู่นั้นไม่ดีอย่าง
นั้นอย่างนี้ ก็ไม่ยอมฟัง ยังยืนยันอยู่ในความสยบติดนั้น
ดังนี้คือความที่ยึดถือหรือว่ารวบถือด้วย
ความสมัครใจ สมัครใจที่จะยึดถืออยู่อย่างนั้น
และ เพราะมีความยึดถืออยู่ดั่งนี้ จึงมี มัจฉริยะ
ที่แปลกันว่าความตระหนี่เหนียวแน่นหวงแหน
และ เพราะมีมัจฉริยะคือ
ความตระหนี่เหนียวแน่นหวงแหน จึงมี อารักขา
คือการักษาด้วยวิธีต่าง ๆ เป็นต้นว่า
ต้องมีการถือกระบองถือท่อนไม้
ต้องมีการถือศัสตราวุธ ต้องมีการทะเลาะกัน
ต้องมีการแก่งแย่งกัน ต้องมีการวิวาทกัน
ต้องมีการกล่าวหากัน ว่าท่านนั่นแหละท่านนั่นแหละ
หรือว่าเจ้านั่นแหละเจ้านั่นแหละ
ต้องมีการกล่าวส่อเสียด ต้องมีการกล่าวคำเท็จต่าง
ๆ และก็จะต้องมีบาปอกุศลธรรมต่าง ๆ
มากมายบังเกิดขึ้นสืบต่อกันไปดั่งนี้
มีอุปาทาน ๔ เพราะตัณหา
นี้เป็นพระพุทธาธิบายที่ตรัสจำแนกเอาไว้โดยที่
ได้ทรงชี้ให้ทุก ๆ คนได้มองเห็นได้ว่าความวุ่นวาย
ความทุกข์เดือดร้อนต่าง ๆ ที่มีอยู่ในโลกนั้น
ได้มีขึ้นดั่งนี้ สืบจากตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยาก
เป็นปฏิจจสมุปบาทสายตัณหาโดยเฉพาะอีกกว่า ๑๐ ข้อ
และเมื่อพิจารณาดูทุกคนก็จะเห็นได้ว่า
เป็นอย่างนี้จริง ๆ โลกที่ตัณหาก่อขึ้นย่อม
เป็นไปดั่งนี้จริง ๆ และทุกคนที่มีตัณหาก็ย่อม
เป็นไปอย่างนี้มากหรือน้อย เพราะฉะ
นั้นข้อที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสชี้แจงไว้นี้ จึง
เป็นเรื่องที่บังเกิดขึ้นในโลกจริง ๆ
เพราะเหตุแห่งตัณหาคือความดิ้นรนทะยานอยาก
และเมื่อรวมเข้าแล้วก็รวมเข้าในอุปาทานทั้ง ๔
นั่นแหละ ที่ตรัสสรุปเข้าว่า เพราะตัณหามีขึ้น
จึงมีอุปาทานคือความยึดถือ
ยึดถือกาม คือสิ่งที่รักใคร่ปรารถนาพอใจ
ทั้งหลาย ภาวะที่รักใคร่ปรารถนาพอใจทั้งหลาย
ยึดถือทิฏฐิ คือความเห็น ความเห็นที่
เป็นไปตามอำนาจของตัณหา
ยึดถือศีลและวัตร คือความประพฤติที่เป็นข้อเว้น
และความประพฤติที่เป็นข้อที่พึงทำต่าง ๆ
ไปตามอำนาจของตัณหา
ยึดถือวาทะว่าตัวเราของเรา และก็สืบไปถึงตัว
เขาของเขา เพราะเมื่อมีตัวเราของเราก็ต้องมีตัว
เขาของเขาคู่กันไป
ก็รวมเข้าในอุปาทานทั้ง ๔ นี่แหละ ซึ่งปรากฏออกไป
ก็เป็นการแสวงหาเป็นการได้มา ในเมื่อได้
เป็นการที่รับเข้ามาว่าเราได้ ยุติไปเป็นอย่าง ๆ
และมีความพอใจติดใจมีความสยบติด มีความยึดถือ มี
ความตระหนี่เหนียวแน่น และมีอารักขาต่าง ๆ ซึ่งต้อง
ใช้ไม้กระบองท่อนไม้ ต้องใช้ศัสตราวุธต่าง ๆ
ต้องทะเลาะกัน แก่งแย่งกัน วิวาทกัน กล่าวหากัน
ว่าท่านนั่นแหละหรือว่าเจ้านั่นแหละผิดเป็นต้น
ต้องพูดส่อเสียดกัน ต้องพูดเท็จกัน และ
ต้องประกอบบาปอกุศลธรรมต่าง ๆ เป็นอเนกคือ
ไม่น้อยมากมาย ก็สืบเนื่องมาจากตัณหาซึ่งเป็นปัจจัย
ให้เกิดอุปาทาน ดั่งนี้นี่แหละ
พิจารณาให้เห็นโทษของตัณหา
เพราะฉะนั้น ตามที่ทรงจำแนกไว้นี้จึง
เป็นข้อที่พึงพิจารณา และเมื่อพิจารณาดีแล้วก็
จะทำให้จิตใจนี้เห็นโทษของตัณหา เห็นโทษของอุปาทาน
ในการที่เพ่งพิจารณาก็ต้องใช้สมาธิ
ในสิ่งที่เพ่งพิจารณานั้น ปัญญาที่ได้มาจาก
ความเพ่งพิจารณาก็เป็นปัญญา และเมื่อ
เป็นปัญญาขึ้นดังนี้ ปัญญานี้เองก็จะทำให้เกิดการละ
ได้การสละได้ ดังที่ท่านพระเถระได้แสดงไว้ว่า
สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ก็คือความเห็นตรง เห็นถูก
ต้อง ประกอบด้วยความเลื่อมใส ไม่หวั่นไหว
ในธรรม
อันนำมาสู่พระสัทธรรมคือพระธรรมวินัย
ในศาสนานี้ เป็นเหตุละราคานุสัย อนุสัย กิเลสที่นอน
เนื่องในจิตสันดานคือราคะความติดใจยินดี
บรรเทาอนุสัยคือปฏิฆะ ความกระทบกระทั่งอัน
เป็นต้นของความโกรธแค้นขัดเคือง โทสะพยาบาท
ทั้งหลาย
และถอนอนุสัยคือทิฏฐิมานะว่าตัวเราของเรา
เป็นเหตุให้ละอวิชชาทำวิชชาให้บังเกิดขึ้นได้
เพราะฉะนั้น จึงนำให้กระทำที่สุดของทุกข์ได้
ความที่ได้พิจารณาให้มองเห็นตาม
เป็นจริงตามที่ตรัสไว้นี้แหละ คือสัมมาทิฏฐิ
ความเห็นชอบในแต่ละข้อ และที่ตรัสแสดงไว้นี้ก็
เป็นข้อที่จะพิจารณาเห็นตามไปได้จริง ๆ เพราะ
เป็นเรื่องที่มีอยู่เป็นไปอยู่จริงในโลกนี้ ซึ่งทุก ๆ คนก็
อยู่ในโลกนี้ โดยตรงก็อยู่
ในจิตใจอันนี้นี่แหละของทุก ๆ คน ซึ่งทุก ๆ
คนก็มีจิตใจอันนี้อยู่ มีตัณหา มีอุปาทานอยู่และมีความ
เป็นไปต่าง ๆ อยู่ตามที่ตรัสสอนไว้นี้มากหรือน้อย
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๑๗ มิถุนายน ๒๕๒๘
-------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 14:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๔๐ สรุปปฏิจจสมุปบาท
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๔๐ สรุปปฏิจจสมุปบาท
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
ได้แสดงข้อสัมมาทิฏฐิตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตร
มาโดยลำดับ จะได้แสดงต่อไปในข้อว่า
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยเกิดภพ
มีภพมีชาติเพราะอุปาทาน
ภพนั้นก็คือความเป็นความมี อันได้แก่กามภพ รูปภพ
อรูปภพ เพราะมีความยึดถือซึ่งเป็นอุปาทาน จึงมีภพ
ความเป็นความมี ภพอย่างละเอียดก็คืออัสสมิมานะ
ความสำคัญหมายว่าเรามีเราเป็น ยึดถือในสิ่งใดก็เกิด
เป็นความมีความเป็น คือเป็นเราสืบมาถึง
เป็นของเราขึ้นในสิ่งนั้น
ยึดอยู่ในกามก็เป็นเราขึ้นในกาม ก็เป็น กามภพ
ยึดในรูปก็เป็นเราขึ้นในรูป เป็น รูปภพ
ยึดในอรูปก็เป็นเราขึ้นในอรูป เป็น อรูปภพ
เพราะฉะนั้น เมื่อมีอุปาทานคือความยึดถือจึงมีภพ
และเมื่อมีภพจึงมีชาติ คือความเกิด เพราะว่า
เมื่อมีเราในกามก็ดี ในรูปก็ดี ในอรูปก็ดี ก็มีชาติคือ
ความเกิดขึ้นแห่งเรา
ทุกข์ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะชาติความเกิด
อันชาติคือความเกิดขึ้นนั้น เมื่อมีเป็นชาติขึ้นแล้ว ก็
ต้องมีชรา มีมรณะ มีโสกะ ความโศก ปริเทวะ
ความรัญจวนคร่ำครวญใจ เป็นต้น เป็นอันว่าทุกข์
ทั้งหมดก็เกิดขึ้น ตรงนี้
ได้มีพระพุทธาธิบายขยายชาติคือความเกิดลงไป
ตรงที่ทรงต้องการที่จะชี้ว่า
เมื่อมีชาติคือความเกิดก็มีชรามรณะ หากไม่มีชาติคือ
ความเกิดก็ไม่มีชรามรณะ
ดังที่ได้ตรัสถามพระอานนท์ว่า ชาติคือความเกิด
ความเกิดของเทพโดยความเป็นเทพ
ความเกิดของคนธรรพ์โดยความเป็นคนธรรพ์
ความเกิดของยักษ์โดยความเป็นยักษ์ ความเกิดของภูต
โดยความเป็นภูต ความเกิดของมนุษย์โดยความ
เป็นมนุษย์ ความเกิดของสัตว์ ๔ เท้าโดยความเป็นสัตว์ ๔
เท้า ความเกิดของนกโดยความเป็นนก
ความเกิดของงูสัตว์เลื้อยคลาน โดยความเป็นงู
เป็นสัตว์เลื้อยคลาน หากว่าไม่มีความเกิดแห่งเทพ
เป็นต้นเหล่านี้ขึ้น จะมีชรามรณะหรือไม่
ท่านพระอานนท์ก็กราบทูลว่าไม่มี ในเมื่อมี
ความเกิดแห่งเทพเป็นต้นดังกล่าว จึงมีชรามรณะใช่
หรือไม่ พระอานนท์ก็กราบทูลว่าใช่ ดั่งนี้
ทบทวนแต่ละลูกโซ่ในปฏิจจสมุปบาท
ตามที่อธิบายมาตั้งแต่อาสวะ อวิชชา จน
ถึงชรามรณะนี้ เป็นการแสดงอธิบายเพื่อ
ให้เชื่อมต่อว่าเป็นปัจจัยของกันมาโดยลำดับอย่างไร
ในข้อ สัมมาทิฏฐิ
นี้ท่านพระสารีบุตรจับแสดงไปทีละข้อ
เป็นอริยสัจ ๔ ไปทีละข้อ คือ
ให้รู้จักชรามรณะ
ให้รู้จักเหตุเกิดแห่งชรามรณะคือชาติ ให้รู้จัก
ความดับชรามรณะคือดับชาติ ให้รู้จักทางปฏิบัติให้
ถึงความดับชรามรณะ คือมรรคมีองค์ ๘
ท่านแสดงให้รู้จักชาติ คือความเกิด
ให้รู้จักเหตุเกิดแห่งชาติคือภพ ให้รู้จัก
ความดับชาติคือดับภพ ให้รู้จักทางปฏิบัติให้ถึง
ความดับชรามรณะคือมรรคมีองค์ ๘
ท่านแสดงให้รู้จักภพ
ให้รู้จักเหตุเกิดแห่งภพคืออุปาทาน ให้รู้จัก
ความดับภพก็คือดับอุปาทาน ให้รู้จักทางปฏิบัติให้ถึง
ความดับภพก็คือมรรคมีองค์ ๘
ท่านแสดงให้รู้จักอุปาทาน
ให้รู้จักเหตุเกิดแห่งอุปาทานก็คือตัณหา ให้รู้จัก
ความดับอุปาทานก็คือดับตัณหา ให้รู้จักทางปฏิบัติให้
ถึงความดับอุปาทานก็คือมรรคมีองค์ ๘
ท่านแสดงให้รู้จักตัณหา
ให้รู้จักเหตุเกิดแห่งตัณหาก็คือเวทนา ให้รู้จัก
ความดับตัณหาก็คือดับเวทนา ให้รู้จักทางปฏิบัติให้ถึง
ความดับตัณหาก็คือมรรคมีองค์ ๘
ท่านแสดงให้รู้จักเวทนา
ให้รู้จักเหตุเกิดเวทนาก็คือผัสสะ ให้รู้จัก
ความดับเวทนาก็คือดับผัสสะ ให้รู้จักทางปฏิบัติให้ถึง
ความดับเวทนาก็คือมรรคมีองค์ ๘
ท่านแสดงให้รู้จักผัสสะ ให้รู้จักเหตุเกิดแห่งผัสสะ
ก็คืออายตนะทั้ง ๖ ให้รู้จักความดับผัสสะ
ก็คือดับอายตนะทั้ง ๖ ให้รู้จักทางปฏิบัติให้ถึง
ความดับผัสสะก็คือมรรคมีองค์ ๘
ท่านแสดงให้รู้จักอายตนะทั้ง ๖
ให้รู้จักเหตุเกิดแห่งอายตนะทั้ง ๖ ก็คือนามรูป
ให้รู้จักความดับแห่งอายตนะทั้ง ๖ ก็คือดับนามรูป
ให้รู้จักทางปฏิบัติให้ถึงความดับอายตนะทั้ง ๖
ก็คือมรรคมีองค์ ๘
ท่านแสดงให้รู้จักนามรูป
ให้รู้จักเหตุเกิดนามรูปก็คือวิญญาณ ให้รู้จัก
ความดับนามรูปก็คือดับวิญญาณ ให้รู้จักทางปฏิบัติให้
ถึงความดับนามรูปก็คือมรรคมีองค์ ๘
ท่านแสดงให้รู้จักวิญญาณ
ให้รู้จักเหตุเกิดวิญญาณก็คือสังขาร ให้รู้จัก
ความดับวิญญาณก็คือดับสังขาร ให้รู้จักทางปฏิบัติให้
ถึงความดับวิญญาณก็คือมรรคมีองค์ ๘
ท่านแสดงให้รู้จักสังขาร
ให้รู้จักเหตุเกิดสังขารก็คืออวิชชา ให้รู้จัก
ความดับสังขารก็คือดับอวิชชา ให้รู้จักทางปฏิบัติให้
ถึงความดับสังขารก็คือมรรคมีองค์ ๘
ท่านแสดงให้รู้จักอวิชชา
ให้รู้จักเหตุเกิดอวิชชาก็คืออาสวะ ให้รู้จัก
ความดับอวิชชาก็คือดับอาสวะ ให้รู้จักทางปฏิบัติให้ถึง
ความดับอวิชชาก็คือมรรคมีองค์ ๘
ท่านแสดงให้รู้จักอาสวะ
ให้รู้จักเหตุเกิดอาสวะก็คืออวิชชา
ก็กลับย้อนมาหาอวิชชาอีก ให้รู้จัก
ความดับอาสวะก็คือดับอวิชชา ให้รู้จักทางปฏิบัติให้ถึง
ความดับอาสวะก็คือมรรคมีองค์ ๘
มรรคมีองค์ ๘ ดับได้ทุกข้อ
ก็เป็นอันว่ายุติลงแค่อวิชชาอาสวะ
หรือว่าอาสวะอวิชชา อันนับว่าเป็นต้นเงื่อนที่ได้ทรง
ค้นพบ ได้ตรัสรู้ และ
ได้ทรงนำมาแสดงชี้แจงจำแนก และก็
เป็นอริยสัจไปทุกข้อ ดังจะพึงเห็นได้ว่า ตามที่
ได้สรุปมานี้แต่ละข้อก็เป็น ๔ เป็น ๔ ทั้งนั้น คือ
เป็นอริยสัจ ๔ ไปทุกข้อ และทางปฏิบัติให้ถึง
ความดับของทุกข้อนั้นก็ยืนตัวคือ มรรคมีองค์ ๘ อัน
ได้แก่
สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ ก็คือเห็นในอริยสัจทั้ง ๔
สัมมาสังกัปปะ ความดำริชอบ ก็คือดำริในอริยสัจทั้ง
๔ นั่นแหละ แต่ท่านแสดงเป็นความดำริออก ดำริที่
ไม่ปองร้าย ดำริที่ไม่เบียดเบียน
สัมมาวาจา เจรจาชอบ
สัมมากัมมันตะ การงานชอบ
สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตชอบ
สัมมาวายามะ เพียรชอบ
สัมมาสติ ระลึกชอบ
สัมมาสมาธิ ตั้งใจชอบ
ได้มีพระพุทธาธิบายในมรรคมีองค์ ๘ นี้
โดยตั้งข้อสัมมาทิฏฐินำ คือ
เมื่อมีความเห็นชอบนำ ก็ย่อมมี ความดำริชอบ
เมื่อมีความดำริชอบ ก็ย่อมมี วาจาชอบ
เมื่อมีวาจาชอบ ก็ย่อมมี การงานชอบ
เมื่อมีการงานชอบ ก็ย่อมมี เลี้ยงชีวิตชอบ
เมื่อมีความเลี้ยงชีวิตชอบ ก็ย่อมมี ความเพียรชอบ
เมื่อมีความเพียรชอบ ก็ย่อมมี สติชอบ
เมื่อมีสติชอบ ก็ย่อมมี สมาธิชอบ
และได้มีพระพุทธาธิบายต่อไปอีกว่า
เมื่อมีสมาธิชอบ ก็ย่อมมี สัมมาญาณะ คือ
ความหยั่งรู้ชอบ
เมื่อมีความหยั่งรู้ชอบ ก็ย่อมมี สัมมาวิมุตติ คือพ้นชอบ
ดังนี้
อริยสัจสายเกิดทุกข์และสายดับทุกข์
มรรคมีองค์ ๘ นี้ย่อมเป็นหลักสำคัญ
ในการปฏิบัติเพื่อดับแห่งทุกข์ทุกข้อ
และเมื่อพิจารณาดูตามพระเถราธิบายที่ท่านแจกข้อธรรมะ
ในปฏิจจสมุปบาท ธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น
จับแต่ข้อชรามรณะไปจนถึงอวิชชาอาสวะ
หรืออาสวะอวิชชาก็แยกเป็นอริยสัจ ๔
ไปทุกข้อดังที่กล่าว และก็กล่าวได้ว่า ก็แบ่งออกเป็น
สายเกิด และแบ่งออกเป็น สายดับ
หากจะพูดรวบรัดเข้ามาว่า เป็นสายเกิดแห่งอะไร
ก็กล่าวได้ว่า เป็นสายเกิดแห่งทุกข์ เพราะว่าสายเกิด
นั้นก็มาสุดลงที่ชรามรณะ แก่ตาย
และโสกะปริเทวะ ความโศก
ความรัญจวนคร่ำครวญใจ เป็นต้น รวม
เข้าก็คือทุกข์ทุกอย่าง
ต้นทางของสายเกิดก็คืออวิชชาอาสวะ
หรืออาสวะอวิชชา ก็มาสุดลงที่กองทุกข์ทั้งหมด
มีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ เป็นต้น เพราะฉะนั้น
จึงสรุปเข้าว่าเป็นสายเกิดทุกข์
ส่วน สายดับ นั้นกล่าวอย่างรวบรัดเข้ามาว่า
ดับอะไร ก็กล่าวได้ว่า ดับทุกข์
เพราะว่าปลายทางก็คือดับทุกข์ ชรา มรณะ โสกะ
ปริเทวะเป็นต้นดับไปหมด เนื่องจากดับมา
จากต้นทางคืออวิชชาอาสวะหรืออาสวะอวิชชาดับ
ทุกอย่างก็ดับมา ตลอดสายจนถึงดับกองทุกข์ทั้งหมด
มีชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะเป็นต้น
พิจารณาให้เห็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์
ฉะนั้น จึงกล่าวได้ว่า บรรดาข้อธรรม
ในปฏิจจสมุปบาท ธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้นทุกข้อ
คืออาสวะอวิชชาหรืออวิชชาอาสวะ อาสวะ อวิชชา
สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ๖ ผัสสะ เวทนา
ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ มรณะ โสกะ ปริเทวะ
เป็นต้น ทั้งหมดนี้เป็นทุกขะสัจจะ สภาพที่จริงคือทุกข์
ทั้งหมด เพราะว่าเป็นสิ่งที่เป็นทุกข์ คือตั้งอยู่คงที่ไม่ได้
ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปคือต้องเกิดดับ
คือเกิดได้ดับได้ สิ่งที่เกิดดับได้นี้ รวมเข้าในคำว่าทุกข์
ทั้งหมด เพราะว่าตั้งอยู่คงที่ไม่ได้ ทุกข์จึงมิได้หมาย
ความเฉพาะทุกขเวทนาเท่านั้น จึงได้มีแสดงถึงคำว่า
ทุกข์ เอาไว้ว่า
ทุกขทุกขะ ทุกข์โดยความเป็นทุกข์
สังขารทุกข์ ทุกข์คือสังขารสิ่งที่ผสมปรุงแต่ง
ทั้งหลาย
วิปริณามทุกข์ ทุกข์คือ
ความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง
สิ่งที่มีลักษณะเป็นทุกข์โดย
เป็นทุกข์ดังที่เรียกว่าทุกขทุกข์ และสิ่งที่
เป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งทั้งหมด และสิ่งที่
ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด รวมเข้า
ในคำว่า ทุกข์ นี้ทั้งนั้น แม้ตัว เวทนา เอง
สุขเวทนา ก็เป็นทุกข์ เพราะว่า
ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงต้องเกิดดับ
ทุกขเวทนา ก็เป็นทุกข์ เพราะว่า
ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงต้องเกิดดับ
อุเบกขาเวทนา ก็เป็นทุกข์ เพราะว่า
ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงต้องเกิดดับ
เพราะฉะนั้น การเห็นทุกข์นั้นจึงมิใช่หมายความว่าเห็น
ในขณะที่มีทุกขเวทนา เช่นในเวลาที่เหน็ดเหนื่อย หรือ
ในเวลาที่ต้องอยู่ในที่ร้อนไป หนาวไป ในเวลาที่
ต้องมีทุกขเวทนาต่าง ๆ จากอาพาธป่วยไข้
การเห็นทุกข์ดั่งนี้ ทุก ๆ คนเมื่อประสบทุกขเวทนาก็
ต้องเห็นทั้งนั้น คือต้องเสวยทุกข์อยู่ด้วยกันทั้งนั้น
แล้วก็ต้องเห็นทุกข์ดังนั้นทั้งนั้น แต่ว่าเมื่อเห็นก็ยังจมอยู่
ในกองทุกข์ ยังต้องตกอยู่ในทุกข์ พรากจิตออกมาไม่
ได้ เพราะฉะนั้น ทุกข์อย่างที่เห็น ๆ กันนี้ผู้เห็นจึง
ไม่ชื่อว่าเห็นทุกข์ เห็นทุกข์นั้นจะ
ต้องเห็นว่าแม้ทุกขเวทนาที่กำลังประสบอยู่ก็เป็นทุกข์
คือต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลง
เป็นสังขารคือสิ่งผสมปรุงแต่งต้องเกิดต้องดับ แม้
ในเวลาที่ประสบสุขเวทนาต่าง ๆ มีความสุขสบายต่าง
ๆ ก็ต้องเห็นว่าสุขที่กำลังประสบอยู่นั้นเป็นตัวทุกข์ คือ
เป็นสิ่งที่แปรปรวนเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่
ต้องเกิดดับ แม้ในขณะที่กำลังประสบ
หรือเสวยอุเบกขาเวทนา เวทนาที่ไม่ทุกข์ไม่สุข ก็
ต้องรู้จักว่านั่นเป็นเวทนาที่เป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์ไม่สุข
ซึ่งก็ต้องเป็นตัวทุกข์ คือเป็นสังขารสิ่งผสมปรุงแต่ง
ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลง จะต้องเห็นดั่งนี้ จึง
จะชื่อว่า เห็นทุกข์
เห็นทุกข์ในรูป เห็นทุกข์ในเวทนา เห็นทุกข์ในสัญญา
เห็นทุกข์ในสังขาร เห็นทุกข์ในวิญญาณ ทั้งหมดว่า
เป็นสิ่งที่ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงต้องเกิด
ต้องดับ
ชรามรณะโสกะปริเทวะเป็นต้น ก็ต้อง
เป็นตัวทุกข์ดังกล่าว
ชาติ ก็ต้องเป็นตัวทุกข์ดังกล่าว
ภพ ก็ต้องเป็นตัวทุกข์ดังกล่าว
อุปาทาน ก็ต้องเป็นตัวทุกข์ดังกล่าว
ตัณหา ก็ต้องเป็นตัวทุกข์ดังกล่าว
เวทนา ก็ต้องเป็นตัวทุกข์ดังกล่าว
ผัสสะ ก็ต้องเป็นตัวทุกข์ดังกล่าว
อายตนะทั้ง ๖ ก็ต้องเป็นตัวทุกข์ดังกล่าว
นามรูป ก็ต้องเป็นตัวทุกข์ดังกล่าว
วิญญาณ ก็ต้องเป็นตัวทุกข์ดังกล่าว
สังขาร ก็ต้องเป็นตัวทุกข์ดังกล่าว
แม้ อวิชชาอาสวะ ก็ต้องเป็นตัวทุกข์ดังกล่าว เพราะ
เป็นสิ่งที่ต้องเกิดต้องดับ คือดับได้
ดั่งนี้จึงจะชื่อว่าเห็นทุกข์ในอริยสัจที่สืบเนื่องกันไป
เป็นสายเป็นทุกข์ทั้งหมด คือเป็นสิ่งที่ต้องเกิด
ต้องดับหมด ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงหมด
เพราะฉะนั้น เห็นดั่งนี้จึงจะชื่อว่า เห็นทุกข์
เห็นสมุทัยของแต่ละเงื่อนไขโดยลำดับ
และเห็นว่า บรรดาข้อธรรมะเหล่านี้
เป็นสมุทัยของกันและกันดังที่ได้แสดงมาแล้ว อาสวะ
เป็นสมุทัยของอวิชชา อวิชชาเป็นสมุทัยของอาสวะ
อาสวะเป็นสมุทัยของอวิชชา อวิชชา
เป็นสมุทัยของสังขารเป็นต้น ลงมาจนถึงชาติ
เป็นสมุทัยของชรามรณะโสกะปริเทวะเป็นต้น
เป็นสมุทัยของกันและกันเป็นลูกโซ่มาโดยลำดับ
ดั่งนี้เป็นข้อ สมุทัย
เห็นนิโรธคือความดับทุกข์
และเห็นความดับที่ต้องดับสืบต่อกันมาเป็นสาย
จากอวิชชาอาสวะ อาสวะอวิชชาลงมาจน
ถึงชาติดับชรามรณะโสกะปริเทวะเป็นต้น
นั่นก็เป็นเห็น นิโรธ คือความดับทุกข์
เห็นมรรคคือทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
และเห็นมรรคคือทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
คือมรรคมีองค์ ๘ ว่าเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ซึ่งมีสัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบเป็นข้อสำคัญ
โดยที่มีมรรคทั้งหมดสนับสนุน คือจะต้องมีทั้งอีก ๗
ข้อมาร่วมกันเป็นมรรคสมังคี ความพร้อมเพรียง
กันขององค์มรรค สัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบจึง
จะมีกำลังแก่กล้า มองเห็นสัจจะคือความจริง
ในอริยสัจทั้ง ๔ เหล่านี้ ที่จำแนกไป
โดยลำดับตลอดสาย และเมื่อเป็นดั่งนี้แล้ว จึงจะ
ได้
สัมมาญาณะ ความหยั่งรู้ชอบ
สัมมาวิมุตติ ความหลุดพ้นชอบในที่สุด
สรุปสัมมาทิฏฐิและปฏิจจสมุปบาท
ท่านพระสารีบุตรได้แสดงธรรมะ
ในปฏิจจสมุปบาทนี้สืบต่อจากที่ท่านได้แสดง
ถึงสัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบ คือเห็นชอบ
ในกรรมพร้อมทั้งเหตุของกรรม ซึ่งท่าน
ได้แสดงว่า
สัมมาทิฏฐิ คือความเห็นชอบ ก็ได้แก่รู้จักอกุศล
รู้จักอกุศลมูล คือโลภะ โทสะ โมหะ รู้จักกุศล
รู้จักกุศลมูล คืออโลภะ อโทสะ อโมหะ
รู้จักอาหารทั้ง ๔ อันได้แก่รู้จักว่าอาหารคือคำข้าว
ซึ่งเป็นของหยาบเป็นอาหารของกาย รู้จักผัสสะ
เป็นอาหารของเวทนา รู้จักมโนสัญเจตนา คือ
ความจงใจว่าเป็นอาหารของกรรม
และรู้จักวิญญาณว่าเป็นอาหารของนามรูป ดั่งนี้
แล้วท่านจึงแสดง อริยสัจทั้ง ๔ คือให้รู้จักทุกข์
รู้จักทุกขสมุทัย เหตุเกิดทุกข์ รู้จักทุกขนิโรธ
ความดับทุกข์ รู้จักมรรคคือทางปฏิบัติให้ถึง
ความดับทุกข์
แล้วจึงขยายออกมาเป็นข้อธรรมใน ปฏิจจสมุปบาท
โดยแยกเป็นอริยสัจ ๔ ไปทุก ๆ ข้อ แต่ว่าข้อธรรม
ในปฏิจจสมุปบาทนี้ ท่านพระอานนท์
ได้เคยกราบทูลพระพุทธเจ้าว่าปรากฏแก่ท่านว่าเหมือน
เป็นของง่าย
แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่าท่านพระอานนท์อย่ากล่าวเช่น
นั้น ธรรมะในปฏิจจสมุปบาทเป็นธรรมะที่ลุ่มลึก
ซึ่งเห็นได้ยาก รู้ได้ยาก เพราะฉะนั้น
เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดง อริยสัจทั้ง ๔ จึง
ได้แสดงโดยปริยายที่เข้าใจกันง่าย
ทรงแสดงทุกขสัจจะ สภาพที่จริงคือทุกข์ ก็ทรงชี้
ให้รู้จักสภาวทุกข์ คือชาติ ชรา มรณะ
ให้รู้จักปกิณณกทุกข์ ก็คือโสกะปริเทวะเป็นต้น
ซึ่งรวบเข้าก็เป็น ประจวบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก
พลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก
สรุปลงเป็นหนึ่งก็คือ ปรารถนาไม่ได้สมหวัง
และโดยย่อก็คือ ขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการ
เป็นตัวทุกข์ ก็คือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
และ ทรงแสดงทุกขสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
ทรงชี้เอาตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก
ทรงแสดงทุกขนิโรธ ความดับทุกข์ก็คือดับตัณหา
ทรงแสดงมรรค ทางปฏิบัติให้ถึง
ความดับทุกข์ก็คือมรรคมีองค์ ๘ ดังกล่าว ซึ่ง
เป็นปริยายที่เข้าใจได้ง่าย
แต่ในทางพระสัพพัญญุตญาณที่ตรัสรู้นั้น
ได้ตรัสแสดงไว้ว่า ได้ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท
ธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น คือ
ได้ตรัสรู้อย่างละเอียด และเมื่อได้ตรัสรู้แล้วก็
ยังได้พิจารณาปฏิจจสมุปบาท ธรรมะที่อาศัย
กันบังเกิดขึ้นนี้ ทั้งโดยสมุทัยวาร วาระเกิด
นิโรธวาร วาระดับ
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๑๘ มิถุนายน ๒๕๒๘
-------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 14:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๔๑ อธิบายอริยสัจโดยพิสดาร
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๔๑ อธิบายอริยสัจโดยพิสดาร
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
อานิสงสผลของสมาธิ
พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอน
ให้บุคคลปฏิบัติอบรมจิตอันเรียกว่า จิตตภาวนา
หรือเรียกว่า กรรมฐาน
อันแปลว่าการงานทางจิต ที่ตั้งขึ้น คือที่ปฏิบัติ
อันอาศัยข้อที่พึงถือเป็นที่ตั้งของการปฏิบัติ และก็
ได้ตรัสแสดงถึงจิตนี้ว่า ดิ้นรน กวัดแกว่ง
กระสับกระส่าย รักษายาก ห้ามยาก แต่
ผู้มีปัญญาย่อมกระทำจิตของตนให้ตรงได้
เหมือนอย่างนายช่างศรทำลูกศรให้ตรง
หรือว่าดัดลูกศรให้ตรงฉะนั้นดั่งนี้ และข้อที่จิตนี้
ดิ้นรน กวัดแกว่ง กระสับกระส่าย ถ้าไม่กำหนดก็อาจ
จะยังไม่ปรากฏแก่ความรู้ เพราะเป็นปกติของทุกคน
ย่อมมีจิตใจไม่อยู่ที่ คิดไปถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่
เป็นปกติ และก็
เป็นเรื่องที่รักใคร่ปรารถนาพอใจอันทำใจ
ให้อาลัย อันหน่วงใจไปให้คิดถึง หรือว่าคิดไป
ถึงเรื่องที่ขัดใจ คิดไปถึงเรื่องที่หลงสยบติดอยู่ ย่อม
เป็นไปดั่งนี้อยู่เป็นประจำ จนถึงไม่สำนึกรู้
ในจิตของตนเองว่ามีอาการดั่งที่ตรัสสอน
แต่เมื่อได้มาจับทำ กรรมฐาน เช่นตั้งจิตกำหนดใน
สติปัฏฐาน ที่ตั้งของสติ คือกายเวทนาจิต
และธรรมะข้อใดข้อหนึ่ง เช่น กำหนด
ในข้ออานาปานสติ สติกำหนดลมหายใจเข้าออก
ให้จิตกำหนดรู้อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าก็
ให้รู้ หายใจออกก็ให้รู้ จิตมักจะไม่ตั้งอยู่ในข้อที่ตั้งใจ
จะให้จิตตั้งอยู่นี้ จิตจะออกไปสู่อารมณ์ คือเรื่องที่
เป็นที่อาลัยของจิต คือที่ผูกจิต ทั้งเป็นเรื่องที่น่ารัก
ทั้งเป็นเรื่องที่น่าชังต่าง ๆ เมื่อมีสตินำจิตเข้ามาตั้งไว้
ใหม่ อยู่ที่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก เช่นตั้ง
ไว้ที่ปลายจมูก หรือที่ริมฝีปากเบื้องบน
เมื่อลมหายใจเข้า ลมหายใจก็ย่อม
จะมากระทบที่จุดนี้ กำหนดจิตให้มีความรู้ในลมที่
เป็นตัวโผฏฐัพพะ คือที่มาถูกต้องกายส่วนนี้ ทำ
ความรู้ว่านี่หายใจเข้า นี่หายใจออก จิตมักจะไม่ตั้งอยู่
ต้องนำกลับเข้ามาบ่อย ๆ ดังกล่าวนั้น ก็เพราะจิตยัง
ไม่ได้ความสุข ยังไม่ได้ความเพลิดเพลินในสมาธิ
ยังติดอยู่ ยังเพลิดเพลินอยู่
ในอารมณ์ที่ใคร่ที่ปรารถนาทั้งหลายอัน
เป็นเหตุดึงจิตออกไป แต่ว่าเมื่อทำบ่อย ๆ ได้ปีติคือ
ความอิ่มใจ ได้สุขคือความสบายกายสบายใจ อันเกิด
จากสมาธิคือว่าจิตรวมเข้ามาตั้งได้ และทำให้ได้ปีติ
ได้สุข ก็ย่อมจะทำให้จิตนี้เริ่มตั้งอยู่
ในอารมณ์ของสมาธิได้ เพราะว่าได้ความสุข ไม่ได้
ความอึดอัดเดือดร้อนรำคาญ
ฉะนั้น สมาธินี้จึงมีอานิสงสผลทำให้ได้ความสุขอยู่
ในปัจจุบัน สามารถที่จะถอนจิตออก
จากอารมณ์ภายนอกอันทำให้วุ่นวายได้ แม้ว่า
จะชั่วขณะที่เร็วหรือช้า สุดแต่ความเพียรที่ปฏิบัติ
ถ้าไม่ทิ้งความเพียรที่ปฏิบัติแล้ว ก็จะทำให้
สามารถปฏิบัติรักษาจิตอยู่ในอารมณ์ของสมาธิ
ได้นาน ความที่พรากจิตออกจากอารมณ์ภายนอกได้
มาตั้งอยู่ในอารมณ์ของสมาธิที่เป็นภายในดั่งนี้ ก็
เป็นวิธีระงับความทุกข์ต่าง ๆ อันเกิด
จากอารมณ์ภายนอกได้ด้วย ถ้าหากว่าไม่สามารถที่
จะพรากจิตออกมาได้หากมีความทุกข์
เพราะอารมณ์ภายนอก ก็ย่อมจะต้องเป็นทุกข์อยู่นาน
น้อยหรือมากสุดแต่ว่าความผูกพันของจิต
อันเรียกว่าสังโยชน์ นั้นมีน้อยหรือมากเพียงไร ก็
เพราะว่าอันอารมณ์ภายนอกต่าง ๆ นั้น
เมื่อเป็น ปิยสัมปโยค คือความประจวบกับสิ่งที่
เป็นที่รัก ก็ย่อมจะทำให้ได้ความสุขความสำราญ
หากเป็น ปิยวิปโยค ความพลัดพรากจากสิ่งที่
เป็นที่รัก ก็ย่อมจะทำให้เกิดความทุกข์โศกต่าง ๆ
เพราะฉะนั้น เมื่อมิได้ปฏิบัติทางสมาธิ จึงยากที่
จะพรากจิตออกได้ทั้งจากความสุข ความเพลิดเพลิน
ก็ย่อมจะไม่รู้สึกเป็นทุกข์เดือดร้อน
เป็นแต่เพียงว่ารักษาจิตไว้มิ
ให้มัวเมาเพลิดเพลินเกินไปเท่านั้น แต่ว่าจะได้
ความสุขความเพลิดเพลินสมปรารถนา
ต้องการไปทุกเรื่องทุกราวก็หาไม่ จะต้องพบกับ
ความไม่สมปรารถนาควบคู่กันไป
ด้วยตามธรรมดาของโลก ซึ่งจะต้องมีทั้ง
ส่วนที่สมปรารถนาทั้งส่วนที่ไม่สมปรารถนา คือทั้ง
ส่วนที่ได้มาและทั้งส่วนที่จะต้องเสียไป
เป็นไปตามคติธรรมดาของโลกของสังขารสิ่งผสมปรุงแต่ง
ทั้งหลาย และเป็นไปตามคติของกรรมที่
ได้กระทำไว้ เพราะฉะนั้น สุขกับทุกข์จึงมีคู่กันอยู่
ในโลกเป็นธรรมดาซึ่งทุกคนต้องประสบ แต่ผู้ที่
สามารถปฏิบัติอบรมจิตให้ตั้งอยู่ได้ในสมาธิ รู้จักที่
จะพรากจิตออกได้จากอารมณ์ภายนอก ย่อม
สามารถที่จะหนีทุกข์มาอยู่ในสมาธิ อันทำให้ได้
ความสุขจากสมาธิ แต่คนที่ไม่สามารถทำสมาธิได้ ย่อม
ไม่สามารถจะหลีกหนีจากทุกข์ได้ ต้องเผชิญกับ
ความทุกข์อยู่ร่ำไป
ฉะนั้น ความที่ทำสติความระลึกได้ พร้อม
ทั้งปัญญาคือความรู้ดั่งนี้ มาหัดทำสมาธิพรากจิต
จากอารมณ์ภายนอกอันทำให้เกิดสุขก็ตามทำ
ให้เกิดทุกข์ก็ตาม มาตั้งอยู่ในอารมณ์ของสมาธิ
และเมื่อพรากออกได้ก็ย่อมจะทำให้ระงับทุกข์ได้ ทำ
ให้ได้ความสุขได้ แต่ว่าเมื่อออกจากสมาธิไป ก็ย่อมจะ
ต้องไปอยู่กับอารมณ์ภายนอก เป็นทุกข์ขึ้นอีก แต่ถึงดั่ง
นั้นก็ยังดี เพราะเมื่อเห็นว่าจะทุกข์มากไป ก็หลบ
เข้ามาสู่อารมณ์ของสมาธิเสีย ก็จะทำให้ได้ความสุข
จากสมาธิ ทำให้จิตใจได้กำลังได้เรี่ยวแรงที่
จะปฏิบัติกิจการทั้งหลาย แต่ว่าเพียงสมาธิอย่างเดียว
ยังไม่สามารถที่จะดับทุกข์ได้จริง จึง
ต้องปฏิบัติทางปัญญาประกอบไปด้วย กล่าวคือใช้สติ
ความระลึกตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ให้
ได้ปัญญาคือความรู้ขึ้นรับรองว่าเป็นความจริง คือ
ใช้สติระลึกไปตามที่ทรงสั่งสอน ว่าเรามีความเกิด
เป็นธรรมดา ว่าเรามีความแก่เป็นธรรมดา
ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ เรามีความเจ็บไข้
เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้ เรามี
ความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้
เรามีความพลัดพรากคือจะต้องพลัดพราก
จากสิ่งที่เป็นที่รักที่ชอบใจทั้งสิ้น
เรามีกรรมที่กระทำทางกาย ทางวาจาทางใจ
เป็นของ ๆ ตน เป็นทายาทรับผลของกรรม
มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรม
เป็นที่พึ่งอาศัย จักกระทำกรรมอันใดไว้ดีหรือชั่ว
ก็จักต้องเป็นทายาทรับผลของกรรมนั้น ดั่งนี้
อาศัยสติและปัญญาพิจารณาให้เห็นสัจจะ
เมื่อพิจารณาดั่งนี้ด้วยสติ
คือระลึกไปตามที่ทรงสั่งสอน ให้
ความรู้ของตนบังเกิดขึ้นรับรองว่าเป็นจริง เรามี
ความแก่เจ็บตายเป็นธรรมดาจริง เราจะ
ต้องพลัดพรากจริง เรามีกรรมเป็นของ ๆ
ตนจริง
ความรู้ที่บังเกิดขึ้นรับรองดั่งนี้เป็นตัว ปัญญา
อันบังเกิดขึ้นจากสติที่พิจารณา
เมื่อเป็นดั่งนี้ ก็จะทำให้รู้จักสัจจะ คือ
ความจริงของโลก โดยเฉพาะก็คือขันธโลก
โลกคือขันธ์ คือชีวิตนี้ของตนว่าเป็นอย่างไร
ให้รู้จักคติของกรรมว่าเป็นอย่างไร
ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน
เพราะฉะนั้น เมื่อต้องประสบ
กับคติธรรมดาของชีวิตของโลกที่เป็นไป
อยู่ดังที่ตรัสสอนให้พิจารณานั้น ก็จะทำให้ได้สติ
ระลึกได้ว่าก็ต้องเป็นไปตามคติธรรมดา
และตามคติของกรรม ก็จะทำให้จิตใจนี้สามารถที่
จะระงับความตื่นเต้นยินดีในความสุขต่าง ๆ หรือว่า
ความทุกข์โศก เพราะประสบเหตุของทุกข์ต่าง ๆ ได้
ยิ่งกว่าผู้ที่ไม่ได้หัดพิจารณาให้ได้สติให้ได้ปัญญา
และยิ่งขึ้นไปกว่านั้นก็หัดกำหนดดู
ให้รู้จักตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเอาไว้
ในธรรมบทว่า
ความโศกเกิดจากบุคคลและสิ่งซึ่งเป็นที่รัก ภัยคือ
ความกลัวต่าง ๆ เกิดจากบุคคลและสิ่งที่เป็นที่รัก
ความโศกความกลัวเกิดจากความรัก เมื่อพ้น
จากบุคคลและสิ่งซึ่งเป็นที่รัก พ้นจากความรักเสีย
ได้ ความโศกความกลัวต่าง ๆ ก็ดับ
และได้ตรัสสอนไว้อีกว่า
ความโศก ความกลัว เกิดจากตัณหา คือ
ความดิ้นรนทะยานอยาก เมื่อพ้นจากตัณหาก็ย่อมจะพ้น
ความความโศกความกลัวได้ ดั่งนี้
ทุกข์เกิดจากตัณหาอุปาทานในจิตใจ
เพราะฉะนั้น ก็หัดพิจารณาจับดูที่จิตใจ ว่าจิตใจที่มี
ความทุกข์โศกก็ดี มีภัยคือความกลัวต่าง ๆ อยู่ก็ดี
เกิดขึ้นจากอะไร ซึ่งโดยปกตินั้นก็มักจะไปเข้าใจว่าเกิด
จากเหตุภายนอกต่าง ๆ เช่น เกิดจากบุคคลบ้าง สิ่งต่าง
ๆ บ้าง ซึ่งถ้าเป็นที่รักบุคคลหรือสิ่งนั้น ๆ ก็
ต้องพลัดพรากไป ถ้าไม่เป็นที่รัก บุคคลหรือสิ่ง
นั้น ๆ ก็กล้ำกรายเข้ามา มักจะไปเพ่งดูดั่งนั้น
และเมื่อเป็นดั่งนี้ก็ยิ่งทับถมทวีความโศกทับถมทวีภัยคือ
ความกลัวความหวาดระแวงต่าง ๆ ยิ่งขึ้น เพราะฉะ
นั้น ความที่มาพิจารณาจับเหตุดั่งนี้เรียกว่า
เป็นการจับเหตุที่ไม่ตรงกับผล
พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสสอนให้จับเหตุให้ตรงกับผล
คือตรัสสอนให้จับเข้ามาดูเหตุที่เป็นตัวเหตุภายใน
คือตัณหาความดิ้นรนทะยานอยากในใจของตนเอง
ซึ่งตรัสว่าเป็นทุกขสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์
เพราะตัณหานี้เป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน คือ
ความยึดถือ ยึดถือว่าเป็นตัวเรา ยึดถือว่าเป็นของเรา
ยึดถือว่านั่นเป็นที่รัก ยึดถือว่านั่นไม่เป็นที่รัก
ตัณหาอุปาทานนี้เป็นตัวเหตุที่สร้างบุคคลและสิ่งที่
เป็นที่รักบ้าง ไม่เป็นที่รักบ้าง
สร้างตัวเราของเราขึ้นในสิ่งทั้งหลายโดยรอบ
เพราะฉะนั้น ตัณหา
ความดิ้นรนทะยานอยากอุปาทานคือความยึดถือนี้เอง
จึงเป็นตัวเหตุที่มีอยู่ในจิตใจนี้เอง
หมั่นพิจารณาดั่งนี้ ให้
ความรู้ของตนนี้แหละบังเกิดขึ้นรับรอง
ว่าตัณหาอุปาทานในจิตใจของตนนี้เป็นตัวทุกขสมุทัย
เหตุให้เกิดทุกข์จริง ทุกข์ต่าง ๆ ที่ได้รับอยู่ เป็น
ความทุกข์โศกต่าง ๆ ก็ดี เป็นภัยคือความกลัวต่าง ๆ ก็ดี
ก็มาจากตัณหาอุปาทานนี้เอง ให้
ความรู้ของตนนี้แหละบังเกิดขึ้นรับรองว่าเป็น
ความจริง ด้วยการที่หมั่นพิจารณาอยู่เนือง ๆ
ให้มองเห็นว่านี่เป็นตัวเหตุ ทุกข์โศกภัยต่าง ๆ นั้น
เป็นตัวผล เมื่อปัญญาบังเกิดขึ้นคือ
ความรู้นี่แหละบังเกิดขึ้นรับรองว่าเป็นจริงดั่งนี้
ทุกข์โศกต่าง ๆ ภัยคือความกลัวต่าง ๆ ก็จะดับไปทันที
ทรงตรัสรู้ในอริยสัจ ๔
พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ก็
ได้ตรัสแสดงไว้ในปฐมเทศนาของพระองค์ว่าตรัสรู้
ในอริยสัจทั้ง ๔ คือ ทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์
ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ทุกข์ต่าง ๆ นั้นก็
เพราะมีทุกขสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ คือตัณหา
ความดิ้นรนทะยานอยาก ดับตัณหาเสียได้ก็
เป็นทุกขนิโรธ ความดับทุกข์ จะดับได้ก็อาศัยปฏิบัติ
ในมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบเป็นต้น
มีสัมมาสมาธิ ความตั้งใจชอบเป็นที่สุด ซึ่งแสดงว่า
ต้องมีสมาธิ คือความที่กำหนดจิตเพ่งจิตอยู่
ในอารมณ์ของสมาธิ
อารมณ์ของสมาธิเพื่อสมาธิก็เช่นอานาปานสติเป็นต้น
อารมณ์ของสมาธิเพื่อปัญญาก็คือนามรูปนี้ กำหนดดู
ให้รู้จักนามรูปนี้ให้รู้จักกายใจนี้ ว่าเป็นอนิจจะ คือ
ไม่เที่ยงต้องเกิดดับ เป็นทุกข์
ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป และ
เป็นอนัตตาบังคับให้เป็นไปตามปรารถนามิได้ จึงมิ
ใช่ตัวเรามิใช่ของเราตามที่ยึดถือกันดั่งนี้
ความรู้ที่บังเกิดขึ้นรับรองความจริงนี้ก็เป็น
สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ
พระพุทธเจ้าได้ทรงปฏิบัติมาในมรรคมีองค์ ๘ นี้
ที่ตรัสเรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา ข้อปฏิบัติที่
เป็นหนทางกลางสมบูรณ์ ทรงกำหนดรู้ ทุกข์ ได้
แล้ว ทรงละ สมุทัย ได้หมดแล้ว ทรงทำให้แจ้ง
นิโรธ ได้แล้ว ทรงปฏิบัติใน มรรคมีองค์ ๘
ได้สมบูรณ์แล้ว จักษุ คือดวงตา ญาณ คือ
ความหยั่งรู้ ปัญญา คือความรู้รอบ วิชชา คือ
ความรู้จริง อาโลก คือความสว่าง ผุดขึ้นในอริยสัจ
ทั้ง ๔ กิเลสและกองทุกข์ดับไปหมดสิ้น จึงเป็น พุทโธ
คือเป็นผู้ตรัสรู้แล้ว
และความตรัสรู้ของพระองค์ในอริยสัจทั้ง ๔ นี้
เมื่อแสดงโดยพิสดารตามที่ตรัสไว้ก็คือ
ปฏิจจสมุปบาท ธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น
ซึ่งมีอวิชชาอาสวะเป็นต้น มาจนถึงชรา มรณะ โสกะ
ปริเทวะ เป็นต้น ซึ่งเป็นปัจจัยกันโดยลำดับ นี้เป็นฝ่าย
สมุทัยวาร คือเป็นฝ่ายเกิด หรือเป็นฝ่ายก่อทุกข์
พระพุทธเจ้าเมื่อได้ตรัสรู้แล้ว ก็
ได้ทรงพิจารณาอริยสัจทางปฏิจจสมุปบาทนี้แล้วก็
ได้ทรงเปล่งอุทานขึ้นซึ่งแปลความว่า
เมื่อใด ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พราหมณ์
ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความสงสัยของพราหมณ์นั้น
ย่อมสิ้นไป เพราะมารู้ธรรมะว่า เกิดจากเหตุ
หรือรู้ธรรมะพร้อมทั้งเหตุ
หรือรู้ธรรมะว่ามีเหตุที่เป็นปัจจัยสืบต่อกันไปจึงทำ
ให้เกิดทุกข์
แล้วได้ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาททาง
นิโรธวาระ หรือ นิโรธวาร
คือวาระดับคือดับทุกข์ ว่าเพราะดับอวิชชาอาสวะ
หรืออาสวะอวิชชาเป็นต้น จึงได้ดับมาโดยลำดับ จน
ถึงดับชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ เป็นต้น
ได้ทรงเปล่งอุทานขึ้นว่า
เมื่อใด ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พราหมณ์
ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความสงสัยของพราหมณ์นั้น
ย่อมสิ้นไป เพราะมารู้ความสิ้นไปของปัจจัยคือเหตุ
ทั้งหลาย ดั่งนี้
ต่อจากนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๒ กรกฎาคม ๒๕๒๘
-------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 14:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๔๒ อธิบายอริยสัจโดยพิสดาร (๒)
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๔๒ อธิบายอริยสัจโดยพิสดาร (ต่อ)
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท
ได้แสดงเรื่องพระพุทธเจ้าเมื่อได้ตรัสรู้แล้ว
ได้ประทับนั่งเสวยวิมุตติสุข ณ โคนไม้โพธิฤกษ์
ทรงพิจารณา ปฏิจจสมุปบาท ธรรมะที่อาศัย
กันบังเกิดขึ้น โดย สมุทัยวาร คือโดยวาระเกิดก่อทุกข์
ทรงเปล่งอุทานในปฐมยามแห่งราตรีที่แปล
ความว่า
เมื่อใด ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พราหมณ์
ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความสงสัยของพราหมณ์นั้น
ย่อมสิ้นไป เพราะมารู้ธรรมว่ามีเหตุ
หรือเกิดแต่เหตุ
ต่อจากนั้นทรงพิจารณา ปฏิจจสมุปบาท โดย
นิโรธวาร คือ
โดยวาระดับคือดับทุกข์ทรงเปล่งอุทาน
ในมัชฌิมยามแห่งราตรี แปลความว่า
เมื่อใด ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พราหมณ์
ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความสงสัยของพราหมณ์นั้น
ย่อมสิ้นไป เพราะมารู้ความสิ้นไปแห่งปัจจัยทั้งหลาย
ต่อจากนั้นทรงพิจารณา ปฏิจจสมุปบาท ทั้งโดย
สมุทัยวาร ทั้งโดย นิโรธวาร ทรงเปล่งอุทาน
ในปัจฉิมยามแห่งราตรี แปลความว่า
เมื่อใด ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พราหมณ์
ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความสงสัยของพราหมณ์นั้น
ย่อมสิ้นไป พราหมณ์นั้น กำจัดมารและเสนา สถิต
อยู่เหมือนอย่างดวงอาทิตย์สถิตส่องสว่างอยู่ในนภากาศ
ดั่งนี้
ธรรมที่อาศัยกันบังเกิดขึ้นอันเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท
ได้แสดงแล้วตามเถราธิบายแห่งท่านพระสารีบุตร
และก็ได้เคยกล่าวแล้วว่าก็
เป็นการพิจารณาอริยสัจโดยพิสดาร อริยสัจนั้น
พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงไว้ตั้งแต่ในปฐมเทศนาว่า
คือ ทุกข์ ทุกขสมุทัย เหตุเกิดทุกข์ ทุกขนิโรธ
ความดับทุกข์ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏิบัติให้ถึง
ความดับทุกข์ และได้ทรงอธิบาย
ทุกข์ ว่ามีชาติทุกข์ ทุกข์คือชาติเป็นต้น สรุปเข้าก็
ในขันธ์เป็นที่ยึดถือทั้ง ๕ ประการ
ทุกขสมุทัย เหตุเกิดทุกข์ ทรงอธิบายยกเอาตัณหา
ความดิ้นรนทะยานอยาก
ทุกขนิโรธ ความดับทุกข์ ทรงอธิบายยกเอา
ความดับตัณหา
ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ทรงยกเอามรรคมีองค์ ๘
ก็เป็นการทรงแสดงโดยทั่วไป เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจได้
โดยง่าย เพราะว่าอริยสัจที่ทรงอธิบายดั่งนี้ ผู้ฟัง
ทั่วไปเมื่อตั้งใจฟังตั้งใจพิจารณาไปตามก็อาจเข้าใจได้
และสามารถที่จะปฏิบัติได้คือปฏิบัติกำหนดรู้ทุกข์
ละสมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์คือตัณหา ทำ
ให้แจ้งทุกขนิโรธ ความดับทุกข์คือดับตัณหา
และอบรมปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ให้บังเกิดขึ้น
ส่วนในปฏิจจสมุปบาท ธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น ก็
ได้เคยกล่าวว่า เป็นการที่ทรงแสดงอริยสัจ
โดยละเอียดหรือพิสดาร
และพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรก็ทำ
ให้มองอย่างประณีต ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่จะเข้าใจได้โดยง่าย
ฉะนั้น จึงได้ตรัสห้ามท่านพระอานนท์ที่กราบทูลว่า
ปฏิจจสมุปบาทนั้นปรากฏว่าง่ายแก่ท่าน พระพุทธเจ้า
ได้ตรัสห้ามว่าอย่ากล่าวอย่างนั้น เพราะว่า
ปฏิจจสมุปบาท เป็นธรรมะที่ละเอียดสุขุมลุ่มลึก
แต่ว่าเมื่อไม่รู้หรือไม่ตรัสรู้ปฏิจจสมุปบาท ก็ยัง
ต้องท่องเที่ยวอยู่ในวัฏสงสาร ต่อเมื่อรู้ในอริยสัจที่
เป็นปฏิจจสมุปบาท จึงจะทำทุกข์ให้สิ้นได้โดยสิ้นเชิง
ได้ตรัสไว้ด้วยพยัญชนะคือถ้อยคำที่ท่านแสดงไว้ รวม
เข้าก็มีความดังที่กล่าวมานี้
ในข้อนี้ หากจะพิจารณาดูในสิ่งที่ปรากฏอยู่ในโลก
ทั้งโดยธรรมชาติ ทั้งโดยที่มนุษย์คิดขึ้นประดิษฐ์ขึ้น
ก็ย่อมจะเห็นว่ามีเหตุผลที่สัมพันธ์กัน
ซึ่งเมื่อแสดงอย่างหยาบ ๆ ทั่วไปก็เป็นอย่างหนึ่ง แต่เมื่อ
จะแสดงอย่างละเอียดก็ย่อมเป็นอีกอย่างหนึ่ง
ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่นน้ำประปาที่ใช้กันอยู่ทุกวันทำไม
จึงจะได้น้ำไหลออกมาซึ่งเป็นตัวผล ก็จะเห็นกัน
ทั่วไปว่าต้องเปิดก๊อกน้ำ และเมื่อเปิดก๊อกน้ำ
น้ำก็ไหลออกมา เพราะฉะนั้น เมื่อดูเพียงเท่านี้ก็จะ
ต้องว่าการเปิดก๊อกน้ำเป็นเหตุน้ำไหลออกมาเป็นผล
แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดก็ย่อมจะเห็นว่า
เหตุผลที่มีน้ำประปาใช้นั้นมิใช่เพียงเท่านั้น จะ
ต้องมีเหตุผลอื่น ๆ สัมพันธ์กันอีกมากมาย จึง
จะมีน้ำประปาไหล เปิดก๊อกเข้าน้ำก็ไหลออกมา ดัง
จะพึงเห็นได้ว่าจะต้องมีการวางท่อประปา จะ
ต้องมีที่ทำน้ำประปาและจะ
ต้องมีเครื่องทำน้ำประปา เครื่องน้ำประปานั้นก็จะ
ต้องมีสิ่งต่าง ๆ มาประกอบเป็นเหตุเป็นผลที่สัมพันธ์
กันอีกมากมายและจะต้องมีน้ำมาเพื่อทำน้ำประปา
และน้ำที่จะมีมานั้นก็จะต้องมีที่มาว่ามาจากไหน และ
จะเป็นน้ำขึ้นมาได้อย่างไร เพราะฉะนั้น หากจะคิด
ค้นหาเหตุผล ก็จะพบเหตุผลที่โยงกันมามากมาย จน
ถึงเป็นน้ำประปาที่เมื่อเปิดก๊อกเข้าก็ไหลออกมาดังที่
ใช้กันอยู่ ไฟฟ้าที่ใช้กันอยู่นี้ก็เช่นเดียวกัน ก็
จะเห็นว่าเมื่อเปิดสวิตช์นั้นเป็นเหตุ ไฟสว่างก็เป็นผล
ดับสวิตช์เป็นเหตุ ไฟดับก็เป็นผล ว่าเพียงเท่านี้
แต่เมื่อพิจารณาดูก็จะเห็นว่า
ยังมีเหตุผลอีกมากมายกว่าจะเป็นไฟฟ้าขึ้นมาใช้ได้
เช่นจะต้องมีการวางสายไฟฟ้า จะ
ต้องมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้า มีสิ่งที่มาประกอบเข้าต่าง ๆ
เป็นเหตุเป็นผลที่สัมพันธ์กันอีกมาก จน
ถึงเมื่อเปิดสวิตช์ไฟก็สว่าง
ปิดสวิตช์ไฟก็ดับดังที่กล่าวมาแล้ว
ทรงพิจารณาโดยละเอียดทั้งสายเกิดทุกข์
และสายดับทุกข์
เพราะฉะนั้น ในทางจิตที่พระพุทธเจ้า
ได้ตรัสรู้ก็เช่นเดียวกัน เมื่อดูเพียงง่าย ๆ ก็จะเห็นว่า
เมื่อมีเกิดก็มีแก่มีตายมีทุกข์มีโศกต่าง ๆ ดังที่เห็นกัน
อยู่ว่าทุกคนเกิดมาก็ต้องแก่ต้องตาย และ
ในระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็ต้องมีทุกข์ต่าง ๆ
มีโสกะปริเทวะเป็นต้น และคนโดยมากนั้นก็
ไม่ค่อยคำนึงถึงเกิด คำนึงถึงแต่แค่แก่ พร้อมทั้งเจ็บ
และตาย และพยายามที่จะไม่ให้แก่ไม่ให้เจ็บไม่
ให้ตาย โดยไม่ได้นึกถึงว่าจะต้องมีเกิดเป็นเหตุ
ทั้งที่ปรากฏอยู่อย่างชัดเจนว่ามากจากเกิดเป็นเบื้องต้น
แต่ว่าโดยมากก็ไม่นึกถึงว่าตัวชาติคือความเกิดนั้น
เป็นเหตุ จับเอาแค่จะแก้แก่แก้เจ็บแก้ตาย
และแก้ทุกข์สุขต่าง ๆ ต้องการที่จะไม่ให้แก่ไม่ให้เจ็บ
ไม่ให้ตายไม่ให้ทุกข์ต่าง ๆ คือหมายความว่า
ให้เกิดมานี่แหละ ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ เห็นว่าจะไม่
สามารถ จะแก้ไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตาย ไม่
ให้ทุกข์ต่าง ๆ ได้ ก็คิดเอาว่าจะต้องมีภพหน้า ชาติหน้า
ต้องไปเกิดเป็นเทวดา เป็นพรหมเป็นต้น ซึ่งจะดำรง
อยู่ตลอดไป ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เพราะฉะนั้น
จึงมีคำเรียกเทวดาว่าอมรที่แปลว่าผู้ไม่ตาย คน
โดยมากก็คิดแก้กันอยู่เพียงเท่านี้ แต่ก็ไม่สามารถจะแก้
ให้สำเร็จได้
พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ เมื่อพระองค์ทรง
เป็นพระโพธิสัตว์ยังมิได้ตรัสรู้ ยังมิได้ทรงคิด
จะเสด็จออกทรงผนวช ในพุทธประวัติก็แสดงว่า
พระราชกุมารพระโพธิสัตว์
ได้เสด็จประพาสทอดพระเนตรเห็นเทวทูต คือ คนแก่
คนเจ็บ คนตาย และสมณะ ก็ทรงน้อม
เข้ามาว่าพระองค์ก็จะต้องเป็นเช่นนั้น จึงทำ
ให้ทรงหน่ายในทุกข์ คือความแก่ความเจ็บความตาย ก็
ยังไม่ไปถึงชาติ และได้ทรงพอพระทัยในความ
เป็นสมณะ ทรงเห็นว่าความเป็นสมณะ
นั้นมีโอกาสมีช่องว่างที่จะปฏิบัติเพื่อไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ
ไม่ให้ตาย ไม่ให้ทุกข์ต่าง ๆ ได้ จึงมีพระหฤทัยน้อมไป
ในการบวช จนถึงได้เสด็จออกทรงผนวช และทรง
เข้าศึกษาในสำนักของคณาจารย์เจ้าลัทธิทั้งสอง
แม้ท่านคณาจารย์นั้นก็คิดแก้ในแค่นั้นอีกเหมือนกัน คือ
ไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตาย โดยที่จะ
ต้องปฏิบัติทางฌานสมาบัติ ให้ไปเกิดเป็นพรหมก็โดย
จะอยู่เป็นพรหมตลอดไป ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
ซึ่งพระโพธิสัตว์เมื่อทรงพิจารณาแล้ว
โดยที่ทรงปฏิบัติในฌานสมาบัติเพื่อที่จะไปเกิด
เป็นพรหมนั้นได้เหมือนอย่างท่านอาจารย์ทั้ง ๒ แล้ว
ก็ได้ทรงเห็นว่ายังไม่พ้นทุกข์
ในตอนนี้ก็แสดงว่าได้ทรงพิจารณาเห็นเข้าไป
ถึงชาติคือความเกิดว่า
เมื่อยังมีชาติคือความเกิดอยู่ ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร
ไม่ว่าจะเกิดเป็นพรหม ก็จะต้องมีจุติคือความเคลื่อน
ซึ่งเท่ากับว่าเป็นความตาย
เพราะฉะนั้น จึงได้เสด็จหลีกออกไปทรงค้นคว้า
ด้วยพระองค์เอง จนได้ตรัสรู้ในปฏิจจสมุปบาทนี้
ที่ทรงแสดงสั่งสอน คือทรงพิจารณาจับทุกข์ต่าง ๆ
มีโสกะปริเทวะเป็นต้นสืบขึ้นไป ก็ทรงจับมรณะคือ
ความตาย จับชรา จับชาติคือความเกิด จับภพคือความ
เป็น จับอุปาทาน จับตัณหา จับเวทนา จับผัสสะ
จับอายตนะ จับนามรูป จับวิญญาณ จับสังขาร จน
ถึงจับอวิชชาได้ จับอาสวะได้ วิชชาคือความรู้
จึงบังเกิดแจ่มแจ้งขึ้นเป็นความตรัสรู้
เมื่อวิชชาบังเกิดขึ้นอวิชชาก็ดับ เหมือนอย่างเมื่อ
ความสว่างบังเกิดขึ้นความมืดก็ดับ เมื่ออวิชชาดับก็ดับไป
โดยลำดับ คือสังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ
ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ
โสกะปริเทวะเป็นต้น ทุกข์ทั้งสิ้นก็ดับไป
ทรงกำจัดมารและเสนาได้หมดสิ้น
เพราะฉะนั้น เมื่อพระองค์ทรงพิจารณาธรรมะที่
ได้ตรัสรู้ คือสัจจะความจริงที่ได้ตรัสรู้ สายเกิด
สายดับ และทั้งสายเกิดสายดับ จึง
ได้ทรงเปล่งอุทานขึ้นในปัจฉิมยามแห่งราตรี ดังที่
ได้ยกมาแปลไว้แล้ว ซ้ำอีกครั้งหนึ่งว่า
เมื่อใด ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พราหมณ์
ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความสงสัยของพราหมณ์นั้น
ย่อมสิ้นไป พราหมณ์นั้น กำจัดมารและเสนา สถิต
อยู่เหมือนอย่างดวงอาทิตย์สถิตส่องสว่างอยู่
ในนภากาศดั่งนี้
มารนั้น แปลว่า ผู้ฆ่าผู้ทำลาย ในพุทธประวัติ
ได้มีแสดงถึงมารที่แสดงว่า
เป็นเทพชั้นหนึ่งอันเรียกว่าเทวบุตร และเมื่อ
เป็นมารก็เรียกว่าเทวบุตรมาร
เป็นเทพชั้นหนึ่งที่มาขัดขวางพระพุทธเจ้าตั้งแต่
ในเบื้องต้น ตั้งแต่ป้องกันมิให้ทรงผนวช
และเมื่อทรงผนวชแล้วก็ยังมาตามป้องกันต่าง ๆ มิ
ให้ตรัสรู้ จนถึงในราตรีที่ตรัสรู้นั้นมารก็
ได้มาป้องกันในขั้นสุดท้ายก็ยังมาป้องกันอย่างเต็มที่
แต่ว่าพระพุทธเจ้าได้ทรงชนะมารได้ จึงได้ตรัสรู้
นักธรรมะได้วิจารณ์กันว่าอาจถอดความได้
เป็นธรรมะ มาร ที่มาผจญพระพุทธเจ้านั้นก็คือ
กิเลสมาร มารคือกิเลสซึ่งมีอวิชชาเป็นหัวหน้า
และเมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้
ในปฏิจจสมุปบาทธรรมะที่อาศัยกันบังเกิดขึ้น
ทรงพิจารณาจับผลจับเหตุขึ้นไปจนถึงอวิชชาอาสวะ
วิชชาบังเกิดขึ้นแก่พระองค์อย่างเต็มที่ อวิชชาจึงดับ ที่
ได้กล่าวแล้วว่าเหมือนอย่างเมื่อแสงสว่างบังเกิดขึ้น
หรือความสว่างบังเกิดขึ้นความมืดก็ดับ เพราะฉะนั้น
เมื่อวิชชาบังเกิดขึ้น อวิชชาก็ดับ ก็เป็นอันว่า
ได้ทรงกำจัดมารเสียได้ พร้อม
ทั้งเสนาก็คือบรรดากิเลสทั้งหลายที่สืบเนื่อง
จากอวิชชา เช่นตัณหาอุปาทานหรือกิเลสตัณหา
ทั้งหลาย อย่างที่พูด
กันว่ากิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปดเป็นต้น
คือบรรดากิเลสทั้งปวงซึ่งบังเกิดสืบเนื่องมา
จากอวิชชา กิเลสทั้งปวงเหล่านั้นเรียกว่า
เป็นเสนาของมาร มารก็คืออวิชชา กิเลสที่เกิดสืบ
เนื่องจากอวิชชาก็คือเสนาของมารทั้งหมด เพราะฉะ
นั้น เมื่อดับอวิชชาซึ่งเป็นตัวมารเสียได้
บรรดาเสนาก็พลอยดับไปหมด แต่ก็ได้มีแสดงมาร
ไว้ว่ามี ๕ อย่าง คือ
ขันธมาร มารคือขันธ์ อันได้แก่นามรูป
หรือสกนธ์กายอันนี้
กิเลสมาร มารคือกิเลส
อภิสังขารมาร มารคือความปรุงแต่ง อัน
ได้แก่กรรมที่ประกอบกระทำ
มัจจุมาร มารคือความตาย
เทวบุตรมาร มารคือเทพบุตร
ขันธมาร นั้นก็หมายถึงขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ ย่อเป็นนามรูปหรือกายใจอันนี้
ได้ชื่อว่าเป็นมารแก่ผู้ที่ยึดถือ เป็นอุปาทานขันธ์ ขันธ์
เป็นที่ยึดถือ และเมื่อมีความยึดถืออยู่ในขันธ์ ขันธ์ก็
เป็นมารคือเป็นเครื่องทำลายล้าง มิ
ให้ปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงความสิ้นทุกข์ได้
เพื่อดับกิเลสและกองทุกข์ได้
กิเลสมาร มารคือกิเลส เป็นมารก็เพราะกิเลส
เป็นผู้ฆ่าเป็นผู้ทำลายล้างต่าง ๆ
อภิสังขารมาร มารคืออภิสังขารอันได้แก่กรรม
ก็เพราะกรรมที่ประกอบกระทำนั้นย่อมสืบ
เนื่องมาจากกิเลส เพราะฉะนั้น จึงพลอยเป็นมารไป
ด้วย เพราะกรรมนั้นเองก็เป็นเครื่องป้องกัน
เป็นเครื่องทำลายต่าง ๆ ได้
มัจจุมาร มารคือความตาย ก็เพราะว่าความตายนั้น
เป็นเครื่องทำลายชีวิต ทำให้ไม่มีโอกาสที่
จะปฏิบัติสืบต่อไปได้
เทวบุตรมาร มารคือเทพบุตร ก็หมายถึงเทวดาที่
เป็นมารดังที่กล่าวมาแล้ว
พระพุทธเจ้าได้ทรงกำจัดมารและเสนาได้หมดสิ้น
ทรงสถิตอยู่เหมือนอย่างดวงอาทิตย์สถิตส่องสว่างอยู่
ในนภากาศ
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๑๗ กรกฎาคม ๒๕๒๘
-------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ค. 2014, 15:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งที่ ๔๓ สรุปสติปัฏฐาน ๔
สัมมาทิฏฐิ
ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
ธรรมบรรยายของสมเด็จพระญาณสังวร
ในการปฏิบัติอบรมจิต ทุกวันธรรมสวนะ
และวันหลังวันธรรมสวนะ
ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึงกรกฎาคม ๒๕๒๘
ณ ตึก สว. วัดบวรนิเวศวิหาร
--------------------------------------------------------------
ครั้งที่ ๔๓ สรุปสติปัฏฐาน ๔
บัดนี้ จักแสดงธรรมะเป็นเครื่องอบรม
ในการปฏิบัติอบรมจิต ในเบื้องต้นก็ขอให้ทุก ๆ
ท่านตั้งใจนอบน้อมนมัสการพระ
ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตั้งใจถึงพระองค์พร้อมทั้งพระธรรม
และพระสงฆ์เป็นสรณะ ตั้งใจสำรวมกายวาจาใจ
ให้เป็นศีล ทำสมาธิในการฟัง เพื่อให้ได้ปัญญา
ในธรรม
สรุปสติปัฏฐาน ๔
การปฏิบัติกรรมฐาน ผู้ปฏิบัติใช้หลักปฏิบัติใน
สติปัฏฐาน เป็นส่วนใหญ่
และพระสูตรที่แสดงสติปัฏฐาน ซึ่งเป็นพระสูตร
ใหญ่ที่เรียกว่า มหาสติปัฏฐานสูตร ก็
ได้ประมวลข้อกรรมฐานไว้เป็นอันมาก ซึ่งได้ถือ
เป็นหลักในการอบรมกรรมฐานในสำนักนี้
และสำหรับในพรรษากาลที่แล้วมาจนถึงบัดนี้ ก็
ได้ถือหลักสติปัฏฐานดังกล่าว แต่ว่า
ได้แสดงแทรกธรรมะจากพระสูตรต่าง ๆ
ได้อธิบายธรรมะจากพระสูตรต่าง ๆ นั้น มิ
ได้แสดงอธิบายสติปัฏฐาน ๔ โดยตรง โดยพิสดาร
เพราะว่าได้เคยอธิบายไว้โดยพิสดารและได้พิมพ์
เป็นเล่มไว้ ผู้ต้องการทราบอธิบายในสติปัฏฐาน
โดยตรง ก็อาจที่จะหาอ่านได้
และแม้ว่าธรรมะที่แสดงอธิบายแทรกเข้ามานั้น จะ
เป็นธรรมะจากพระสูตรอื่น แต่ก็รวมเข้าได้
ในมหาสติปัฏฐานสูตรทั้งสิ้น ดังเช่นที่
ได้ยกเอาข้อสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ
จากสัมมาทิฏฐิสูตรที่ท่านพระสารีบุตรได้แสดง
มาอธิบายติดต่อกันมากครั้ง จนจบกระแสความ
ในสัมมาทิฏฐิสูตรนั้น ก็รวมเข้าได้
ในมหาสติปัฏฐานสูตรเช่นเดียวกัน เพราะ
ในมหาสติปัฏฐานสูตรนั้น ก็ได้แสดงมรรคมีองค์แปด
ในหมวดอริยสัจ ๔ มรรคมีองค์แปดนั้นก็มีสัมมาทิฏฐิ
เป็นข้อแรก เพราะฉะนั้น เมื่อจับแสดงสัมมาทิฏฐิก็
เป็นอันว่าได้แสดงข้อธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
ในวันนี้จะได้แสดง สรุปสติปัฏฐาน ๔
ตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ในพระสูตรหนึ่ง
แต่ก่อนที่จะแสดง ก็ขอกล่าวให้ทราบว่า ข้อที่แสดง
จากพระสูตรที่กล่าวนี้มิได้ยกข้อต่าง ๆ ตรง
กับมหาสติปัฏฐานสูตรทั้งหมด
แต่เลือกหยิบยกมาทรงแสดงและทรงแสดง
ในทางปัญญา และก็พึงทราบว่าแม้
ในทางสมาธิก็ย่อมรวมอยู่ในแนวเดียวกัน สติปัฏฐานทั้ง
๔ นี้ที่จะแสดงในวันนี้ จึงอาจจะยากไปสำหรับผู้ที่มาอยู่
ใหม่ ผู้ที่เข้ามาใหม่ แต่ว่าให้ถือว่าเป็นการแสดงสรุป
ในคราวสุดท้ายของพรรษากาลที่แล้ว
เมื่อเริ่มแสดงใหม่เมื่อเข้าพรรษานี้แล้วจึงจะ
ได้แสดงตั้งต้น ซึ่งเป็นข้อที่จะฟังได้ง่ายขึ้น
สติปัฏฐาน ๔ ในมหาสติปัฏฐานสูตร
สติปัฏฐาน ๔ ก็คือ ตั้งสติคือความระลึกได้หรือ
ความระลึกรู้ไว้ ในกาย ในเวทนา ในจิต และ
ในธรรม ในมหาสติปัฏฐานสูตรได้รวบรวม
ข้อที่พึงพิจารณาในกายไว้ ก็คือข้อว่าด้วยลมหายใจ
เข้าออก ข้อว่าด้วยอิริยาบถทั้งสี่ ยืน เดิน นั่ง นอน
ข้อว่าด้วยสัมปชัญญะ ความรู้ตัวใน
ความเยื้องกรายอิริยาบถทั้งสี่นี้
และอิริยาบถประกอบทั้งหลาย ข้อว่า
ด้วยกายนี้จำแนกออกเป็นอาการทั้งหลาย มี ผม ขน
เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น ข้อว่าด้วยธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม
ข้อว่าด้วยป่าช้าเก้า คือพิจารณาศพที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า
แยกออกเป็น ๙ ข้อ ตั้งต้นแต่ศพที่ตาย
แล้ววันหนึ่งสองวันสามวันเป็นต้นไปจนถึง
เป็นกระดูกผุป่น
ตั้งสติพิจารณาเวทนา ก็คือตั้งสติกำหนดเวทนา
ความรู้เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือเป็นกลาง ๆ ไม่ทุกข์
ไม่สุข ทั้งที่เป็นสามิสคือมีกิเลสเป็นเครื่องล่อ
ให้เกิดขึ้น ทั้งที่เป็นนิรามิสคือไม่มีกิเลส
เป็นเครื่องล่อหรือเป็นเครื่องนำให้เกิดขึ้น
ตั้งสติพิจารณาจิต ก็คือตั้งสติกำหนดดูจิตใจนี้
ที่มีราคะ ความติดใจยินดีหรือปราศจากราคะ
ความติดใจยินดี ที่มีโทสะหรือปราศจากโทสะ
ที่มีโมหะความหลง หรือปราศจากโมหะความหลง
เป็นต้น
ตั้งสติพิจารณาธรรม ก็คือตั้งจิตกำหนดดูธรรมะ
ทั้งหลายที่บังเกิดขึ้นในจิต ตั้งต้นแต่
กำหนดดูนิวรณ์ทั้งห้า คือกิเลสที่เป็นเครื่องกั้นจิต
บังเกิดขึ้นกลุ้มรุมจิต มีกามฉันท์ ความพอใจรักใคร่
อยู่ในกาม พยาบาท ความมุ่งร้ายปองร้าย เป็นต้น
กำหนดดูขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร
วิญญาณ
กำหนดดูความเกิดของขันธ์ ๔ ความดับของขันธ์ ๕
ตั้งสติกำหนดดูอายตนะภายในทั้ง ๖
ที่รับอายตนะภายนอกทั้ง ๖ อายตนะภาย
ในภายนอกที่รับกัน ก็คือตากับรูปที่ประจวบกัน หู
กับเสียงที่ประจวบกัน จมูกกับกลิ่นที่ประจวบกัน
ลิ้นกับรสที่ประจวบกัน กายและสิ่งถูก
ต้องทางกายที่ประจวบกัน มโนคือใจ
กับธรรมะคือเรื่องราวที่ประจวบกัน
เกิดสังโยชน์คือความผูกใจ และก็ให้รู้จัก
ความเกิดของสังโยชน์ ความดับของสังโยชน์
และสังโยชน์ที่ดับแล้วจะไม่เกิดขึ้น
ตั้งสติกำหนดดูโพชฌงค์ทั้ง ๗ มีสติโพชฌงค์ องค์แห่ง
ความรู้ คือ สติธรรมวิจยโพชฌงค์ องค์แห่ง
ความรู้คือธรรมวิจัย ความเลือกเฟ้นธรรมเป็นต้น
ตั้งสติกำหนดดูอริยสัจทั้ง ๔ คือทุกข์ เหตุเกิดทุกข์
ความดับทุกข์ ทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ก็รวมเป็นตั้งสติในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม
ที่ตรัสไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตร
สติปัฏฐาน ๔ ในบางพระสูตร
และได้ตรัสสรุปไว้ในพระสูตรอีกแห่งหนึ่ง ซึ่ง
ได้ตรัสอธิบายวิธีปฏิบัติตั้งสติในกาย ในเวทนา ในจิต
ในธรรม รวมความเข้ามาว่าให้ปฏิบัติ
ตั้งสติ คือความระลึกได้ ความกำหนดได้ในกาย ก็คือ
ใน ปฐวีกาย กายที่เป็นส่วนดิน อาโปกาย กายที่เป็น
ส่วนน้ำ เตโชกาย กายที่เป็นส่วนไฟ วาโยกาย กายที่เป็น
ส่วนลม เกสากาย กายที่เป็นส่วนผม โลมากาย กายที่
เป็นส่วนขน ฉวิกาย กายที่เป็นส่วนผิว จมฺมกาย กายที่
เป็นส่วนหนัง มงฺสกาย กายที่เป็นส่วนเนื้อ นหารูกาย
กายที่เป็นส่วนเส้นเอ็น อฏฺฐิกาย กายที่เป็นส่วนกระดูก
อฏฺฐิมิญฺชกาย กายที่เป็นส่วนเยื่อในกระดูก
ตั้งสติกำหนดเวทนา ก็คือ ในสุขเวทนา เวทนาความรู้ที่
เป็นสุข ทุกขเวทนา ความรู้ที่เป็นทุกข์ อทุกขมสุขเวทนา
เวทนาที่มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ตั้งสติกำหนดเวทนาที่เกิดทาง
สัมผัสทางตา เวทนาที่เกิดจาก สัมผัสทางหู เวทนาที่เกิด
จาก สัมผัสทางจมูก เวทนาที่เกิดจาก สัมผัสทางลิ้น
เวทนาที่เกิดจาก สัมผัสทางกาย เวทนาที่เกิดจาก
สัมผัสทางมโน คือใจ
ตั้งสติกำหนดจิตใจ ก็คือกำหนดดูจิตที่มีราคะคือ
ความติดใจยินดี หรือที่ปราศจากราคะคือ
ความติดใจยินดี จิตที่มีโทสะหรือจิตที่ปราศจากโทสะ
จิตที่มีโมหะ หรือจิตที่ปราศจากโมหะ จิตที่ฟุ้งซ่าน
หรือจิตที่หดหู่ จิตที่ถึงความใหญ่
ด้วยเมตตาภาวนาสมาธิเป็นต้นหรือจิตที่ไม่ถึงความ
ใหญ่ จิตที่ยิ่งคือยิ่งด้วยสมาธิปัญญาวิมุตติหลุดพ้น
หรือจิตที่ไม่ยิ่ง จิตที่มีสมาธิหรือจิตที่ไม่มีสมาธิ
จิตที่หลุดพ้นหรือจิตที่ไม่หลุดพ้น
ตั้งสติกำหนดดูธรรม คือธรรมะที่เป็นกุศลหรือ
เป็นอกุศลหรือที่เป็นกลาง ๆ ต่าง ๆ อันนอกไป
จากข้อที่กล่าวแล้วในกายในเวทนาและในจิต
ทั้งสามข้างต้น
ทางปฏิบัติสติปัฏฐาน
และได้ตรัส ทางปฏิบัติ เพื่ออะไรหรือ
โดยวิธีอย่างไรไว้ว่า ในการปฏิบัติตั้งสติดังกล่าวนั้น
ก็ให้ปฏิบัติพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม ทั้งหมด
โดยเป็นอนิจจะ คือไม่เที่ยง เป็นสิ่งที่เกิดดับมิใช่โดยนิจ
จะ คือเป็นของเที่ยง
โดยเป็นทุกข์ คือเป็นสิ่งที่
ต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลง ไม่ตั้งอยู่คงที่ มิใช่โดย
เป็นสุข
โดยเป็นอนัตตา มิใช่ตัวตน มิใช่เป็นเรามิใช่
เป็นของเรา ไม่ใช่โดยอัตตา คือโดยเป็นตัวตน
เป็นตัวเราเป็นของเรา
มีความหน่าย มิใช่มีความเพลิดเพลิน
มีความคลายความติดใจ มิใช่ติดใจ
มีความดับ คือดับตัณหาความดิ้นรนทะยานอยากของใจ
มิใช่ก่อตัณหา
มีความสละวาง มิใช่มีความยึดถือ
การปฏิบัติตั้งสติก็โดยวิธีดังที่กล่าวมานี้ เพื่อให้เห็นว่า
ไม่เที่ยง ต้องเกิดดับเป็นทุกข์ ต้องมี
ความแปรปรวนเปลี่ยนแปลง เป็นอนัตตามิ
ใช่ตัวเราของเรา และเบื่อหน่ายไม่เพลิดเพลิน
เพื่อคลายความติดใจ มิใช่ติดใจ เพื่อดับตัณหาดับทุกข์
มิใช่ก่อให้เกิดตัณหา ก่อทุกข์ เพื่อปล่อยวางมิ
ใช่เพื่อยึดถือ
วิธีปฏิบัติสติปัฏฐานคือภาวนา
และได้ตรัสสอนถึง วิธีปฏิบัติ ว่าการปฏิบัติ
นั้นเรียกว่า ภาวนา ที่แปลว่า ทำให้เกิดขึ้น ทำให้มีขึ้น
และภาวนานั้นจะทำอย่างไร ก็ได้ตรัสสอนเอา
ไว้อีกว่า ภาวนาอันหมายถึงปฏิบัตินั้น ก็คือปฏิบัติทำสติ
ความระลึกได้ หรือความกำหนดทำญาณ
ความหยั่งรู้ ที่เป็นตัวปัญญาให้บังเกิดขึ้นให้มีขึ้นทัน
ในธรรมะที่เกิดขึ้นในเวลานั้น โดยไม่ให้พลาดไม่
ให้ล่วงเลยเผลอเรอในธรรมะที่บังเกิดขึ้น
ในเวลานั้น ยกตัวอย่างเช่นว่า เมื่อตั้งจิตกำหนดดูกาย
เช่นลมหายใจเข้าลมหายใจออก ก็หมาย
ถึงว่ากำหนดลมหายใจเข้าลมหายใจออกที่บังเกิดขึ้น
อยู่ในปัจจุบัน ดังเช่นกำหนดลมหายใจ
เข้าลมหายใจออกที่บังเกิดอยู่ในบัดนี้ หายใจเข้า
ในบัดนี้ ก็มีสติ มีญาณกำหนดรู้ หายใจออกในบัดนี้
ก็มีสติ มีญาณกำหนดรู้ มิใช่ว่าเผลอ หายใจ
เข้าหายใจออกอยู่ในบัดนี้ แต่ว่าจิตมิได้กำหนด
หรือกำหนดไม่ทัน จึงไม่มีสติ ไม่มีญาณอยู่
ในลมหายใจเข้าลมหายใจออกนั้น
เพราะว่าเผลอสติ หรือว่าจิตไม่ตั้งกำหนด
ไม่ตั้งเพื่อที่จะรู้
หน้าที่ของภาวนา
ฉะนั้น หน้าที่ของภาวนา คือการปฏิบัติประการแรก
ก็คือ
กำหนดให้มีสติ ให้มีปัญญาหรือญาณ
กำหนดทันต่อธรรมะที่เกิดขึ้นในเวลานั้น นี่
เป็นหน้าที่ของภาวนา ประการหนึ่ง
และ ให้รวมอินทรีย์
ทั้งหลายมาปฏิบัติกิจคือหน้าที่พร้อมกัน ได้แก่รวมตา
หู จมูก ลิ้น กาย และมนะคือใจ
ให้มาปฏิบัติหน้าที่กำหนดอยู่ในธรรมะที่เกิดขึ้นอยู่
ในเวลานั้น สุดแต่ว่าจะยกเอาข้อไหน กายข้อไหน
เวทนาข้อไหน จิตข้อไหน ธรรมะข้อไหนขึ้นมา ก็ให้
ทั้งตา ทั้งหู ทั้งจมูก ทั้งลิ้น ทั้งกาย ทั้งมนะคือใจ
มาปฏิบัติหน้าที่กำหนดรู้พร้อมกัน ไม่ใช่ว่าทั้งหกนี้
จะแยกย้ายกันไปทำงานทำหน้าที่ต่าง ๆ กัน
ตาไปดูเสียทางหนึ่ง หูไปฟังเสียทางหนึ่ง จมูก ลิ้น กาย
มนะคือใจไปเสียทางหนึ่ง ๆ ต้องรวมกัน
กล่าวย่อก็คือว่าต้องรวมกายใจนี้ทั้งหมดเข้ามา
เป็นอันเดียวกัน นี่เป็นหน้าที่ของภาวนา ประการที่สอง
และ นำความเพียรพยายามปฏิบัติ โดยเริ่มดำเนิน
และก้าวหน้าไปจนบรรลุถึงเป้าหมายบรรลุถึง
ความสำเร็จ เป็นสติเป็นญาณกำหนดรู้อยู่
ในธรรมะที่เกิดขึ้นอยู่ในเวลานั้นคือในกายในเวทนา
ในจิตในธรรมที่กำหนดนั้น นี่เป็นหน้าที่ของภาวนาเป็น
ประการที่สาม
และ ใช้ความเพียรปฏิบัติส้องเสพอยู่
ในข้อปฏิบัตินี้เนือง ๆ เสมอ ๆ ให้สม่ำเสมอ ไม่ทอดทิ้ง
และความส้องเสพนี้ก็หมายความว่า
ให้รับเอาข้อที่ปฏิบัตินี้เข้าไปให้ถึงใจ ให้ตั้งอยู่ในใจ
เหมือนอย่างบริโภคอาหาร ส้องเสพอาหาร
บริโภคอาหารก็ให้นำเข้าปากเคี้ยวกลืนเข้าไปให้เข้า
ถึงในท้อง เพื่อย่อยไปเลี้ยงร่างกาย
ในการปฏิบัติก็เช่นเดียวกัน
ต้องรับเอาข้อที่ปฏิบัติกรรมฐานที่ปฏิบัติ ให้เข้าไป
ถึงใจ เหมือนอย่างบริโภคอาหาร
เข้าไปย่อยเลี้ยงร่างกายให้ร่างกายอิ่มเอิบ
ก็ส้องเสพเอาข้อที่ปฏิบัตินี้เข้าไปให้ถึงใจให้ใจอิ่มเอิบ
เป็นปีติเป็นสุขขึ้น เป็นผลที่ได้รับ ดั่งนี้
เป็นหน้าที่ของภาวนาเป็น ประการที่สี่
ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนเอาไว้
ก็เป็นอันว่าจบสรุปในสติปัฏฐาน
ต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจฟังสวด และตั้งใจทำ
ความสงบสืบต่อไป
๒๕ กรกฎาคม ๒๕๒๘
-------------------------------------------------------------
หมายเหตุ
บทความนี้เป็นการแสดงธรรมจากจำนวนทั้งสิ้น ๔๒
ครั้ง ที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ
สุวฑฺฒโน) แสดงไว้ในการปฏิบัติอบรมจิต
ทุกวันธรรมสวนะและวันหลังวันธรรมะสวนะ ณ
ตึก สว วัดบวรนิเวศ ระหว่างเดือนตุลาคม ๒๕๒๗ ถึง
กรกฎาคม ๒๕๒๘
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ให้จัดพิมพ์ถวาย
เป็นเครื่องบูชาเฉลิมพระเกียรติคุณสมเด็จพระญาณสังวร
(เจริญ สุวฑฺฒโน)
ในโอกาสอันควรที่เจริญชนมายุครบ ๖ รอบ
ในวันที่ ๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร