วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 22:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 56, 57, 58, 59, 60, 61, 62  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2014, 20:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อโศกขอรับ ออกนอกสำนักไปตลาดไปห้างดูนั่นดูนี่ ดูสภาพแวดล้อมข้างนอกบ่อยไหมครับ :b10: :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2014, 21:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
ปัจจุบันอารมณ์ คือสิ่งที่กำลังปรากฏรู้ขึ้นมาในจิต ณ บัดเดี๋ยวนั้นไม่เป็นปัจจัยไม่เป็นเหตุอะไร แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า "สภาวะ สภาวัง" เป็นธรรมมารมณ์



ลัทธิของเดียรถีย์ ๓

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์เหล่าที่มีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้.
ว่า บุคคลได้รับสุขหรือทุกข์หรือไม่ทุกข์ไม่สุขอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้รับโดย
ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยทั้งสิ้น

เราเข้าไปถามสมณพราหมณ์เหล่านั้นอย่างนี้ว่า ท่าน
ทั้งหลาย ได้ยินว่า ท่านทั้งหลายมีวาทะอย่างนี้มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า บุคคลได้รับสุข
ฯลฯ โดยไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยทั้งสิ้น จริงหรือ เราถามอย่างนี้

หากเขายังยืนยันอยู่ เราก็กล่าวกะเขาว่า ถ้ากระนั้น คนฆ่าสัตว์ ฯลฯ
คนมีความเห็นผิด ก็ต้องเป็นโดยไม่มีเหตุปัจจัย

เมื่อถือเอาความไม่มีเหตุมาเป็นสาระ ฉันทะ
หรือความพยายาม (เพื่อจะทำ) กรณียกิจ หรือ อกรณียกิจก็ไม่มี

เมื่อกรณียกิจและอกรณียกิจไม่มีเป็นล่ำเป็นสันเช่นนี้ การอ้างตนว่าเป็นสมณะ
อย่างชอบแก่เหตุ ก็มีไม่ได้สำหรับบุคคลทั้งหลายผู้ขาดความสำนึกตน ปล่อย
ปละตนอยู่ (ด้วยถือว่าสุดแต่คราวเคราะห์ดีหรือร้าย) นี้

ภิกษุทั้งหลาย เป็นการลบล้างอย่างชอบแก่เหตุข้อสามของเรา
ในสมณพราหมณ์เหล่าที่มีวาทะ อย่างนี้มีทิฏฐิอย่างนี้.

นี้แล ภิกษุทั้งหลาย ลัทธิของเดียรถีย์ ๓ ซึ่งบัณฑิตทั้งหลายซักไซ้
ไล่เลียงสืบไป (เท่าไร ๆ) ก็คงยืนตัวอยู่ในหลักอกิริยา.


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนว่าธรรมที่เราแสดงนี้ ใคร ๆ ลบล้างไม่ได้
เป็นธรรมไม่หมองมัว สมณพราหมณ์ผู้รู้ไม่ติไม่ค้าน ธรรมที่เราแสดง ฯลฯ
ไม่ค้านคืออะไร คือ ธาตุ ๖ ผัสสายตนะ ๖ มโนปวิจาร ๑๘ อริยสัจ ๔
เหล่านี้...


ก็แลคำที่เรากล่าวว่า ธรรมที่เราแสดง ฯลฯ ไม่ค้าน คือ ธาตุ ๖
ดังนี้นี่ เราอาศัยอะไรกล่าว ภิกษุทั้งหลาย ธาตุ ๖ นี้ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ
เตโชธาตุ วาโยธาตุ อากาสธาตุ วิญญาณธาตุ คำที่เรากล่าวว่า ธรรมที่เรา
แสดง ฯลฯ ไม่ค้าน คือ ธาตุ ๖ ดังนี้นี่ เราอาศัยธาตุมีปฐวีธาตุเป็นต้นนี้
แลกล่าว.

อนึ่ง คำที่เรากล่าวว่า ธรรมที่เราแสดง ฯลฯ ไม่ค้าน คือ ผัสสายตนะ ๖
ดังนี้นี่ เราอาศัยอะไรกล่าว

ภิกษุทั้งหลาย ผัสสายตนะ ๖ นี้ คือ ตา
หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คำที่เรากล่าวว่า ธรรมที่เราแสดง ฯลฯ ไม่ค้าน
คือผัสสายตนะ ๖ ดังนี้นี่ เราอาศัยผัสสายตนะคือตาเป็นต้นนี้แลกล่าว.


อนึ่ง คำที่เรากล่าวว่า ธรรมที่เราแสดง ฯลฯ ไม่ค้าน คือมโน-
ปวิจาร ๑๘ ดังนี้นี่ เราอาศัยอะไรกล่าว

บุคคลเห็นรูปด้วยตา ฟังเสียงด้วยหู ดมกลิ่นด้วยจมูก
ลิ้มรสด้วยลิ้น ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย
รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว (ใจของบุคคลนั้น) ย่อมเคล้ารูป เสียง กลิ่น
รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ อันเป็นที่ตั้งแห่งโสมนัส ๑ เป็นที่ตั้ง
แห่งโทมนัส ๑ เป็นที่ตั้งแห่งอุเบกขา ๑

คำที่เรากล่าวว่า ธรรมที่เราแสดง ฯลฯ ไม่ค้าน คือมโนปวิจาร ๑๘ ดังนี้นี่
เราอาศัยมโนปวิจารมีรูป อันเป็นที่ตั้งแห่งโสมนัสเป็นต้นนี้แลกล่าว.

อนึ่ง คำที่เรากล่าวว่า ธรรมที่เราแสดง ฯลฯ ไม่ค้าน คือ อริยสัจ ๔
ดังนี้นี่ เราอาศัยอะไรกล่าว

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยธาตุ ๖ (ประกอบพร้อมกันเข้า)
ความตั้งครรภ์ย่อมมี เมื่อความตั้งครรภ์มี นามรูปย่อมมี
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะย่อมมี เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะ
ย่อมมี เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาย่อมมี

ภิกษุทั้งหลาย เราบัญญัติ(อริยสัจคือ) ทุกข์ ทุกขสมุทัย ทุกขนิโรธ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทานี้ สำหรับบุคคลผู้เสวยเวทนานั่นแล.

http://www.tripitaka91.com/91book/book34/251_300.htm

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2014, 22:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อโศกขอรับ ออกนอกสำนักไปตลาดไปห้างดูนั่นดูนี่ ดูสภาพแวดล้อมข้างนอกบ่อยไหมครับ :b10: :b14:

:b12: :b12:
ไปบ่อยครับ ยิ่งตลาดนี่ไปแทบทุกวัน

ถามเพื่อประโยชน์อันใดหรือครับ หรือจะมาชักใบให้เรือไปเข้ารกเข้าพงอีก
s006 s006 s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2014, 22:47 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


s006 s006
วลัยพร ไปคัดเอาอะไรมาตอบเสียยาวยืด แต่ไม่ตรงประเด็นเรื่องปัจจุบันอารมณ์เลย อธิบายกันก็ไม่ได้

สิ่งทีดีทีพอได้ก็คือแสดงให้เห็นถึงธรรมอันมิใช่มีเพียงแต่ ผัสสะ เพียงเรื่องเดียวเท่านั้นเอง ยังมีเรื่องธาตุ เรื่องขันธ์ อริยสัจ อะไรอีกเยอะแยะ มิใช่ไปจมติดยึดอยู่แต่เรื่อง ผัสสะ

ระวังผัสสะ นั่นเป็นวิธีการของฤาษี วิถีพุทธนั้นท่านให้ระวังที่ช่วงต่อของเวทนา ที่จะไปเกิดเป็น ตัณหา วิปัสสนาปัญญาจึงจะเกิดขึ้นมาทำงานจริงๆได้เข้าใจความนัยของเรื่องนี้กันบ้างไหม?

พูดมาให้ชัดเจนตรงประเด็นสิว่าผัสสะ มันไปเกี่ยวข้องกับปัจจุบันอารมณ์อย่างไร ตรงไหน ตอนไหนบ้าง
พูดตอบออกมาอย่างผู้มีประสบการณ์จริง ไม่ใช่ไปยกคัดพระสูตรนั้นพระสูตรนี้มาเทียบเคียงให้คิดพิจารณาเอา เข้าใจเอาเอง อย่างที่วลัยพรเข้าใจ.....ใครจะไปรู้ว่าวลัยพรเข้าใจและเห็นเป็นอย่างไร ถ้าไม่บอกกล่าวออกมาตรงๆเป็นภาษาของตนเอง ที่ไม่ต้องไปคัดลอกพระสูตรหรืออะไรมาแปะ
s004 s004 s004


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2014, 05:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อโศกขอรับ ออกนอกสำนักไปตลาดไปห้างดูนั่นดูนี่ ดูสภาพแวดล้อมข้างนอกบ่อยไหมครับ :b10: :b14:

:b12: :b12:
ไปบ่อยครับ ยิ่งตลาดนี่ไปแทบทุกวัน

ถามเพื่อประโยชน์อันใดหรือครับ หรือจะมาชักใบให้เรือไปเข้ารกเข้าพงอีก


เพราะอโศกเคยเล่นหมากรุกจนเป็นอนุสัยนอนเนื่อง จึงคิดแต่เรืองของเรือตลอด คงถูกเขารุกฆาตกินเรือจนหลอนสิท่า :b12:

ถามดูเห็นหมกมุ่นเกินไป มันไม่เป็นธรรมะ คิกๆๆ

ดูๆแล้วนะ อโศกยังทำยังปฏิบัติ จนถึงขั้นว่าลงตัวกับชีวิตนี้ไม่ได้ยังค้นหาไม่พบ จึงยังสะเปะสะปะเป็นเรือขาดหางเสือนะ ว่าไหม สังเกตตัวเองไหม :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2014, 07:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

วลัยพร ไปคัดเอาอะไรมาตอบเสียยาวยืด แต่ไม่ตรงประเด็นเรื่องปัจจุบันอารมณ์เลย อธิบายกันก็ไม่ได้


แทนที่จะกล่าวโทษตนเอง ที่อ่านแล้ว ไม่รู้ชัดในผัสสะ ที่เกิดขึ้น
กลับกล่าวโทษนอกตัวแทน

asoka เขียน:
สิ่งทีดีทีพอได้ก็คือแสดงให้เห็นถึงธรรมอันมิใช่มีเพียงแต่ ผัสสะ เพียงเรื่องเดียวเท่านั้นเอง ยังมีเรื่องธาตุ เรื่องขันธ์ อริยสัจ อะไรอีกเยอะแยะ มิใช่ไปจมติดยึดอยู่แต่เรื่อง ผัสสะ



เพราะ โสกะ ยังไม่รู้ชัด "ผัสสะ" ที่มีเกิดขึ้นตามความเป็นจริง
ยิ่ง พูดออกมาเท่าไหร่ ยิ่งแสดงออกถึง ความเป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิ

asoka เขียน:
ระวังผัสสะ นั่นเป็นวิธีการของฤาษี วิถีพุทธนั้นท่านให้ระวังที่ช่วงต่อของเวทนา ที่จะไปเกิดเป็น ตัณหา วิปัสสนาปัญญาจึงจะเกิดขึ้นมาทำงานจริงๆได้เข้าใจความนัยของเรื่องนี้กันบ้างไหม?



นี่แหละเหตุปัจจัยจาก อวิชชา ที่โสกะ ยังมีอยู่ อย่างหนาแน่น
เป็นปัจจัยให้ บ้าบ้อกับบัญญัติ คำเรียกต่างๆ ตามแรงของตัณหา
แต่ไม่สำหนียกว่า สิ่งที่เที่ยวพร่ำพรรณนา ล้วนเป็นความปกติที่มีเกิดขึ้น ของสิ่งที่เรียกว่า ผัสสะ


ถ้าไม่จับใส่ชื่อ แซ่ เหล่านั้นลงไป
ก็สักแต่ว่า ผัสสะเกิดขึ้น


ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง ลิ้นลิ้มรสฯลฯ
เวทนา ตัณหา อุทาน ภพ ที่เกิดต่อจากผัสสะ ล้วนเป็นความปกติของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่

ชื่อ แซ่ คำเรียกทั้งหลาย ที่ใส่ลงไป
เกิดจากไม่รู้ชัดในผัสสะที่เกิดขึ้น มีแต่สัญญา ที่จดจำ ที่ท่องจำมา จับใส่ลงตามใจชอบ


แหม่ วิปัสสนาปัญญา ท่องให้ตาย
มีแต่กกกอดสัญญา ตัณหาบดบังไม่ให้เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริงของสิ่งที่เกิดขึ้น


asoka เขียน:
พูดมาให้ชัดเจนตรงประเด็นสิว่าผัสสะ มันไปเกี่ยวข้องกับปัจจุบันอารมณ์อย่างไร ไม่ใช่ไปยกคัดพระสูตรนั้นพระสูตรนี้มาเทียบเคียงให้คิดพิจารณาเอา


นี่คือ วิธีการของเดียรถียร์ จึงปฏิเสธ พระธรรมคำสอน
อุแหม่ หลงอีกนาน ตัณหาแรงกล้า


asoka เขียน:
พูดมาให้ชัดเจนตรงประเด็นสิว่าผัสสะ มันไปเกี่ยวข้องกับปัจจุบันอารมณ์อย่างไร ตรงไหน ตอนไหนบ้าง พูดตอบออกมาอย่างผู้มีประสบการณ์จริง ไม่ใช่ไปยกคัดพระสูตรนั้นพระสูตรนี้มาเทียบเคียงให้คิดพิจารณาเอา เข้าใจเอาเอง อย่างที่วลัยพรเข้าใจ.....ใครจะไปรู้ว่าวลัยพรเข้าใจและเห็นเป็นอย่างไร ถ้าไม่บอกกล่าวออกมาตรงๆเป็นภาษาของตนเอง ที่ไม่ต้องไปคัดลอกพระสูตรหรืออะไรมาแปะ



ยิ่งแก่ ยิ่งเลอะเลือน อายุขนาดนี้ ยังเลอะเลือนถึงขนาดนี้

ไปไหนระวังด้วย อย่าลืมติดป้ายแขวนคอ เผื่อไปหลงลืมนอกบ้าน จะกลับบ้านไม่ถูก


ยิ่งคุยด้วย ยิ่งเห็นแต่ความเลอะเลือนของโสกะ ได้หน้าลืมหลัง
คุยอะไรไว้กับใคร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไหร่ จำไม่ได้ เลอะเลือนจริงๆ

สิ่งที่โสกะไม่เลอะเลือน ก็ตรงที่ สิ่งที่โสกะท่องจำมา
ลักษณะผู้ที่มีฉันทราคะในสัญญา นั่นแหละสิ่งที่โสกะมีอยู่ และเป็นอยู่

เพราะสัญญาที่โสกะท่องจำมา กระทำเพื่อ อนุปาทาปรินิพพาน ยังไม่ได้
เหตุที่ทำไม่ได้ เพราะมีแต่กกกอดสัญญาเอาไว้ ไม่ใช่การสละออก



จุดประสงค์ ที่วลัยพรเข้ามา

มีเพียง ชี้โพรงให้กระรอก ที่ยังจมแช่ในตัณหา ความอยากมี อยากได้ อยากเป็นอะไรๆในสมมุติ
ทั้งที่ คุณสมบัติสักข้อ ก็ไม่มี มีแต่มิจฉาทิฏฐินำหน้า


ตำราของพม่าของแท้ดั้งเดิม น่ะดี
แต่คนที่นำมาใช้กัน ใช้ไม่เป็น ไม่รู้หลักวิธีการนำมาใช้ ไม่รู้จุดประสงค์ของการใช้ตำรา
ผลคือ เละตุ้มเป๊ะ หลงในความเป็นนั่น เป็นนี่กันเป็นแถบๆ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2014, 07:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 ต.ค. 2010, 10:42
โพสต์: 249

แนวปฏิบัติ: ไม่เอา ไม่เป็น ไม่ยึด
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่มของท่านพุทธทาส
อายุ: 32
ที่อยู่: สงขลา

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: คุณ Walaiporn

ทำ link เพื่อให้ผู้สนใจไปอ่านพระสูตรที่คุณ Walaiporn อ้างถึงทันที

ไปที่ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 571&Z=4686

:b8:

.....................................................
วงว่างยงอยู่ยั้ง อนันตกาล
ในถิ่นที่ทุกสถาน แหล่งหล้า
ยึดมั่นไป่พบพาน ประจักษ์
ยามปล่อยหยุดไขว่คว้า ถึงได้โดยพลัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2014, 08:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


โกเมศวร์ เขียน:
:b8: คุณ Walaiporn

ทำ link เพื่อให้ผู้สนใจไปอ่านพระสูตรที่คุณ Walaiporn อ้างถึงทันที

ไปที่ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 571&Z=4686

:b8:



อนุโมนา คุณโกเมศวร์ :b8:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2014, 12:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อโศกขอรับ ออกนอกสำนักไปตลาดไปห้างดูนั่นดูนี่ ดูสภาพแวดล้อมข้างนอกบ่อยไหมครับ :b10: :b14:

:b12: :b12:
ไปบ่อยครับ ยิ่งตลาดนี่ไปแทบทุกวัน

ถามเพื่อประโยชน์อันใดหรือครับ หรือจะมาชักใบให้เรือไปเข้ารกเข้าพงอีก


เพราะอโศกเคยเล่นหมากรุกจนเป็นอนุสัยนอนเนื่อง จึงคิดแต่เรืองของเรือตลอด คงถูกเขารุกฆาตกินเรือจนหลอนสิท่า :b12:

ถามดูเห็นหมกมุ่นเกินไป มันไม่เป็นธรรมะ คิกๆๆ

ดูๆแล้วนะ อโศกยังทำยังปฏิบัติ จนถึงขั้นว่าลงตัวกับชีวิตนี้ไม่ได้ยังค้นหาไม่พบ จึงยังสะเปะสะปะเป็นเรือขาดหางเสือนะ ว่าไหม สังเกตตัวเองไหม :b32:

:b12: :b12: :b12:
กรัชกายยังไม่ซึ้งถึงกฏแห่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาหรือครับ

คนเราจะคงสภาพเดิมมีชีวิตเป็นอยู่เหมือนเดิมตลอดไป ไม่มีความเปลี่ยนแปลงเลยเช่นนั้นหรือครับ

อดีตที่เล่นหมากรุกมันผ่านมานมเนแล้ว กรัชกายจะเอามาใช้เป็นข้อมูลวินัจฉัย ตัดสินพฤติกรรมของอโศกะในปัจจุบัน มันจะใช้ได้และยุติธรรมดีหรือครับ

ชีวิตของอโศกะ สรุปได้แล้ว ลงตัวแล้ว ตามบทสวดมนต์ที่ว่า


สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี

พระพุทธ

พระธรรม เป็นสรณะอันเกษมสูงสุดของข้าพเจ้า ไปจนกว่าจะได้เข้าถึงพระนิพพาน

พระสงฆ์

(ทำวงเล็บปีกกาใส่ให้ด้วยทั้ง 3 รัตนะ)

บาลีเดิม

พุทธัง (ธัมมัง สังฆัง) ชีวิตัง สรณังคัจฉามิ ยาวนิพานัง ปรมังสุขขัง

ทางเดินที่สรุปเป็นวิธีการเฉพาะตัวแล้วก็คือ

"สำรวมกายใจมานิ่งรู้ นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ จนดับไปต่อหน้าต่อตาทุกอารมณ์"

ถ้าขยายความออกมาอีกนิดก็ดัง สรุป งานและหน้าที่ของชาวพุทธและหัวใจวิปัสสนาภาวนา ที่เอามาแปะให้กรัชกายอ่านบ่อยๆ แต่กรัชกายยังไม่เห็นคุณค่า และจำไม่ได้สักที ที่จำได้ก็ไม่ถูกต้อง จำได้แต่ตะงอยๆ ไม่นานสมองอาจเป็นง่อย เพราะเคล็ดลับการปฏิบัติธรรมไม่กี่บันทัด ยังไม่มีปัญญาจะจดจำ
:b16: :b16:
กรัชกายละ มีอะไรเป็นหลักกายหลักใจตายตัวแล้วหรือยัง ค้นพบทางของตนเองแล้วหรือไม่ เอามาเล่าสู่กันฟังหน่อย อย่ามัวแต่เหนียมอาย ไม่กล้าเล่าให้เพื่อนฝูงฟัง เผื่อจะเป็นตัวอย่างที่ดีๆแก่พี่น้องในลานธรรมบ้าง
:b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2014, 12:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:
โกเมศวร์ เขียน:
:b8: คุณ Walaiporn

ทำ link เพื่อให้ผู้สนใจไปอ่านพระสูตรที่คุณ Walaiporn อ้างถึงทันที

ไปที่ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 571&Z=4686

:b8:



อนุโมนา คุณโกเมศวร์ :b8:

:b12: :b12: :b12:
ในที่สุดก็ยังตอบปัญหาที่ถามไม่ได้อยู่ดี แถมยังฟุ้งปรุงไปไกลในเรื่องที่ตนเห็นและถนัดอีกมากมาย อ่านดูที่ไปคัดลอกปิฎกมา ก็หาที่ระบุว่า การเจริญการรู้ทันปัจจุบันอารมณ์มันผิดธรรมตรงไหน ก็ไม่มีคำตอบ

วลัยพรกับโกเมศร์กองเชียร์อาจแม่นยำในการค้นอ้างอิงพระไตรปิฎก แต่เลอะเลือนในเรื่องประเด็นที่เป็นปัญหา อย่าเพิ่งปรุงแต่งไปเยอะเลย กลับไปวิเคราะห์ให้ดีๆว่าประเด็นปัญหาในเรื่องนี้คืออะไรกันแน่


s004 s004 s004
s006 s006 s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2014, 15:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อโศกขอรับ ออกนอกสำนักไปตลาดไปห้างดูนั่นดูนี่ ดูสภาพแวดล้อมข้างนอกบ่อยไหมครับ :b10: :b14:

:b12: :b12:
ไปบ่อยครับ ยิ่งตลาดนี่ไปแทบทุกวัน

ถามเพื่อประโยชน์อันใดหรือครับ หรือจะมาชักใบให้เรือไปเข้ารกเข้าพงอีก


เพราะอโศกเคยเล่นหมากรุกจนเป็นอนุสัยนอนเนื่อง จึงคิดแต่เรืองของเรือตลอด คงถูกเขารุกฆาตกินเรือจนหลอนสิท่า :b12:

ถามดูเห็นหมกมุ่นเกินไป มันไม่เป็นธรรมะ คิกๆๆ

ดูๆแล้วนะ อโศกยังทำยังปฏิบัติ จนถึงขั้นว่าลงตัวกับชีวิตนี้ไม่ได้ยังค้นหาไม่พบ จึงยังสะเปะสะปะเป็นเรือขาดหางเสือนะ ว่าไหม สังเกตตัวเองไหม :b32:

:b12: :b12: :b12:
กรัชกายยังไม่ซึ้งถึงกฏแห่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาหรือครับ

คนเราจะคงสภาพเดิมมีชีวิตเป็นอยู่เหมือนเดิมตลอดไป ไม่มีความเปลี่ยนแปลงเลยเช่นนั้นหรือครับ

อดีตที่เล่นหมากรุกมันผ่านมานมเนแล้ว กรัชกายจะเอามาใช้เป็นข้อมูลวินัจฉัย ตัดสินพฤติกรรมของอโศกะในปัจจุบัน มันจะใช้ได้และยุติธรรมดีหรือครับ

ชีวิตของอโศกะ สรุปได้แล้ว ลงตัวแล้ว ตามบทสวดมนต์ที่ว่า


สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี

พระพุทธ

พระธรรม เป็นสรณะอันเกษมสูงสุดของข้าพเจ้า ไปจนกว่าจะได้เข้าถึงพระนิพพาน

พระสงฆ์

(ทำวงเล็บปีกกาใส่ให้ด้วยทั้ง 3 รัตนะ)

บาลีเดิม

พุทธัง (ธัมมัง สังฆัง) ชีวิตัง สรณังคัจฉามิ ยาวนิพานัง ปรมังสุขขัง

ทางเดินที่สรุปเป็นวิธีการเฉพาะตัวแล้วก็คือ


"สำรวมกายใจมานิ่งรู้ นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ จนดับไปต่อหน้าต่อตาทุกอารมณ์"

ถ้าขยายความออกมาอีกนิดก็ดัง สรุป งานและหน้าที่ของชาวพุทธและหัวใจวิปัสสนาภาวนา ที่เอามาแปะให้กรัชกายอ่านบ่อยๆ แต่กรัชกายยังไม่เห็นคุณค่า และจำไม่ได้สักที ที่จำได้ก็ไม่ถูกต้อง จำได้แต่ตะงอยๆ ไม่นานสมองอาจเป็นง่อย เพราะเคล็ดลับการปฏิบัติธรรมไม่กี่บันทัด ยังไม่มีปัญญาจะจดจำ

กรัชกายละ มีอะไรเป็นหลักกายหลักใจตายตัวแล้วหรือยัง ค้นพบทางของตนเองแล้วหรือไม่ เอามาเล่าสู่กันฟังหน่อย อย่ามัวแต่เหนียมอาย ไม่กล้าเล่าให้เพื่อนฝูงฟัง เผื่อจะเป็นตัวอย่างที่ดีๆแก่พี่น้องในลานธรรมบ้าง



ก็นี่ไง
อ้างคำพูด:
สำรวมกายใจมานิ่งรู้ นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ จนดับไปต่อหน้าต่อตาทุกอารมณ์


เครื่องบอกว่า ยังหาบทสรุปลงตัวไม่ได้

อ้างคำพูด:
อดีตที่เล่นหมากรุกมันผ่านมานมเนแล้ว กรัชกายจะเอามาใช้เป็นข้อมูลวินัจฉัย ตัดสินพฤติกรรมของอโศกะในปัจจุบัน มันจะใช้ได้และยุติธรรมดีหรือครับ


ถึงปัจจุบันจะหยุดเล่นแล้ว แต่อดีตเคยเล่นทั้งวันทั้งคืน เมียตามกลับบ้านก็เตะเมีย มันจึงนอนเนื่องอยู่ในขันธสันดาน จึงพูดถึงเรือบ่อยๆ เพราะเคยถูกรุกฆาตกินเรือไงครับ :b1:


เทียบตัวอย่างนี้ ผ่านมานมนานแล้ว ยังไม่หมดเลย


อ้างคำพูด:
คือ เวลาผมนั่งสมาธิ พอภาวนาไปซักพัก เริ่มตัดภาวนาไปแล้วทีนี้ก็จะเกิดอาการ ขนลุกเย็นทั้งตัว แล้วหลังจากนั้นก็จะมีภาพ คน สัตว์ แมลง ที่เราเคยทำร้ายเคยทำให้เค้าตาย หรือเจ็บลอยมาให้เห็น คือ แปลกใจว่า บางเรื่องเป็นเรื่องที่นานมากบางเรื่องเป็นเรื่องสมัยเด็กๆอยู่ด้วยซ้ำ ซึ่งบางทีนึกถึงยังนึกไม่ออกเลย เพราะนานมาก แต่พอมานั่งสมาธิ ก็ลอยมาให้เห็นเฉยเลย


(ใช้ความหมายบาลีนะ)

สันดาน ความสืบต่อแห่งจิต คือกระแสจิตที่เกิดดับต่อเนื่องกันมา, ในภาษาไทยมักใช้ในความหมายว่าอุปนิสัยที่มีมาแต่กำเนิด, อัธยาศัยที่มีติดต่อมา


สันตติ การสืบต่อ คือ การเกิดดับต่อเนื่องกันไปโดยอาการที่เป็นปัจจัยส่งผลแก่กัน ในทางรูปธรรม ที่พอมองเห็นอย่างหยาบ เช่น ขนเก่าหลุดร่วงไปขนใหม่เกิดขึ้นแทน ความสืบต่อแห่งรูปธรรม จัดเป็นอุปาทายรูปอย่างหนึ่ง, ในทางนามธรรม จิตก็มีสันตติ คือเกิดดับเป็นปัจจัยสืบเนื่องต่อกันไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2014, 19:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b34:
เอาแต่เดาสวดเดาสุ่มผิดๆอยู่เรื่อยเลย ผมเล่นหมากรุกตอนเป็นนักศึกษา จะเอาเมียที่ไหนมาให้เตะ รู้จักคิดเหตุคิดผลบ้างสิกรัชกาย หรือกรัชกายเคยทำอย่างที่ว่านี้กับเมียกับลูกมานาน จนความเคยชินและนิสัยนั้นฝังลึกเข้าไปในสันดาน ระวังอย่าให้มันลึกจนลงไปเป็นสัญชาตญาณ จะแก้ไขไม่ได้ จมดิ่ง ดักดาน ดึงไปสู่อบาย ด้วยอุปนิสัย สันดานชอบเตะเมีย
:b12:
ปัญหาก็อีหรอบเดิมอีก เป็นปัญหาของคนติดปีติ นิมิต บอกวิธีแก้ไขไปแล้ว มาถามทำไมอีกเบื่อตอบเบื่อคุยเรื่องแบบนี้
grin
เรื่องสันดานทำระดับของมันตั้งแต่นิสัยให้ดูแล้ว

ส่วนเรื่องสันตติประเด็นสำคัญที่พระบรมศาสดาทรงย้ำก็คือ

"สันตติบังอนิจจัง"

:b11:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.ค. 2014, 22:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1382287104-1367332977-o.gif
1382287104-1367332977-o.gif [ 16.55 KiB | เปิดดู 3683 ครั้ง ]
asoka เขียน:
:b34:
เอาแต่เดาสวดเดาสุ่มผิดๆอยู่เรื่อยเลย ผมเล่นหมากรุกตอนเป็นนักศึกษา จะเอาเมียที่ไหนมาให้เตะ รู้จักคิดเหตุคิดผลบ้างสิกรัชกาย หรือกรัชกายเคยทำอย่างที่ว่านี้กับเมียกับลูกมานาน จนความเคยชินและนิสัยนั้นฝังลึกเข้าไปในสันดาน ระวังอย่าให้มันลึกจนลงไปเป็นสัญชาตญาณ จะแก้ไขไม่ได้ จมดิ่ง ดักดาน ดึงไปสู่อบาย ด้วยอุปนิสัย สันดานชอบเตะเมีย
:b12:
ปัญหาก็อีหรอบเดิมอีก เป็นปัญหาของคนติดปีติ นิมิต บอกวิธีแก้ไขไปแล้ว มาถามทำไมอีกเบื่อตอบเบื่อคุยเรื่องแบบนี้
grin
เรื่องสันดานทำระดับของมันตั้งแต่นิสัยให้ดูแล้ว

ส่วนเรื่องสันตติประเด็นสำคัญที่พระบรมศาสดาทรงย้ำก็คือ

"สันตติบังอนิจจัง"

:b11:


อ้างคำพูด:
ผมเล่นหมากรุกตอนเป็นนักศึกษา


นั่นไงคิดแล้ว ว่าต้องทะเลาะเตะต่อยกับเพื่อน เล่นสู้เขาไม่ได้ ก็ท้าตีท้าต่อย จนไม่มีใครคบด้วย อโศกเพาะนิสัยเสียแต่เป็นหนุ่ม จึงเป็นอนุสัยกิเลสแก้ยากขอรับ โสดาบันก็เอาไม่อยู่ คิกๆๆๆ


อ้างคำพูด:
สันตติบังอนิจจัง


มันบังยังไงอ่ะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ค. 2014, 15:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b34:
เอาแต่เดาสวดเดาสุ่มผิดๆอยู่เรื่อยเลย ผมเล่นหมากรุกตอนเป็นนักศึกษา จะเอาเมียที่ไหนมาให้เตะ รู้จักคิดเหตุคิดผลบ้างสิกรัชกาย หรือกรัชกายเคยทำอย่างที่ว่านี้กับเมียกับลูกมานาน จนความเคยชินและนิสัยนั้นฝังลึกเข้าไปในสันดาน ระวังอย่าให้มันลึกจนลงไปเป็นสัญชาตญาณ จะแก้ไขไม่ได้ จมดิ่ง ดักดาน ดึงไปสู่อบาย ด้วยอุปนิสัย สันดานชอบเตะเมีย
:b12:
ปัญหาก็อีหรอบเดิมอีก เป็นปัญหาของคนติดปีติ นิมิต บอกวิธีแก้ไขไปแล้ว มาถามทำไมอีกเบื่อตอบเบื่อคุยเรื่องแบบนี้
grin
เรื่องสันดานทำระดับของมันตั้งแต่นิสัยให้ดูแล้ว

ส่วนเรื่องสันตติประเด็นสำคัญที่พระบรมศาสดาทรงย้ำก็คือ

"สันตติบังอนิจจัง"

:b11:


อ้างคำพูด:
ผมเล่นหมากรุกตอนเป็นนักศึกษา


นั่นไงคิดแล้ว ว่าต้องทะเลาะเตะต่อยกับเพื่อน เล่นสู้เขาไม่ได้ ก็ท้าตีท้าต่อย จนไม่มีใครคบด้วย อโศกเพาะนิสัยเสียแต่เป็นหนุ่ม จึงเป็นอนุสัยกิเลสแก้ยากขอรับ โสดาบันก็เอาไม่อยู่ คิกๆๆๆ


อ้างคำพูด:
สันตติบังอนิจจัง


มันบังยังไงอ่ะ

:b19: :b19:
กลิ้งจนกลมเกลี้ยงเลยนะกรัชกาย ดี๋ยวแฉลบไปโน่นไปนี่ไม่มีหยุดหย่อน เอาแต่ถามเอาแต่ก้อป ไม่ยอมน้อมนำข้อธรรมที่ได้มาประพฤติปฏิบัติ กลิ้งหาความสะใจไปวันๆ ช่างน่าสงสารเสียนี่กระไร
:b7: :b7:
สันตติ ความสืบต่อมันบังความเกิดดับไว้ เพราะจิตใจและสติปัญญาของปุถุชนมันมืดหนาหาความสงบและละเอียดอ่อนไม่ได้ จึงไม่เห็นความเกิดดับที่มีอยู่ตลอดเวลาในทุกกิริยาอาการและความรู้สึก

แรงส่งของวิบากกรรม มันมีอำนาจล้ำลึกเกิดความสืบต่ออย่างคักคึก ยากจะตัดให้ขาดตอน จึงหลงสำคัญผิดไปว่า ชีวานี้ไม่สั่นคลอน มั่นคงดังสิงขร ผูกมัดเป็นอัตตา

:b11: :b11:
ตีความเอาเองนะกรัชกาย
:b32: :b32: :b32:
อ้อ!.....อันที่เดาสุ่ม มั่ววิจารณ์ชีวิตหนุมของอโศกะนั้น มันไม่เข้าเค้าความจริงสักเรื่อง อย่าไปพยายามเดาเด้าสุ่มอยู่เลย เป็นมิจฉาวาจา สร้างวจีกรรมอันไม่เข้าท่า ทำลายตัวเองเปล่าๆ เลิกเดาได้แล้ว
:b34: :b34: :b34:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ค. 2014, 22:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b16:
เรื่องที่มาปรากฎในกระทู้นี้พิจารณาดูดีๆแล้วก็คล้ายนิวรณ์ธรรม
เพราะกั้นขวางไม่ให้เป็นไปตามสะคริ้ปที่ตั้งไว้ ต้องยืดหยุ่นยอมเสียเวลาไป จนจางคลายกำลังเหตุและปัจจัย
:b27:
:b4:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 56, 57, 58, 59, 60, 61, 62  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร