วันเวลาปัจจุบัน 27 ส.ค. 2025, 03:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 69 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2014, 16:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ผู้ที่จะหลุดพ้นจากการยึดมั่นถือมั่นได้ต้องรู้เข้าใจ ทั้งส่วนดี -ส่วนเสีย-และทางออก ของกาม ของโลก ของขันธ์ โดยเฉพาะทางออก เหมือนคนอยู่ในที่คุมขัง เห็นโทษแล้ว แต่ไม่รู้หนทางออกไปจากโทษนั้น ก็ดิ้นรนอยู่ที่ที่คุมขังนั้น


ผู้ที่จะตรัสรู้ได้นั้น ต้องเข้าใจทั้งส่วนดีหรือส่วนที่น่าชื่นชม (อัสสาทะ) ส่วนเสียหรือส่วนที่เป็นโทษ (อาทีนพ) และทางปลอดพ้น (นิสสรณะ) ของกาม ของโลก ของขันธ์ ๕ มองเห็นส่วนดีว่าเป็นส่วนดี มองเห็นส่วนเสียว่าเป็นส่วนเสีย มองเห็นทางปลอดพันว่าเป็นทางปลอดพ้น แต่ที่ละกาม หายติดใจในโลก เลิกยึดขันธ์ ๕ เสีย ก็เพราะมองเห็นทางปลอดพ้นเป็นอิสระ (นิสสรณะ) ซึ่งจะทำให้อยู่ดีมีสุขได้โดยไม่ต้องขึ้นต่อส่วนดี และส่วนเสียเหล่านั้น อีกทั้งเป็นการอยู่ดีมีสุขที่ประเสริฐกว่า ประณีตกว่า อีกด้วย (ม.มู.12/196-208/168-178 ฯลฯ)

อัสสาทะ อาทีนาวะ นิสรณะ

คำว่า อัสสาทะ หมายถึง สิ่งที่น่าใคร่ น่ายินดี พอใจ ในวัตถุกาม (รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส)
ถ้าหากเรามีความต้องการวัตถุกามอย่างใดอย่างหนึ่ง
ถ้าสิ่งนั้นสำเร็จตามความปรารถนาก็ทำให้เกิดความยินดี
ความยินดีนั้นเรียกว่า อัสสาทะ เป็น สุขโสมนัส (สุขกายสุขใจ)
เกิดปลื้มปีติยินดี มีความสุขโสมนัสเพราะได้ในสิ่งที่ต้องการ
อย่างไรก็ตามเมื่อเมื่อได้วัตถุกามมาสมปรารถนาแล้วใจก็ยังมีความปิติยินดีอยู่ ยังมองไม่เห็นโทษ

อาทีนวะ หมายถึง โทษของกาม หมายความว่าความเกิดโทมนัสเสียใจเพราะความล้มเหลว
ไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตนปรารถนา หรือว่าได้ตามความปรารถนาแล้ว แต่มันเสื่อมสลายไป
ก็เกิดความทุกข์ ความทุกข์นั้นท่านเรียกว่า อาทีนวะ

เพราะฉะนั้น อัสสาทะ กับ อาทีนวะ จึงเป็นเหรียญคนละด้าน
หรือความรักของสามีและภรรยา ตอนแรกๆเป็นอัสสาทะ แต่พอนานๆไปมันก็กลาย
เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนไปในที่สุดก็เลยกลายเป็นอาทีนวะ

นิสรณะ คือเครื่องนำออกจากทุกข์ ได้แก่ มรรค ผล นิพพาน
เป็นสิ่งที่นำออกจาก อัสสาทะ และ อาทีนวะ ทั้งสองอย่าง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2014, 20:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สังขารหรือเบญจขันธ์ ซึ่งรวมคนหมดตัวแล้วทั้งกายและใจ เป็นอนิจจา ทุกขา และอนัตตา เป็นไตรลักษณ์ครบทั้ง ๓ เป็นเรื่องของสภาวะตามธรรมดาของธรรมชาติทั้งนั้น ไม่ต้องมีตัวคนเข้าไปยุ่งเกี่ยว มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น จึงยังไม่มาเข้าในเรื่องของอริยสัจ (ทั้งที่ทุกข์/ทุกขา ก็มีอยู่ในไตรลักษณ์)


ก็คำถามต่อไปว่า แล้วเมื่อไรล่ะ เบญจขันธ์ หรือขันธ์ ๕ จึงจะมาเป็นทุกข์ในอริยสัจ ก็ตอบว่า เมื่อมันกลายเป็นเบญจอุปาทานขันธ์ หรือเป็นอุปาทานขันธ์ ๕


อุปาทานขันธ์ ๕ คือ อะไร ? ก็คือ ขันธ์ ๕ ที่เกิดจากอุปาทาน เป็นที่วุ่นวายของอุปาทาน หรือที่รับใช้อุปาทาน ก็ได้ทั้งนั้น เป็นเรื่องอวิชชา ตัณหา อุปาทาน อันนี้แหละ คือ ทุกข์ที่เป็นอริยสัจข้อ ๑ ในอริยสัจ ๔


เมื่อได้ความเข้าใจเป็นพื้นฐานที่จะมองแล้ว ก็มาศึกษาพุทธพจน์ที่ตรัสในเรื่องนี้ เริ่มตั้งแต่ดูความแตกต่างระหว่าง ขันธ์ ๕ กับ อุปาทานขันธ์ ๕ ดังนี้


"ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงขันธ์ ๕ และอุปาทานขันธ์ ๕ เธอทั้งหลายจงฟัง"

"ขันธ์ ๕ เป็น ไฉน ? รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ อันใดอันหนึ่ง ทั้งที่ เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน เป็นภายในก็ตาม ภายนอกก็ตาม หยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม ทรามก็ตาม ประณีตก็ตาม ไกลหรือใกล้ก็ตาม ....เหล่านี้ เรียกว่า ขันธ์ ๕"


"อุปาทานขันธ์ ๕ เป็น ไฉน? รูป...เวทนา...สัญญา...สังขาร...วิญญาณ อันใดอันหนึ่ง ทั้งที่เป็น อดีต อนาคต ปัจจุบัน เป็นภายในก็ตาม ภายนอกก็ตาม หยาบก็ ตาม ละเอียดก็ตาม ทรามก็ตาม ประณีตก็ตาม ไกลหรือใกล้ก็ตาม ที่ประกอบด้วยอาสวะ (สาสวะ) เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน (อุปาทานิยะ) เหล่านี้ เรียกว่า อุปาทานขันธ์ ๕"


ถ้าสังเกตจะเห็นว่า เวลาพระพุทธเจ้าแสดงไตรลักษณ์ จะพูดเป็นประจำว่า ขันธ์ ๕ เป็นอนิจจา เป็นทุกขา เป็นอนัตตา เพราะเป็นเรื่องความจริงของสภาวะตามธรรมดาในธรรมชาติ ว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่พูดว่า อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นอนิจจา เป็นทุกขา เป็นอนัตตา เพราะรวมอยู่แล้วในขันธ์ ๕ ที่พูดนั้น ไม่ต้องพูดต่างหาก เพียงแต่ว่า ใครไปยึดขันธ์ ๕ ที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตานั้นเข้า ก็กลายเป็นอุปาทานขันธ์ ๕ เกิดเป็นทุกข์ขึ้นมา


ตัวอย่างที่ตรัสถึงขันธ์ ๕ ตามหลักไตรลักษณ์


"ภิกษุทั้งหลาย รูปไม่เที่ยง (อนิจจัง) เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง...

"ภิกษุทั้งหลาย รูป ปัจจัยบีบคั้นคงสภาพอยู่มิได้ (ทุกข์) เวทนา... สัญญา... สังขารทั้งหลาย... วิญญาณ ปัจจัยบีบคั้นคงสภาพอยู่มิได้"...

"ภิกษุทั้งหลาย รูป ไม่เป็นตัวตน (อนัตตา) เวทนา... สัญญา... สังขารทั้งหลาย... วิญญาณ ไม่เป็นตัวตน อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้ เมื่อเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมหายติดแม้ในรูป....แม้ในเวทนา....แม้ในสังขารสัญญา....แม้ในสังขารทั้ง หลาย....แม้ในวิญญาณ เมื่อหายติด (นิพพิทา) ย่อมคลายออก (วิราคะ) เพราะคลายอออก ย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้น ย่อมมีญาณว่า หลุดพ้นแล้ว ย่อมรู้ชัดว่า สิ้นกำเนิด จบพรหมจรรย์ เสร็จกรณีย์ ไม่มีกิจอื่นอีกเพื่อภาวะเช่นนี้"


พอรู้เข้าใจเบญจขันธ์ หรือบรรดาสังขาร ตามหลักไตรลักษณ์อย่างนี้ เห็นความจริงชัดแล้ว ก็ไม่เกิดเป็นอุปาทานขันธ์ขึ้นมา หรือเลิกเป็นอุปาทานขันธ์ แต่ตรงข้าม กลายเป็นหลุดพ้นอิสระ หมดปัญหา สว่างสดใส เบิกบาน ไม่เกิดมีทุกข์อีกต่อไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2014, 20:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


ผู้ที่เคยสวดหรือฟังพระสูตรหมุนธรรมจักร ที่แสดงอริยสัจ ๔ แก่เบญจวัคคีย์ คงจำได้หรือนึกออกว่า พระพุทธเจ้าตรัสความหมายของอริยสัจข้อที่ ๑ คือ ทุกข์ ค่อนข้างยาว และเราก็ถือกันเป็นหลักทำนองคำจำกัดความของทุกขอริยสัจนั้นว่า


"ภิกษุ ทั้งหลาย ก็นี้แลคือทุกขอริยสัจ ความเกิด ก็เป็นทุกข์ ความแก่ ก็เป็นทุกข์ ความเจ็บ ก็เป็นทุกข์ ความตาย ก็เป็นทุกข์ ความประจวบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นนั้น ก็เป็นทุกข์ โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์"


ข้อ พึงสังเกตให้ชัดก็คือ คำสรุปความหมายตอนลงท้ายที่ว่า โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์" (สงฺขิตฺเตน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา) ตรงนี้เป็นสาระสำคัญ คือ ที่ว่านั่นก็ทุกข์ นี่ก็ทุกข์ นั้น รวมความแล้ว ก็อยู่แค่ที่ว่า อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์


แล้วก็ให้สังเกตต่อไปอีกว่า พระธรรมจักรที่แสดงแก่เบญจวัคคีย์นี้ เป็นปฐมเทศนา ไม่เคยมีใครได้ฟังมาก่อน พูดง่ายๆว่า ผู้ฟัง ไม่มีพื้นมาเลยที่จะรู้จักแม้แต่คำว่า ทุกข์ ในความหมายของพระพุทธศาสนา ทีนี้ จะขอให้เทียบกับพระสูตรที่แสดงอริยสัจในเวลาต่อมา


ครั้งหนึ่ง เมื่อประทับที่เมืองสาวัตถี (แสดงว่านานหลังจากปฐมเทศนา) พระพุทธเจ้าตรัสอริยสัจครบทั้งหมดแก่พระภิกษุสงฆ์ (แสดงว่าผู้ฟังมีพื้น) จะยกมาให้ดูว่า พระองค์ตรัสความหมายของทุกข์ ตรงไปที่อุปาทานขันธ์ ๕ อย่างเดียว ไม่มีอย่างอื่นเลย ดังนี้


ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงทุกข์ ทุกขสมุทัย ทุกขนิโรธ และทุขนิโรธคามินีปฏิปทา แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง...



ภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกข์ เป็นไฉน? ทุกข์นั้น พึงกล่าวว่า คืออุปาทานขันธ์ ๕ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นไฉน? คือ รูปอุปาทานขันธ์ ๑ เวทนาอุปาทานขันธ์ ๑ สัญญาอุปาทานขันธ์ ๑ สังขารอุปาทานขันธ์ ๑ วิญญาณอุปาทานขันธ์ ๑ ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ทุกข์.


ภิกษุทั้งหลาย ทุกขสมุทัย เป็น ไฉน ? คือ ตัณหา อันนำให้มีภพใหม่ ประกอบด้วยนันทิ ราคะ ครุ่นใคร่ใฝ่หาในอารมณ์นั้น ๆ ได้แก่ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ทุกขสมุทัย


ภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขนิโรธ เป็น ไฉน ? คือ ความจางคลายดับไปไม่เหลือ แห่งตัณหานั่นแล ความสละ ความไถ่ถอนเสียได้ ความหลุดพ้น ความไม่ติดค้าง ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธ


ภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เป็น ไฉน ? คือ อริยมรรค ประกอบด้วยองค์ ๘ นี้กล่าวคือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ ภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา


เมื่อเทียบตามพุทธพจน์นี้แล้ว ทำให้มองได้ว่า ที่ตรัสในปฐมเทศนา เป็นต้น ว่านั่นก็เป็นทุกข์ นี่ก็เป็นทุกข์ มากหลายอย่างนั้น เป็นการยกสภาพต่างๆ ที่คนทั่วไปรู้เข้าใจพูดจานึกกันว่านั่นๆ คือ ทุกข์ เอามานำความเข้าใจเสียก่อน แล้วจึงมาถึงตัวสาระของความหมายที่แท้จริง คืออุปาทานขันธ์ ๕ ซึ่งถ้าพูดขึ้นมาเดี่ยวๆทันที คนทั่วไป ซึ่งไม่มีพื้นความรู้ จะไม่เข้าใจเลย



เพราะ ฉะนั้น จึงเป็นไปได้ว่า ในกรณีอื่นๆ หรือในการแสดงธรรมครั้งอื่น บางครั้ง พระพุทธเจ้า อาจยกตัวอย่างทุกข์ หรือปัญหาของมนุษย์อย่างอื่นๆ มาแสดงว่าเป็นทุกข์ หรือสำหรับคนทั่วไป ไม่ว่าเขาจะพูดถึงนึกถึงทุกข์นึกถึงปัญหาอะไรของคน ก็ว่ากันไป สุดแต่จะนึกขึ้นมา แต่ในที่สุดก็มาถึงตัวจริง ที่ชี้ว่าทั้งหมดทั้งปวงนั้น ก็อยู่ที่อุปาทานขันธ์ ๕ อันนี้เอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2014, 21:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้นวิจารณ์หน่อย มั่วไหม :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2014, 21:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้นวิจารณ์หน่อย มั่วไหม :b32:

การยกพุทธพจน์ที่ดีมา และปนมั่วๆ เอง
ย่อมเป็นธรรมดาของผู้ที่ไม่รู้จักแยกแยะ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2014, 21:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้นวิจารณ์หน่อย มั่วไหม :b32:

การยกพุทธพจน์ที่ดีมา และปนมั่วๆ เอง
ย่อมเป็นธรรมดาของผู้ที่ไม่รู้จักแยกแยะ



ก็ว่าไปมั่งซี่ เอาแต่ว่า มั่ว ไม่รู้จักแยกแยะ โง่ บ้า ฯลฯ อะไรนักก็ไม่รู้ มีดีอะไรก็เอามาโชว์มั่งฮี่ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2014, 21:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้นวิจารณ์หน่อย มั่วไหม :b32:

การยกพุทธพจน์ที่ดีมา และปนมั่วๆ เอง
ย่อมเป็นธรรมดาของผู้ที่ไม่รู้จักแยกแยะ



ก็ว่าไปมั่งซี่ เอาแต่ว่า มั่ว ไม่รู้จักแยกแยะ โง่ บ้า ฯลฯ อะไรนักก็ไม่รู้ มีดีอะไรก็เอามาโชว์มั่งฮี่ :b32:

ไปจำมาจากไหนครับ
พระพุทธองค์ แสดงหลักไตรลักษณ์ ด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
นั่นล่ะมั่ว
เอาของดี มาครอบของมั่วไว้ทำไม ....

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2014, 21:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้นวิจารณ์หน่อย มั่วไหม :b32:

การยกพุทธพจน์ที่ดีมา และปนมั่วๆ เอง
ย่อมเป็นธรรมดาของผู้ที่ไม่รู้จักแยกแยะ



ก็ว่าไปมั่งซี่ เอาแต่ว่า มั่ว ไม่รู้จักแยกแยะ โง่ บ้า ฯลฯ อะไรนักก็ไม่รู้ มีดีอะไรก็เอามาโชว์มั่งฮี่ :b32:

ไปจำมาจากไหนครับ
พระพุทธองค์ แสดงหลักไตรลักษณ์ ด้วย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
นั่นล่ะมั่ว
เอาของดี มาครอบของมั่วไว้ทำไม ....



ก็ให้ว่าไป เออ คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2018, 14:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


316 อุปาทานกับอุปาทานขันธ์ ๕

ปัญหา อุปาทานกับอุปาทานขันธ์ ๕ เป็นอันเดียวกันหรือต่างกัน ?

พุทธดำรัสตอบ “.....ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุปาทานก็อันนั้น และ อุปาทานขันธ์ ๕ ก็อันนั้น หามิได้ และอุปาทานเป็นอื่นจากอุปาทานขันธ์ ๕ ก็หามิได้ แต่ความยินดีและความกำหนัดในอุปาทานขันธ์ ๕ นั้นแลเป็นอุปาทาน”

ปุณณมสูตร ขันธ. สํ. (๑๘๔)
ตบ. ๑๗ : ๑๒๒ ตท. ๑๗ : ๑๐๘
ตอ. K.S. ๓ : ๘๕

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 69 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร