วันเวลาปัจจุบัน 06 พ.ค. 2025, 06:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 106 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 04 ก.ค. 2014, 09:52 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ปากพูด....ก็ให้ทำด้วย....นะ...ถึงยังมีกิเลสอยู่....ก็ควรสำรวมกายวาจา..ได้ทัน...ไม่งั้นเป็นอริยะไม่ได้เน้อะเอ้า...อิอิ

ใครนา....พูดว่า... ".....แส่......กระทู้เย็นๆ..ของผู้อื่น"

ไม่ค่อยจะมีเขา..มีเรา...เท่าไรเลยเน๊าะ...
:b9: :b9:

เอ้า.....ตอบคำถามกรัชกาย..ต่อซะ
:b32:


:b12: :b12: :b12:
ปากพูดก็ต้องทำได้ชัวร์อยู่แล้ว แต่ การสนทนากับคนที่โมหะบังต้องพูดเสียงดังๆ คุยแรงๆ ให้สติสัมปชัญญะของคนๆนั้นตื่นฟื้นมาทำงานได้ถูกต้อง

กบไม่เคยไปกราบครูบาอาจารย์ทางอิสาณบ้างหรือที่ท่านว่าแรงๆแต่ข้างในเปี่ยมเมตตานั้นนะ

เรื่องกระทู้เย็นๆนั้นเขาเย็นอยู่่จริงๆถ้าไม่มีกรัชกายกับกบคอยเข้ามาแส่แหย่ด้วยเรื่องชักใบให้เรือเสีย

สำหรับกรัชกายนั้นก็คอยแต่จะเข้ามาเล่นทายศัพท์ธรรมะลองภูมิผู้คน ก็อปแปะ ๆ ปัญหาและความเห็นของผู้อื่น เอาแต่ถามปัญหาแต่ไม่เคยตอบปัญหาที่ถามได้ด้วยตัวเองสักที

อย่างเรื่องสังสารวัฏ หรือวัฏสงสาร ความเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน 31 ภพภูมินี่ก็เป็นเรื่องง่ายๆสำหรับชาวพุทธทั้งหลาย กรัชกายทำตัวเป็นนักวิชาการใหญ่ไม่รู้เรื่องนี้ต้องคอยไปถามคนโน้นคนนี้ มันช่างน่าอายหลาย จริงๆไม่น่าจะเสียเวลากับคำศัพท์พื้นฐานที่ชาวพุทธต้องรู้อย่างนี้ แล้วที่เที่ยวไปคัดตำรามาแปะสอนผู้คนอยู่ทุกวันนี้ไม่มีความละอายบ้างหรือที่สอนคนอื่นได้แต่ตนเองกลับไม่รู้เรื่องที่สอนหรือคัดมาแปะ

หมดกูหมดเราก็หมดวัฏสงสาร เรื่องอย่างนี้กรัชกายน่าจะรู้ตั้งนาน ทำไมไม่ยอมรู้ซักทีน้า.....หรือกบก็เป็นอย่างกรัชกาย

:b7: :b7: :b7:


โพสต์ เมื่อ: 04 ก.ค. 2014, 11:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบทำให้อโศกโมโหแล้วนะ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 04 ก.ค. 2014, 13:39 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12:
เวลาอ่านคำถาม พิมพ์คำตอบยังยิ้ม ขำ อยู่เลย จะมาใส่ความว่าอโศกะโกรธอีก ขี้ตู่มากเลยกรัชกาย เดาก็ไม่แม่นด้วย
:b12: :b12: :b12: :b12: :b12:


โพสต์ เมื่อ: 04 ก.ค. 2014, 15:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:

ปากพูด....ก็ให้ทำด้วย....นะ...ถึงยังมีกิเลสอยู่....ก็ควรสำรวมกายวาจา..ได้ทัน...ไม่งั้นเป็นอริยะไม่ได้เน้อะเอ้า...อิอิ

ใครนา....พูดว่า... ".....แส่......กระทู้เย็นๆ..ของผู้อื่น"

ไม่ค่อยจะมีเขา..มีเรา...เท่าไรเลยเน๊าะ...
:b9: :b9:

เอ้า.....ตอบคำถามกรัชกาย..ต่อซะ
:b32:

:b12: :b12: :b12:
ปากพูดก็ต้องทำได้ชัวร์อยู่แล้ว แต่ การสนทนากับคนที่โมหะบังต้องพูดเสียงดังๆ คุยแรงๆ
ให้สติสัมปชัญญะของคนๆนั้นตื่นฟื้นมาทำงานได้ถูกต้อง

กบไม่เคยไปกราบครูบาอาจารย์ทางอิสาณบ้างหรือที่ท่านว่าแรงๆแต่ข้างในเปี่ยมเมตตานั้นนะ

เรื่องกระทู้เย็นๆนั้นเขาเย็นอยู่่จริงๆถ้าไม่มีกรัชกายกับกบคอยเข้ามาแส่แหย่ด้วยเรื่องชักใบให้เรือเสีย


บางที่ก็เลียนแบบ...คำพูดครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียง...พูดคำเหมือนๆท่าน...ก็แค่เลียนแบบคำพูด..ล่อหลอกศรัทธาก็มี..อโศกแยกแยะออกมั้ย..เอ่ย..คิก...คิก

อ้างคำพูด:
เรื่องกระทู้เย็นๆนั้นเขาเย็นอยู่่จริงๆถ้าไม่มีกรัชกายกับกบคอยเข้ามาแส่แหย่ด้วยเรื่องชักใบให้เรือเสีย

พูดออกมา....เพราะมีตัวตน...ก็ไม่รู้สึกตัวว่า..มีตัวตน...
มี..ตัณหา...ก็ไม่รู้ตัว...ว่า...เพราะตัณหาของตัว
ขาดอุเบกขา...ก็ไม่รู้ตัว....คิดว่าตัวมีพรหมวิหาร ครบ
:b16: :b16:


โพสต์ เมื่อ: 04 ก.ค. 2014, 16:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:

ปากพูด....ก็ให้ทำด้วย....นะ...ถึงยังมีกิเลสอยู่....ก็ควรสำรวมกายวาจา..ได้ทัน...ไม่งั้นเป็นอริยะไม่ได้เน้อะเอ้า...อิอิ

ใครนา....พูดว่า... ".....แส่......กระทู้เย็นๆ..ของผู้อื่น"

ไม่ค่อยจะมีเขา..มีเรา...เท่าไรเลยเน๊าะ...
:b9: :b9:

เอ้า.....ตอบคำถามกรัชกาย..ต่อซะ
:b32:

:b12: :b12: :b12:
ปากพูดก็ต้องทำได้ชัวร์อยู่แล้ว แต่ การสนทนากับคนที่โมหะบังต้องพูดเสียงดังๆ คุยแรงๆ
ให้สติสัมปชัญญะของคนๆนั้นตื่นฟื้นมาทำงานได้ถูกต้อง

กบไม่เคยไปกราบครูบาอาจารย์ทางอิสาณบ้างหรือที่ท่านว่าแรงๆแต่ข้างในเปี่ยมเมตตานั้นนะ

เรื่องกระทู้เย็นๆนั้นเขาเย็นอยู่่จริงๆถ้าไม่มีกรัชกายกับกบคอยเข้ามาแส่แหย่ด้วยเรื่องชักใบให้เรือเสีย


บางที่ก็เลียนแบบ...คำพูดครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียง...พูดคำเหมือนๆท่าน...ก็แค่เลียนแบบคำพูด..ล่อหลอกศรัทธาก็มี..อโศกแยกแยะออกมั้ย..เอ่ย..คิก...คิก

อ้างคำพูด:
เรื่องกระทู้เย็นๆนั้นเขาเย็นอยู่่จริงๆถ้าไม่มีกรัชกายกับกบคอยเข้ามาแส่แหย่ด้วยเรื่องชักใบให้เรือเสีย

พูดออกมา....เพราะมีตัวตน...ก็ไม่รู้สึกตัวว่า..มีตัวตน...
มี..ตัณหา...ก็ไม่รู้ตัว...ว่า...เพราะตัณหาของตัว
ขาดอุเบกขา...ก็ไม่รู้ตัว....คิดว่าตัวมีพรหมวิหาร ครบ
:b16: :b16:

:b12: :b12: :b12:
แล้วไอ้ที่เที่ยวไปบอกๆ กล่าวๆ เตือนๆคนโน้นคนนี้อยู่นี่ ก็คิดว่าไม่มีตัวตนมาเกี่ยวข้องด้วยหรือ คุณกบ

แค่ออกชื่อว่าคุณกบแล้วตอบโต้ตอบสนองกลับไปนี่ก็ตัวตนทั้งพี่ทั้งน้องแล้ว

:b32: :b32: :b32:


โพสต์ เมื่อ: 05 ก.ค. 2014, 05:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาน่า อย่าทะเลาะธรรมกันเลย คิกๆๆ ใจเย็นๆ แล้วจะได้พร้าคนละเล่มงามงาม :b32:

เรื่องตัวตน เรื่องอัตตา ที่พวกเราพูดๆกันนี่ ไม่รู้ว่าอยู่ระดับไหน ลองดูต้นเหตุที่ทำให้พระพุทธศาสนาสอนเรื่องนี้กัน


ปรมาตมัน อาตมันสูงสุด หรืออัตตาสูงสุด (บรมอาตมัน หรือบรมอัตตา) เป็นสภาวะแท้จริง และเป็นจุดหมายสูงสุดตามหลักความเชื่อของศาสนาฮินดู (เดิมคือศาสนาพราหมณ์) ซึ่งถือว่า ในบุคคลแต่ละคนนี้ มีอาตมัน คืออัตตา หรือตัวตน สิงสู่อยู่ครอง เป็นสภาวะเที่ยงแท้ถาวร เป็นผู้คิดผู้นึก ผู้เสวยเวทนา เป็นต้น ซึ่งเป็นส่วนย่อยที่แบ่งภาคออกมาจากปรมาตมันนั้นเอง เมื่อคนตาย อาตมันนี้ ออกจากร่างไปสิงอยู่ร่างอื่นต่อไป เหมือนออกจากเรือนเก่าไปอยู่ในเรือนใหม่ ได้เสวยสุขหรือทุกข์ เป็นต้น สุดแต่กรรมที่ได้ทำไว้ เวียนว่ายตายเกิดเรื่อยไป จนกว่าจะตระหนักรู้ว่าตนเองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับปรมาตมัน และเข้าถึงความบริสุทธิ์จากบาปโดยสิ้นเชิง จึงจะได้กลับเข้ารวมกับปรมาตมันดังเดิม ไม่เวียนตายเวียนเกิดอีกต่อไป ปรมาตมันนี้ ก็คือ พรหม หรือพรหมัน นั่นเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 05 ก.ค. 2014, 05:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อัตตา เป็นคำบาลี รูปสันสกฤตเป็น "อาตมัน" แปลว่า ตน ตัว หรือตัวตน

พุทธธรรมสอนว่า ตัวตนหรืออัตตานี้ ไม่มีอยู่จริง แต่เป็นสิ่งที่สมมติขึ้นเพื่อสะดวกในการสื่อสาร เพื่อความหมายรู้่ร่วมกันของมนุษย์ในความเป็นอยู่ประจำวัน กำหนดตามชื่อที่บัญญัติขึ้น หรือตั้งขึ้น สำหรับเรียกหน่วยรวมหรือภาพรวมหนึ่งๆ


อัตตานี้ จะเกิดเป็นปัญหาขึ้น ก็ต่อเมื่อคนหลงผิดเกิดความยึดถือขึ้นมา ว่ามีตัวตนจริงๆ หรือเป็นตัวตนจริงๆ เรียกว่า รู้ไม่เท่าทันความจริง หรือหลงสมมติ


ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับอัตตานี้ พึงทราบว่า อัตตาไม่ใช่เป็นกิเลส มิใช่สิ่งที่จะต้องละ เพราะอัตตาไม่มีอยู่จริง จึงไม่มีอัตตา หรือไม่เป็นอัตตา อย่างที่เรียกว่า รู้ทันสมมติเท่านั้น พูดอีกนัยหนึ่งว่า ละความยึดถือในอัตตา ละความยึดถือว่าเป็นอัตตา หรือถอนความหลงผิดในภาพของอัตตา หรือในบัญญัติแห่งอัตตาเสียเท่านั้น เรื่องอัตตา และการปฏิบัติต่ออัตตาในความหมายที่ใช้ทั่วไป มีเพียงเท่านี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 05 ก.ค. 2014, 10:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12: :b12: :b12:
แล้วไอ้ที่เที่ยวไปบอกๆ กล่าวๆ เตือนๆคนโน้นคนนี้อยู่นี่ ก็คิดว่าไม่มีตัวตนมาเกี่ยวข้องด้วยหรือ คุณกบ

แค่ออกชื่อว่าคุณกบแล้วตอบโต้ตอบสนองกลับไปนี่ก็ตัวตนทั้งพี่ทั้งน้องแล้ว

:b32: :b32: :b32:


อิอิ...
ผมไม่ได้บอกว่า..ผมดีอะไรนี้นา....ผมนี้ยังแย่อยู่มาก

แต่..คนที่คิดว่าตนดี...ตนเป็นอริยะ...จะไม่ตรวจสอบตนบ้างหรือ??
:b9: :b9:

อริยะ.....ย่อมยินดีเมื่อมีผู้ชี้กิเลสตน
ปุถุชน...จะขลาดกลัวไม่ค่อยชอบมองความชั่วตน....มักไม่พอใจ....มากเข้าก็โกรธ

:b16:


โพสต์ เมื่อ: 05 ก.ค. 2014, 13:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลักธรรม สำหรับฆราวาส :
หลักธรรมต่างๆ ที่พระพุทธองค์แสดง เว้นวินัยสงฆ์ที่บัญญัติเฉพาะภิกษุสงฆ์
ฆราวาสล้วนนำไปพินิจพิจารณาปฏิติตามได้ทั้งสิ้น.

ถ้าจะให้แนะนำโดยเฉพาะเจาะจง ก็คงต้องยกเอา หลักธรรม 8 ประการที่แสดงแก่ โกฬิยบุตรชื่อทีฆชาณุ.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=23&A=5934&Z=6025&pagebreak=0
หลักธรรม 8 ประการ
เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขในปัจจุบัน 4 ประการ;
เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขในภายหน้า 4 ประการ.

Quote Tipitaka:
ธรรม ๔ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขในปัจจุบันแก่กุลบุตร ๔ ประการเป็นไฉน
คือ อุฏฐานสัมปทา ๑ อารักขสัมปทา ๑ กัลยาณมิตตตา ๑ สมชีวิตา ๑.


อุฏฐานสัมปทา :
เป็นผู้ขยันไม่เกียจคร้านในการงาน ประกอบด้วยปัญญาเครื่องสอดส่องอันเป็นอุบายในการงานนั้น สามารถจัดทำได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี.

อารักขสัมปทา :
โภคทรัพย์ที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร สั่งสมด้วยกำลังแขน มีเหงื่อโทรมตัว
ชอบธรรม ได้มาโดยธรรม เขารักษาคุ้มครองโภคทรัพย์เหล่านั้นไว้ได้พร้อมมูล.

กัลยาณมิตตา :
Quote Tipitaka:
กัลยาณมิตตตาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ อยู่อาศัย
ในบ้านหรือนิคมใด ย่อมดำรงตน เจรจา สั่งสนทนากับบุคคลในบ้านหรือนิคม
นั้น ซึ่งเป็นคฤหบดี หรือบุตรคฤหบดี เป็นคนหนุ่มหรือคนแก่ ผู้มีสมาจาร
บริสุทธิ์ ผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ศึกษาศรัทธาสัมปทาตามผู้ถึง
พร้อมด้วยศรัทธา ศึกษาศีลสัมปทาตามผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ศึกษาจาคสัมปทาตามผู้
ถึงพร้อมด้วยจาคะ ศึกษาปัญญาสัมปทาตามผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา


สมชีวิตา :
เลี้ยงชีวิตด้วยความพอเหมาะพอควร โดยรู้ทางเจริญแห่งโภคทรัพย์และทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์ แล้วเลี้ยงชีพพอเหมาะ ไม่ให้ฟูมฟายนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนัก.
(โภคทรัพย์ที่เกิดโดยชอบ ย่อมมีทางเสื่อม ๔ ประการ คือ
เป็นนักเลงหญิง ๑ เป็นนักเลงสุรา ๑ เป็นนักเลงการพนัน ๑ มีมิตรชั่ว สหายชั่ว เพื่อนชั่ว ๑)

Quote Tipitaka:
ธรรม ๔ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขในภายหน้าแก่กุลบุตร
ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ สัทธาสัมปทา ๑ สีลสัมปทา ๑ จาคสัมปทา ๑ ปัญญาสัมปทา ๑


สัทธาสัมปทา:
กุลบุตรในโลกนี้มีศรัทธา
คือ เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคตว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาค
พระองค์นั้น ฯลฯ เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรมฯ

สีลสัปทา:
เป็นผู้งดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ เป็นผู้งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทฯ

จาคสัมปทา:
มีจิตปราศจากมลทินคือความตระหนี่ อยู่ครองเรือน มีจาคะอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามือชุ่ม
ยินดีในการสละ ควรแก่การขอ ยินดีในการจำแนกทาน.

ปัญญาสัมปทา :
เป็นผู้มีปัญญา คือ ประกอบด้วยปัญญาที่เห็นความเกิดและความดับ เป็นอริยะ ชำแรก
กิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ.

พระสังคานาจารย์ได้ประชุมบทพุทธภาษิตเป็นโศลกไว้ดังนี้
Quote Tipitaka:
คนหมั่นในการทำงาน ไม่ประมาท จัดการงานเหมาะสม
เลี้ยงชีพพอเหมาะ รักษาทรัพย์ที่หามาได้ มีศรัทธา
ถึงพร้อมด้วยศีล รู้ถ้อยคำ ปราศจากความตระหนี่
ชำระทางสัมปรายิกประโยชน์เป็นนิตย์
ธรรม ๘ ประการดังกล่าวนี้ของผู้ครองเรือน ผู้มีศรัทธา อันพระพุทธเจ้าผู้มีพระนาม
อันแท้จริงตรัสว่า นำสุขมาให้ในโลกทั้งสอง คือ ประโยชน์ในปัจจุบันนี้และความสุขในภายหน้า บุญ คือ จาคะนี้ย่อมเจริญแก่คฤหัสถ์ด้วยประการฉะนี้ ฯ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสต์ เมื่อ: 05 ก.ค. 2014, 13:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในกรณี ของหลักธรรม 4 ประการคือ
สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ นั้นเป็นหลักธรรมที่ปัจจุบันนี้ ถ่ายทอดกันไปเป็น ฆราวาสธรรม 4 ประการ.

เพราะ หลักธรรม 4 ประการนี้ ฆราวาสจะนำไปใช้ก็ใช้ได้เช่นกัน

ซึ่งโดยเนื้อหาแล้วก็เป็นไปได้ในชั้น โลกียธรรม และโลกุตตรธรรม.
พระพุทธองค์จึงทรงแสดง ด้วยคำว่า "ฆรเมสิ" ไม่ใช่ใช้เฉพาะว่า "ฆรวาสิ"

หลักธรรม 4 ประการ คือ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ
จึงเป็นหลักธรรมเพื่อแสวงหาที่คุ้มภัย หรือเรื่อน(ฆร)
ซึ่งไม่มีผู้ใดจะคัดค้านได้.

Quote Tipitaka:
อาฬวกยักษ์ทูลถามว่า
คนได้ปัญญาอย่างไรหนอ ทำอย่างไรจึงจะหาทรัพย์ได้ คนได้
ชื่อเสียงอย่างไรหนอ ทำอย่างไรจึงจะผูกมิตรไว้ได้ คน
ละโลกนี้ไปสู่โลกหน้า ทำอย่างไรจึงจะไม่เศร้าโศก ฯ
[๘๔๕] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
บุคคลเชื่อธรรมของพระอรหันต์ เพื่อบรรลุนิพพาน ฟังอยู่
ด้วยดีย่อมได้ปัญญา เป็นผู้ไม่ประมาท มีวิจาร คนทำเหมาะ
เจาะ ไม่ทอดธุระ เป็นผู้หมั่น ย่อมหาทรัพย์ได้ คนย่อม
ได้ชื่อเสียงเพราะความสัตย์ ผู้ให้ย่อมผูกมิตรไว้ได้ บุคคล
ใดผู้หาเรือนประกอบด้วยศรัทธา มีธรรม ๔ ประการนี้
คือ สัจจะ ธรรมะ ธิติ จาคะ บุคคลนั้นแล ละโลกนี้ไป
แล้วย่อมไม่เศร้าโศก เชิญท่านถามสมณพราหมณ์เป็นอัน
มากเหล่าอื่นดูซิว่าในโลกนี้มีอะไรยิ่งไปกว่าสัจจะ ทมะ จาคะ
และขันติ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสต์ เมื่อ: 06 ก.ค. 2014, 13:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เอาน่า อย่าทะเลาะธรรมกันเลย คิกๆๆ ใจเย็นๆ แล้วจะได้พร้าคนละเล่มงามงาม :b32:

เรื่องตัวตน เรื่องอัตตา ที่พวกเราพูดๆกันนี่ ไม่รู้ว่าอยู่ระดับไหน ลองดูต้นเหตุที่ทำให้พระพุทธศาสนาสอนเรื่องนี้กัน


ปรมาตมัน อาตมันสูงสุด หรืออัตตาสูงสุด (บรมอาตมัน หรือบรมอัตตา) เป็นสภาวะแท้จริง และเป็นจุดหมายสูงสุดตามหลักความเชื่อของศาสนาฮินดู (เดิมคือศาสนาพราหมณ์) ซึ่งถือว่า ในบุคคลแต่ละคนนี้ มีอาตมัน คืออัตตา หรือตัวตน สิงสู่อยู่ครอง เป็นสภาวะเที่ยงแท้ถาวร เป็นผู้คิดผู้นึก ผู้เสวยเวทนา เป็นต้น ซึ่งเป็นส่วนย่อยที่แบ่งภาคออกมาจากปรมาตมันนั้นเอง เมื่อคนตาย อาตมันนี้ ออกจากร่างไปสิงอยู่ร่างอื่นต่อไป เหมือนออกจากเรือนเก่าไปอยู่ในเรือนใหม่ ได้เสวยสุขหรือทุกข์ เป็นต้น สุดแต่กรรมที่ได้ทำไว้ เวียนว่ายตายเกิดเรื่อยไป จนกว่าจะตระหนักรู้ว่าตนเองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับปรมาตมัน และเข้าถึงความบริสุทธิ์จากบาปโดยสิ้นเชิง จึงจะได้กลับเข้ารวมกับปรมาตมันดังเดิม ไม่เวียนตายเวียนเกิดอีกต่อไป ปรมาตมันนี้ ก็คือ พรหม หรือพรหมัน นั่นเอง

:b12: :b12: :b12:
กรัชกายปารถนา ปรมาตมันหรือ?
:b3:
:b7:


โพสต์ เมื่อ: 06 ก.ค. 2014, 13:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อัตตา เป็นคำบาลี รูปสันสกฤตเป็น "อาตมัน" แปลว่า ตน ตัว หรือตัวตน

พุทธธรรมสอนว่า ตัวตนหรืออัตตานี้ ไม่มีอยู่จริง แต่เป็นสิ่งที่สมมติขึ้นเพื่อสะดวกในการสื่อสาร เพื่อความหมายรู้่ร่วมกันของมนุษย์ในความเป็นอยู่ประจำวัน กำหนดตามชื่อที่บัญญัติขึ้น หรือตั้งขึ้น สำหรับเรียกหน่วยรวมหรือภาพรวมหนึ่งๆ


อัตตานี้ จะเกิดเป็นปัญหาขึ้น ก็ต่อเมื่อคนหลงผิดเกิดความยึดถือขึ้นมา ว่ามีตัวตนจริงๆ หรือเป็นตัวตนจริงๆ เรียกว่า รู้ไม่เท่าทันความจริง หรือหลงสมมติ


ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับอัตตานี้ พึงทราบว่า อัตตาไม่ใช่เป็นกิเลส มิใช่สิ่งที่จะต้องละ เพราะอัตตาไม่มีอยู่จริง จึงไม่มีอัตตา หรือไม่เป็นอัตตา อย่างที่เรียกว่า รู้ทันสมมติเท่านั้น พูดอีกนัยหนึ่งว่า ละความยึดถือในอัตตา ละความยึดถือว่าเป็นอัตตา หรือถอนความหลงผิดในภาพของอัตตา หรือในบัญญัติแห่งอัตตาเสียเท่านั้น เรื่องอัตตา และการปฏิบัติต่ออัตตาในความหมายที่ใช้ทั่วไป มีเพียงเท่านี้

s006 s006
ใครเขาสอนให้ละอัตตากัน

เขามีแต่สอนให้ละ
ความเห็นผิด และความยึดผิด ว่าเป็นอัตตา
Kiss


โพสต์ เมื่อ: 06 ก.ค. 2014, 15:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อัตตา เป็นคำบาลี รูปสันสกฤตเป็น "อาตมัน" แปลว่า ตน ตัว หรือตัวตน

พุทธธรรมสอนว่า ตัวตนหรืออัตตานี้ ไม่มีอยู่จริง แต่เป็นสิ่งที่สมมติขึ้นเพื่อสะดวกในการสื่อสาร เพื่อความหมายรู้่ร่วมกันของมนุษย์ในความเป็นอยู่ประจำวัน กำหนดตามชื่อที่บัญญัติขึ้น หรือตั้งขึ้น สำหรับเรียกหน่วยรวมหรือภาพรวมหนึ่งๆ


อัตตานี้ จะเกิดเป็นปัญหาขึ้น ก็ต่อเมื่อคนหลงผิดเกิดความยึดถือขึ้นมา ว่ามีตัวตนจริงๆ หรือเป็นตัวตนจริงๆ เรียกว่า รู้ไม่เท่าทันความจริง หรือหลงสมมติ


ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับอัตตานี้ พึงทราบว่า อัตตาไม่ใช่เป็นกิเลส มิใช่สิ่งที่จะต้องละ เพราะอัตตาไม่มีอยู่จริง จึงไม่มีอัตตา หรือไม่เป็นอัตตา อย่างที่เรียกว่า รู้ทันสมมติเท่านั้น พูดอีกนัยหนึ่งว่า ละความยึดถือในอัตตา ละความยึดถือว่าเป็นอัตตา หรือถอนความหลงผิดในภาพของอัตตา หรือในบัญญัติแห่งอัตตาเสียเท่านั้น เรื่องอัตตา และการปฏิบัติต่ออัตตาในความหมายที่ใช้ทั่วไป มีเพียงเท่านี้

s006 s006
[i]ใครเขาสอนให้ละอัตตากัน

เขามีแต่สอนให้ละความเห็นผิด และความยึดผิดว่าเป็นอัตตา



อ้างคำพูด:
ดิฉันเพิ่งจะเริ่มหัดนั่งสมาธิใหม่ ด้วยตัวเองนะคะ ไม่รุ้ว่าทำผิดทำถูกนะคะ เกิดคำถามขึ้นมา ไม่รู้จะไปถามใครนะคะ .... อยากจะถามว่า มาถูกทางหรือเปล่านะคะ ...คือมีอาการแบบนี้นะคะ

ช่วงแรก ๆ ก็พยายามกำหนดลมหายใจ เข้า ออก ....พุทธ โธ คะ

ต่อมา มันจะรู้สึกว่า ....ตึ็บ...อึ้ง... หูอื้อ ๆ ทั้งสองข้าง ...หัวใจเต้นแรง ตึบ ๆ ...ไม่ได้ยินอะไร ความรู้สึกเหมือนหลุดไปที่ไหนที่หนี่งสักแห่ง ช่วงนั้น มันเหมือนไม่สามารถบังคับได้คะ มันเป็นไปของมันเอง

ความรู้สึกมัน ซ่า ๆ ว๊าบ ๆ ขึ้นไปทั่วทั้งศรีษะ จากล่าง ขึ้นบนนะคะ

ผ่านช่วงนี้ไป... ก็เหมือนตื่น มักจะลืมตาขึ้นมา ...แต่ดิฉันมั่นใจนะคะ ว่าไม่ได้นั่งหลับนะคะ...

กรุณา ช่วยอธิบายให้เข้าใจได้ไหมคะ ว่า ...ที่เป็นแบบนี้ เขาเรียกว่าอะไร ดิฉันทำได้ถูกวิธีไหมคะ จะสามารถพัฒนาได้ หรือเปล่า มีแนวทางอย่างไรบ้างคะ


อโศกว่าเป็นอัตตาไหม แล้วควรทำอย่างไร :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 06 ก.ค. 2014, 15:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อัตตา เป็นคำบาลี รูปสันสกฤตเป็น "อาตมัน" แปลว่า ตน ตัว หรือตัวตน

พุทธธรรมสอนว่า ตัวตนหรืออัตตานี้ ไม่มีอยู่จริง แต่เป็นสิ่งที่สมมติขึ้นเพื่อสะดวกในการสื่อสาร เพื่อความหมายรู้่ร่วมกันของมนุษย์ในความเป็นอยู่ประจำวัน กำหนดตามชื่อที่บัญญัติขึ้น หรือตั้งขึ้น สำหรับเรียกหน่วยรวมหรือภาพรวมหนึ่งๆ


อัตตานี้ จะเกิดเป็นปัญหาขึ้น ก็ต่อเมื่อคนหลงผิดเกิดความยึดถือขึ้นมา ว่ามีตัวตนจริงๆ หรือเป็นตัวตนจริงๆ เรียกว่า รู้ไม่เท่าทันความจริง หรือหลงสมมติ


ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับอัตตานี้ พึงทราบว่า อัตตาไม่ใช่เป็นกิเลส มิใช่สิ่งที่จะต้องละ เพราะอัตตาไม่มีอยู่จริง จึงไม่มีอัตตา หรือไม่เป็นอัตตา อย่างที่เรียกว่า รู้ทันสมมติเท่านั้น พูดอีกนัยหนึ่งว่า ละความยึดถือในอัตตา ละความยึดถือว่าเป็นอัตตา หรือถอนความหลงผิดในภาพของอัตตา หรือในบัญญัติแห่งอัตตาเสียเท่านั้น เรื่องอัตตา และการปฏิบัติต่ออัตตาในความหมายที่ใช้ทั่วไป มีเพียงเท่านี้

s006 s006
[i]ใครเขาสอนให้ละอัตตากัน

เขามีแต่สอนให้ละความเห็นผิด และความยึดผิดว่าเป็นอัตตา



อ้างคำพูด:
ดิฉันเพิ่งจะเริ่มหัดนั่งสมาธิใหม่ ด้วยตัวเองนะคะ ไม่รุ้ว่าทำผิดทำถูกนะคะ เกิดคำถามขึ้นมา ไม่รู้จะไปถามใครนะคะ .... อยากจะถามว่า มาถูกทางหรือเปล่านะคะ ...คือมีอาการแบบนี้นะคะ

ช่วงแรก ๆ ก็พยายามกำหนดลมหายใจ เข้า ออก ....พุทธ โธ คะ

ต่อมา มันจะรู้สึกว่า ....ตึ็บ...อึ้ง... หูอื้อ ๆ ทั้งสองข้าง ...หัวใจเต้นแรง ตึบ ๆ ...ไม่ได้ยินอะไร ความรู้สึกเหมือนหลุดไปที่ไหนที่หนี่งสักแห่ง ช่วงนั้น มันเหมือนไม่สามารถบังคับได้คะ มันเป็นไปของมันเอง

ความรู้สึกมัน ซ่า ๆ ว๊าบ ๆ ขึ้นไปทั่วทั้งศรีษะ จากล่าง ขึ้นบนนะคะ

ผ่านช่วงนี้ไป... ก็เหมือนตื่น มักจะลืมตาขึ้นมา ...แต่ดิฉันมั่นใจนะคะ ว่าไม่ได้นั่งหลับนะคะ...

กรุณา ช่วยอธิบายให้เข้าใจได้ไหมคะ ว่า ...ที่เป็นแบบนี้ เขาเรียกว่าอะไร ดิฉันทำได้ถูกวิธีไหมคะ จะสามารถพัฒนาได้ หรือเปล่า มีแนวทางอย่างไรบ้างคะ


อโศกว่าเป็นอัตตาไหม แล้วควรทำอย่างไร :b14:

:b12:
เป็นอัตตา
เผลอเข้าสมาธิ ปีติกำลังเกิด
:b16:


โพสต์ เมื่อ: 06 ก.ค. 2014, 16:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
อัตตา เป็นคำบาลี รูปสันสกฤตเป็น "อาตมัน" แปลว่า ตน ตัว หรือตัวตน

พุทธธรรมสอนว่า ตัวตนหรืออัตตานี้ ไม่มีอยู่จริง แต่เป็นสิ่งที่สมมติขึ้นเพื่อสะดวกในการสื่อสาร เพื่อความหมายรู้่ร่วมกันของมนุษย์ในความเป็นอยู่ประจำวัน กำหนดตามชื่อที่บัญญัติขึ้น หรือตั้งขึ้น สำหรับเรียกหน่วยรวมหรือภาพรวมหนึ่งๆ


อัตตานี้ จะเกิดเป็นปัญหาขึ้น ก็ต่อเมื่อคนหลงผิดเกิดความยึดถือขึ้นมา ว่ามีตัวตนจริงๆ หรือเป็นตัวตนจริงๆ เรียกว่า รู้ไม่เท่าทันความจริง หรือหลงสมมติ


ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับอัตตานี้ พึงทราบว่า อัตตาไม่ใช่เป็นกิเลส มิใช่สิ่งที่จะต้องละ เพราะอัตตาไม่มีอยู่จริง จึงไม่มีอัตตา หรือไม่เป็นอัตตา อย่างที่เรียกว่า รู้ทันสมมติเท่านั้น พูดอีกนัยหนึ่งว่า ละความยึดถือในอัตตา ละความยึดถือว่าเป็นอัตตา หรือถอนความหลงผิดในภาพของอัตตา หรือในบัญญัติแห่งอัตตาเสียเท่านั้น เรื่องอัตตา และการปฏิบัติต่ออัตตาในความหมายที่ใช้ทั่วไป มีเพียงเท่านี้

s006 s006
[i]ใครเขาสอนให้ละอัตตากัน

เขามีแต่สอนให้ละความเห็นผิด และความยึดผิดว่าเป็นอัตตา



อ้างคำพูด:
ดิฉันเพิ่งจะเริ่มหัดนั่งสมาธิใหม่ ด้วยตัวเองนะคะ ไม่รุ้ว่าทำผิดทำถูกนะคะ เกิดคำถามขึ้นมา ไม่รู้จะไปถามใครนะคะ .... อยากจะถามว่า มาถูกทางหรือเปล่านะคะ ...คือมีอาการแบบนี้นะคะ

ช่วงแรก ๆ ก็พยายามกำหนดลมหายใจ เข้า ออก ....พุทธ โธ คะ

ต่อมา มันจะรู้สึกว่า ....ตึ็บ...อึ้ง... หูอื้อ ๆ ทั้งสองข้าง ...หัวใจเต้นแรง ตึบ ๆ ...ไม่ได้ยินอะไร ความรู้สึกเหมือนหลุดไปที่ไหนที่หนี่งสักแห่ง ช่วงนั้น มันเหมือนไม่สามารถบังคับได้คะ มันเป็นไปของมันเอง

ความรู้สึกมัน ซ่า ๆ ว๊าบ ๆ ขึ้นไปทั่วทั้งศรีษะ จากล่าง ขึ้นบนนะคะ

ผ่านช่วงนี้ไป... ก็เหมือนตื่น มักจะลืมตาขึ้นมา ...แต่ดิฉันมั่นใจนะคะ ว่าไม่ได้นั่งหลับนะคะ...

กรุณา ช่วยอธิบายให้เข้าใจได้ไหมคะ ว่า ...ที่เป็นแบบนี้ เขาเรียกว่าอะไร ดิฉันทำได้ถูกวิธีไหมคะ จะสามารถพัฒนาได้ หรือเปล่า มีแนวทางอย่างไรบ้างคะ


อโศกว่าเป็นอัตตาไหม แล้วควรทำอย่างไร :b14:

:b12:
เป็นอัตตา
เผลอเข้าสมาธิ ปีติกำลังเกิด
:b16:


ท่องจำอยู่ตัวเดียว ปีติๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 106 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร