วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 05:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ค. 2014, 21:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ตามทฤษฎี ก็เป็นอย่างที่อโศกะว่ามานั้นแหละครับ. อันนี้ก็น่าจะทราบกันเป็นสาธารณะอยู่แล้ว

ถ้าเป็นความรู้สึกที่พบมาจริง จะบอกได้ว่าอาการที่บ่งบอกว่า รู้ทันสภาวะตามความเป็นจริงนั้น
"ความเป็นจริงนั้นคืออะไร"??

ในหนึ่งเสี้ยววินาทีนั้น จะเล่าขยายเป็นชัวโมงก็ได้ ย่อความรู้สึกนึกคิดทั้งชั่วโมงลงมาเหลือเสี้ยววินาทีก็ได้. อันนี้เป็นธรรมดาของการรู้

:b38:
กบถามได้ดี และคงมีธงของตนเองไว้แล้ว
:b27:
เห็นธรรมตามความเป็นจริงก็คือ "รู้หรือเห็นตามที่มันเป็น"

นี่อย่างสั้น

:b39:

อย่างกลาง

ความเป็นจริงของธรรม คือ "ตถตา"....มันเป็นเช่นนั้นเอง
:b44:
มันเป็นเช่นนั้นเอง...ก็เนื่องด้วยอำนาจกระทำกันของเหตุและปัจจัย

เกิดและดับ ด้วยอำนาจของเหตุและปัจจัย

ตอนที่ไปรู้เห็นธรรมนั้นไม่มีเราไปปรุงแต่งสภาวธรรมนั้น (ความนึกคิดปรุงแต่งพักไปชั่วคราว ชั่วขณะ)
:b43:
หลังจากนั้นวิตกวิจารณ์ทำงานแล้วจึงรู้ซึ้งขึ้นมาในจิตอีกตามพุทธดำรัสที่สรุปไว้ว่า

"สัพเพธัมมา อนัตตา" ....สิ่งทั้งหมดทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน ไร้แก่นสาร บังคับบัญชาไม่ได้



อ้างคำพูด:
เห็นธรรมตามความเป็นจริงก็คือ "รู้หรือเห็นตามที่มันเป็น"


แน่ะๆ สำนวนนี้เพิ่งเคยเห็นพูด :b1: :b32:

อโศกรู้เห็นตามที่มันเป็นของมัน มันเป็นแบบๆนี้ใช่ไหม :b10:

อ้างคำพูด:
ฝึกนั่งสมาธิด้วยตนเองมาได้ระยะหนึ่งแล้วค่ะ ช่วงแรกจะรู้สึกเหมือนบังคับให้ตัวเองหลับตา พอผ่านไปสักครู่ใหญ่ๆจะรู้สึกว่านั่งได้เรื่อยๆ ช่วงนี้ ถ้ามีเสียงอะไรดังๆ จะสะดุ้งตกใจง่าย

ต่อจากนั้นจะรู้สึกว่า มือที่วางบนตักมันหายไป เหมือนไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น เหมือนไม่มีอะไรเลยแล้วมีอาการขนลุกเย็นวาบตั้งแต่หัวจรดเท้า ช่วงที่ทำสมาธิในชีวิตประจำวัน คือ นั่งนิ่งๆ ดูจิตตัวเองแล้วจะเย็นวาบขนลุก หรือ จะเกิดขึ้นตอนฟังเสียงสวดมนต์ ตอนนี้ไม่แน่ใจว่าคิดไปเอง หรือเกิดจากความเย็นของอากาศ ( แต่อากาศก็ไม่ได้เย็นนะคะ ) หรือ เพราะ ทำสมาธิกันแน่

กลับไปลองนั่งปฏิบัติใหม่ค่ะคราวนี้ เลยความรู้สึกว่ามือหายไปมาแล้วคราวนี้ หายใจเข้า นับหนึ่ง หายใจออกนับหนึ่ง หายใจเข้านับสอง หายใจออกนับสอง ครบสองร้อยครั้ง เหมือนเราจะลอยขึ้นข้างบนค่ะ แต่ติดที่กายเนื้ออยู่หลายรอบค่ะ เหมือนจะลอยขึ้น หัวเหมือนจะผงะ ไปข้างหลัง เหมือนจะลอยขึ้นให้ได้

หลังจากนั้น กองลมที่เราหายใจเข้าและออก ดูใหญ่ขึ้น ทรงพลังกว่าเคย เต็มปอดกว่าเคย เหมือนเป็นก้อน ลมหายใจใหญ่ๆอย่างนั้นแล้ว เราก็รู้สึกว่า ตัวเราใหญ่ขึ้น แบบ พองออก พองออก ตอนที่รู้สึกว่า จะลอยขึ้นนั้น เหมือนการหายใจ ช่วยดึงเราขึ้นไปเรื่อยๆเหมือนพยายาม หลุดจากอะไรสักอย่าง ตัวยืดขึ้น ถ้าหลุดได้ คงหลุดผลัวะ ขึ้นข้างบนแน่ๆเลยค่ะ แล้วตอนรู้สึกว่าตัวเองพองออก เหมือนเราเป็นยักษ์เลยค่ะ ยักษ์ที่มีหน้าใหญ่ๆ แขนขา ตัว ใหญ่ๆ ลมหายใจเป็นก้อน ทรงพลังมหึมา ที่วนอยู่ในกายของเราอย่างงั้นเลยค่ะ

หลังจากนั้น เหมือนจะนั่งสมาธิไม่ค่อยนานค่ะ อาจจะเพราะ เสียงดังรบกวนเยอะไม่รู้ว่าที่ปฏิบัติมาถูกทางหรือยังคะ รบกวนผู้รู้ช่วยแนะนำ และให้กำลังใจหน่อยค่ะ เหมือนเราไม่มีบุญพอที่จะได้กรรมฐานกับเค้าในชาตินี้เลย

:b16: :b16:
ที่เล่าและถามมาทั้งหมดนี้เรียกว่า "รู้เห็นตามที่มันปรุง"
:b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2014, 05:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
ตามทฤษฎี ก็เป็นอย่างที่อโศกะว่ามานั้นแหละครับ. อันนี้ก็น่าจะทราบกันเป็นสาธารณะอยู่แล้ว

ถ้าเป็นความรู้สึกที่พบมาจริง จะบอกได้ว่าอาการที่บ่งบอกว่า รู้ทันสภาวะตามความเป็นจริงนั้น
"ความเป็นจริงนั้นคืออะไร"??

ในหนึ่งเสี้ยววินาทีนั้น จะเล่าขยายเป็นชัวโมงก็ได้ ย่อความรู้สึกนึกคิดทั้งชั่วโมงลงมาเหลือเสี้ยววินาทีก็ได้. อันนี้เป็นธรรมดาของการรู้

:b38:
กบถามได้ดี และคงมีธงของตนเองไว้แล้ว
:b27:
เห็นธรรมตามความเป็นจริงก็คือ "รู้หรือเห็นตามที่มันเป็น"

นี่อย่างสั้น

:b39:

อย่างกลาง

ความเป็นจริงของธรรม คือ "ตถตา"....มันเป็นเช่นนั้นเอง
:b44:
มันเป็นเช่นนั้นเอง...ก็เนื่องด้วยอำนาจกระทำกันของเหตุและปัจจัย

เกิดและดับ ด้วยอำนาจของเหตุและปัจจัย

ตอนที่ไปรู้เห็นธรรมนั้นไม่มีเราไปปรุงแต่งสภาวธรรมนั้น (ความนึกคิดปรุงแต่งพักไปชั่วคราว ชั่วขณะ)
:b43:
หลังจากนั้นวิตกวิจารณ์ทำงานแล้วจึงรู้ซึ้งขึ้นมาในจิตอีกตามพุทธดำรัสที่สรุปไว้ว่า

"สัพเพธัมมา อนัตตา" ....สิ่งทั้งหมดทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน ไร้แก่นสาร บังคับบัญชาไม่ได้



อ้างคำพูด:
เห็นธรรมตามความเป็นจริงก็คือ "รู้หรือเห็นตามที่มันเป็น"


แน่ะๆ สำนวนนี้เพิ่งเคยเห็นพูด :b1: :b32:

อโศกรู้เห็นตามที่มันเป็นของมัน มันเป็นแบบๆนี้ใช่ไหม :b10:

อ้างคำพูด:
ฝึกนั่งสมาธิด้วยตนเองมาได้ระยะหนึ่งแล้วค่ะ ช่วงแรกจะรู้สึกเหมือนบังคับให้ตัวเองหลับตา พอผ่านไปสักครู่ใหญ่ๆจะรู้สึกว่านั่งได้เรื่อยๆ ช่วงนี้ ถ้ามีเสียงอะไรดังๆ จะสะดุ้งตกใจง่าย

ต่อจากนั้นจะรู้สึกว่า มือที่วางบนตักมันหายไป เหมือนไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น เหมือนไม่มีอะไรเลยแล้วมีอาการขนลุกเย็นวาบตั้งแต่หัวจรดเท้า ช่วงที่ทำสมาธิในชีวิตประจำวัน คือ นั่งนิ่งๆ ดูจิตตัวเองแล้วจะเย็นวาบขนลุก หรือ จะเกิดขึ้นตอนฟังเสียงสวดมนต์ ตอนนี้ไม่แน่ใจว่าคิดไปเอง หรือเกิดจากความเย็นของอากาศ ( แต่อากาศก็ไม่ได้เย็นนะคะ ) หรือ เพราะ ทำสมาธิกันแน่

กลับไปลองนั่งปฏิบัติใหม่ค่ะคราวนี้ เลยความรู้สึกว่ามือหายไปมาแล้วคราวนี้ หายใจเข้า นับหนึ่ง หายใจออกนับหนึ่ง หายใจเข้านับสอง หายใจออกนับสอง ครบสองร้อยครั้ง เหมือนเราจะลอยขึ้นข้างบนค่ะ แต่ติดที่กายเนื้ออยู่หลายรอบค่ะ เหมือนจะลอยขึ้น หัวเหมือนจะผงะ ไปข้างหลัง เหมือนจะลอยขึ้นให้ได้

หลังจากนั้น กองลมที่เราหายใจเข้าและออก ดูใหญ่ขึ้น ทรงพลังกว่าเคย เต็มปอดกว่าเคย เหมือนเป็นก้อน ลมหายใจใหญ่ๆอย่างนั้นแล้ว เราก็รู้สึกว่า ตัวเราใหญ่ขึ้น แบบ พองออก พองออก ตอนที่รู้สึกว่า จะลอยขึ้นนั้น เหมือนการหายใจ ช่วยดึงเราขึ้นไปเรื่อยๆเหมือนพยายาม หลุดจากอะไรสักอย่าง ตัวยืดขึ้น ถ้าหลุดได้ คงหลุดผลัวะ ขึ้นข้างบนแน่ๆเลยค่ะ แล้วตอนรู้สึกว่าตัวเองพองออก เหมือนเราเป็นยักษ์เลยค่ะ ยักษ์ที่มีหน้าใหญ่ๆ แขนขา ตัว ใหญ่ๆ ลมหายใจเป็นก้อน ทรงพลังมหึมา ที่วนอยู่ในกายของเราอย่างงั้นเลยค่ะ

หลังจากนั้น เหมือนจะนั่งสมาธิไม่ค่อยนานค่ะ อาจจะเพราะ เสียงดังรบกวนเยอะไม่รู้ว่าที่ปฏิบัติมาถูกทางหรือยังคะ รบกวนผู้รู้ช่วยแนะนำ และให้กำลังใจหน่อยค่ะ เหมือนเราไม่มีบุญพอที่จะได้กรรมฐานกับเค้าในชาตินี้เลย

:b16: :b16:
ที่เล่าและถามมาทั้งหมดนี้เรียกว่า "รู้เห็นตามที่มันปรุง"
:b39:


ถ้ายังงั้น ยกตัวอย่าง รู้เห็นตามที่มันเป็น มาเทียบกันดู :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.ค. 2014, 13:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
อ้างคำพูด:
เห็นธรรมตามความเป็นจริงก็คือ "รู้หรือเห็นตามที่มันเป็น"


แน่ะๆ สำนวนนี้เพิ่งเคยเห็นพูด

อโศกรู้เห็นตามที่มันเป็นของมัน มันเป็นแบบๆนี้ใช่ไหม

อ้างคำพูด:
ฝึกนั่งสมาธิด้วยตนเองมาได้ระยะหนึ่งแล้วค่ะ ช่วงแรกจะรู้สึกเหมือนบังคับให้ตัวเองหลับตา พอผ่านไปสักครู่ใหญ่ๆจะรู้สึกว่านั่งได้เรื่อยๆ ช่วงนี้ ถ้ามีเสียงอะไรดังๆ จะสะดุ้งตกใจง่าย

ต่อจากนั้นจะรู้สึกว่า มือที่วางบนตักมันหายไป เหมือนไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น เหมือนไม่มีอะไรเลยแล้วมีอาการขนลุกเย็นวาบตั้งแต่หัวจรดเท้า ช่วงที่ทำสมาธิในชีวิตประจำวัน คือ นั่งนิ่งๆ ดูจิตตัวเองแล้วจะเย็นวาบขนลุก หรือ จะเกิดขึ้นตอนฟังเสียงสวดมนต์ ตอนนี้ไม่แน่ใจว่าคิดไปเอง หรือเกิดจากความเย็นของอากาศ ( แต่อากาศก็ไม่ได้เย็นนะคะ ) หรือ เพราะ ทำสมาธิกันแน่

กลับไปลองนั่งปฏิบัติใหม่ค่ะคราวนี้ เลยความรู้สึกว่ามือหายไปมาแล้วคราวนี้ หายใจเข้า นับหนึ่ง หายใจออกนับหนึ่ง หายใจเข้านับสอง หายใจออกนับสอง ครบสองร้อยครั้ง เหมือนเราจะลอยขึ้นข้างบนค่ะ แต่ติดที่กายเนื้ออยู่หลายรอบค่ะ เหมือนจะลอยขึ้น หัวเหมือนจะผงะ ไปข้างหลัง เหมือนจะลอยขึ้นให้ได้

หลังจากนั้น กองลมที่เราหายใจเข้าและออก ดูใหญ่ขึ้น ทรงพลังกว่าเคย เต็มปอดกว่าเคย เหมือนเป็นก้อน ลมหายใจใหญ่ๆอย่างนั้นแล้ว เราก็รู้สึกว่า ตัวเราใหญ่ขึ้น แบบ พองออก พองออก ตอนที่รู้สึกว่า จะลอยขึ้นนั้น เหมือนการหายใจ ช่วยดึงเราขึ้นไปเรื่อยๆเหมือนพยายาม หลุดจากอะไรสักอย่าง ตัวยืดขึ้น ถ้าหลุดได้ คงหลุดผลัวะ ขึ้นข้างบนแน่ๆเลยค่ะ แล้วตอนรู้สึกว่าตัวเองพองออก เหมือนเราเป็นยักษ์เลยค่ะ ยักษ์ที่มีหน้าใหญ่ๆ แขนขา ตัว ใหญ่ๆ ลมหายใจเป็นก้อน ทรงพลังมหึมา ที่วนอยู่ในกายของเราอย่างงั้นเลยค่ะ

หลังจากนั้น เหมือนจะนั่งสมาธิไม่ค่อยนานค่ะ อาจจะเพราะ เสียงดังรบกวนเยอะไม่รู้ว่าที่ปฏิบัติมาถูกทางหรือยังคะ รบกวนผู้รู้ช่วยแนะนำ และให้กำลังใจหน่อยค่ะ เหมือนเราไม่มีบุญพอที่จะได้กรรมฐานกับเค้าในชาตินี้เลย


ที่เล่าและถามมาทั้งหมดนี้เรียกว่า "รู้เห็นตามที่มันปรุง"



ถ้ายังงั้น ยกตัวอย่าง รู้เห็นตามที่มันเป็น มาเทียบกันดู
:b43:
อะไรเกิดขึ้นก็ให้รู้ทันแต่ไม่ปรุงต่อ เช่น

เจ็บก็รู้ว่าเจ็บ ร้อนก็รู้ว่าร้อน คันก็รู้ว่าคัน กลัวก็รู้ว่ากลัว สงสัยก็รู้ว่าสงสัย รู้สึกก็รู้ว่ารู้สึก นึกคิดก็รู้ว่านึกคิด คิดเรื่องอะไรไม่สนใจ ให้รู้เพียงแค่ว่าตอนนี้จิตกำลังทำงาน คิด ถ้าปรุงตามหรือคิดสังขารเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาแล้วเรียกว่าโมหะครอบงำ จะไม่ใช่รู้ตามที่มันเป็น แต่จะกลายเป็น "รู้ตามที่มันปรุง"บานปลายออกไปเรื่อยๆ สูญเสียความรู้ทันปัจจุบันอารมณ์

ข้อสังเกตง่ายๆ

ถ้ารู้ตามที่มันเป็น สติจะทันปัจจุบันอารมณ์ ความนึกคิดปรุงแต่งไปในอดีตอนาคตไม่มี

ถ้ารู้ตามที่มันปรุงจะมีเรื่องราวเกิดขึ้นเยอะแยะและสูญเสียปัจจุบันอารมณ์ไป

นี่อธิบายตามประสบการณ์จริงที่เคยสัมผัส เกรงว่าถ้ากรัชกายไม่เคยมีประสบการณ์จริงอาจเข้าใจยากเพราะเรื่องอย่างนี้มันนึกคิดให้เข้าใจตามหลักเหตุผลไม่ได้ ต้องเจอของจริงมาก่อนจึงจะเข้าใจง่าย
:b38:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร