วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 05:09  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 45, 46, 47, 48, 49, 50, 51 ... 62  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 17 มิ.ย. 2014, 21:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ผมไม่ได้ถามว่า...มันไปเห็นอริยะสัจอย่างไร....แต่ถามอโศกะว่า...ประสพการณ์ของอโศกะนั่น...มีตัวอย่างที่จิต...ไปเห็นทุกข์..เหตุให้เกิดทุกข์..และ..ความดับทุกข์...อย่างไร


โพสต์ เมื่อ: 18 มิ.ย. 2014, 11:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


smiley
เห็นทุกข์และเหตุทุกข์ตอนนิ่งรู้นิ่งสังเกตความปวดเก้าท์

เห็นเหตุทุกข์ดับหลังจากเบื่อหน่ายในก้อนขันธ์ที่ปวดเก้าท์แบบถอย หนี หลบไปไหนไม่ได้เลย ต้องเผชิญหน้าสู้กับทุกข์อย่างเดียวจนตัวกูใจกูมันหลุดไป สุขหรือนิโรธมันขึ้นมาแทนในทันทีทันใด คล้ายคนวางหาบของหนักลงจากบ่าแล้วไม่กลับไปแบกอีกเพราะความเข็ดขยาด

เหตุการณ์นี้จำได้แม่นเกิดเมื่อแรม 14 ค่ำเดือน 6 ปี 2547 หลังวันวิสาขะบูชา 1 สัปดาห์

ตอนที่เหตุทุกข์เขาหายไป ในกายนี้มันกลวงโบ๋ไร้ผู้รับอยูเป็นหลายวัน ผู้รับที่มาใหม่ทีหลังก็ไม่เหมือนคนเดิม สุขุมคัมภีรภาพมากกว่า ไม่ทะลุดุดัน
onion onion onion onion onion


โพสต์ เมื่อ: 18 มิ.ย. 2014, 14:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
smiley
เห็นทุกข์และเหตุทุกข์ตอนนิ่งรู้นิ่งสังเกตความปวดเก้าท์

เห็นเหตุทุกข์ดับหลังจากเบื่อหน่ายในก้อนขันธ์ที่ปวดเก้าท์แบบถอย หนี หลบไปไหนไม่ได้เลย ต้องเผชิญหน้าสู้กับทุกข์อย่างเดียวจนตัวกูใจกูมันหลุดไป สุขหรือนิโรธมันขึ้นมาแทนในทันทีทันใด คล้ายคนวางหาบของหนักลงจากบ่าแล้วไม่กลับไปแบกอีกเพราะความเข็ดขยาด

เหตุการณ์นี้จำได้แม่นเกิดเมื่อแรม 14 ค่ำเดือน 6 ปี 2547 หลังวันวิสาขะบูชา 1 สัปดาห์

ตอนที่เหตุทุกข์เขาหายไป ในกายนี้มันกลวงโบ๋ไร้ผู้รับอยูเป็นหลายวัน ผู้รับที่มาใหม่ทีหลังก็ไม่เหมือนคนเดิม สุขุมคัมภีรภาพมากกว่า ไม่ทะลุดุดัน


นึกว่าอะไร ปวดโรคเก๊า :b1:

ฟังอโศกเล่าแล้ว นึกถึงเจ้าสำนักกินผัก เล่าว่า เขาบรรลุพระอรหันต์ตอนยืนเยี่ยว :b1:


ที่นี่เขาเป็นโสดาบันกันเยอะแยะเลย :b1:

http://www.antiwimutti.net/forum/index.php?topic=2077.0

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 18 มิ.ย. 2014, 19:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
smiley
เห็นทุกข์และเหตุทุกข์ตอนนิ่งรู้นิ่งสังเกตความปวดเก้าท์

เห็นเหตุทุกข์ดับหลังจากเบื่อหน่ายในก้อนขันธ์ที่ปวดเก้าท์แบบถอย หนี หลบไปไหนไม่ได้เลย ต้องเผชิญหน้าสู้กับทุกข์อย่างเดียวจนตัวกูใจกูมันหลุดไป สุขหรือนิโรธมันขึ้นมาแทนในทันทีทันใด คล้ายคนวางหาบของหนักลงจากบ่าแล้วไม่กลับไปแบกอีกเพราะความเข็ดขยาด

เหตุการณ์นี้จำได้แม่นเกิดเมื่อแรม 14 ค่ำเดือน 6 ปี 2547 หลังวันวิสาขะบูชา 1 สัปดาห์

ตอนที่เหตุทุกข์เขาหายไป ในกายนี้มันกลวงโบ๋ไร้ผู้รับอยูเป็นหลายวัน ผู้รับที่มาใหม่ทีหลังก็ไม่เหมือนคนเดิม สุขุมคัมภีรภาพมากกว่า ไม่ทะลุดุดัน


นึกว่าอะไร ปวดโรคเก๊า :b1:

ฟังอโศกเล่าแล้ว นึกถึงเจ้าสำนักกินผัก เล่าว่า เขาบรรลุพระอรหันต์ตอนยืนเยี่ยว :b1:


ที่นี่เขาเป็นโสดาบันกันเยอะแยะเลย :b1:

http://www.antiwimutti.net/forum/index.php?topic=2077.0

s004 s004 s004
นึกได้แต่เรื่องที่เป็นอกุศลและเพ่งจับผิดผู้อื่นนะกรัชกาย

คนบรรลุธรรมเป็นโสดาบันในส้วมยังมีเลย เพราะการบรรลุธรรมเป็นอะกาลิโก

กรัชกายคงบรรลุธรรมในกองตำราและคำศัพท์ละมั้ง จึงได้ชอบพูดมาก ถามมาก
:b17: :b13: :b13: :b13:


โพสต์ เมื่อ: 18 มิ.ย. 2014, 19:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
smiley
เห็นทุกข์และเหตุทุกข์ตอนนิ่งรู้นิ่งสังเกตความปวดเก้าท์

เห็นเหตุทุกข์ดับหลังจากเบื่อหน่ายในก้อนขันธ์ที่ปวดเก้าท์แบบถอย หนี หลบไปไหนไม่ได้เลย ต้องเผชิญหน้าสู้กับทุกข์อย่างเดียวจนตัวกูใจกูมันหลุดไป สุขหรือนิโรธมันขึ้นมาแทนในทันทีทันใด คล้ายคนวางหาบของหนักลงจากบ่าแล้วไม่กลับไปแบกอีกเพราะความเข็ดขยาด

เหตุการณ์นี้จำได้แม่นเกิดเมื่อแรม 14 ค่ำเดือน 6 ปี 2547 หลังวันวิสาขะบูชา 1 สัปดาห์

ตอนที่เหตุทุกข์เขาหายไป ในกายนี้มันกลวงโบ๋ไร้ผู้รับอยูเป็นหลายวัน ผู้รับที่มาใหม่ทีหลังก็ไม่เหมือนคนเดิม สุขุมคัมภีรภาพมากกว่า ไม่ทะลุดุดัน


นึกว่าอะไร ปวดโรคเก๊า :b1:

ฟังอโศกเล่าแล้ว นึกถึงเจ้าสำนักกินผัก เล่าว่า เขาบรรลุพระอรหันต์ตอนยืนเยี่ยว :b1:


ที่นี่เขาเป็นโสดาบันกันเยอะแยะเลย :b1:

http://www.antiwimutti.net/forum/index.php?topic=2077.0



นึกได้แต่เรื่องที่เป็นอกุศลและเพ่งจับผิดผู้อื่นนะกรัชกาย

คนบรรลุธรรมเป็นโสดาบันในส้วมยังมีเลย เพราะการบรรลุธรรมเป็นอะกาลิโก

กรัชกายคงบรรลุธรรมในกองตำราและคำศัพท์ละมั้ง จึงได้ชอบพูดมาก ถามมาก


ขำอโศกบรรลุธรรมเพราะโรคเก๊า :b1: :b32: หากินง่ายนะ ทุกวันนี้คงหายจากโรคเก๊าแล้วสิ :b13: บรรยายซะเลิศหรูเชีย

ถามจริงๆนะขอรับ ตอบจากใจนะ เพราะเหตุใดอโศกจึงดิ้นรนกระวนกระวายอยากบรรลุธรรมอะไรที่ว่านี้นักอ่ะ :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2014, 07:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เหตุจากอวิชชา ที่มีอยู่

เป็นปัจจัยให้ ไม่รู้ชัดใน ผัสสะ ที่เกิดขึ้น

เป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา ก็ยังไม่รู้

เป็นปัจจัยให้เกิด ตัณหา ก็ยังไม่รู้

เป็นปัจจัยให้เกิด อุปทาน ก็ยังไม่รู้

เป็นปัจจัยให้ภพ มีบังเกิดขึ้น ก็ยังไม่รู้

ติดกับดักของอุปกิเลส ก็ยังไม่รู้


เมื่อพระสารีบุตร นำเรื่อง "อนาคามี" ไปแสดง

พระพุทธเจ้า ทรงตรัสว่า

"ดูกรสารีบุตร พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกที่ไม่ได้ฟังธรรมบรรยายนี้ ได้พากันฉิบหายเสียแล้ว ฯ"


พระพุทธเจ้า ทรงตรัสกับพระสารีบุตร

[๒๘๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถีสมัยนั้นแล ท่านพระ
สารีบุตรอยู่ที่ปราสาทของนางวิสาขา มิคารมารดาในบุพพาราม ใกล้พระนคร
สาวัตถี ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรได้เรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรผู้มีอายุ
ทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นตอบรับท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เราจักแสดงบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายใน และบุคคลที่มี
สังโยชน์ในภายนอก ท่านทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้น
ตอบรับท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า

ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ก็บุคคลที่มีสังโยชน์ในภายในเป็นไฉน ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
เป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วในปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปรกติเห็นภัยใน
โทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย

เมื่อแตกกายตายไปภิกษุนั้นย่อมเข้าถึงหมู่เทพหมู่ใดหมู่หนึ่ง ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว
เป็นอนาคามีกลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ นี้เรียกว่าบุคคลผู้มีสังโยชน์ในภายใน
เป็นอนาคามี กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ ฯ


ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ก็บุคคลผู้มีสังโยชน์ในภายนอกเป็นไฉน ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
เป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วในพระปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วย
อาจาระและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ใน
สิกขาบททั้งหลาย ภิกษุนั้นย่อมบรรลุเจโตวิมุติอันสงบอย่างใดอย่างหนึ่ง

เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงหมู่เทพหมู่ใดหมู่หนึ่ง ครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เป็น
อนาคามีไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ นี้เรียกว่า บุคคลผู้มีสังโยชน์ในภายนอก
เป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ ฯ


ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีศีล สำรวมแล้วใน
ปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มีปรกติเห็นภัยในโทษเพียง
เล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย

ภิกษุนั้นย่อมปฏิบัติเพื่อความหน่าย เพื่อคลาย เพื่อความดับกามทั้งหลาย
ย่อมปฏิบัติเพื่อความหน่าย เพื่อคลาย เพื่อความดับภพทั้งหลาย ย่อมปฏิบัติเพื่อสิ้นตัณหา
เพื่อสิ้นความโลภ

ภิกษุนั้นเมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงหมู่เทพหมู่ใดหมู่หนึ่ง ครั้นจุติจากอัตภาพ
นั้นแล้ว เป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้เช่นนี้ ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย
นี้เรียกว่า บุคคลมีสังโยชน์ในภายนอก เป็นอนาคามี ไม่กลับมาสู่ความเป็นผู้
เช่นนี้ ฯ


ครั้งนั้นแล เทวดาที่มีจิตเสมอกันมากองค์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่
ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้น
แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระสารีบุตรนั่น
กำลังเทศนาถึงบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายใน และบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายนอก
แก่ภิกษุทั้งหลาย อยู่ที่ปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดาในบุพพาราม ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ บริษัทร่าเริง ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคจงทรง
พระกรุณา เสด็จไปหาท่านพระสารีบุตรจนถึงที่อยู่เถิด พระผู้มีพระภาคทรงรับคำ
อาราธนาด้วยดุษณีภาพ

ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคทรงหายจากพระเชตวันวิหารไปปรากฏเฉพาะหน้าท่านพระสารีบุตร
ที่ปราสาทของนางวิสาขามิคารมารดาในบุพพาราม เหมือนบุรุษมีกำลังเหยียดแขนที่คู้หรือคู้แขนที่เหยียดฉะนั้น พระผู้มีพระภาคประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ แม้ท่านพระสารีบุตรก็ได้ถวายบังคมพระ
ผู้มีพระภาค แล้วนั่งลง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระสารีบุตรว่า
ดูกรสารีบุตร เทวดาที่มีจิตเสมอกันมากองค์เข้าไปหาเรา
จนถึงที่อยู่ ไหว้เราแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วบอกว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระสารีบุตรกำลังเทศนาถึงบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายใน
และบุคคลที่มีสังโยชน์ในภายนอก แก่ภิกษุทั้งหลาย อยู่ที่ปราสาทของนาง
วิสาขามิคารมารดาในบุพพาราม

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บริษัทร่าเริง ขอประทานพระวโรกาส
ขอพระผู้มีพระภาคทรงพระกรุณาเสด็จไปหาท่านพระสารีบุตรจนถึงที่อยู่เถิด

ดูกรสารีบุตร ก็เทวดาเหล่านั้นยืนอยู่ในโอกาสแม้เท่าปลายเหล็กแหลมจดลง
๑๐ องค์บ้าง ๒๐ องค์บ้าง ๓๐ องค์บ้าง ๔๐ องค์บ้าง ๕๐ องค์บ้าง ๖๐ องค์บ้าง
แต่ก็ไม่เบียดกันและกัน

ดูกรสารีบุตร ก็เธอพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า
จิตอย่างนั้น ซึ่งเป็นเหตุให้เทวดาเหล่านั้นยืนอยู่ได้ในโอกาสแม้เท่าปลายเหล็ก
แหลมจดลง ๑๐ องค์บ้าง ... ๖๐ องค์บ้าง
เป็นจิตอันเทวดาเหล่านั้นอบรมแล้วในภพนั้นแน่นอน
ดูกรสารีบุตร ก็ข้อนั้นเธอไม่ควรเห็นเช่นนี้

ดูกรสารีบุตร ก็จิตอย่างนั้น ซึ่งเป็นเหตุให้เทวดาเหล่านั้นยืนอยู่ได้ในโอกาสแม้เท่าปลายเหล็ก
แหลมจดลง ๑๐ องค์บ้าง ฯลฯ แต่ก็ไม่เบียดกันและกัน
เทวดาเหล่านั้นได้อบรมแล้วในศาสนานี้เอง

เพราะฉะนั้นแหละสารีบุตร เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า

จักเป็นผู้มีอินทรีย์สงบ มีใจระงับอยู่ เธอควรศึกษาเช่นนี้แหละ สารีบุตร
กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของผู้มีอินทรีย์สงบ มีใจระงับ จักสงบระงับ

เพราะฉะนั้นแหละ สารีบุตร เธอพึงศึกษาว่า จักนำกายและจิตที่สงบระงับแล้วเท่านั้น
เข้าไปในพรหมจารีทั้งหลาย ดูกรสารีบุตร เธอควรศึกษาเช่นนี้แหละ

ดูกรสารีบุตร พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกที่ไม่ได้ฟังธรรมบรรยายนี้ ได้พากันฉิบหายเสียแล้ว ฯ


http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php ... agebreak=0



หมายเหตุ:

เหตุที่พระองค์ ทรงตรัสกับพระสารีบุตรเช่นนี้ว่า

"เพราะฉะนั้นแหละสารีบุตร เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
จักเป็นผู้มีอินทรีย์สงบ มีใจระงับอยู่

เธอควรศึกษาเช่นนี้แหละ สารีบุตร
กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของผู้มีอินทรีย์สงบ มีใจระงับ จักสงบระงับ

เพราะฉะนั้นแหละ สารีบุตร เธอพึงศึกษาว่า จักนำกายและจิตที่สงบระงับแล้วเท่านั้น
เข้าไปในพรหมจารีทั้งหลาย ดูกรสารีบุตร เธอควรศึกษาเช่นนี้แหละ"

เพราะสิ่งที่พระสารีบุตร ได้พูดไปแล้ว เกี่ยวกับพระอนาคามี
เป็นเรื่องของ ผู้ที่มีเหตุแห่งภพ(การเกิด) บังเกิดขึ้นอยู่

เมื่อเป็นดังนี้ พระผู้มีพระภาค จึงทรงตรัสต่อไปว่า

"ดูกรสารีบุตร พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกที่ไม่ได้ฟังธรรมบรรยายนี้ ได้พากันฉิบหายเสียแล้ว ฯ"

หมายถึง ผู้ที่ไม่ได้ฟังธรรมบรรยาย ที่พระองค์ทรงตรัสกับพระสารีบุตร(คือ ฟังแค่คำที่สารีบุตรกล่าวไป)

ได้พากันฉิบหายเสียแล้ว หมายถึง หากพอใจติดอยู่แค่พระอนาคามี ไม่มุ่งกระทำเพื่อให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์

เหตุแห่งภพ(การเกิด) ย่อมมีบังเกิดขึ้นอยู่ พระองค์จึงทรงตรัสว่า ได้พากันฉิบหายเสียแล้ว เพราะเหตุนี้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2014, 09:58 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b16:
s004
อดรนทนไม่ได้แล้วหรือ วลัยพร ไหนว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันแล้วไง?

ยกตำรามาอธิบายได้ดี อนุโมทนา

แต่ว่า ความหมายของอะกาลิโก นี่มันลึกล้ำมากกว่าที่คนทั่วไปเขาคิดเห็นกันนะ มีสิ่งที่เป็นธรรมแต่ไม่มีแสดงไว้ในตำราอีกมากมายที่วลัยพรหรือกรัชกายอาจไม่เคยรู้ไม่เคยพบเห็น อย่าพึ่งสำคัญผิดอะไรไปเสียก่อนด้วยความมั่นใจในวิชาการที่ตนได้เรียนรู้มามากจนเกินไปนะ
:b38: :b38: :b38:
:b37:


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2014, 10:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
smiley
เห็นทุกข์และเหตุทุกข์ตอนนิ่งรู้นิ่งสังเกตความปวดเก้าท์

เห็นเหตุทุกข์ดับหลังจากเบื่อหน่ายในก้อนขันธ์ที่ปวดเก้าท์แบบถอย หนี หลบไปไหนไม่ได้เลย ต้องเผชิญหน้าสู้กับทุกข์อย่างเดียวจนตัวกูใจกูมันหลุดไป สุขหรือนิโรธมันขึ้นมาแทนในทันทีทันใด คล้ายคนวางหาบของหนักลงจากบ่าแล้วไม่กลับไปแบกอีกเพราะความเข็ดขยาด

เหตุการณ์นี้จำได้แม่นเกิดเมื่อแรม 14 ค่ำเดือน 6 ปี 2547 หลังวันวิสาขะบูชา 1 สัปดาห์

ตอนที่เหตุทุกข์เขาหายไป ในกายนี้มันกลวงโบ๋ไร้ผู้รับอยูเป็นหลายวัน ผู้รับที่มาใหม่ทีหลังก็ไม่เหมือนคนเดิม สุขุมคัมภีรภาพมากกว่า ไม่ทะลุดุดัน


นึกว่าอะไร ปวดโรคเก๊า :b1:

ฟังอโศกเล่าแล้ว นึกถึงเจ้าสำนักกินผัก เล่าว่า เขาบรรลุพระอรหันต์ตอนยืนเยี่ยว :b1:


ที่นี่เขาเป็นโสดาบันกันเยอะแยะเลย :b1:

http://www.antiwimutti.net/forum/index.php?topic=2077.0



นึกได้แต่เรื่องที่เป็นอกุศลและเพ่งจับผิดผู้อื่นนะกรัชกาย

คนบรรลุธรรมเป็นโสดาบันในส้วมยังมีเลย เพราะการบรรลุธรรมเป็นอะกาลิโก

กรัชกายคงบรรลุธรรมในกองตำราและคำศัพท์ละมั้ง จึงได้ชอบพูดมาก ถามมาก


ขำอโศกบรรลุธรรมเพราะโรคเก๊า :b1: :b32: หากินง่ายนะ ทุกวันนี้คงหายจากโรคเก๊าแล้วสิ :b13: บรรยายซะเลิศหรูเชีย

ถามจริงๆนะขอรับ ตอบจากใจนะ เพราะเหตุใดอโศกจึงดิ้นรนกระวนกระวายอยากบรรลุธรรมอะไรที่ว่านี้นักอ่ะ :b10:

:b7:
คาดเดา กล่าวตู่เอาเองอีกแล้วแหละกรัชกาย เมื่อไหร่จึงจะทิ้งนิสัยอย่างนี้ได้เสียทีนะ

เวทนาใดที่กล้าจนเห็นชัดทั้งทุกข์ ทั้งกู ที่มารับทุกข์ เวทนานั้นมีประโยชน์ทั้งสิ้นถ้านำมาใช้เป็นเครื่องสังเกต พิจารณา ค้นหาเหตุหาผล

กรัชกายคงไม่เคยปวดฟัน ปวดเก้าท์อย่างแรงเลยบ้างละสิ และคงไม่รู้ด้วยว่า หญิงที่เบ่งคลอดลูกนั้นมันปวดแสบเผ็ดร้อนเพียงไร เจ็บเจียนตายที่ว่า ก็ยังคงไม่เคยเจอล่ะซิ ชีวิตสุขสบายอย่างนี้หลุดพ้นช้านะ ยิ่งไปจมอยู่ในกองตำราวิชาการยิ่งปิดประตูหลุดพ้นในชาตินี้ไปได้เลย
:b3:
เรื่องดิ้นรนกระวนกระวายอยากบรรลุธรรม ที่กรัชกายกล่าวตู่มานั้น มันน่าจะเป็นกรัชกายเสียมากกว่าละกระมัง

อโศกะ เจริญเหตุไปตามกำลัง ตามคำสั่งสอนของพระบรมศาสดา ตาหมายไว้ที่เดียว ไม่เกี่ยวเรื่องอื่น สดชื่นเมื่อได้เดินบนทางธรรม ไม่ทุกข์ ไม่อยาก ไม่กระวนกระวาย อะไรกับเรื่องการบรรลุธรรม เพราะรู้ว่าถ้าเหตุถึง ผลก็เกิดเอง เหมือนชาวสวนปลูกต้นผลไม้ บำรุงรักษาไปให้ถูกวิธี เมื่ออายุปีมันถึงมันก็แตกดอก ออกผลมาให้ได้กินเอง

อโศกะได้พ่อดี ชี้นำให้ปลูกต้นธรรมะในใจมาตั้งแต่อายุ 6 - 7 ขวบ มารู้วิธีบำรุงรักษาต้นไม่ธรรมะเต็มที่ตอน อายุ 18 - 19 ปี เข้าปฏิบัติธรรมเต็มที่หลายรอบ พออายุเหยียบ47 - 48 จะ 50 ต้นไม้ธรรมะก็ผลิดอกออกผล ได้กินได้ขาย ได้แบ่งทำบุญเจือจุนเพื่อนร่วมโลกมาจนทุกวันนี้

กรัชกายจะไม่อนุโมทนายินดีด้วยกันบ้างหรือ ฤามีแต่อิจฉาตาร้อน คลอยสั่นคลอนเขย่า เอาเรื่องเท็จ เดา กล่าวตู่ปาโปะบัง
s004
:b11:


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2014, 15:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
smiley
เห็นทุกข์และเหตุทุกข์ตอนนิ่งรู้นิ่งสังเกตความปวดเก้าท์

เห็นเหตุทุกข์ดับหลังจากเบื่อหน่ายในก้อนขันธ์ที่ปวดเก้าท์แบบถอย หนี หลบไปไหนไม่ได้เลย ต้องเผชิญหน้าสู้กับทุกข์อย่างเดียวจนตัวกูใจกูมันหลุดไป สุขหรือนิโรธมันขึ้นมาแทนในทันทีทันใด คล้ายคนวางหาบของหนักลงจากบ่าแล้วไม่กลับไปแบกอีกเพราะความเข็ดขยาด

เหตุการณ์นี้จำได้แม่นเกิดเมื่อแรม 14 ค่ำเดือน 6 ปี 2547 หลังวันวิสาขะบูชา 1 สัปดาห์

ตอนที่เหตุทุกข์เขาหายไป ในกายนี้มันกลวงโบ๋ไร้ผู้รับอยูเป็นหลายวัน ผู้รับที่มาใหม่ทีหลังก็ไม่เหมือนคนเดิม สุขุมคัมภีรภาพมากกว่า ไม่ทะลุดุดัน


นึกว่าอะไร ปวดโรคเก๊า :b1:

ฟังอโศกเล่าแล้ว นึกถึงเจ้าสำนักกินผัก เล่าว่า เขาบรรลุพระอรหันต์ตอนยืนเยี่ยว :b1:


ที่นี่เขาเป็นโสดาบันกันเยอะแยะเลย :b1:

http://www.antiwimutti.net/forum/index.php?topic=2077.0



นึกได้แต่เรื่องที่เป็นอกุศลและเพ่งจับผิดผู้อื่นนะกรัชกาย

คนบรรลุธรรมเป็นโสดาบันในส้วมยังมีเลย เพราะการบรรลุธรรมเป็นอะกาลิโก

กรัชกายคงบรรลุธรรมในกองตำราและคำศัพท์ละมั้ง จึงได้ชอบพูดมาก ถามมาก


ขำอโศกบรรลุธรรมเพราะโรคเก๊า :b1: :b32: หากินง่ายนะ ทุกวันนี้คงหายจากโรคเก๊าแล้วสิ :b13: บรรยายซะเลิศหรูเชีย

ถามจริงๆนะขอรับ ตอบจากใจนะ เพราะเหตุใดอโศกจึงดิ้นรนกระวนกระวายอยากบรรลุธรรมอะไรที่ว่านี้นักอ่ะ :b10:

:b7:
คาดเดา กล่าวตู่เอาเองอีกแล้วแหละกรัชกาย เมื่อไหร่จึงจะทิ้งนิสัยอย่างนี้ได้เสียทีนะ

เวทนาใดที่กล้าจนเห็นชัดทั้งทุกข์ ทั้งกู ที่มารับทุกข์ เวทนานั้นมีประโยชน์ทั้งสิ้นถ้านำมาใช้เป็นเครื่องสังเกต พิจารณา ค้นหาเหตุหาผล

กรัชกายคงไม่เคยปวดฟัน ปวดเก้าท์อย่างแรงเลยบ้างละสิ และคงไม่รู้ด้วยว่า หญิงที่เบ่งคลอดลูกนั้นมันปวดแสบเผ็ดร้อนเพียงไร เจ็บเจียนตายที่ว่า ก็ยังคงไม่เคยเจอล่ะซิ ชีวิตสุขสบายอย่างนี้หลุดพ้นช้านะ ยิ่งไปจมอยู่ในกองตำราวิชาการยิ่งปิดประตูหลุดพ้นในชาตินี้ไปได้เลย
:b3:
เรื่องดิ้นรนกระวนกระวายอยากบรรลุธรรม ที่กรัชกายกล่าวตู่มานั้น มันน่าจะเป็นกรัชกายเสียมากกว่าละกระมัง

อโศกะ เจริญเหตุไปตามกำลัง ตามคำสั่งสอนของพระบรมศาสดา ตาหมายไว้ที่เดียว ไม่เกี่ยวเรื่องอื่น สดชื่นเมื่อได้เดินบนทางธรรม ไม่ทุกข์ ไม่อยาก ไม่กระวนกระวาย อะไรกับเรื่องการบรรลุธรรม เพราะรู้ว่าถ้าเหตุถึง ผลก็เกิดเอง เหมือนชาวสวนปลูกต้นผลไม้ บำรุงรักษาไปให้ถูกวิธี เมื่ออายุปีมันถึงมันก็แตกดอก ออกผลมาให้ได้กินเอง

อโศกะได้พ่อดี ชี้นำให้ปลูกต้นธรรมะในใจมาตั้งแต่อายุ 6 - 7 ขวบ มารู้วิธีบำรุงรักษาต้นไม่ธรรมะเต็มที่ตอน อายุ 18 - 19 ปี เข้าปฏิบัติธรรมเต็มที่หลายรอบ พออายุเหยียบ47 - 48 จะ 50 ต้นไม้ธรรมะก็ผลิดอกออกผล ได้กินได้ขาย ได้แบ่งทำบุญเจือจุนเพื่อนร่วมโลกมาจนทุกวันนี้

กรัชกายจะไม่อนุโมทนายินดีด้วยกันบ้างหรือ ฤามีแต่อิจฉาตาร้อน คลอยสั่นคลอนเขย่า เอาเรื่องเท็จ เดา กล่าวตู่ปาโปะบัง


ดูๆอารมณ์ของท่านอโศกแล้วเหมือนเด็กๆนะขอรับ แต่ข้อความสับสนขัดกันเองนุงนัง แต่ไม่เป็นไร

คห.นี้ให้กำลังใจสะหน่อย อนุโมทนาครับ :b8: :b13: ไหนๆก็มีพ่อดีให้ต้นธรรมะมาตั้งแต่อายุน้อยๆ 6-7 ขวบ หายากครับเด็กสมัยนี้ :b1:


อ้างคำพูด:
กรัชกายคงไม่เคยปวดฟัน ปวดเก้าท์อย่างแรงเลยบ้างละสิ และคงไม่รู้ด้วยว่า หญิงที่เบ่งคลอดลูกนั้นมันปวดแสบเผ็ดร้อนเพียงไร เจ็บเจียนตายที่ว่า ก็ยังคงไม่เคยเจอล่ะซิ ชีวิตสุขสบายอย่างนี้หลุดพ้นช้านะ ยิ่งไปจมอยู่ในกองตำราวิชาการยิ่งปิดประตูหลุดพ้นในชาตินี้ไปได้เลย


รู้สึกสุขทุกข์ ก็พึงกำหนดรู้ไปตามอาการครับ เช่น รู้สึกเป็นสุข ก็สุขหนอๆๆๆๆ รู้สึกเป็นทุกข์ ก็ทุกข์หนอๆๆๆ

อย่าเข้าผิดว่า ว่าหนอ ถี่ๆ อย่างอโศกนะครับ หนอ นี่ไม่สำคัญหรอก เปลี่ยนได้เว้นได้ แต่สิ่งสำคัญและจำเป็นภาคปฏิบัติทางจิต คือ กำหนดรู้ตามที่รู้สึก ตามที่เป็น ในขณะนั้น รู้สึกยังไง เป็นยังไง กำหนดยังงั้นทุกครั้งทุกขณะ นี่ครับการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน หรือการเจริญปัญญา ต้องตามขณะปัจจุบันให้ทัน เกิดปุ๊บ กำหนดปั้บทันทีเลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2014, 15:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
smiley
เห็นทุกข์และเหตุทุกข์ตอนนิ่งรู้นิ่งสังเกตความปวดเก้าท์

เห็นเหตุทุกข์ดับหลังจากเบื่อหน่ายในก้อนขันธ์ที่ปวดเก้าท์แบบถอย หนี หลบไปไหนไม่ได้เลย ต้องเผชิญหน้าสู้กับทุกข์อย่างเดียวจนตัวกูใจกูมันหลุดไป สุขหรือนิโรธมันขึ้นมาแทนในทันทีทันใด คล้ายคนวางหาบของหนักลงจากบ่าแล้วไม่กลับไปแบกอีกเพราะความเข็ดขยาด

เหตุการณ์นี้จำได้แม่นเกิดเมื่อแรม 14 ค่ำเดือน 6 ปี 2547 หลังวันวิสาขะบูชา 1 สัปดาห์

ตอนที่เหตุทุกข์เขาหายไป ในกายนี้มันกลวงโบ๋ไร้ผู้รับอยูเป็นหลายวัน ผู้รับที่มาใหม่ทีหลังก็ไม่เหมือนคนเดิม สุขุมคัมภีรภาพมากกว่า ไม่ทะลุดุดัน


นึกว่าอะไร ปวดโรคเก๊า :b1:

ฟังอโศกเล่าแล้ว นึกถึงเจ้าสำนักกินผัก เล่าว่า เขาบรรลุพระอรหันต์ตอนยืนเยี่ยว :b1:


ที่นี่เขาเป็นโสดาบันกันเยอะแยะเลย :b1:

http://www.antiwimutti.net/forum/index.php?topic=2077.0



นึกได้แต่เรื่องที่เป็นอกุศลและเพ่งจับผิดผู้อื่นนะกรัชกาย

คนบรรลุธรรมเป็นโสดาบันในส้วมยังมีเลย เพราะการบรรลุธรรมเป็นอะกาลิโก

กรัชกายคงบรรลุธรรมในกองตำราและคำศัพท์ละมั้ง จึงได้ชอบพูดมาก ถามมาก


ขำอโศกบรรลุธรรมเพราะโรคเก๊า :b1: :b32: หากินง่ายนะ ทุกวันนี้คงหายจากโรคเก๊าแล้วสิ :b13: บรรยายซะเลิศหรูเชีย

ถามจริงๆนะขอรับ ตอบจากใจนะ เพราะเหตุใดอโศกจึงดิ้นรนกระวนกระวายอยากบรรลุธรรมอะไรที่ว่านี้นักอ่ะ :b10:

:b7:
คาดเดา กล่าวตู่เอาเองอีกแล้วแหละกรัชกาย เมื่อไหร่จึงจะทิ้งนิสัยอย่างนี้ได้เสียทีนะ

เวทนาใดที่กล้าจนเห็นชัดทั้งทุกข์ ทั้งกู ที่มารับทุกข์ เวทนานั้นมีประโยชน์ทั้งสิ้นถ้านำมาใช้เป็นเครื่องสังเกต พิจารณา ค้นหาเหตุหาผล

กรัชกายคงไม่เคยปวดฟัน ปวดเก้าท์อย่างแรงเลยบ้างละสิ และคงไม่รู้ด้วยว่า หญิงที่เบ่งคลอดลูกนั้นมันปวดแสบเผ็ดร้อนเพียงไร เจ็บเจียนตายที่ว่า ก็ยังคงไม่เคยเจอล่ะซิ ชีวิตสุขสบายอย่างนี้หลุดพ้นช้านะ ยิ่งไปจมอยู่ในกองตำราวิชาการยิ่งปิดประตูหลุดพ้นในชาตินี้ไปได้เลย
:b3:
เรื่องดิ้นรนกระวนกระวายอยากบรรลุธรรม ที่กรัชกายกล่าวตู่มานั้น มันน่าจะเป็นกรัชกายเสียมากกว่าละกระมัง

อโศกะ เจริญเหตุไปตามกำลัง ตามคำสั่งสอนของพระบรมศาสดา ตาหมายไว้ที่เดียว ไม่เกี่ยวเรื่องอื่น สดชื่นเมื่อได้เดินบนทางธรรม ไม่ทุกข์ ไม่อยาก ไม่กระวนกระวาย อะไรกับเรื่องการบรรลุธรรม เพราะรู้ว่าถ้าเหตุถึง ผลก็เกิดเอง เหมือนชาวสวนปลูกต้นผลไม้ บำรุงรักษาไปให้ถูกวิธี เมื่ออายุปีมันถึงมันก็แตกดอก ออกผลมาให้ได้กินเอง

อโศกะได้พ่อดี ชี้นำให้ปลูกต้นธรรมะในใจมาตั้งแต่อายุ 6 - 7 ขวบ มารู้วิธีบำรุงรักษาต้นไม่ธรรมะเต็มที่ตอน อายุ 18 - 19 ปี เข้าปฏิบัติธรรมเต็มที่หลายรอบ พออายุเหยียบ47 - 48 จะ 50 ต้นไม้ธรรมะก็ผลิดอกออกผล ได้กินได้ขาย ได้แบ่งทำบุญเจือจุนเพื่อนร่วมโลกมาจนทุกวันนี้

กรัชกายจะไม่อนุโมทนายินดีด้วยกันบ้างหรือ ฤามีแต่อิจฉาตาร้อน คลอยสั่นคลอนเขย่า เอาเรื่องเท็จ เดา กล่าวตู่ปาโปะบัง


ดูๆอารมณ์ของท่านอโศกแล้วเหมือนเด็กๆนะขอรับ แต่ข้อความสับสนขัดกันเองนุงนัง แต่ไม่เป็นไร

คห.นี้ให้กำลังใจสะหน่อย อนุโมทนาครับ :b8: :b13: ไหนๆก็มีพ่อดีให้ต้นธรรมะมาตั้งแต่อายุน้อยๆ 6-7 ขวบ หายากครับเด็กสมัยนี้ :b1:


อ้างคำพูด:
กรัชกายคงไม่เคยปวดฟัน ปวดเก้าท์อย่างแรงเลยบ้างละสิ และคงไม่รู้ด้วยว่า หญิงที่เบ่งคลอดลูกนั้นมันปวดแสบเผ็ดร้อนเพียงไร เจ็บเจียนตายที่ว่า ก็ยังคงไม่เคยเจอล่ะซิ ชีวิตสุขสบายอย่างนี้หลุดพ้นช้านะ ยิ่งไปจมอยู่ในกองตำราวิชาการยิ่งปิดประตูหลุดพ้นในชาตินี้ไปได้เลย


รู้สึกสุขทุกข์ ก็พึงกำหนดรู้ไปตามอาการครับ เช่น รู้สึกเป็นสุข ก็สุขหนอๆๆๆๆ รู้สึกเป็นทุกข์ ก็ทุกข์หนอๆๆๆ

อย่าเข้าผิดว่า ว่าหนอ ถี่ๆ อย่างอโศกนะครับ หนอ นี่ไม่สำคัญหรอก เปลี่ยนได้เว้นได้ แต่สิ่งสำคัญและจำเป็นภาคปฏิบัติทางจิต คือ กำหนดรู้ตามที่รู้สึก ตามที่เป็น ในขณะนั้น รู้สึกยังไง เป็นยังไง กำหนดยังงั้นทุกครั้งทุกขณะ นี่ครับการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน หรือการเจริญปัญญา ต้องตามขณะปัจจุบันให้ทัน เกิดปุ๊บ กำหนดปั้บทันทีเลย

:b12:
อ้อ.....โดนกรอกหูบ่อยๆจนเริ่มเห็นความสำคัญของปัจจุบันอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้วเน้าะ ไม่เหนื่อยเปล่าแล้วแหละ

อีกกระทู้หนึ่งก็เริ่มเห็นความสำคัญในอานาปานสติสูตร 16 ขั้นตอนขึ้นมาแล้ว อนุโมทนาในความก้าวหน้า
tongue


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2014, 16:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:


อ้อ.....โดนกรอกหูบ่อยๆจนเริ่มเห็นความสำคัญของปัจจุบันอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้วเน้าะ ไม่เหนื่อยเปล่าแล้วแหละ

อีกกระทู้หนึ่งก็เริ่มเห็นความสำคัญในอานาปานสติสูตร 16 ขั้นตอนขึ้นมาแล้ว อนุโมทนาในความก้าวหน้า


อ้างคำพูด:
ปัจจุบันอารมณ์


พูดแนะนำคำนี้ถึงการปฏิบัติทางจิตสิ ว่าไง ปัจจุบันอารมณ์ เอาชัดๆ

ว่าไปกับตัวอย่างนี้

อ้างคำพูด:
เวลาผมนั่งสมาธิ พอภาวนาไปซักพัก เริ่มตัดภาวนาไปแล้วทีนี้ก็จะเกิดอาการ ขนลุกเย็นทั้งตัว แล้วหลังจากนั้นก็จะมีภาพ คน สัตว์ แมลง ที่เราเคยทำร้ายเคยทำให้เค้าตาย หรือเจ็บลอยมาให้เห็น คือ แปลกใจว่า บางเรื่องเป็นเรื่องที่นานมากบางเรื่องเป็นเรื่องสมัยเด็กๆอยู่ด้วยซ้ำ ซึ่งบางทีนึกถึงยังนึกไม่ออกเลย เพราะนานมาก แต่พอมานั่งสมาธิ ก็ลอยมาให้เห็นเฉยเลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2014, 17:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:


อ้อ.....โดนกรอกหูบ่อยๆจนเริ่มเห็นความสำคัญของปัจจุบันอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้วเน้าะ ไม่เหนื่อยเปล่าแล้วแหละ

อีกกระทู้หนึ่งก็เริ่มเห็นความสำคัญในอานาปานสติสูตร 16 ขั้นตอนขึ้นมาแล้ว อนุโมทนาในความก้าวหน้า


อ้างคำพูด:
ปัจจุบันอารมณ์


พูดแนะนำคำนี้ถึงการปฏิบัติทางจิตสิ ว่าไง ปัจจุบันอารมณ์ เอาชัดๆ

ว่าไปกับตัวอย่างนี้

อ้างคำพูด:
เวลาผมนั่งสมาธิ พอภาวนาไปซักพัก เริ่มตัดภาวนาไปแล้วทีนี้ก็จะเกิดอาการ ขนลุกเย็นทั้งตัว แล้วหลังจากนั้นก็จะมีภาพ คน สัตว์ แมลง ที่เราเคยทำร้ายเคยทำให้เค้าตาย หรือเจ็บลอยมาให้เห็น คือ แปลกใจว่า บางเรื่องเป็นเรื่องที่นานมากบางเรื่องเป็นเรื่องสมัยเด็กๆอยู่ด้วยซ้ำ ซึ่งบางทีนึกถึงยังนึกไม่ออกเลย เพราะนานมาก แต่พอมานั่งสมาธิ ก็ลอยมาให้เห็นเฉยเลย

คุนน้องบอกให้ก็ได้ค่ะ :b32:
นิ่งสังเกตุปัจจุบัณอารมณ์ และก็กำหนดรู้ไปตามอาการที่มันเป็น :b32: ไม่เห็นจะยาก เอาของอโสกะกับกรัชกายมารวมกัน ทีนี้พอใจยัง เห็นละยังเมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับนักภาวนา ให้ตอบแบบนี้นะเจ้าค่ะคำตอบสีแดงน่ะ เวลากรัชกายเอาปัญหาเกี่ยวกับนักภาวนามาถาม เค้าเป็นอะไร แก้ยังไง ก็ตอบแบบนี้เลยนะเจ้าค่ะ รับรองสอบผ่านเปิดสำนักได้เลยเจ้าค่ะ เพราะกรัชกายบอกว่าผ่าน :b32:
ปล. เหมือนคนกำลังสอนว่ายน้ำ กรัชกายเป็นครูสอนว่ายน้ำ กรัชกายก็แนะนำว่า นี่ท่ากบ นี่กรรมเชียง นี่ฟรีสไต กระโดดลงเลย ว่ายเลย ไม่จมหรอก ปฏิบัติ!! :b32:


โพสต์ เมื่อ: 20 มิ.ย. 2014, 04:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:


อ้อ.....โดนกรอกหูบ่อยๆจนเริ่มเห็นความสำคัญของปัจจุบันอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้วเน้าะ ไม่เหนื่อยเปล่าแล้วแหละ

อีกกระทู้หนึ่งก็เริ่มเห็นความสำคัญในอานาปานสติสูตร 16 ขั้นตอนขึ้นมาแล้ว อนุโมทนาในความก้าวหน้า


อ้างคำพูด:
ปัจจุบันอารมณ์


พูดแนะนำคำนี้ถึงการปฏิบัติทางจิตสิ ว่าไง ปัจจุบันอารมณ์ เอาชัดๆ

ว่าไปกับตัวอย่างนี้

อ้างคำพูด:
เวลาผมนั่งสมาธิ พอภาวนาไปซักพัก เริ่มตัดภาวนาไปแล้วทีนี้ก็จะเกิดอาการ ขนลุกเย็นทั้งตัว แล้วหลังจากนั้นก็จะมีภาพ คน สัตว์ แมลง ที่เราเคยทำร้ายเคยทำให้เค้าตาย หรือเจ็บลอยมาให้เห็น คือ แปลกใจว่า บางเรื่องเป็นเรื่องที่นานมากบางเรื่องเป็นเรื่องสมัยเด็กๆอยู่ด้วยซ้ำ ซึ่งบางทีนึกถึงยังนึกไม่ออกเลย เพราะนานมาก แต่พอมานั่งสมาธิ ก็ลอยมาให้เห็นเฉยเลย



เห็นมะโดนของจริง แบบๆซึ่งไมต้องตีความเข้าไป หายไปทั้งคืน วันนี้คงอีกทั้งวัน ไม่แน่อาจเป็นเดือน คิกๆๆ บอกไม่เชื่อ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 20 มิ.ย. 2014, 19:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:


อ้อ.....โดนกรอกหูบ่อยๆจนเริ่มเห็นความสำคัญของปัจจุบันอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้วเน้าะ ไม่เหนื่อยเปล่าแล้วแหละ

อีกกระทู้หนึ่งก็เริ่มเห็นความสำคัญในอานาปานสติสูตร 16 ขั้นตอนขึ้นมาแล้ว อนุโมทนาในความก้าวหน้า


อ้างคำพูด:
ปัจจุบันอารมณ์


พูดแนะนำคำนี้ถึงการปฏิบัติทางจิตสิ ว่าไง ปัจจุบันอารมณ์ เอาชัดๆ

ว่าไปกับตัวอย่างนี้

อ้างคำพูด:
เวลาผมนั่งสมาธิ พอภาวนาไปซักพัก เริ่มตัดภาวนาไปแล้วทีนี้ก็จะเกิดอาการ ขนลุกเย็นทั้งตัว แล้วหลังจากนั้นก็จะมีภาพ คน สัตว์ แมลง ที่เราเคยทำร้ายเคยทำให้เค้าตาย หรือเจ็บลอยมาให้เห็น คือ แปลกใจว่า บางเรื่องเป็นเรื่องที่นานมากบางเรื่องเป็นเรื่องสมัยเด็กๆอยู่ด้วยซ้ำ ซึ่งบางทีนึกถึงยังนึกไม่ออกเลย เพราะนานมาก แต่พอมานั่งสมาธิ ก็ลอยมาให้เห็นเฉยเลย



เห็นมะโดนของจริง แบบๆซึ่งไมต้องตีความเข้าไป หายไปทั้งคืน วันนี้คงอีกทั้งวัน ไม่แน่อาจเป็นเดือน คิกๆๆ บอกไม่เชื่อ :b32:

:b3:
ติดนิมิต เพราะจิตหลุดจากกรรมฐาน
:b12:


โพสต์ เมื่อ: 20 มิ.ย. 2014, 19:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:


อ้อ.....โดนกรอกหูบ่อยๆจนเริ่มเห็นความสำคัญของปัจจุบันอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้วเน้าะ ไม่เหนื่อยเปล่าแล้วแหละ

อีกกระทู้หนึ่งก็เริ่มเห็นความสำคัญในอานาปานสติสูตร 16 ขั้นตอนขึ้นมาแล้ว อนุโมทนาในความก้าวหน้า


อ้างคำพูด:
ปัจจุบันอารมณ์


พูดแนะนำคำนี้ถึงการปฏิบัติทางจิตสิ ว่าไง ปัจจุบันอารมณ์ เอาชัดๆ

ว่าไปกับตัวอย่างนี้

อ้างคำพูด:
เวลาผมนั่งสมาธิ พอภาวนาไปซักพัก เริ่มตัดภาวนาไปแล้วทีนี้ก็จะเกิดอาการ ขนลุกเย็นทั้งตัว แล้วหลังจากนั้นก็จะมีภาพ คน สัตว์ แมลง ที่เราเคยทำร้ายเคยทำให้เค้าตาย หรือเจ็บลอยมาให้เห็น คือ แปลกใจว่า บางเรื่องเป็นเรื่องที่นานมากบางเรื่องเป็นเรื่องสมัยเด็กๆอยู่ด้วยซ้ำ ซึ่งบางทีนึกถึงยังนึกไม่ออกเลย เพราะนานมาก แต่พอมานั่งสมาธิ ก็ลอยมาให้เห็นเฉยเลย



เห็นมะโดนของจริง แบบๆซึ่งไมต้องตีความเข้าไป หายไปทั้งคืน วันนี้คงอีกทั้งวัน ไม่แน่อาจเป็นเดือน คิกๆๆ บอกไม่เชื่อ :b32:

:b3:
ติดนิมิต เพราะจิตหลุดจากกรรมฐาน


บอกให้นักปฏิบัติใหญ่เอาคำว่า ปัจจุบันอารมณ์ ไปใส่กับตัวอย่างที่นำมาให้ :b32: ซึ่งเป็นภาคปฏิบัติจริงนั้น คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 45, 46, 47, 48, 49, 50, 51 ... 62  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร