วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 17:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 46 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2014, 19:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เดิมเป็นหัวข้อ "วิธีคิดแบบอยู่กับปัจจุบัน" หัวข้อใหญ่ คือ วิธีโยนิโสมนสิการ 10 อย่าง นี้ข้อที่ 9

ที่ตั้งชื่อ "ความคิดที่เป็น/ไม่เป็น อดีต ปัจจุบัน อนาคต" เพราะมีประเด็นถกเถียงเกี่ยวกับกาล 3 นี้ เพื่อไม่ให้เฝือจนเกินไป จึงตัดมาพอที่เป็นที่สังเกต กาล 3 นั้น ว่าพระพุทธเจ้าสอนวิธีคิดเรื่องอดีต อนาคต ปัจจุบัน ยังไง (สังเกตคำว่า ปัจจุบัน ที่ใช้กับการปฏิบัติทางจิต-ฝึกจิต)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2014, 19:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิธีคิดแบบอยู่กับปัจจุบัน


วิธีคิดแบบเป็นอยู่ในขณะปัจจุบันนี้ มีเนื้อหารวมอยู่ในสติปัฏฐาน ๔ ด้วย แต่ที่แยกบรรยาย ก็เพราะเพ่งความหมายคนละแง่ กล่าวคือ ในสติปัฏฐาน การบรรยายเพ่งถึงการตั้งสติระลึกรู้เต็มตื่น อยู่กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น กำลังเป็นไปอยู่ กำลังรับรู้ หรือ กำลังกระทำในปัจจุบันทันทุกๆขณะ ส่วนในที่นี้ การบรรยายเพ่งถึงการใช้ความคิด และเนื้อหาของความคิด ที่สติระลึกรู้กำหนดอยู่นั้น



ข้อที่จะต้องทำความเข้าใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับวิธีคิดแบบนี้ ก็คือ การที่มีผู้เข้าใจผิดเกี่ยวกับความหมาย

ของการเป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือมีปัจจุบันธรรมเป็นอารมณ์ โดยเห็นไปว่า พระพุทธศาสนาสอนให้

คิดถึงสิ่งที่อยู่เฉพาะหน้า กำลังเป็นไปในปัจจุบันเท่านั้น ไม่ให้คิดพิจารณาเกี่ยวกับ อดีต หรือ

อนาคต ตลอดจนไม่ให้คิดเตรียมการ หรือวางแผนงานเพื่อกาลภายหน้า



เมื่อเข้าใจผิดแล้ว ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ก็เลยปฏิบัติผิดจากหลักพระพุทธศาสนา ถ้าเป็นบุคคล

ภายนอกมองเข้ามา ก็เลยเพ่งว่า ถึงผลร้ายต่างๆ ที่พระพุทธศาสนาจะนำมาให้แก่หมู่ชนผู้ปฏิบัติ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2014, 19:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


กล่าวโดยสรุป ความหมายที่ควรเข้าใจเกี่ยวกับปัจจุบัน อดีต และอนาคต สำหรับการใช้ความคิดแบบนี้ มีดังนี้

- ความคิดที่ไม่อยู่กับปัจจุบัน คือความคิดที่เกาะติดอดีต และ เลื่อนลอยไปในอนาคตนั้น มีลักษณะ

สำคัญที่พูดได้สั้นๆว่า เป็นความคิดในแนวทางของตัณหา หรือคิดด้วยอำนาจตัณหา คิดไปตามความ

รู้สึก หรือใช้คำสมัยใหม่ว่า ตกอยู่ในอำนาจอารมณ์* โดยมีอาการหวนละห้อยโหยหา

อาลัยอาวรณ์ถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว เพราะความเกาะติด หรือค้างคาในรูปใดรูปหนึ่ง หรือเคว้งคว้างเลื่อน

ลอยฟุ้งซ่านไปในภาพที่ฝันเพ้อปรุงแต่ง ซึ่งไม่มีฐานแห่งความเป็นจริงในปัจจุบัน เพราะอึดอัด ไม่

พอใจสภาพที่ประสบอยู่ ปรารถนาจะหนีจากปัจจุบัน



ส่วนความคิดชนิดที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน มีลักษณะที่พูดสั้นๆ ได้ว่า เป็นการคิดในแนวทางของความรู้

หรือ คิดด้วยอำนาจปัญญา ถ้าคิดในแนวทางของความรู้ หรือคิดด้วยอำนาจปัญญาแล้ว ไม่ว่าจะ

เป็นเรื่องที่เป็นไปอยู่ในขณะนี้ หรือ เป็นเรื่องล่วงไปแล้ว หรือเป็นเรื่องของกาลภายหน้า

ก็จัดเข้าในการเป็นอยู่ในปัจจุบันทั้งนั้น


ดังจะเห็นได้ชัดเจนว่า ความรู้ การคิดการพิจารณาด้วยปัญญาเกี่ยวกับเรื่องอดีต ปัจจุบัน หรือ

อนาคตก็ตาม เป็นสิ่งที่ถูกต้อง และมีความสำคัญตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาในทุกระดับ

ทั้งในระดับชีวิตประจำวัน เช่น การสั่งสอนเกี่ยวกับบทเรียนจากอดีต ความไม่ประมาทระมัดระวัง

ป้องกันภัยในอนาคต เป็นต้น ในระดับการรู้แจ้งสัจธรรม ตลอดจนการบำเพ็ญพุทธกิจ

เช่น ปุพเพนิวาสานุสติญาณ (รู้อดีต) อดีตังสญาณ (รู้อดีต) อนาคตังสญาณ (รู้อนาคต) เป็นต้น


- ว่าโดยความหมายทางธรรม ในขั้นการฝึกอบรมทางจิตใจที่แท้จริง คำว่า อดีต ปัจจุบัน และ

อนาคต ก็ไม่ตรงกับความเข้าใจของคนทั่วไป คำว่า “ปัจจุบัน” ตามที่คนทั่วไปเข้าใจ

มักครอบคลุมกาลเวลาช่วงกว้างที่ไม่ชัดเจน
ส่วนในทางธรรม เมื่อว่า ถึงการปฏิบัติ

ทางจิต "ปัจจุบัน” หมายถึงขณะเดียว ที่กำลังเกิดขึ้น เป็นอยู่



ในความหมายที่ลึกลงไปนี้ เป็นอยู่ในปัจจุบัน หรือ อยู่กับปัจจุบัน หมายถึงมีสติตามทันสิ่งที่รับรู้

เกี่ยวข้อง หรือต้องทำอยู่ในเวลานั้นๆ แต่ละขณะทุกๆขณะ
ถ้าจิตรับรู้สิ่งใดแล้ว เกิดความชอบใจ

หรือไม่ชอบใจขึ้น ก็ติดข้องวนเวียนอยู่กับภาพของสิ่งนั้น ที่สร้างซ้อนขึ้นในใจ ก็เป็นอันตกไปอยู่

ในอดีต (เรียกว่า ตกอดีต) ตามไม่ทันของจริง หลุดหลงพลาดไปจากขณะปัจจุบันแล้ว หรือจิตหลุด

ลอยจากขณะปัจจุบัน คิดฝันไปตามความรู้สึกที่เกาะเกี่ยวกับภาพเลยไปข้างหน้าของสิ่งที่ยังไม่มา

ก็เป็นอันฟุ้งไปในอนาคต


โดยนัยนี้ แม้แต่อดีตและ อนาคต ตามความหมายทางธรรม ก็อาจยังอยู่ในขอบเขตแห่งเวลาปัจจุบัน

ตามความหมายของคนทั่วไป


- ตามเนื้อความที่กล่าวมาแล้วนี้ จะมองเห็นความหมายสำคัญแง่หนึ่งของคำว่า “ปัจจุบัน” ในทาง

ธรรมว่า มิใช่เพ่งที่เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในโลกภายนอกแท้ทีเดียว แต่หมายถึงสิ่งที่เกี่ยว

ข้องในขณะนั้นๆเป็นสำคัญ ดังนั้น มองอีกด้านหนึ่ง สิ่งที่ตามความหมายของคนทั่วไปว่า

เป็นอดีต หรือเป็นอนาคต ก็อาจกลายเป็นปัจจุบัน ตามความหมายทางธรรมได้ เช่น เดียวกับที่

ปัจจุบันของคนทั่วไป อาจกลายเป็น อดีต หรือ อนาคต ตามความหมายทางธรรม ดังได้กล่าว

แล้ว


สรุปง่ายๆว่า ความเป็นปัจจุบันทางธรรมขั้นปฏิบัติทางจิต กำหนดเอาที่ความเกี่ยวข้องต้องรู้

ต้องทำเป็นสำคัญ ขยายความหมายออกมาในวงกว้างถึงระดับชีวิตประจำวัน สิ่งที่เป็นปัจจุบัน

คลุมถึงเรื่องราวทั้งหลาย ที่เชื่อมโยงต่อกันมาถึงสิ่งที่กำลังรับรู้ กำลังพิจารณา เกี่ยวข้องต้องทำ

อยู่ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำกิจหน้าที่ เรื่องที่ปรารภเพื่อทำกิจ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติ

หรือปฏิบัติได้ ไม่ใช่คิดเลื่อนลอยฟุ้งเพ้อฝันไปกับอารมณ์ที่ชอบใจ หรือ ไม่ชอบใจ ติดข้องอยู่

กับความชอบ ความชัง หรือ ฟุ้งซ่านพล่านไปอย่างไร้จุดหมาย

………….

* อารมณ์ในที่นี้ หมายถึงคำที่ตรงกับภาษาอังกฤษว่า emotion ไม่ใช่อารมณ์ในภาษาธรรม (แต่ถ้ามองให้ลึกจริงๆ ก็เป็นการตกอยู่ในอำนาจของอารมณ์ในภาษาธรรมด้วย)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2014, 20:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


ความหมายแง่ต่างๆเหล่านี้ จะมองเห็นได้จากพุทธพจน์ต่างๆ ที่จะยกมาแสดงในที่นี้ แม้แต่พุทธพจน์ที่ตรัสแนะนำไม่ให้รำพึงหลัง ไม่ให้หวังอนาคต ก็จะโยงถึงและเพ่งไปที่การทำกิจหน้าที่ ดังจะขอให้สังเกตจากบาลีที่ยกมาอ้าง ต่อไปนี้


“ไม่พึงหวนละห้อยถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่พึงเพ้อหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง สิ่งใดเป็นอดีต สิ่งนั้นก็ล่วงเลยไปแล้ว สิ่งใดเป็นอนาคต สิ่งนั้นก็ยังไม่ถึง ส่วนผู้ใดมองเห็นแจ้งชัด ซึ่งสิ่งที่เป็นปัจจุบันในกรณีนั้นๆ ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน ครั้นรู้ชัดแล้ว เขาพึงบำเพ็ญสิ่งนั้น”

“ควรทำความเพียรเสียแต่วันนี้ ใครเล่าจะรู้ได้ว่าจะตายวันพรุ่ง กับพญามัจจุราชแม่ทัพใหญ่นั้น ไม่มีการผัดเพี้ยนได้เลย

“ผู้ที่เป็นอยู่อย่างนี้ มีความเพียร ไม่ซึมเซาทั้งคืนวัน พระสันตมุนีทรงเรียกขานว่า ผู้มีแต่ละวันเจริญดี”


อีกแห่งหนึ่ง

“ผู้ถึงธรรม ไม่เศร้าโศกถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ฝันเพ้อถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง ดำรงอยู่ด้วยสิ่งที่เป็นปัจจุบัน ฉะนั้น ผิวพรรณจึงผ่องใส


“ส่วนชนผู้อ่อนปัญญา เฝ้าแต่ฝันเพ้อถึงสิ่งที่ยังไม่มา ละห้อยหาสิ่งที่ล่วงแล้ว จึงซูบซีดหม่นหมอง เสมือนต้นอ้อสด ที่เขาถอนทึ้งขึ้นทิ้งไว้ที่ในกลางแดด”



พึงสังเกต การวางท่าทีของจิตใจเกี่ยวกับกาลเวลา ในแง่ที่ไม่เป็นไปตามอำนาจตัณหาตามบาลีข้างต้นนี้ แล้วเทียบกับการปฏิบัติต่ออนาคตด้วยปัญญา ที่ใช้บำเพ็ญกิจตามบาลีข้อต่อๆไป เริ่มตั้งแต่คำสอน เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของชาวบ้าน ไปจนถึงการบำเพ็ญกิจของพระภิกษุ และเริ่มตั้งแต่ การบำเพ็ญกิจส่วนตัว ไปจนถึงความรับผิดชอบ ต่อกิจการของส่วนรวม ดังนี้



“พึงระแวงสิ่งที่ควรระแวง พึงป้องกันภัยที่ยังไม่มาถึง ธีรชนตรวจตราโลกทั้งสอง เพราะคำนึงภัยที่ยังไม่มาถึง”


“เป็นคนควรหวังเรื่อยไป บัณฑิตไม่ควรท้อแท้ เราเป็นประจักษ์มากับตนเอง เราปรารถนาอย่างใด ก็ได้สมตามนั้น”

“เธอทั้งหลาย จงยังกิจของตนและผู้อื่นให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท”

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2014, 21:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004
กำลังพยายามเอาเหตุผลโลกย์มาบิดเบือนสัจธรรม

เคยเรียนเรื่องtensในภาษาอังกฤษไหมมี 3

Pressen ปัจจุบัน จะมี is am are นำแล้วเติม ing หลังกิริยา เช่นHe is going.

Future อนาคต พิมพ์ธรรมดา

PAST อดีต เติมed หรือเปลี่ยนเป็นคำสำหรับอดีต เช่น
Go went gon ...do did done....recieved

ภาษาฝรั่งเขาระบุกาลทั้ง 3 ชัดมากแม้ในคำพูด แต่ภาษาไทยดิ้นได้เยอะกว่าจึงทำให้กรัชกายสำคัญผิดบิดเบือนสัจธรรม โปรดพิจารณา

สัจจะไม่มีดิ้นไม่มีเปลี่ยนแปลงพึงสำเหนียกไว้ให้ดี มิฉะนั้นจะทำให้เกิดธรรมมั่วและธรรมเมา
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2014, 07:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวอย่างการคำนึงอนาคตแล้วปฏิบัติตนเองของพระภิกษุ


"ภิกษุทั้ง หลาย เมื่อมองเห็นภัยอนาคต ๕ ประการต่อไปนี้ ย่อมควรแท้ที่ภิกษุจะเป็นอยู่โดยเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร อุทิศตัวเด็ดเดี่ยว เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อเข้าถึงธรรมที่ยังไม่เข้าถึง เพื่อประจักษ์แจ้งธรรมที่ยังไม่ประจักษ์แจ้ง ๕ ประการ คืออะไร ? ได้แก่


๑.ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นดังนี้ว่า เวลานี้ เรายังหนุ่ม ยังเยาว์ มีผมดำสนิท

ประกอบด้วยความหนุ่มแน่นยามปฐมวัย แต่ก็จะมีคราวสมัยที่ความชราจะเข้าต้องกายนี้ได้

ก็แลการที่คนแก่เฒ่าถูกชราครอบงำ แล้วจะมนสิการคำสอของพระพุทธะทั้งหลาย

ย่อมมิใช่จะทำได้โดยง่าย การที่จะเสพเสนาสนะ อันสงัดในราวป่าแดนไพร

ก็มิใช่จะทำได้โดยง่าย อย่ากระนั้นเลย ก่อนที่สภาพอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าชอบ ไม่น่าพึงใจนั้น

จะมาถึง เรารีบเริ่มระดมความเพียรเสียก่อนเถิด เพื่อจะได้บรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ...ซึ่งเมื่อเรา

มีพร้อมแล้ว แม้จะแก่เฒ่าลงก็จักเป็นอยู่ผาสุก...



๒. อีกประการหนึ่ง ภิกษุพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เวลานี้ เรามีอาพาธน้อย มีความเจ็บไข้น้อย

ประกอบด้วยแรงไฟเผาผลาญย่อยอาหารที่สม่ำเสมอ ไม่เย็นเกินไปไม่ร้อนเกินไป พอดี

เหมาะแก่การบำเพ็ญเพียร แต่ก็จะมีคราวสมัยที่ความเจ็บไข้จะเข้าต้องกายนี้ได้ ฯลฯ

เราจะรีบเริ่มระดมความเพียร...แม้เจ็บไข้ ก็จักเป็นอยู่ผาสุก...


๓. อีกประการหนึ่ง ภิกษุพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เวลานี้ ข้าวยังดี บิณฑบาตหาได้ง่าย

การยังชีพด้วยการอุ้มบาตรเที่ยวไป ก็ยังทำได้ง่าย แต่จะมีคราวสมัยที่อาหารขาดแคลน

ข้าวไม่ดี หาบิณฑบาตได้ยาก การยังชีพด้วยการอุ้มบาตรเที่ยวไป จะมิใช่ทำได้ง่าย

พวกประชาชนในที่หาอาหารได้ยากก็จะอพยพไปยังถิ่นที่หาอาหารได้ง่าย

วัดในถิ่นนั้น ก็จะเป็นที่คับคั่งจอแจ ก็เมื่อวัดคับคั่งจอแจ การที่จะมนสิการคำสอนของพระพุทธะ

ทั้งหลาย ย่อมมิใช่จะทำได้ง่าย การที่จะเข้าเสพอาศัยเสนาสนะอันสงัด ในราวป่าแดนไพร

ก็มิใช่จะทำได้ง่าย อย่ากระนั่นเลย ฯลฯ เราจะรีบเริ่มระดมความเพียร...

แม้อาหารขาดแคลน ก็จักเป็นอยู่ผาสุก...


๔. อีกประการหนึ่ง ภิกษุพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เวลานี้ ประชาชนทั้งหลาย พร้อมเพรียง

ร่วมบันเทิงไม่วิวาทกัน เป็นเหมือนน้ำกับน้ำนม มองดูกันด้วยสายตารักใคร่

แต่ก็จะมีคราวสมัยที่เกิดมีภัย มีการก่อกำเริบในแดนดง

ชาวชนบทพากันขึ้นยานหนีแยกย้ายกันไป ในเมื่อมีภัย ประชาชนทั้งหลายย่อมอพยพไปยังถิ่นที่

ปลอดภัย

วัดในถิ่นนั้นก็จะเป็นที่คับคั่งจอแจ ฯลฯ เราจะรีบเริ่มระดมความเพียร...

แม้เมื่อมีภัย ก็จักเป็นอยู่ผาสุก...


๕. อีกประการหนึ่ง ภิกษุพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เวลานี้ สงฆ์ยังพร้อมเพรียง ร่วมบันเทิงไม่วาทกัน

มีการสวดปาติโมกข์ร่วมกัน เป็นอยู่ผาสุก แต่ก็จะมีคราวสมัยที่สงฆ์แตกแยกกัน

ครั้นเมื่อสงฆ์แตกแยกกันแล้ว การที่จะมนสิการคำสอนของพระพุทธะทั้งหลาย

ย่อมจะไม่ใช่เป็นสิ่งที่ทำได้โดยง่าย การที่จะเข้าเสพอาศัย

เสนาสนะอันสงัด ในราวป่าแดนไพร ก็มิใช่จะทำได้ง่าย อย่ากระนั่นเลย ฯลฯ

เราจะรีบเริ่มระดมความเพียร...แม้สงฆ์แตกแยกกัน ก็จักเป็นอยู่ผาสุก...”

(องฺ.ปญฺจก.22/78/117)


อีกสูตรหนึ่ง ตรัสสอนภิกษุผู้อยู่ป่าว่า เมื่อมองเห็นอนาคตภัย ๕ ประการ ควรจะเป็นอยู่โดยไม่ประมาท มีความเพียรอุทิศตัวเด็ดเดี่ยว เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อเข้าถึงธรรมที่ยังไม่เข้าถึง เพื่อประจักษ์แจ้งธรรม ที่ยังประจักษ์แจ้ง


อนาคตภัย ๕ ประการนั้น คือ ภิกษุพิจารณาว่า ตนเองอยู่ผู้เดียวในป่า งู แมงป่อง หรือตะขาบ อาจขบกัด หรืออาจพลัดลื่นหกล้ม อาหารที่ฉันแล้วอาจเป็นพิษ ดีหรือเสมหะอาจกำเริบ อาจเป็นโรคลมร้ายแรง อาจพบสัตว์ร้าย เช่น สิงห์ เสือ หมี อาจพบคนร้ายหรือพบอมนุษย์ร้าย แล้วถูกทำอันตราย อาจถึงแก่ความตายเพราะเหตุเหล่านั้น จึงจะต้องเริ่มระดมความเพียร เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2014, 07:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004
กำลังพยายามเอาเหตุผลโลกย์มาบิดเบือนสัจธรรม

เคยเรียนเรื่องtensในภาษาอังกฤษไหมมี 3

Pressen ปัจจุบัน จะมี is am are นำแล้วเติม ing หลังกิริยา เช่นHe is going.

Future อนาคต พิมพ์ธรรมดา

PAST อดีต เติมed หรือเปลี่ยนเป็นคำสำหรับอดีต เช่น
Go went gon ...do did done....recieved

ภาษาฝรั่งเขาระบุกาลทั้ง 3 ชัดมากแม้ในคำพูด แต่ภาษาไทยดิ้นได้เยอะกว่าจึงทำให้กรัชกายสำคัญผิดบิดเบือนสัจธรรม โปรดพิจารณา

สัจจะไม่มีดิ้นไม่มีเปลี่ยนแปลงพึงสำเหนียกไว้ให้ดี มิฉะนั้นจะทำให้เกิดธรรมมั่วและธรรมเมา
onion



สัจธรรม ตามที่อโศกคิดนึก ได้แก่ อะไร เอาชัดๆครับ เอาชัดๆ

ปัจจุบันอารมณ์ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ที่อโศกพูดบ่อยๆ ปัจจุบัน แค่ไหน อย่างไร ปัจจุบัน ปัจจุบันอารมณ์ เอาชัดๆ

เรื่องนี้สำคัญนะครับ กรัชกายเอาถึงตายเชี่ยวหน่า :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2014, 07:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในด้านการคิดเตรียมการ เพื่อปกป้องคุ้มครองกิจการ และประโยชน์สุขของส่วนรวม ในกาลภายหน้า ก็มีพุทธพจน์ตรัสสนับสนุนไว้ เป็นตัวอย่างคล้ายๆกัน เช่น


“ภิกษุทั้งหลาย อนาคตภัย ๕ ประการเหล่านี้ ซึ่งยังไม่เกิดขึ้นในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป

เธอทั้งหลาย พึงตระหนักล่วงหน้าไว้ ครั้นรู้ตระหนักล่วงหน้าแล้ว พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยเหล่านั้น อนาคตภัย ๕ ประการคือ อะไร ?


๑. ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล มิได้อบรมจิต

มิได้อบรมปัญญา เธอเหล่านั้น ทั้งที่ตนเองมิได้อบรมกาย-ศีล - จิต-ปัญญา

จักให้อุปสมบทชนเหล่าอื่น และพวกเธอจักไม่สามารถฝึกฝนชนเหล่านั้นในอธิศีล ในอธิจิต ในอธิปัญญา แม้ชนเหล่านั้น ก็จักเป็นผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล มิได้อบรมจิต มิได้อบรมปัญญา

ชนเหล่านั้น ทั้งที่ตนเองมิได้อบรมกาย-ศีล - จิต-ปัญญา จักให้อุปสมบทชนเหล่าอื่น

และจักไม่สามารถฝึกฝนชนเหล่านั้น ในอธิศีล ในอธิจิต ในอธิปัญญา แม้ชนเหล่านั้น

ก็จักเป็นผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล มิได้อบรมจิต มิได้อบรมปัญญา

โดยนัยนี้แล เพราะธรรมเลอะเลือน วินัยก็เลอะเลือน เพราะวินัยและเลือน ธรรมก็เลอะเลือน

ภิกษุทั้งหลาย นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๑ ซึ่งยังไม่เกิดในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป

เธอทั้งหลายพึงตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยนั้น...


๒. อีกประการหนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล

มิได้อบรมจิต มิได้อบรมปัญญา ….เธอเหล่านั้นจักให้นิสัย

(เป็นอาจารย์ปกครองดูแลสั่งสอนฝึกอบรม) แก่ชนเหล่านั้น ฯลฯ

โดยนัยนี้แล เพราะธรรมเลอะเลือน วินัยก็เลอะเลือน เพราะวินัยเลอะเลือน ธรรมก็เลอะเลือน

ภิกษุทั้งหลาย นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๒ ซึ่งยังไม่เกิดในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป

เธอทั้งหลายพึงตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว

พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยนั้น...


๓. อีกประการหนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล

มิได้อบรมจิต มิได้อบรมปัญญา แก่ชนเหล่านั้น ....กล่าวอภิธรรมกถา เวทัลละกถา

ถลำเข้าสู่ธรรมที่ผิด ก็จักไม่รู้ตัว โดยนัยนี้แล เพราะธรรมเลอะเลือน วินัยก็เลอะเลือน

เพราะวินัยเลอะเลือน ธรรมก็เลอะเลือน

ภิกษุทั้งหลาย นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๓ ซึ่งยังไม่เกิดในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป

เธอทั้งหลายพึงตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว

พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยนั้น...”


๔.อีกประการหนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล

มิได้อบรมจิต มิได้อบรมปัญญา เธอเหล่านั้น ....ครั้นเมื่อมีผู้กล่าวสูตรทั้งหลาย

ที่เป็นตถาคตภาษิต ลึกซึ้ง มีอรรถล้ำลึกเป็นโลกุตระ เกี่ยวด้วยสุญญตา จักไม่ตั้งใจฟัง

ไม่เงี่ยโสตลงสดับ ไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ ไม่สำคัญเห็นธรรมเหล่านั้นว่า เป็นสิ่งอันพึงเล่าเรียน

แต่ครั้นเมื่อเขากล่าวสูตรที่กวีแต่ง เป็นบทกวี มีอักขระ พยัญชนะวิจิตร เป็นเรื่องภายนอก

เป็นสาวกภาษิต จักตั้งใจฟัง จักเงี่ยโสตลงสดับ จักตั้งจิตเพื่อจะรู้ และจักสำคัญเห็นธรรมเหล่านั้น

ว่า เป็นสิ่งอันพึงเล่าเรียน โดยนัยนี้แล เพราะธรรมเลอะเลือน วินัยก็เลอะเลือน

เพราะวินัยเลอะเลือน ธรรมก็เลอะเลือน

ภิกษุทั้งหลาย นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๔ ซึ่งยังไม่เกิดในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป

เธอทั้งหลายพึงตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว

พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยนั้น..


๕. อีกประการหนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้มิได้อบรมกาย มิได้อบรมศีล

มิได้อบรมจิต มิได้อบรมปัญญา...

ภิกษุทั้งหลายที่เป็นเถระ จักเป็นผู้มักมาก ย่อหย่อน เป็นผู้นำในทางเชือนแช ทอดธุระ

ในการอยู่สงัด ไม่เริ่มระดมความเพียร เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อเข้าถึงธรรมที่ยังไม่เข้าถึง

เพื่อประจักษ์แจ้งธรรมที่ยังไม่ประจักษ์แจ้ง ชุมชนผู้เกิดภายหลัง จักถือตามอย่างภิกษุเถระเหล่านั้น

และชุมชนแม้นั้นก็จักเป็นผู้มักมาก ย่อหย่อน เป็นผู้นำในทางเชือนแช ทอดธุระในการอยู่สงัด

ไม่เริ่มระดมความเพียร...โดยนัยนี้แล เพราะธรรมเลอะเลือน วินัยก็เลอะเลือน เ

เพราะวินัยเลอะเลือน ธรรมก็เลอะเลือน...

ภิกษุทั้งหลาย นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๕ ซึ่งยังไม่เกิดในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป

เธอทั้งหลายพึงตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยนั้น...”

(องฺ.ปัญฺจก.22/79/121)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2014, 07:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นอกจากนี้ ยังตรัสอนาคตภัยเกี่ยวกับส่วนรวมไว้อีกหมวดหนึ่ง ความว่า


“ภิกษุทั้งหลาย อนาคตภัย ๕ ประการเหล่านี้ ซึ่งยังไม่เกิดขึ้นในบัดนี้ แต่จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป เธอทั้งหลาย พึงตระหนักล่วงหน้าไว้ และครั้นรู้ตระหนักแล้ว พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยเหล่านั้น อนาคตภัย ๕ ประการคือ อะไร ?


๑. ภิกษุทั้งหลาย ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้ชอบสวยชอบงามในเรื่องจีวร...

จักละเลิกการถือครองผ้าบังสุกุล จักละเลิกเสนาสนะอันสงัดในราวป่าแดนไพร

จักมาออกันอยู่ในหมู่บ้าน อำเภอ และเมืองหลวง และจักประกอบการแสวงหาอันไม่สมควร

อันไม่เหมาะ มีประการต่างๆ เพราะเห็นแก่จีวร...

นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๑ ซึ่งยังไม่เกิดในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป

เธอทั้งหลายพึงรู้ตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยนั้น


๒.อีกประการหนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้ชอบดีงามเอร็ดอร่อยในเรื่องอาหาร

บิณฑบาต...จักมาออกันอยู่ในหมู่บ้าน อำเภอ และเมืองหลวง คอยแสวงหารสเลิศด้วยปลายลิ้น

และจักประกอบการแสวงหาอันไม่สมควร อันไม่เหมาะ มีประการต่างๆ เพราะเห็นแก่อาหาร

บิณฑบาต...

นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๒ ซึ่งยังไม่เกิดในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป

เธอทั้งหลายพึงรู้ตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยนั้น


๓. อีกประการหนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้ชอบโก้งาม ในเรื่องที่อยู่อาศัย...

และจักประกอบการแสวงหาอันไม่สมควร อันไม่เหมาะ มีประการต่างๆ เพราะเห็นแก่ที่อยู่อาศัย...

นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๓ ซึ่งยังไม่เกิดในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป

เธอทั้งหลายพึงรู้ตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยนั้น


๔. อีกประการหนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้อยู่คลุกคลีด้วยภิกษุณี

นางสิกขมานาและสามเณรทั้งหลาย และเมื่อมีการคลุกคลีด้วยภิกษุณี นางสิกขมานา

และสามเณรทั้งหลาย ก็เป็นอันหวังสิ่งนี้ได้ คือ เธอทั้งหลายจักประพฤติพรหมจรรย์โดยไม่ยินดี

หรือจักลาสิกขาเวียนกลับไปเป็นคฤหัสถ์

นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๔ ซึ่งยังไม่เกิดในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป

เธอทั้งหลายพึงรู้ตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยนั้น


๕.อีกประการหนึ่ง ในอนาคตกาล ภิกษุทั้งหลาย จักเป็นผู้อยู่คลุกคลีด้วยคนวัดและสามเณร

ทั้งหลาย และเมื่อมีการคลุกคลีด้วยคนวัดและสามเณรทั้งหลาย ก็เป็นอันหวังสิ่งนี้ได้

คือ เธอทั้งหลายจักเป็นผู้อยู่ประกอบการบริโภคสิ่งของทำการสั่งสมไว้ มีประการต่างๆ

จักกระทำนิมิต (เลศนัยหาลาภ ) แม้อย่างหยาบๆ แม้ที่แผ่นดิน แม้ที่ปลายผักหญ้า

นี้คืออนาคตภัยประการที่ ๕ ซึ่งยังไม่เกิดในบัดนี้ จักเกิดขึ้นในกาลต่อไป

เธอทั้งหลายพึงรู้ตระหนักล่วงหน้า และครั้นรู้ตระหนักแล้ว

พึงพยายามเพื่อป้องกันอนาคตภัยนั้น...”

องฺ.ปัญฺจก.22/80/124)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2014, 07:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เท่าที่กล่าวมา เป็นตัวอย่างพอเป็นเครื่องเทียบ เพื่อช่วยให้แบ่งแยกได้ ระหว่างความคิดถึงอดีต และอนาคต ตามแนวทางของตัณหาที่เพ้อฝันเลื่อนลอย ผลาญเวลา และคุณภาพของจิตใจให้สูญเสียไปเปล่า กับ ความคิดถึงอดีต และ อนาคตตามแนวทางของปัญญา ที่เป็นเรื่องของกิจในปัจจุบัน อันช่วยให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติ ช่วยให้การปฏิบัติ ในปัจจุบันถูกต้องได้ผลดียิ่งขึ้น


เมื่อปฏิบัติถูกต้องตามหลักการนี้ กลับกลายเป็นสนับสนุนให้มีการตระเตรียม และวางแผนกิจการล่วงหน้า ดังตัวอย่างกิจการสำคัญของสงฆ์ เช่น การสังคายนาครั้งที่ ๑ ก็เกิดขึ้นเพราะความคำนึงอนาคตชนิดที่เชื่อมโยงถึงกิจที่จะกระทำในปัจจุบันได้ * โดยนัยดังกล่าวมาฉะนี้

............

* สังคีติสูตร ในพระไตรปิฎก ก็เกิดจากการที่พระพุทธเจ้าทรงปรารภอดีต (การแตกแยกของนิครนถ์ ภายหลังศาสดาสิ้นชีพ) และทรงปรารภอนาคต (การร้อยกรองธรรมวินัย เพื่อเป็นหลักช่วยมิให้สงฆ์ภายหน้าแตกแยกกัน)

ข้อสรุปที่ดีที่สุด ก็คือ ความหมายของสติที่เป็นพุทธพจน์นั่นเองว่า “ระลึกกิจที่ทำ คำที่พูดแล้ว แม้นานได้

(ที.ปา.11/357/283 อภิ.วิ.35/543/306 ฯลฯ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.ค. 2014, 20:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s004
กรัชกายพยายามตะแบงหาเหตุผลมาสนับสนุนความเห็นผิดขิองตนเองให้เป็นสิ่งถูกต้องให้ได้

ไม่ได้สังเกตให้ดีๆหรือว่าที่ยกมาพูดเสียยาวยืดนั้นในที่สุดก็สรุปลงที่จะต้องทำกันตรงปัจจุบันให้ดีที่สุด
:b34:
สัจธรรมของปัจจุบันอารมณ์

"ผู้ใดเห็นธรรม.....อันเกิดขึ้นเฉพาะหน้า ในที่นั้นๆ...อย้่างแจ่มแจ้ง ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เขา......ควร.....พอกพูนอาการเช่นนั้นไว้"

ปัจจุบันอารมณ์........ธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหน้า...ปัจจุปันนัญจะ โยธัมมัง.....
onion onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2014, 07:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
s004
กรัชกายพยายามตะแบงหาเหตุผลมาสนับสนุนความเห็นผิดขิองตนเองให้เป็นสิ่งถูกต้องให้ได้

ไม่ได้สังเกตให้ดีๆหรือว่าที่ยกมาพูดเสียยาวยืดนั้นในที่สุดก็สรุปลงที่จะต้องทำกันตรงปัจจุบันให้ดีที่สุด

สัจธรรมของปัจจุบันอารมณ์

"ผู้ใดเห็นธรรม.....อันเกิดขึ้นเฉพาะหน้า ในที่นั้นๆ...อย้่างแจ่มแจ้ง ไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน เขา......ควร.....พอกพูนอาการเช่นนั้นไว้"

ปัจจุบันอารมณ์........ธรรมอันเกิดขึ้นเฉพาะหน้า...ปัจจุปันนัญจะ โยธัมมัง.....



อ้างคำพูด:
ไม่ได้สังเกตให้ดีๆหรือว่าที่ยกมาพูดเสียยาวยืดนั้นในที่สุดก็สรุปลงที่จะต้องทำกันตรงปัจจุบันให้ดีที่สุด

สัจธรรมของปัจจุบันอารมณ์



ทั้งหมดนั่น แสดงว่า พระพุทธเจ้าไม่สอนให้คิดถึงเรื่องอนาคต กับ อดีต ถูกไหม อโศก :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2014, 09:56 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


onion
บุคคล......ไม่ควรๆๆๆๆๆๆๆ......ตามคิดถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้วด้วยอาลัยและ.....ไม่พึงๆๆๆๆๆๆๆๆ....พะวงถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง

:b34: :b34:
เก่งเรื่องศัพท์อยูแล้วนี่กรัชกาย เข้าใจความหมายของคำว่า "ไม่ควร กับ ไม่พึง" ไหมกรัชกาย ว่าต่างกับคำว่า "ต้อง" อย่างไร?

แล้วที่พยายามตะแบงมาทั้งหมดนั้น ก็เพื่อให้ผู้คนลดความสำคัญของปัจจุบันอารมณ์ ลงมาให้เท่ากับที่กรัชกายกำลังเป็น ใช่ไหม?

อย่าลืมนะว่าปัจจุบันอารมณ์เท่านั้นที่เป็นความจริงอันตั้งอยู่ได้เพียงชั่วพริบตาเดียว
:b40:
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2014, 10:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
onion
บุคคล......ไม่ควรๆๆๆๆๆๆๆ......ตามคิดถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้วด้วยอาลัยและ.....ไม่พึงๆๆๆๆๆๆๆๆ....พะวงถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง

:b34: :b34:
เก่งเรื่องศัพท์อยูแล้วนี่กรัชกาย เข้าใจความหมายของคำว่า "ไม่ควร กับ ไม่พึง" ไหมกรัชกาย ว่าต่างกับคำว่า "ต้อง" อย่างไร?

แล้วที่พยายามตะแบงมาทั้งหมดนั้น ก็เพื่อให้ผู้คนลดความสำคัญของปัจจุบันอารมณ์ ลงมาให้เท่ากับที่กรัชกายกำลังเป็น ใช่ไหม?

อย่าลืมนะว่าปัจจุบันอารมณ์เท่านั้นที่เป็นความจริงอันตั้งอยู่ได้เพียงชั่วพริบตาเดียว
:b40:
onion



ถามอย่างตอบอย่างอีกแล้วอโศก ถามว่า พระพุทธเจ้าไม่สอนเรื่องอดีต อนาคตใช่ไหม ไม่ให้ความสำคัญเรื่องอดีตกับอนาคตใช้ไหม ตอบคำถามนี้ก่อน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2014, 10:24 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b16:
กรัชกายยกเรื่องมาอธิบายยาวยืดเพื่อสนับสนุนความเห็นผิดของตนเอง อโศกะถามส่วนนั้นก่อนก็ไม่ตอบ ส่วนที่ถามกลับมาทีหลังกลับมาเร่งให้ตอบ

กลิ้งหลบหรือ แล้วที่ถามมานั้นนะไม่น่าถามเพราะพระบรมศาสดาทรงชี้ชัดอยู่แล้วว่าไม่ควรและไม่พึงแต่ไม่ทรงบังคับว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้
onion onion


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 46 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร