วันเวลาปัจจุบัน 20 ก.ค. 2025, 06:22  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 59 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2014, 05:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

กรัชกายก็รู้หลักและทำเป็นอยู่แล้ว จะต้องมาสนทนามาถามอะไรกันต่อไปอีก รู้หลักดีแล้วก็ปฏิบัติให้เยอะๆซิจะได้ไม่ต้องเที่ยวไปถามปัญหาใครต่อใครอีก


วิปัสสนาไม่ได้เอาลมหายใจเป็นหลัก แต่ต้องเอาปัจจุบันอารมณ์ที่เปลี่ยนไปมาใน 4 ฐานเป็นหลัก คือ กาย เวทนา จิต ธรรม

แต่อานาปานสติกรรมฐานนั่นแหละจึงจะเอาลมหายใจเป็นหลัก


หนอไม่ใช่หลักแต่เป็นเครื่องช่วยให้สติมีที่ระลึก เป็นกุศโลบายที่ดีมากของบุรพาจารย์ที่ท่านค้นพบแล้วนำมาประยุกต์ใช้



อ้างคำพูด:
วิปัสสนาไม่ได้เอาลมหายใจเป็นหลัก แต่ต้องเอาปัจจุบันอารมณ์ที่เปลี่ยนไปมาใน 4 ฐานเป็นหลัก คือ กาย เวทนา จิต ธรรม


ความเห็นของอโศกที่ขีดเส้นใต้ อารมณ์ลอยเคว้งคว้างไม่มีหลักครับ แบบนั้นนะ

บอกแล้วว่า วิปัสสนา คือ ตัวปัญญา เบื้องต้นท่านเรียกว่า สัมปชัญญะ ทำงานร่วมกับสติ สมาธิ ต้องมีฐานให้เขาทำงานร่วมกัน (อาตาปี สัมปชาโน สติมา)

ลมหายใจเข้าออก ท้องพอง-ยุบ เท่ากับกายานุปัสสนา รู้ลมหายใจเข้าออกทุกๆขณะ รู้อารมรณ์ที่เกิดทางกาย เท่ากับกายานุปัสสนา เดินจงกรม (เป็นนะ) ทำงานประจำวันอย่างมีสติอยู่กับสิ่งที่ทำ ก็เป็นกายานุปัสสนา เวทนา จิต ธรรม ไม่ใช่เกิดพร้อมกัน เมื่ออารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งแวบกระทบเรารู้สึก กำหนดตามนั้นปั๊บ อันนั้นเรียกว่า เป็นปัจจุบันอารมณ์,ปัจจุบันธรรม,ปัจจุบันขณะ


อ้างคำพูด:
กรัชกายก็รู้หลักและทำเป็นอยู่แล้ว จะต้องมาสนทนามาถามอะไรกันต่อไปอีก รู้หลักดีแล้วก็ปฏิบัติให้เยอะๆซิจะได้ไม่ต้องเที่ยวไปถามปัญหาใครต่อใครอีก


กรัชกายปฏิบัติ ไม่ได้บอกกับใคร ทำคนเดียวเงียบๆ คิกๆ แต่ที่สนทนากัน เพราะอยากรู้ว่าอโศกทำยังไง ทำยังไงก็แนะนำผู้อยู่ในสำนักเดียวกันอย่างนั้น ผิดถูกก็กอดคอไปด้วยกัน


อ้างคำพูด:
หนอไม่ใช่หลักแต่เป็นเครื่องช่วยให้สติมีที่ระลึก เป็นกุศโลบายที่ดีมากของบุรพาจารย์ที่ท่านค้นพบแล้วนำมาประยุกต์ใช้


ก่อนหน้าอโศกบอกให้ทิ้งหนอ ทิ้งหลักไปแล้ว จะเอาหลักที่ไหนล่ะทีนี้ .... หนอไม่ใช่หลัก แต่เหมือนเครื่องดึงให้การตามพอง-ยุบได้สุด ถ้าเราว่า พอง-ยุบ แต่ลมหายใจมันยาว ยังไม่สุดพองสุดยุบ จึงใช้คำว่าหนอถ่วง พอว่า พอง...หนอ ยุบ ... หนอ ก็สุดพอง สุดยุบ แต่อย่าติดหนอนะ บอกแล้วอย่าติด เพราะลมหายใจมีสั้นมียาว มีเร็วมีช้า เมื่อลมหายใจเร็วถี่ (พองยุบเร็วๆ) ตอนนี้วางหนอก่อน ว่า พอง-ยุบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ หรือมันเร็วถี่ ก็ว่า "รู้" "รู้หนอ" พลิกแพลงได้

อโศกเปลี่ยนหนอยังได้ ไม่เอาหนอ (หนอ แปลมาคำบาลีจำพวกนิบาต "นุ" หนอ "โข" แล "หเว" เว้ย ใช้คำไหนแทนหนอไปเลยนะ พูดขำๆนะอย่ายึดติด เอาเว้ยยังได้ พองเว้ย ยุบเว้ย จะเอาจริงๆก็ พองแล ยุบแล เห็นมะไม่มีปัญหา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2014, 10:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

กรัชกายก็รู้หลักและทำเป็นอยู่แล้ว จะต้องมาสนทนามาถามอะไรกันต่อไปอีก รู้หลักดีแล้วก็ปฏิบัติให้เยอะๆซิจะได้ไม่ต้องเที่ยวไปถามปัญหาใครต่อใครอีก


วิปัสสนาไม่ได้เอาลมหายใจเป็นหลัก แต่ต้องเอาปัจจุบันอารมณ์ที่เปลี่ยนไปมาใน 4 ฐานเป็นหลัก คือ กาย เวทนา จิต ธรรม

แต่อานาปานสติกรรมฐานนั่นแหละจึงจะเอาลมหายใจเป็นหลัก


หนอไม่ใช่หลักแต่เป็นเครื่องช่วยให้สติมีที่ระลึก เป็นกุศโลบายที่ดีมากของบุรพาจารย์ที่ท่านค้นพบแล้วนำมาประยุกต์ใช้



อ้างคำพูด:
วิปัสสนาไม่ได้เอาลมหายใจเป็นหลัก แต่ต้องเอาปัจจุบันอารมณ์ที่เปลี่ยนไปมาใน 4 ฐานเป็นหลัก คือ กาย เวทนา จิต ธรรม


ความเห็นของอโศกที่ขีดเส้นใต้ อารมณ์ลอยเคว้งคว้างไม่มีหลักครับ แบบนั้นนะ

บอกแล้วว่า วิปัสสนา คือ ตัวปัญญา เบื้องต้นท่านเรียกว่า สัมปชัญญะ ทำงานร่วมกับสติ สมาธิ ต้องมีฐานให้เขาทำงานร่วมกัน (อาตาปี สัมปชาโน สติมา)

ลมหายใจเข้าออก ท้องพอง-ยุบ เท่ากับกายานุปัสสนา รู้ลมหายใจเข้าออกทุกๆขณะ รู้อารมรณ์ที่เกิดทางกาย เท่ากับกายานุปัสสนา เดินจงกรม (เป็นนะ) ทำงานประจำวันอย่างมีสติอยู่กับสิ่งที่ทำ ก็เป็นกายานุปัสสนา เวทนา จิต ธรรม ไม่ใช่เกิดพร้อมกัน เมื่ออารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งแวบกระทบเรารู้สึก กำหนดตามนั้นปั๊บ อันนั้นเรียกว่า เป็นปัจจุบันอารมณ์,ปัจจุบันธรรม,ปัจจุบันขณะ


อ้างคำพูด:
กรัชกายก็รู้หลักและทำเป็นอยู่แล้ว จะต้องมาสนทนามาถามอะไรกันต่อไปอีก รู้หลักดีแล้วก็ปฏิบัติให้เยอะๆซิจะได้ไม่ต้องเที่ยวไปถามปัญหาใครต่อใครอีก

:b12:
กรัชกายปฏิบัติ ไม่ได้บอกกับใคร ทำคนเดียวเงียบๆ คิกๆ แต่ที่สนทนากัน เพราะอยากรู้ว่าอโศกทำยังไง ทำยังไงก็แนะนำผู้อยู่ในสำนักเดียวกันอย่างนั้น ผิดถูกก็กอดคอไปด้วยกัน


อ้างคำพูด:
หนอไม่ใช่หลักแต่เป็นเครื่องช่วยให้สติมีที่ระลึก เป็นกุศโลบายที่ดีมากของบุรพาจารย์ที่ท่านค้นพบแล้วนำมาประยุกต์ใช้


ก่อนหน้าอโศกบอกให้ทิ้งหนอ ทิ้งหลักไปแล้ว จะเอาหลักที่ไหนล่ะทีนี้ .... หนอไม่ใช่หลัก แต่เหมือนเครื่องดึงให้การตามพอง-ยุบได้สุด ถ้าเราว่า พอง-ยุบ แต่ลมหายใจมันยาว ยังไม่สุดพองสุดยุบ จึงใช้คำว่าหนอถ่วง พอว่า พอง...หนอ ยุบ ... หนอ ก็สุดพอง สุดยุบ แต่อย่าติดหนอนะ บอกแล้วอย่าติด เพราะลมหายใจมีสั้นมียาว มีเร็วมีช้า เมื่อลมหายใจเร็วถี่ (พองยุบเร็วๆ) ตอนนี้วางหนอก่อน ว่า พอง-ยุบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ หรือมันเร็วถี่ ก็ว่า "รู้" "รู้หนอ" พลิกแพลงได้

อโศกเปลี่ยนหนอยังได้ ไม่เอาหนอ (หนอ แปลมาคำบาลีจำพวกนิบาต "นุ" หนอ "โข" แล "หเว" เว้ย ใช้คำไหนแทนหนอไปเลยนะ พูดขำๆนะอย่ายึดติด เอาเว้ยยังได้ พองเว้ย ยุบเว้ย จะเอาจริงๆก็ พองแล ยุบแล เห็นมะไม่มีปัญหา

:b12:
โง่แล้วยังอวดฉลาดอีกแล้วไม่รู้อะไร

ผู้เจริญหนอ เมื่อถึงขั้นสูงจะสุดแล้วท่านให้วางหนอ คือวางบัญญัติหรือคำบริกรรม แล้วสติ ปัญญา จึงจะสามารรู้ทันปัจจุบันได้จริงๆและเห็นปรมัตถ์ ดังอโศกะได้ละหนอมาเจริญ การนิ่งรู้ นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์อันเป็นหลักใหม่ที่ต่อยอดขึ้นไปจากหนอหรือ อนัตตา หรือพุทโธ
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2014, 10:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

กรัชกายก็รู้หลักและทำเป็นอยู่แล้ว จะต้องมาสนทนามาถามอะไรกันต่อไปอีก รู้หลักดีแล้วก็ปฏิบัติให้เยอะๆซิจะได้ไม่ต้องเที่ยวไปถามปัญหาใครต่อใครอีก


วิปัสสนาไม่ได้เอาลมหายใจเป็นหลัก แต่ต้องเอาปัจจุบันอารมณ์ที่เปลี่ยนไปมาใน 4 ฐานเป็นหลัก คือ กาย เวทนา จิต ธรรม

แต่อานาปานสติกรรมฐานนั่นแหละจึงจะเอาลมหายใจเป็นหลัก


หนอไม่ใช่หลักแต่เป็นเครื่องช่วยให้สติมีที่ระลึก เป็นกุศโลบายที่ดีมากของบุรพาจารย์ที่ท่านค้นพบแล้วนำมาประยุกต์ใช้



อ้างคำพูด:
วิปัสสนาไม่ได้เอาลมหายใจเป็นหลัก แต่ต้องเอาปัจจุบันอารมณ์ที่เปลี่ยนไปมาใน 4 ฐานเป็นหลัก คือ กาย เวทนา จิต ธรรม


ความเห็นของอโศกที่ขีดเส้นใต้ อารมณ์ลอยเคว้งคว้างไม่มีหลักครับ แบบนั้นนะ

บอกแล้วว่า วิปัสสนา คือ ตัวปัญญา เบื้องต้นท่านเรียกว่า สัมปชัญญะ ทำงานร่วมกับสติ สมาธิ ต้องมีฐานให้เขาทำงานร่วมกัน (อาตาปี สัมปชาโน สติมา)

ลมหายใจเข้าออก ท้องพอง-ยุบ เท่ากับกายานุปัสสนา รู้ลมหายใจเข้าออกทุกๆขณะ รู้อารมรณ์ที่เกิดทางกาย เท่ากับกายานุปัสสนา เดินจงกรม (เป็นนะ) ทำงานประจำวันอย่างมีสติอยู่กับสิ่งที่ทำ ก็เป็นกายานุปัสสนา เวทนา จิต ธรรม ไม่ใช่เกิดพร้อมกัน เมื่ออารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งแวบกระทบเรารู้สึก กำหนดตามนั้นปั๊บ อันนั้นเรียกว่า เป็นปัจจุบันอารมณ์,ปัจจุบันธรรม,ปัจจุบันขณะ


อ้างคำพูด:
กรัชกายก็รู้หลักและทำเป็นอยู่แล้ว จะต้องมาสนทนามาถามอะไรกันต่อไปอีก รู้หลักดีแล้วก็ปฏิบัติให้เยอะๆซิจะได้ไม่ต้องเที่ยวไปถามปัญหาใครต่อใครอีก

:b12:
กรัชกายปฏิบัติ ไม่ได้บอกกับใคร ทำคนเดียวเงียบๆ คิกๆ แต่ที่สนทนากัน เพราะอยากรู้ว่าอโศกทำยังไง ทำยังไงก็แนะนำผู้อยู่ในสำนักเดียวกันอย่างนั้น ผิดถูกก็กอดคอไปด้วยกัน


อ้างคำพูด:
หนอไม่ใช่หลักแต่เป็นเครื่องช่วยให้สติมีที่ระลึก เป็นกุศโลบายที่ดีมากของบุรพาจารย์ที่ท่านค้นพบแล้วนำมาประยุกต์ใช้


ก่อนหน้าอโศกบอกให้ทิ้งหนอ ทิ้งหลักไปแล้ว จะเอาหลักที่ไหนล่ะทีนี้ .... หนอไม่ใช่หลัก แต่เหมือนเครื่องดึงให้การตามพอง-ยุบได้สุด ถ้าเราว่า พอง-ยุบ แต่ลมหายใจมันยาว ยังไม่สุดพองสุดยุบ จึงใช้คำว่าหนอถ่วง พอว่า พอง...หนอ ยุบ ... หนอ ก็สุดพอง สุดยุบ แต่อย่าติดหนอนะ บอกแล้วอย่าติด เพราะลมหายใจมีสั้นมียาว มีเร็วมีช้า เมื่อลมหายใจเร็วถี่ (พองยุบเร็วๆ) ตอนนี้วางหนอก่อน ว่า พอง-ยุบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ หรือมันเร็วถี่ ก็ว่า "รู้" "รู้หนอ" พลิกแพลงได้

อโศกเปลี่ยนหนอยังได้ ไม่เอาหนอ (หนอ แปลมาคำบาลีจำพวกนิบาต "นุ" หนอ "โข" แล "หเว" เว้ย ใช้คำไหนแทนหนอไปเลยนะ พูดขำๆนะอย่ายึดติด เอาเว้ยยังได้ พองเว้ย ยุบเว้ย จะเอาจริงๆก็ พองแล ยุบแล เห็นมะไม่มีปัญหา



โง่แล้วยังอวดฉลาดอีกแล้วไม่รู้อะไร

ผู้เจริญหนอ เมื่อถึงขั้นสูงจะสุดแล้วท่านให้วางหนอ คือวางบัญญัติหรือคำบริกรรม แล้วสติ ปัญญา จึงจะสามารรู้ทันปัจจุบันได้จริงๆและเห็นปรมัตถ์ ดังอโศกะได้ละหนอมาเจริญ การนิ่งรู้ นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์อันเป็นหลักใหม่ที่ต่อยอดขึ้นไปจากหนอหรือ อนัตตา หรือพุทโธ



อ้างคำพูด:
โง่แล้วยังอวดฉลาดอีกแล้วไม่รู้อะไร


ฉลาดแล้วว่าคนอื่นโง่อีก ไม่มีมารยาท ไม่มีใครฉลาดตั้งแต่อยู่ท้องหรอก ชีวิตคนต้องพัมฯาร่ำไป ไม่รู้เรืองสะเลยอโศกนี่

อ้างคำพูด:
ผู้เจริญหนอ เมื่อถึงขั้นสูงจะสุดแล้วท่านให้วางหนอ


อโศกนี่ ขาดประสบการณ์ภาคปฏิบัติจินๆ ปาดโท่ ไม่ต้องไปตั้งใจวางมันหรอก หนอ แหน่ พุทธง พุทโธ ธัมโม สังโฆ อะไรนั่นน่า ปฏิบัติถึงระดับหนึ่งแล้ว มันหายเกลี้ยง ตัวตนหายหมด บางคนตัวหาย เหลือแต่ความคิดห้อยต่องแต่งๆๆ บางคนลมใจหาย คำบริกรรมหาย ไม่เคยเห็นหรอ ปาดโท่ อโโศกนี่

อะไรต่ออะไรไม่คงที่ ห้ามไม่ให้มันหาย มันก็หายไปเอง นั่นแหละอนัตตา คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2014, 16:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


eragon_joe เขียน:
กรัชกาย เขียน:

นิ่งรู้นั่นสังเกตนี่บ้าง

จิตรู้จิตนั่นๆนี่ๆ บ้าง

แต่พอจิตมันเจอจิต (ตัวเองเจอตัวเอง) ก็กลัวตัวเองวิ่งจนป่าราบ วิ่งจนป่าราบ :b32:

อโศกพอเข้าใจไหมครับ ตัวเองกลัวตัวเอง (จิตกลัวจิต)


:b1:

ท่านอโศกะเคยเห็นจิตเจอจิต แล้ววิ่งจนป่าราบมั๊ย

...

:b1: ...จริง ๆ นะ ... :b1:


จิตกลัวจิต (กลัวตัวเอง) ให้ดูเป็นตัวอย่าง

อ้างคำพูด:
คือว่าเรานั่งสมาธิแล้วเริมเข้าสู่ความสงบ (ประมาณว่าโลกนี้ว่าง ๆ ค่ะ) แต่ไม่รู้ทำไมเกิดนึกกลัวขึ้นมา อยากออกจากสมาธิ มีคนแนะนำว่าต้องค่อย ๆ ถอยออกจากสมาธิ แต่เราทำไม่ได้ เพราะมันไม่ยอมออกค่ะ ไม่รู้ทำไง เลยลืมตาเสียเลย เท่านั้นเอง ใจก็เกิดสั่นขึ้นมาทันที รู้สึกวิงเวียนบอกไม่ถูก วันนั้นทั้งวันใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กว่าจะปกติก็ช่วงเย็นแล้ว

เราเลยอยากถามว่า ทำอย่างไรไม่ให้กลัวเวลาเจอสถานเการณ์แบบนี้ และจะออกจากสมาธิด้วยวิธีไหนดีคะ ผู้รู้ช่วยตอบทีค่ะ


อันว่า ชีวิตประกอบด้วยธรรมชาติสองส่วน เรียกกันว่า ร่างกายส่วนหนึ่ง (รูปธรรม) กับ จิต (นามธรรม) อีกส่วนหนึ่ง ประกบกันเป็นหนึ่งชีวิต

"จิตรู้จิต" อโศกลักจำเขามาพูดเจี้อยแจ้ว โลกสวย แหมๆ "จิตรู้จิต" พอ "จิตกลัวจิต" เผ่นแทบไม่ทัน คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2014, 20:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
eragon_joe เขียน:
กรัชกาย เขียน:

นิ่งรู้นั่นสังเกตนี่บ้าง

จิตรู้จิตนั่นๆนี่ๆ บ้าง

แต่พอจิตมันเจอจิต (ตัวเองเจอตัวเอง) ก็กลัวตัวเองวิ่งจนป่าราบ วิ่งจนป่าราบ :b32:

อโศกพอเข้าใจไหมครับ ตัวเองกลัวตัวเอง (จิตกลัวจิต)


:b1:

ท่านอโศกะเคยเห็นจิตเจอจิต แล้ววิ่งจนป่าราบมั๊ย

...

:b1: ...จริง ๆ นะ ... :b1:


จิตกลัวจิต (กลัวตัวเอง) ให้ดูเป็นตัวอย่าง

อ้างคำพูด:
คือว่าเรานั่งสมาธิแล้วเริมเข้าสู่ความสงบ (ประมาณว่าโลกนี้ว่าง ๆ ค่ะ) แต่ไม่รู้ทำไมเกิดนึกกลัวขึ้นมา อยากออกจากสมาธิ มีคนแนะนำว่าต้องค่อย ๆ ถอยออกจากสมาธิ แต่เราทำไม่ได้ เพราะมันไม่ยอมออกค่ะ ไม่รู้ทำไง เลยลืมตาเสียเลย เท่านั้นเอง ใจก็เกิดสั่นขึ้นมาทันที รู้สึกวิงเวียนบอกไม่ถูก วันนั้นทั้งวันใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กว่าจะปกติก็ช่วงเย็นแล้ว

เราเลยอยากถามว่า ทำอย่างไรไม่ให้กลัวเวลาเจอสถานเการณ์แบบนี้ และจะออกจากสมาธิด้วยวิธีไหนดีคะ ผู้รู้ช่วยตอบทีค่ะ


อันว่า ชีวิตประกอบด้วยธรรมชาติสองส่วน เรียกกันว่า ร่างกายส่วนหนึ่ง (รูปธรรม) กับ จิต (นามธรรม) อีกส่วนหนึ่ง ประกบกันเป็นหนึ่งชีวิต

"จิตรู้จิต" อโศกลักจำเขามาพูดเจี้อยแจ้ว โลกสวย แหมๆ "จิตรู้จิต" พอ "จิตกลัวจิต" เผ่นแทบไม่ทัน คิกๆๆ

:b13: :b13: :b13:
กรัชกายแหกห้องกรรมฐานมาสิงสถิตย์อยู่ตามลานต่างๆ เพราะความกลัว หรือ กลัวหนอ ๆ ๆ นี่เอง

เพราะไม่เข้าใจ ไม่ได้ฝึกหัดอย่างจริงจังพอเจอความกลัวก็แก้ไขไม่เป็น ลูกศิษย์มาถามก็ช่วยเขาไม่ได้


การกระทบผัสสะ 1 ครั้งนี่เขากระทบกระเทือนไปทั้ง 4 ฐานเสมอๆ กรัชกายไม่เคยสังเกตให้ดีนี่เอง
จะเปลี่ยนอารมณ์ไปเกิดที่ฐานใด ก็เพียงนิ่งรู้นิ่งสังเกตจนปัจจุบันออารมณ์นั้นดับไปต่อหน้าต่อตา เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว นี่แหละหลักง่ายๆในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา เมื่ออารมณ์ต่างๆอันมาเกิดเป็นนิวรณ์ให้จิต สงบเงียบลงหมดแล้ว ความเห็นธรรมตามความเป็นจริงเขาจะเกิดขึ้นมาเอง ญาณวิปัสสนาภาวนาทั้ง 16 เขาก็จะเกิดขึ้นเป็นเหตุปัจจัยหนุนกันขึ้นไปเอง ตามระดับความหยาบละเอียดของจิต จนเข้าถึงโคตรภูญาณ มรรคญาน ผลญาณ ในที่สุด
:b11: :b11:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2014, 20:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

กรัชกายแหกห้องกรรมฐานมาสิงสถิตย์อยู่ตามลานต่างๆ เพราะความกลัว หรือ กลัวหนอ ๆ ๆ นี่เอง

เพราะไม่เข้าใจ ไม่ได้ฝึกหัดอย่างจริงจัง พอเจอความกลัวก็แก้ไขไม่เป็น ลูกศิษย์มาถามก็ช่วยเขาไม่ได้

การกระทบผัสสะ 1 ครั้งนี่เขากระทบกระเทือนไปทั้ง 4 ฐานเสมอๆ กรัชกายไม่เคยสังเกตให้ดีนี่เอง
จะเปลี่ยนอารมณ์ไปเกิดที่ฐานใด ก็เพียงนิ่งรู้นิ่งสังเกตจนปัจจุบันออารมณ์นั้นดับไปต่อหน้าต่อตา เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว นี่แหละหลักง่ายๆในการปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา เมื่ออารมณ์ต่างๆอันมาเกิดเป็นนิวรณ์ให้จิต สงบเงียบลงหมดแล้ว ความเห็นธรรมตามความเป็นจริงเขาจะเกิดขึ้นมาเอง ญาณวิปัสสนาภาวนาทั้ง 16 เขาก็จะเกิดขึ้นเป็นเหตุปัจจัยหนุนกันขึ้นไปเอง ตามระดับความหยาบละเอียดของจิต จนเข้าถึงโคตรภูญาณ มรรคญาน ผลญาณ ในที่สุด


อโศกนี่ จ้องแต่จะเอาแต่ยานนั่น ยานนี่แหละน๊อ คิกๆๆ :b32:

พูดเป็นต่อยหอย ก๊อกๆๆๆ ไปเรื่อย เพราะตนไม่ตกอยู่สภาวะนั้น ก็หลอยไปได้ ถ้าตัวเองตกอยู่ในอำนาจจิต (ความคิด) ก็ไม่ต่างจากเขาหรอก อ้าวจริงๆ ยกตัวอย่าง ก็เช่น อโศก นั่งอยู่หน้าบ้านดูดาวนับเดือนคิดเพลินไป แต่หารู้ไม่ว่า ตัวเองคิดเพลินไปตามอารมณ์ นี่อโศกหลงอารมณ์ หลงความคิดตัวเองแล้ว ฉันใดก็ฉันนั้น ผู้ปฏิบัตินั่น เขาก็หลงความคิดตนเอง จึงว่าจิตกลัวจิต (พอเข้าใจไหม)



วิธีปฏิบัติต่อมันก็คือ กำหนดรู้ตามที่มันเป็น (พอเข้าใจไหม พูดมานับหมื่นครั้งแล้ว) คือ รู้สึกกลัว สำเหนียกว่า "กลัวหนอๆๆๆ" ก็ใช้จิตกำหนดจิต คือเอาจิตกำหนดรู้ตัวมันเองนั่นแหละ (พอเข้าใจไหมครับ) :b1:


อ้างคำพูด:
ลูกศิษย์มาถามก็ช่วยเขาไม่ได้


คิก ๆๆ มโนไปเรื่อย ตัวอย่างนี่นั่น กรัชกายเห็นจากบอร์ดต่างๆจึงเก็บรวบรวมไว้เยอะแยะเลย ไม่มีของลูกศิษย์กรัชกายสักคน :b32:

ให้อโศกดูอีกคน เริ่มๆจะกลัวตัวเองแล้ว (จิตกลัวจิต) :b1: ดู

อ้างคำพูด:
ก็พยายามรู้ไปเรื่อยๆก็ผ่อนลงจน ลมละเอียดขึ้นมากและเหมือนจะไม่มี แสงที่เป็นอยู่ก็สว่างขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับเหมือนลมหมด ทีนี้สงสัยค่ะ *ถ้าลมหมดจะให้กำหนดอะไรต่อคะ ตอนที่รู้สึกขึ้นมา ก็มองสภาวะนั้นไป
แต่ใจแอบกังวลนิดๆค่ะ กลัวด้วยเพราะว่าสังเกตุว่าไม่มีลมเข้า และหวนคิดถึงว่าเราต้องกำหนดลม แต่ก็พยายามปล่อยเอาแต่สภาวะนั้น พอดีมีคนโผล่เข้ามาในห้องค่ะ ไม่ได้นั่งมานานคุมสติไม่ได้ ก็เลยลืมตา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2014, 05:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

กรัชกายแหกห้องกรรมฐานมาสิงสถิตย์อยู่ตามลานต่างๆ เพราะความกลัว หรือ กลัวหนอ ๆ ๆ นี่เอง

เพราะไม่เข้าใจ ไม่ได้ฝึกหัดอย่างจริงจัง พอเจอความกลัวก็แก้ไขไม่เป็น ลูกศิษย์มาถามก็ช่วยเขาไม่ได้


ที่ลาน (รักลานเท) นี้แห่งเดียว และมีคนเดียวที่ได้สนทนาเรื่องการปฏิบัติธรรม หรือปฏิบัติกัมมัฏฐานกับกรัชกายโดยตรง ลิงค์นี้ viewtopic.php?f=2&t=24320


อีกคนหนึ่งที่ได้สนทนากัน (แต่ข้อมูลที่คุยกันหายหมดหลังเค้าปรับปรุงบอร์ด) http://group.wunjun.com/whatisnippana/t ... 5904-21271


มีสองคนเท่านั้นที่แนะนำกันโดยตรง :b1: อโศกขอรับ การปฏิบัติทางจิตโดยตรงไม่ใช่เรื่องง่ายๆครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2014, 12:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

กรัชกายแหกห้องกรรมฐานมาสิงสถิตย์อยู่ตามลานต่างๆ เพราะความกลัว หรือ กลัวหนอ ๆ ๆ นี่เอง

เพราะไม่เข้าใจ ไม่ได้ฝึกหัดอย่างจริงจัง พอเจอความกลัวก็แก้ไขไม่เป็น ลูกศิษย์มาถามก็ช่วยเขาไม่ได้


ที่ลาน (รักลานเท) นี้แห่งเดียว และมีคนเดียวที่ได้สนทนาเรื่องการปฏิบัติธรรม หรือปฏิบัติกัมมัฏฐานกับกรัชกายโดยตรง ลิงค์นี้ viewtopic.php?f=2&t=24320


อีกคนหนึ่งที่ได้สนทนากัน (แต่ข้อมูลที่คุยกันหายหมดหลังเค้าปรับปรุงบอร์ด) http://group.wunjun.com/whatisnippana/t ... 5904-21271


มีสองคนเท่านั้นที่แนะนำกันโดยตรง :b1: อโศกขอรับ การปฏิบัติทางจิตโดยตรงไม่ใช่เรื่องง่ายๆครับ

:b12: :b12:
เลยไม่กล้าตอบแล้วโยนเผือกร้อนให้ผู้อื่น
:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2014, 17:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

กรัชกายแหกห้องกรรมฐานมาสิงสถิตย์อยู่ตามลานต่างๆ เพราะความกลัว หรือ กลัวหนอ ๆ ๆ นี่เอง

เพราะไม่เข้าใจ ไม่ได้ฝึกหัดอย่างจริงจัง พอเจอความกลัวก็แก้ไขไม่เป็น ลูกศิษย์มาถามก็ช่วยเขาไม่ได้


ที่ลาน (รักลานเท) นี้แห่งเดียว และมีคนเดียวที่ได้สนทนาเรื่องการปฏิบัติธรรม หรือปฏิบัติกัมมัฏฐานกับกรัชกายโดยตรง ลิงค์นี้ viewtopic.php?f=2&t=24320


อีกคนหนึ่งที่ได้สนทนากัน (แต่ข้อมูลที่คุยกันหายหมดหลังเค้าปรับปรุงบอร์ด) http://group.wunjun.com/whatisnippana/t ... 5904-21271


มีสองคนเท่านั้นที่แนะนำกันโดยตรง :b1: อโศกขอรับ การปฏิบัติทางจิตโดยตรงไม่ใช่เรื่องง่ายๆครับ


เลยไม่กล้าตอบแล้วโยนเผือกร้อนให้ผู้อื่น[/size]



ส่วนมากเขาถามที่บอร์ดซึ่งเรามิได้เป็นสมาชิก แต่เห็นๆมาแล้วเก็บรวบรวมไว้ที่สองลิงค์ข้างล่าง V


ถึงแม้จะอยู่ที่ลานนี่ ซึ่งเราเป็นสมาชิกอยู่ ก็ไม่ใช่จะแนะนำใครง่ายๆ ต้องสอบสวนทวนถามจนแน่แก่ใจก่อนนั่นแหละ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2014, 21:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

กรัชกายแหกห้องกรรมฐานมาสิงสถิตย์อยู่ตามลานต่างๆ เพราะความกลัว หรือ กลัวหนอ ๆ ๆ นี่เอง

เพราะไม่เข้าใจ ไม่ได้ฝึกหัดอย่างจริงจัง พอเจอความกลัวก็แก้ไขไม่เป็น ลูกศิษย์มาถามก็ช่วยเขาไม่ได้


ที่ลาน (รักลานเท) นี้แห่งเดียว และมีคนเดียวที่ได้สนทนาเรื่องการปฏิบัติธรรม หรือปฏิบัติกัมมัฏฐานกับกรัชกายโดยตรง ลิงค์นี้ viewtopic.php?f=2&t=24320


อีกคนหนึ่งที่ได้สนทนากัน (แต่ข้อมูลที่คุยกันหายหมดหลังเค้าปรับปรุงบอร์ด) http://group.wunjun.com/whatisnippana/t ... 5904-21271


มีสองคนเท่านั้นที่แนะนำกันโดยตรง :b1: อโศกขอรับ การปฏิบัติทางจิตโดยตรงไม่ใช่เรื่องง่ายๆครับ


เลยไม่กล้าตอบแล้วโยนเผือกร้อนให้ผู้อื่น[/size]

smiley
คงอีกไม่นานเกินไปที่จะได้เห็นกรัชกายถามปัญหาการปฏิบัติธรรมของตนเองนะครับ
s004 s004


ส่วนมากเขาถามที่บอร์ดซึ่งเรามิได้เป็นสมาชิก แต่เห็นๆมาแล้วเก็บรวบรวมไว้ที่สองลิงค์ข้างล่าง V


ถึงแม้จะอยู่ที่ลานนี่ ซึ่งเราเป็นสมาชิกอยู่ ก็ไม่ใช่จะแนะนำใครง่ายๆ ต้องสอบสวนทวนถามจนแน่แก่ใจก่อนนั่นแหละ :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ก.ค. 2014, 17:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"จิตรู้จิต" อโศกจำเขามาพูด แต่กรัชกายพูดเอง "จิตกลัวจิต" ไม่ได้จำใครมา เพราะเห็นๆอยู่

อ้างคำพูด:
วันนี้ทำสมาธิ หลับตากำหนดลมหายใจ อารมณ์ภายนอก (คิดถึงเรื่องคนอื่น) ไม่ก่อกวน
แต่สักพักมีปัญหาอารมณ์ภายใน รู้สึกมีสติไม่ทั่วพร้อม คือเหมือนจะดูลมได้เรื่อยๆ แต่ความรู้ตัวขาดๆหายๆ
คิดว่าง่วงนอน เคลิ้มๆจะหลับ เกือบจะท้อเหมือนกัน ทั้งเคลิ้มๆก็พยายามรู้อยู่ที่ลม ต่อจนสักพัก
รู้สึกตื่น สว่างโพลงอยู่ภายใน มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม เข้าใจคำว่านิ่มนวลผ่องใส คราวนี้เอง
ก็กำหนดรู้ลมไปเรื่อยๆ แต่สักพักเริ่มมีอารมณ์กลัวคอยแวบมาอยู่เรื่อยๆเหมือนกัน
เหมือนมีใครมาโผล่อยู่ใกล้ๆทางนู้นนี้ ควรทำอย่างไรดีคะ ที่ทำไปตอนนั้นคือพยายามกลับมารู้ลม
แต่เหมือนใจกังวลตัดไม่ขาด ไม่ใช่ตลอดเวลานะเมื่อเกิดกลัวแวบมา จะกลับมารู้ลม
สังเกตุสั้นยาวหยาบละเอียด บางทีเหมือนลมเหลือแค่ภายใน(ตรงนี้อธิบายไม่ถูก เหมือนหยุดแล้วไม่มีเข้าไม่มีออก ยังไม่แน่ใจ เพราะแค่เหมือนจะสัมผัสเคล้าคลอกันสักพักแต่ก็กลัวขึ้นอีก)
แต่ยังสงบตั้งมั่นได้แต่สักพักก็จะแวบกลัวมาอีก มากเข้าใจมันหวิวๆ ไม่สบาย
กลายเป็นว่าพยายามสร้างลม หรือรู้ลม ไม่แน่ใจ เลยถอยออกมา
สรุปผลปฏิบัติวันนี้ ไม่ก้าวหน้าเลยค่ะ มีผิดพลาดตรงไหน ช่วยชี้แนะตักเตือนด้วย



ทำไมถึงไม่ขาดล่ะ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2014, 14:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
"จิตรู้จิต" อโศกจำเขามาพูด แต่กรัชกายพูดเอง "จิตกลัวจิต" ไม่ได้จำใครมา เพราะเห็นๆอยู่

อ้างคำพูด:
วันนี้ทำสมาธิ หลับตากำหนดลมหายใจ อารมณ์ภายนอก (คิดถึงเรื่องคนอื่น) ไม่ก่อกวน
แต่สักพักมีปัญหาอารมณ์ภายใน รู้สึกมีสติไม่ทั่วพร้อม คือเหมือนจะดูลมได้เรื่อยๆ แต่ความรู้ตัวขาดๆหายๆ
คิดว่าง่วงนอน เคลิ้มๆจะหลับ เกือบจะท้อเหมือนกัน ทั้งเคลิ้มๆก็พยายามรู้อยู่ที่ลม ต่อจนสักพัก
รู้สึกตื่น สว่างโพลงอยู่ภายใน มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม เข้าใจคำว่านิ่มนวลผ่องใส คราวนี้เอง
ก็กำหนดรู้ลมไปเรื่อยๆ แต่สักพักเริ่มมีอารมณ์กลัวคอยแวบมาอยู่เรื่อยๆเหมือนกัน
เหมือนมีใครมาโผล่อยู่ใกล้ๆทางนู้นนี้ ควรทำอย่างไรดีคะ ที่ทำไปตอนนั้นคือพยายามกลับมารู้ลม
แต่เหมือนใจกังวลตัดไม่ขาด ไม่ใช่ตลอดเวลานะเมื่อเกิดกลัวแวบมา จะกลับมารู้ลม
สังเกตุสั้นยาวหยาบละเอียด บางทีเหมือนลมเหลือแค่ภายใน(ตรงนี้อธิบายไม่ถูก เหมือนหยุดแล้วไม่มีเข้าไม่มีออก ยังไม่แน่ใจ เพราะแค่เหมือนจะสัมผัสเคล้าคลอกันสักพักแต่ก็กลัวขึ้นอีก)
แต่ยังสงบตั้งมั่นได้แต่สักพักก็จะแวบกลัวมาอีก มากเข้าใจมันหวิวๆ ไม่สบาย
กลายเป็นว่าพยายามสร้างลม หรือรู้ลม ไม่แน่ใจ เลยถอยออกมา
สรุปผลปฏิบัติวันนี้ ไม่ก้าวหน้าเลยค่ะ มีผิดพลาดตรงไหน ช่วยชี้แนะตักเตือนด้วย



ทำไมถึงไม่ขาดล่ะ :b1:

:b16: :b16:
อ้างคำพูด:
กลัวเกิดแล้ว พยายามกลับมารู้ลม
แต่เหมือนใจกังวลตัดไม่ขาด ไม่ใช่ตลอดเวลานะเมื่อเกิดกลัวแวบมา จะกลับมารู้ลม

onion
เมื่อ กลัวเกิดปรากฏขึ้นมาเป็นปัจจุบันอารมณ์ แต่กลับพยายามวิ่งกลับไปรู้ลม นั่นเป็นวิธีสมถะภาวนา คือกดข่มอารมณ์ด้วยกรรมฐาน จะช่วยแก้ปัญหาได้เพียงชั่วคราว เหมือนเบรคอารมณ์นั้นไว้ เหมือนทายาหม่อง เหมือนกินยาแก้ปวด

ถ้าจะแก้ความกลัวให้ได้ถาวร ต้องขุดถอนอารมณ์นั้นโดย แทนที่จะหลบหรือกลบข่มอารมณ์ ให้เปลี่ยนเป็นเผชิญหน้ากับอารมณ์ เผชิญหน้ากับความจริง คือ ให้นิ่งรู้ นิ่งสังเกตอารมณ์กลัวนั้นและลูกหลานของอารมณ์ที่เกิดจากความกลัวนั้น จนมันดับไป ๆ ๆ ๆ ทุกอารมณ์ ทำให้ได้อย่างนี้ทุกครั้งที่มีอารมณ์กลัวเกิดขึ้น

จำไว้ให้ดีว่าทุกครั้งที่ได้นิ่งรู้นิ่งสังเกตอารมณ์กลัว หรือทุกๆอารมณ์ อารมณ์อย่างนั้นจะถูกขุดถอนออกไปจากอุปาทานหรือความผูกยึดไว้ในจิต หากอารมณ์นั้นมันก้อนเล็กฝังไว้ตื้น มันก็จะหลุดรากถอนโคนทิ้งไปในไม่กี่ครั้งแต่ถ้ามันก้อนใหญ่ฝังลึกก็ต้องขุดบ่อยๆมากๆครั้งไม่ช้าอารมณ์หรืออุปาทานตัวนั้นก็จะถูกขุดรากถอนโคนทิ้งไปอย่างแน่นอนถ้าไม่ใจร้อน ไม่เบื่อ ไม่ละความเพียร

นี่คือทางรอดของนักปฏิบัติธรรม

:b36:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2014, 15:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อโศกนี่ไม่เคยทำกรรมฐานแบบจริงๆจังๆ เห็นแต่คิดเรื่อง ไม่ตะบอย :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2014, 15:44 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อโศกนี่ไม่เคยทำกรรมฐานแบบจริงๆจังๆ เห็นแต่คิดเรื่อง ไม่ตะบอย :b1:

:b12: :b12:
"อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ ไขความก็เห็นพื้นภูมิ"

เท่าที่กรัชกายวิจารณ์มาก็รู้ชัดว่า กรัชกาย ไม่เคยภาวนาและประสบกับสภาวธรรมจริงๆที่เกิดขึ้นในกายในใจ น่าเสียดายจริงๆ คำแนะนำดีๆ ถูกคนพาลมาทำให้ย่อยยับ

ถ้ายังเป็นอย่างนี้อีก วันข้างหน้าอย่าได้คิดก้อปปัญหาชาวบ้านมาถามอีก เสียดายเวลาและแรงกายแรงใจที่คิดค้นคำตอบมาให้มาบอก

:b7:
:b29: :b29:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ก.ค. 2014, 20:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อโศกนี่ไม่เคยทำกรรมฐานแบบจริงๆจังๆ เห็นแต่คิดเรื่อง ไม่ตะบอย :b1:

:b12: :b12:
[size=200]"อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ ไขความก็เห็นพื้นภูมิ"

เท่าที่กรัชกายวิจารณ์มาก็รู้ชัดว่า กรัชกาย ไม่เคยภาวนาและประสบกับสภาวธรรมจริงๆที่เกิดขึ้นในกายในใจ น่าเสียดายจริงๆ คำแนะนำดีๆ ถูกคนพาลมาทำให้ย่อยยับ

ถ้ายังเป็นอย่างนี้อีก วันข้างหน้าอย่าได้คิดก้อปปัญหาชาวบ้านมาถามอีก เสียดายเวลาและแรงกายแรงใจที่คิดค้นคำตอบมาให้มาบอก



อ้างคำพูด:
จำไว้ให้ดีว่าทุกครั้งที่ได้นิ่งรู้นิ่งสังเกตอารมณ์กลัว หรือทุกๆอารมณ์ อารมณ์อย่างนั้นจะถูกขุดถอนออกไป


ก็ขณะนั้นจิตมันกลัว มันจะนิ่งรู้นิ่งสังเกตยังไงล่ะ จิตมันกลัว จิตมันกลัวๆๆๆๆๆ เข้าใจไหม แต่อโศกบอกให้นิ่ง ใครล่ะนิ่งถามหน่อย มันกลัวๆๆ

อ้างคำพูด:
คือ อยู่ๆนึกอยากนั่งสมาธิขึ้นมา ทั้งที่ปกติแทบไม่นั่งสมาธิเลยค่ะ ก็คิดแบบ สงสัยคุยกับเพื่อนเลยจุดประกายขึ้นมา เอาซักหน่อยดีกว่า ไม่ได้นั่งนาน ดีเหมือนกัน จะได้ฝึกสมาธิ สติ ไปในตัว

ก็นั่ง กำหนดลมหายใจพุทโธ อะไรแบบนี้ค่ะ สักพักรู้สึกแบบ เหมือนมีคนมา ใกล้ๆ วูบๆแถวหน้า อารมณ์เหมือนเราหลับตา แล้วเพีอนแกล้งเอานื้วมาแหย่ใกล้หน้าอ่ะค่ะ ในใจก็แบบคงคิดไปเอง ไม่สนใจ พยายามกำหนดลมหายใจใหม่

น่าจะไม่ถึง 15 นาที อยู่ๆไฟในห้องลั่นดัง เปรี๊ยะ!!!! เสียงดังมากกก ตามมาด้วยไฟดับ ติมแบบสะดุ้งตกใจมาก เห็นแสงไฟจากห้องอื่นลอดประตูมา แสดงว่าห้องอื่น ไฟไม่ดับ (เป็นหอพักค่ะ) เงิบ+ตกใจ ไม่ถึง 5 วิ ไฟก็ติด แบบมาเร็วเคลมเร็ว ณ เวลานั้น บอกตามตรงใจสั่นมาก งง ตกใจ กลัว อาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แค่ไฟดับ เสียงเปรี๊ยะ ดังๆ ทำขวัญผวา แต่คือ ตอนนี้ไม่กล้านั่งสมาธิต่อแล้วค่ะ เหมือนหลอนไปเลย ทำยังไงถึงจะแก้ความ กลัวตรงนี้ ได้มั่งคะ พยายามคิดอย่าไปกลัว แค่เรีองบังเอิญ แต่ก็ไม่กล้านั่งสมาธิ อยู่ดีอ่ะค่ะ. T_T ทั้งๆที่การนั่งสมาธิมีผลดีทำให้เราสงบมากขึ้น


อโศกว่า เขาเป็นอะไรประสบกับอะไร เนี่ยมันกลัวๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จิตมันกลัว คิกๆๆ

อโศกต้องแนะนำเขาว่า ขณะนั้นรู้สึกยังไง เป็นอย่างไร ว่าในใจ (เอาจิตกำหนดจิต) กลัวหนอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ตกใจหนอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ว่าไป จนจิตที่คิดกลัวมันดับไปต่อหน้าต่อตา นี่ต้องยังงี้ ไม่เชื่อพิสูจน์ได้ เพราะจิตคิดได้ขณะละเรื่องราว เช่นคิดกลัว เป็นต้น (คิดกลัว ก็ไม่คิดนิ่ง) ครั้นเรากำหนดตามสภาวะของมัน (ความกลัวเป็นสภาวะ) กลัวหนอๆๆๆๆๆๆ จิตที่คิดกลัวดวงแรก ก็ดับ แค่นี้เอง :b1: แล้วก็มาเกาะกัมมัฏฐาน คือ ลมเข้าออก หรือพองยุบต่อไปใหม่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 59 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร