วันเวลาปัจจุบัน 19 ก.ค. 2025, 03:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 107 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2014, 11:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วางบทความยาวหน่อยประกบไว้อีก :b1:


ถ้าคนไม่ประสานกับธรรม ก็ไม่มีทางแก้ปัญหาชีวิต และสังคม


เริ่มต้นก็ลองพิจารณามองดูความจริงของสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับตัวเรา คือสิ่งรอบตัว ถ้าเราไม่รู้จักความจริงของมันและปฏิบัติต่อมันไม่ถูกต้อง ทุกอย่างก็เกิดเป็นปัญหาขึ้นได้ทั้งนั้น เรียกว่า ทุกข์


จากนั้น เราก็รู้ต่อไปว่า เราจะแก้มันได้ เราจะเปลี่ยนมันพลิกมันจากเป็นทุกข์ ให้กลายเป็นไม่มีทุกข์ สิ่งทั้งหลายที่เราเกี่ยวข้องนี้แหละ เมื่อเราไม่รู้เท่าทันมันตามเป็นจริงและปฏิบัติต่อมันไม่เป็น ก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น พอเรารู้ทันมันและปฏิบัติต่อมันอย่างถูกต้อง ก็พลิกจากทุกข์เป็นหายทุกข์ หมดทุกข์เป็นสุขไปเลย


เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงเริ่มจากทุกข์ที่เป็นจุดกระทบของคน และเดินหน้าไปยังธรรม ที่จะทำให้เราพลิกทุกข์ให้หายลับไป


เริ่มแรกก็ให้รู้จักสิ่งทั้งหลาย สิ่งทีเป็นปัญหาแก่เรานี้ เรารู้มันเสียก่อน จับตัวมันให้ได้ เสร็จแล้วก็สืบสาวหาเหตุ รู้สมุทัยแล้ว ก็มองเห็นจุดหมายของตัวและรู้ตัวเองว่าทำได้นะ ถึงตอนนี้ท่านก็บอกวิธีปฏิบัติที่จะพลิกมัน


พอปฏิบัติธรรมถูกต้อง ทุกข์นั้นก็หายไปเลย กลายเป็นว่าทุกข์นั้นไม่มี พอปฏิบัติประสานเข้ากับธรรม ในที่สุดทุกข์ก็ไม่มี เพราะทุกข์มันหายไปเลย นั้นก็คือความสิ้นทุกข์ ดับทุกข์ หมดทุกข์ หรือไร้ทุกข์

เพราะฉะนั้น ท่านผู้ปฏิบัติสำเร็จตามธรรม เข้าถึงธรรมแท้จริงแล้ว ทุกข์ไม่มี ทุกข์หายไป ทุกข์นั้นมีแต่ในธรรมชาติตามธรรมดาของมัน เป็นเรื่องของมันเอง


สิ่งทั้งหลายเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เป็นธรรมดาตามธรรมชาติของมัน แต่มนุษย์ไม่รู้ ไม่เข้าใจความจริง ก็เลยตกเป็นทาส ถูกกฎธรรมชาติครอบงำ ก็เกิดทุกข์ขึ้น พอรู้ความจริงแล้ว จึงค่อยๆ คลายค่อยๆพ้นออกมา ทุกข์น้อยลง สุขมากขึ้น จนกระทั่งในที่สุดทุกข์หมดไปไม่เหลือ เราโปร่งโล่ง เป็นอิสระ อยู่เหนือมัน ส่วนทุกข์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ก็เป็นเรื่องของธรรมชาติไป


ใครจะไปแก้ทุกข์ในธรรมชาติได้ สิ่งทั้งหลายคือสังขารเป็นทุกข์นี่ ไม่มีใครไปแก้ได้ แต่เมื่อสิ่งทั้งหลายเป็นทุกข์ตามธรรมชาติของมัน ทำไมจึงมาเป็นทุกข์ในเราด้วยล่ะ แสดงว่าเราผิด เราไปเอาทุกข์มาใส่ตัวเอง แต่พอเรารู้เท่าทัน เราปฏิบัติถูก เข้าถึงความจริง เข้าถึงธรรมแล้ว ทุกข์ที่มีในธรรมชาติ ก็เป็นทุกข์ตามธรรมชาติไป แต่ไม่เข้ามาครอบงำจิตของเรา เราก็ไม่ทุกข์ไปด้วย เราจึงเป็นอิสระหลุดพ้น


ในการศึกษาฝึกฝนพัฒนาตนนั้น คนจะปฏิบัติตามธรรมไปจนกระทั่งถึงจุดหมาย แต่กว่าจะถึงจุดหมายหมดทุกข์เป็นอิสระนั้น มนุษย์จะประเสริฐขึ้นไปตามลำดับ มีความดีงามเกิดขึ้นในชีวิตของตัวเอง และเป็นส่วนประกอบที่ดีงามของสังคม เป็นมนุษย์ที่เกื้อกูลต่อชาวโลก ชีวิตก็ดีงาม สังคมก็ดีงาม และช่วยสร้างสรรค์โลกนี้ให้น่าอยู่ไปด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2014, 12:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2014, 13:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้างคำพูด:
ก่อนหน้านี้ผมมีโอกาสทำสมาธิด้วยวิธีการฝึกเพ่งกสิณสีแดง และขาว กำหนดลมหายใจเข้าออกบ้าง หรืออาจจะเพิ่มในส่วนของจาคานุสสติอีกนิดหน่อย แต่จะเน้นหนักไปทางกสิณเนื่องจากการแนบสนิทของจิตนานกว่า และสบายใจ ไม่รู้สึกฝืนที่จะทำมากกว่ากรรมฐานกองอื่น ๆ ที่กล่าวมาทั้งหมด ตลอดระยะเวลาของการฝึกสมาธิ ผมไม่เคยเอาชนะกับนิวรณ์ของตัวเองได้เลยง่วงก็พอ เมื่อยก็พอ หิวก็พอ

ผมเริ่มที่จะฝึกการพิจารณาอารมย์ตัวเองได้เมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง จนเมื่อสองสามวันก่อนผมลองนั่งพิจารณาตัวเองในเรื่องการนั่งขัดสมาธิ จะลองดูว่ามันจะทนได้ซักแค่ไหนเมื่อยมากใช่ไหมได้ๆๆ จะพิจารณามันอยู่แบบนั้นไม่ไปไหนก็เมื่อยหนอ เมื่อยหนอ เมื่อยหนอมันอยู่แบบนี้ จนมันรู้สึกว่าจากคนที่ทรมานเหลือเกินเวลานั่งสวดมนต์แต่ละครั้งขยับแล้วขยับอีกทุก ๆนาที จนกลายเป็นว่าผมนั่งสวดมนต์ตั้งแต่บทแรกยันบทสุดท้ายกว่าชั่วโมงโดยที่ไม่ขยับเลย และไม่รู้สึกว่าทรมานเลยซักนิด และ

อยู่มาวันนึงหลังจากสวดมนต์เสร็จผมลองนั่งทำสมาธิต่อโดยนำจาคานุสสติที่เคยพาพ่อไปปล่อยปลา ตักบาตร และเหตุการณ์ที่เคยร่วมหล่อระฆังเข้ามาเป็นกรรมฐาน สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ คือ พอผมเริ่มนึกภาพระหว่างปล่อยปลากับพ่อ ตักบาตร หรือร่วมหล่อระฆัง ผมรู้สึกว่าผมมีความสุขมาก ผมอยากจะร้องไห้ในความดีครั้งนี้ ผมรู้ตัวว่าผมกำลังยิ้มปากฉีกอยู่ พอผมรู้สึกแบบนี้นั้นผมรีบอุทิศบุญทันที ให้คนนั้นคนนี้ ผลปรากฎว่าผมขนลุกและความรู้สึกต่าง ๆ ไม่ว่าจะมีความสุข อิ่มเอม อยากร้องไห้ มันเพิ่มจากครั้งแรกมากกว่าเดิมในเสี้ยววินาทีนี้

ผมเห็นลำแสงของย้ำว่าลำแสงจาง ๆ เคลื่อนไหวอยู่ สำแสงนั้นไม่เชิงเป็นสีขาวเอาเป็นว่าเป็นสีควันบุหรี่จะใกล้เคียงที่สุดการเคลื่อนไหวของลำแสงนั้นเป็นแบบแสงออโรร่าของขั้วโลกเหนือหรือภาพพักหน้าจอวินโดว์มันจะหยิกย้วยแบบนั้นเลยครับ

พอครั้งที่สองพอมีโอกาสทำสมาธิอีกครั้งคราวนี้เป็นภาพต้นไม้บ้าง เกล็ดเลื่อมอะไรบ้าง คล้าย ๆ เวลาคนส่องกล้องจุลทรรศน์อ่ะครับตอนแรกมันจะไม่ค่อยชัดเจนพอปรับความละเอียดแล้วภาพมันจะชัดขึ้น ๆ แบบนั้นเลย บางทีก็เป็นต้นไม้ บ้านคนที่ไหนไม่รู้ สถานที่ที่ไหนก็ไม่รู้ภาพไม่ซ้ำและไม่ต่อเนื่องกัน

คือผมอยากสอบถามผู้รู้ว่า

1 อาการแบบนี้มันคืออะไรครับ คือผมจินตนาการไปเองหรือเปล่า และถ้าเป็นสมาธิจริงมันอยู่ในระดับไหนกันครับ ผมจะได้รู้ตัวว่าผมควรจะต้องจัดการหรือต่อยอดมันยังไงที่จะไม่ทำให้ผมหลงทาง

2 ลำแสงนั้นจะทรงตัวให้เห็นก็ต่อเมื่อผมดูมันเฉย ๆ และเมื่อไหร่ที่เริ่มเห็นหนอ เห็นหนอ ลำแสงนั้นจะหายวั๊บไปกับตา (บางครั้งผมยังแอบคิดเลยว่าผมลืมตาอยู่หรือเปล่าเพราะถึงแม้ว่าลำแสงที่เคลื่อนไหวจะไม่ใสแจ๋วแนวHD แต่ก็ชัดพอที่จะให้เรารู้ว่าเรากำลังเห็นอะไรอยู่)




เอกอนอ่านเรื่องราวของนักปฏิบัติท่านนี้แล้ว จริง ๆ เอกอนอยากให้ท่านนั้นได้อยู่ได้อยู่ตรงนี้นะ
เพราะ บางทีวันนี้ท่านนั้นอาจจะผ่านพ้นสภาวะเหล่านั้นไปแล้วก็ได้... :b1:

อย่างเรื่องการการเห็นแสงสี เอกอนก็เห็นเช่นกัน

ทุกครั้งที่เห็น ก็เฝ้าสังเกตอยู่ การเห็นแล้วภาพพร่ามัว ชัดขึ้น จางไป หรือดับไปนั้น
เอกอนเห็นว่ามันขึ้นอยู่กับ การทรงอารมณ์ นะ

และก่อนที่ภาพเหล่านั้นจะปรากฎ มันก็จะเริ่มต้นจาก
กลุ่มหมอก ประกายไฟแสงไฟ แสงดวงไฟระยิบ ลายเส้นลาง ๆ
เป็นการปรากฎที่ยังไม่ได้สะท้อนความหมายใด ๆ ขึ้นมา
แต่มันมีบางสิ่งทำงานตอบสนองต่อการปรากฎนั้นอย่างรวดเร็วมาก
อย่างเช่นบางที เส้นตรงลาง ๆ หลาย ๆ เส้น และมีเส้นโค้งพาดไปมา
สักพัก มันจะมีการเพิ่มสีเขียวลงไป และเพิ่มรายละเอียดลงไป จนมันกลายเป็นป่า
จนเราเข้าใจว่ามันเป็นป่า...นั่นล่ะ

... :b1: :b1: :b1:

คือ ... ไม่รู้สิ่ จากมุมมองที่เอกอนเฝ้าดูเฝ้าพิจารณา
เอกอนเข้าใจว่า การปรากฎบางทีมันเริ่มจากสิ่งที่บางทีมันก็ไม่ได้สื่ออะไรออกมา
อย่างเช่น เดิมทีมันแค่มี | โดด ๆ และมันก็เติมเส้นเพิ่มเข้าไปเป็น A
ซึ่ง A ตัวเดียวยังมีมีความหมายอะไร มันก็เติมสี A
แต่นั่นยังไม่พอ มันก็เติม Ant เท่านี้มันก็มีความหมายเพียงพอที่เราจะรู้ว่าเราเห็น Ant
และการปรากฎความเข้าใจเราเกี่ยวกับสิ่งที่เห็นก็พร่างพรูออกมา จนเราไม่รู้ว่ามันมาจากไหน
Ant มาจากไหน
เช่นเดียวกับที่เราก็ยากจะรู้ว่า เทพ พรหม ผี เทวดา มาจากไหน เพราะเราไปตั้งคำถามและเฝ้ารอคำตอบไว้ที่ตรงสุดปลายขอบฟ้า

ซึ่งถ้าย้อนสาวการปรากฎกลับไป Ant มาจาก |

การปรากฎของคำหยาบปรามาสก็ปรากฎขึ้นในลักษณะเดียวกัน

การปฏิบัติธรรม ถ้าเราทุกข์ เราก็ต้องสาวกลับไปหาต้นเหตุของทุกข์

อย่าไปรอการปลดทุกข์ที่ปลายขอบฟ้า ที่ปลายขอบฟ้าไม่ได้มีอะไร
ยิ่งปีนสูง ก็ยิ่งสูง ยิ่งสูง นั่นก็อาจจะหมายความว่า เรายิ่งห่างไกล



:b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย eragon_joe เมื่อ 10 มิ.ย. 2014, 13:32, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2014, 13:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
คือ ความจริงที่เป็นอยู่ตามธรรมดา หรือเรื่องของธรรมชาติ ท่านว่า เอาแค่รู้ตามที่มันเป็น ขั้นแรกนี้จุดที่สำคัญมากอยู่ตรงนี้ว่า ต้องรู้ตามที่มันเป็นให้ได้ก็แล้วกัน


มั่วอีกแระ ขั้นแรก
ผิดมาตั้งแต่ ขั้นแรก ก็ยังบอกมั่วๆ ให้ฟุ้งไปตามรูปนามไม่เลิกนะกรัชกาย

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2014, 14:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
คือ ความจริงที่เป็นอยู่ตามธรรมดา หรือเรื่องของธรรมชาติ ท่านว่า เอาแค่รู้ตามที่มันเป็น ขั้นแรกนี้จุดที่สำคัญมากอยู่ตรงนี้ว่า ต้องรู้ตามที่มันเป็นให้ได้ก็แล้วกัน


มั่วอีกแระ ขั้นแรก
ผิดมาตั้งแต่ ขั้นแรก ก็ยังบอกมั่วๆ ให้ฟุ้งไปตามรูปนามไม่เลิกนะกรัชกาย



ที่พูดเนี่ยะสาระอยู่ตรงไหน

เรื่องจริงๆ เช่นนั้น ไม่เคยได้ เอาแต่เรื่องเพ้อฝัน วาดวิมาน นั่นนี่ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2014, 14:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ย้อนรอยปัญหาเดิมจากหัวข้อนี้

อ้างคำพูด:
จิตสร้างคำหยาบคายลามกกับพระรัตนตรัย ทำไงดีครับ


มันเริ่มจากคำหยาบเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน แล้วพอมันเกิดขึ้น
ผมจะรู้สึกแย่ แล้วพอเวลาผ่านไป ผมอยากปฏิบัติธรรม
ให้ได้ตามหลักมรรค 8 จิตมันเริ่มรู้ว่าต้องระวังให้มากขึ้น
กลายเป็นเกร็งมากขึ้น มีคำหยาบมากขึ้นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ
ผมก็พยายามทำใจว่าใจจริงเราเคารพ
พระรัตนตรัย กลายเป็นทำศึกสองด้าน ด้านหนึ่งระวัง
ไม่ให้จิตสร้างคำหยาบ ด้านหนึ่งเจริญปัญญา

ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ มันจะทำให้มรรค 8 ด่าง
พร้อยมั้ยครับ ย้ำอีกทีว่าใจผมเคารพพระรัตนตรัย
ในรอบหลายปีมานี่ ไม่เคยมีวาจาหรือการกระทำที่
ลบหลู่พระรัตนตรัยครับ มีแต่คำหยาบที่จิตผลิตมา
หลอกหลอนวันละหลาย ๆ ประโยค




อ้างคำพูด:
ก่อนหน้านี้ผมมีโอกาสทำสมาธิด้วยวิธีการฝึกเพ่งกสิณสีแดง และขาว กำหนดลมหายใจเข้าออกบ้าง หรืออาจจะเพิ่มในส่วนของจาคานุสสติอีกนิดหน่อย แต่จะเน้นหนักไปทางกสิณเนื่องจากการแนบสนิทของจิตนานกว่า และสบายใจ ไม่รู้สึกฝืนที่จะทำมากกว่ากรรมฐานกองอื่น ๆ ที่กล่าวมาทั้งหมด ตลอดระยะเวลาของการฝึกสมาธิ ผมไม่เคยเอาชนะกับนิวรณ์ของตัวเองได้เลยง่วงก็พอ เมื่อยก็พอ หิวก็พอ

ผมเริ่มที่จะฝึกการพิจารณาอารมย์ตัวเองได้เมื่อไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมานี่เอง จนเมื่อสองสามวันก่อนผมลองนั่งพิจารณาตัวเองในเรื่องการนั่งขัดสมาธิ จะลองดูว่ามันจะทนได้ซักแค่ไหนเมื่อยมากใช่ไหมได้ๆๆ จะพิจารณามันอยู่แบบนั้นไม่ไปไหนก็เมื่อยหนอ เมื่อยหนอ เมื่อยหนอมันอยู่แบบนี้ จนมันรู้สึกว่าจากคนที่ทรมานเหลือเกินเวลานั่งสวดมนต์แต่ละครั้งขยับแล้วขยับอีกทุก ๆนาที จนกลายเป็นว่าผมนั่งสวดมนต์ตั้งแต่บทแรกยันบทสุดท้ายกว่าชั่วโมงโดยที่ไม่ขยับเลย และไม่รู้สึกว่าทรมานเลยซักนิด และ

อยู่มาวันนึงหลังจากสวดมนต์เสร็จผมลองนั่งทำสมาธิต่อโดยนำจาคานุสสติที่เคยพาพ่อไปปล่อยปลา ตักบาตร และเหตุการณ์ที่เคยร่วมหล่อระฆังเข้ามาเป็นกรรมฐาน สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ คือ พอผมเริ่มนึกภาพระหว่างปล่อยปลากับพ่อ ตักบาตร หรือร่วมหล่อระฆัง ผมรู้สึกว่าผมมีความสุขมาก ผมอยากจะร้องไห้ในความดีครั้งนี้ ผมรู้ตัวว่าผมกำลังยิ้มปากฉีกอยู่ พอผมรู้สึกแบบนี้นั้นผมรีบอุทิศบุญทันที ให้คนนั้นคนนี้ ผลปรากฎว่าผมขนลุกและความรู้สึกต่าง ๆ ไม่ว่าจะมีความสุข อิ่มเอม อยากร้องไห้ มันเพิ่มจากครั้งแรกมากกว่าเดิมในเสี้ยววินาทีนี้

ผมเห็นลำแสงของย้ำว่าลำแสงจาง ๆ เคลื่อนไหวอยู่ สำแสงนั้นไม่เชิงเป็นสีขาวเอาเป็นว่าเป็นสีควันบุหรี่จะใกล้เคียงที่สุดการเคลื่อนไหวของลำแสงนั้นเป็นแบบแสงออโรร่าของขั้วโลกเหนือหรือภาพพักหน้าจอวินโดว์มันจะหยิกย้วยแบบนั้นเลยครับ

พอครั้งที่สองพอมีโอกาสทำสมาธิอีกครั้งคราวนี้เป็นภาพต้นไม้บ้าง เกล็ดเลื่อมอะไรบ้าง คล้าย ๆ เวลาคนส่องกล้องจุลทรรศน์อ่ะครับตอนแรกมันจะไม่ค่อยชัดเจนพอปรับความละเอียดแล้วภาพมันจะชัดขึ้น ๆ แบบนั้นเลย บางทีก็เป็นต้นไม้ บ้านคนที่ไหนไม่รู้ สถานที่ที่ไหนก็ไม่รู้ภาพไม่ซ้ำและไม่ต่อเนื่องกัน

คือผมอยากสอบถามผู้รู้ว่า

1 อาการแบบนี้มันคืออะไรครับ คือผมจินตนาการไปเองหรือเปล่า และถ้าเป็นสมาธิจริงมันอยู่ในระดับไหนกันครับ ผมจะได้รู้ตัวว่าผมควรจะต้องจัดการหรือต่อยอดมันยังไงที่จะไม่ทำให้ผมหลงทาง

2 ลำแสงนั้นจะทรงตัวให้เห็นก็ต่อเมื่อผมดูมันเฉย ๆ และเมื่อไหร่ที่เริ่มเห็นหนอ เห็นหนอ ลำแสงนั้นจะหายวั๊บไปกับตา (บางครั้งผมยังแอบคิดเลยว่าผมลืมตาอยู่หรือเปล่าเพราะถึงแม้ว่าลำแสงที่เคลื่อนไหวจะไม่ใสแจ๋วแนวHD แต่ก็ชัดพอที่จะให้เรารู้ว่าเรากำลังเห็นอะไรอยู่)



วางข้อคิดภาคปฏิบัติให้พิจารณาหน่อยก่อน


คือ ความจริงที่เป็นอยู่ตามธรรมดา หรือเรื่องของธรรมชาติ ท่านว่า เอาแค่รู้ตามที่มันเป็น ขั้นแรกนี้จุดที่สำคัญมากอยู่ตรงนี้ว่า ต้องรู้ตามที่มันเป็นให้ได้ก็แล้วกัน



ที่ยกตัวอย่างมาเนื่ยะนะ ถ้าผู้ไม่เคยทำการฝึกทางนี้มาก่อน มองจนตายก็มองไม่ออก คิดจนตายก็คิดไม่ถึงไม่เห็น

จะว่าให้ฟัง ตัวอย่างบน คิดด่านั่นนี่ ไม่มีทางออก ทำให้เกิดทุกข์จนทำให้เขาภาวนาต่อไม่ได้

ตัวอย่างล่าง ชอบเพ่งกสิณ และเขาก็เพ่งจนเกิดนิมิตด้วย วิธีของเขาผสมหลายอย่าง จาคานุสติ (หนึ่งในอนุสติ 10) ก็จะเอา กสิณก็จะเอา กำหนดสภาวะต่างๆก็ทำ ดูที่เขาทำ
อ้างคำพูด:
เมื่อไหร่ที่เริ่มเห็นหนอ เห็นหนอลำแสงนั้นจะหายวั๊บไปกับตา


เห็นหนอๆๆ หายจ้อย เพราะเขาเห็นลำแสงนั่น


วิธีนี้ ตัวอย่างบน (จะเป็นใครก็ได้) นำไปใช้กับตนเองได้เลย เมื่อจิตด่าปั้บ ว่าในใจปุ๊บ "ด่าหนอๆๆๆๆ" กำหนดตามเป็นจริงอย่างนี้ คิดหนอๆๆ ก็ได้ กำหนดไป คิดหนอๆๆๆ จนกว่าความคิดนั่นจะดับ หรือกำหนดสัก 4-5 ครั้ง แล้วจับกรรมฐานเดิม เช่น ลมเข้าออก หรือพอง-ยุบไปใหม่ ว่าไปตามอาการ เมื่อความคิดด่า เกิดอีก กำหนดอีก ด่าหนอๆๆๆๆ นี่วิธีสำหรับตัวอย่างบน


ส่วนตัวอย่างล่าง จะเอายังไงแน่ ต้องตัดสินใจ เมื่อจะเล่นสมาธิ (กสิณ)
อ้างคำพูด:
ลำแสงนั้นจะทรงตัวให้เห็นก็ต่อเมื่อผมดูมันเฉย ๆ


ก็ต้องใช้วิธีประคองนิมิตนี้ เล่นนิมิตไป (อย่าว่า เห็นหนอๆๆ) เพราะนิมิตเกิดจากจิต เมื่อเรากำหนดจิตดวงนั้นก็ดับ กสิณต้องประกอง เล่นกับมันนึกให้ชัดขึ้น จนย่อได้ ขยายได้ สมาธิก็แค่นี้


ผู้ที่ใช้อนุสติอย่างอื่นๆ ก็ดูตัวอย่างนี้เป็นอุทาหรณ์

อ้างคำพูด:
ผมลองนั่งทำสมาธิต่อโดยนำ จาคานุสสติที่เคยพาพ่อไปปล่อยปลา ตักบาตร และเหตุการณ์ที่เคยร่วมหล่อระฆังเข้ามาเป็นกรรมฐาน สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ๆ คือ พอผมเริ่มนึกภาพระหว่างปล่อยปลากับพ่อ ตักบาตร หรือร่วมหล่อระฆัง ผมรู้สึกว่าผมมีความสุขมาก ผมอยากจะร้องไห้ในความดีครั้งนี้ ผมรู้ตัวว่าผมกำลังยิ้มปากฉีกอยู่

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2014, 14:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ที่ยกตัวอย่างมาเนื่ยะนะ ถ้าผู้ไม่เคยทำการฝึกทางนี้มาก่อน มองจนตายก็มองไม่ออก คิดจนตายก็คิดไม่ถึงไม่เห็น

จะว่าให้ฟัง ตัวอย่างบน คิดด่านั่นนี่ ไม่มีทางออก ทำให้เกิดทุกข์จนทำให้เขาภาวนาต่อไม่ได้

ตัวอย่างล่าง ชอบเพ่งกสิณ และเขาก็เพ่งจนเกิดนิมิตด้วย วิธีของเขาผสมหลายอย่าง จาคานุสติ (หนึ่งในอนุสติ 10) ก็จะเอา กสิณก็จะเอา กำหนดสภาวะต่างๆก็ทำ ดูที่เขาทำ
อ้างคำพูด:
เมื่อไหร่ที่เริ่มเห็นหนอ เห็นหนอลำแสงนั้นจะหายวั๊บไปกับตา


เห็นหนอๆๆ หายจ้อย เพราะเขาเห็นลำแสงนั่น


วิธีนี้ ตัวอย่างบน (จะเป็นใครก็ได้) นำไปใช้กับตนเองได้เลย เมื่อจิตด่าปั้บ ว่าในใจปุ๊บ "ด่าหนอๆๆๆๆ" กำหนดตามเป็นจริงอย่างนี้ คิดหนอๆๆ ก็ได้ กำหนดไป คิดหนอๆๆๆ จนกว่าความคิดนั่นจะดับ หรือกำหนดสัก 4-5 ครั้ง แล้วจับกรรมฐานเดิม เช่น ลมเข้าออก หรือพอง-ยุบไปใหม่ ว่าไปตามอาการ เมื่อความคิดด่า เกิดอีก กำหนดอีก ด่าหนอๆๆๆๆ นี่วิธีสำหรับตัวอย่างบน


ส่วนตัวอย่างล่าง จะเอายังไงแน่ ต้องตัดสินใจ เมื่อจะเล่นสมาธิ (กสิณ)
อ้างคำพูด:
ลำแสงนั้นจะทรงตัวให้เห็นก็ต่อเมื่อผมดูมันเฉย ๆ


ก็ต้องใช้วิธีประคองนิมิตนี้ เล่นนิมิตไป (อย่าว่า เห็นหนอๆๆ) เพราะนิมิตเกิดจากจิต เมื่อเรากำหนดจิตดวงนั้นก็ดับ กสิณต้องประกอง เล่นกับมันนึกให้ชัดขึ้น จนย่อได้ ขยายได้ สมาธิก็แค่นี้


ผู้ที่ใช้อนุสติอย่างอื่นๆ ก็ดูตัวอย่างนี้เป็นอุทาหรณ์

ทั้งผู้ที่ยกตัวอย่างมานี่ และ กรัชกาย แนะนำให้ฟุ้งไปตามนามรูป
ทั้งสองคน นั่นล่ะ คิดว่า ฟุ้งตามนามรูป เป็นการปฏิบัติจิตตภาวนา
เรียกว่า มั่วตั้งแต่เกิด ตั้งแต่ตั้งไข่ แล้วครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2014, 14:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ที่ยกตัวอย่างมาเนื่ยะนะ ถ้าผู้ไม่เคยทำการฝึกทางนี้มาก่อน มองจนตายก็มองไม่ออก คิดจนตายก็คิดไม่ถึงไม่เห็น

จะว่าให้ฟัง ตัวอย่างบน คิดด่านั่นนี่ ไม่มีทางออก ทำให้เกิดทุกข์จนทำให้เขาภาวนาต่อไม่ได้

ตัวอย่างล่าง ชอบเพ่งกสิณ และเขาก็เพ่งจนเกิดนิมิตด้วย วิธีของเขาผสมหลายอย่าง จาคานุสติ (หนึ่งในอนุสติ 10) ก็จะเอา กสิณก็จะเอา กำหนดสภาวะต่างๆก็ทำ ดูที่เขาทำ
อ้างคำพูด:
เมื่อไหร่ที่เริ่มเห็นหนอ เห็นหนอลำแสงนั้นจะหายวั๊บไปกับตา


เห็นหนอๆๆ หายจ้อย เพราะเขาเห็นลำแสงนั่น


วิธีนี้ ตัวอย่างบน (จะเป็นใครก็ได้) นำไปใช้กับตนเองได้เลย เมื่อจิตด่าปั้บ ว่าในใจปุ๊บ "ด่าหนอๆๆๆๆ" กำหนดตามเป็นจริงอย่างนี้ คิดหนอๆๆ ก็ได้ กำหนดไป คิดหนอๆๆๆ จนกว่าความคิดนั่นจะดับ หรือกำหนดสัก 4-5 ครั้ง แล้วจับกรรมฐานเดิม เช่น ลมเข้าออก หรือพอง-ยุบไปใหม่ ว่าไปตามอาการ เมื่อความคิดด่า เกิดอีก กำหนดอีก ด่าหนอๆๆๆๆ นี่วิธีสำหรับตัวอย่างบน


ส่วนตัวอย่างล่าง จะเอายังไงแน่ ต้องตัดสินใจ เมื่อจะเล่นสมาธิ (กสิณ)
อ้างคำพูด:
ลำแสงนั้นจะทรงตัวให้เห็นก็ต่อเมื่อผมดูมันเฉย ๆ


ก็ต้องใช้วิธีประคองนิมิตนี้ เล่นนิมิตไป (อย่าว่า เห็นหนอๆๆ) เพราะนิมิตเกิดจากจิต เมื่อเรากำหนดจิตดวงนั้นก็ดับ กสิณต้องประกอง เล่นกับมันนึกให้ชัดขึ้น จนย่อได้ ขยายได้ สมาธิก็แค่นี้


ผู้ที่ใช้อนุสติอย่างอื่นๆ ก็ดูตัวอย่างนี้เป็นอุทาหรณ์

ทั้งผู้ที่ยกตัวอย่างมานี่ และ กรัชกาย แนะนำให้ฟุ้งไปตามนามรูป
ทั้งสองคน นั่นล่ะ คิดว่า ฟุ้งตามนามรูป เป็นการปฏิบัติจิตตภาวนา
เรียกว่า มั่วตั้งแต่เกิด ตั้งแต่ตั้งไข่ แล้วครับ



ก็อย่างที่ว่า ชีวิตสำเร็จรูป ชีวิตกระดาษ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2014, 14:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ก็อย่างที่ว่า ชีวิตสำเร็จรูป ชีวิตกระดาษ :b1:

wink

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2014, 14:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1399782792-Laughing-o.gif
1399782792-Laughing-o.gif [ 312.31 KiB | เปิดดู 2189 ครั้ง ]
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ก็อย่างที่ว่า ชีวิตสำเร็จรูป ชีวิตกระดาษ :b1:

wink



หมดตูด :b13:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2014, 15:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
หมดตูด :b13:


wink wink wink
กรัชกาย .....
ไปทำบุญทำทาน ให้เป็นก่อนนะ

การแนะนำ อะไรมั่วๆ โดยไม่รู้จริง
ให้คนเขาฟุ้งไปตามนามรูป น่ะ อย่าทำๆ :b17: :b17:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2014, 15:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
หมดตูด :b13:


wink wink wink
กรัชกาย .....
ไปทำบุญทำทาน ให้เป็นก่อนนะ

การแนะนำ อะไรมั่วๆ โดยไม่รู้จริง
ให้คนเขาฟุ้งไปตามนามรูป น่ะ อย่าทำๆ :b17: :b17:



เอออันนี้ พอมีข้อคิดหน่อย เช่นนั้น ว่าไปทำไง :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2014, 15:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เอออันนี้ พอมีข้อคิดหน่อย เช่นนั้น ว่าไปทำไง :b10:

กรัชกาย ก็ตื่นเช้า อย่าฟุ้งซ่าน ตักบาตร ทำวัตรเช้า
ทำเป็นป่าว

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2014, 15:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




b6d5f10e8777aa0ae60f2c3b03bfa69c.gif
b6d5f10e8777aa0ae60f2c3b03bfa69c.gif [ 4.35 KiB | เปิดดู 2176 ครั้ง ]
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เอออันนี้ พอมีข้อคิดหน่อย เช่นนั้น ว่าไปทำไง :b10:

กรัชกาย ก็ตื่นเช้า อย่าฟุ้งซ่าน ตักบาตร ทำวัตรเช้า
ทำเป็นป่าว



คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2014, 15:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เอออันนี้ พอมีข้อคิดหน่อย เช่นนั้น ว่าไปทำไง :b10:

กรัชกาย ก็ตื่นเช้า อย่าฟุ้งซ่าน ตักบาตร ทำวัตรเช้า
ทำเป็นป่าว



คิกๆๆ
หัวร่อ แล้วอย่าลืมทำล่ะ s004

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 107 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร