วันเวลาปัจจุบัน 22 ก.ค. 2025, 06:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 41, 42, 43, 44, 45, 46, 47 ... 62  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2014, 04:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
รึ ???
^v*

พอเถอะเช่นนั้น ไม่รู้จะว่ายังไงไปทางไหน ก็อาบน้ำกินนมนอนพักผ่อนเถอะ :b32:

กรัชกายก็พอเช่นกันนะ
อย่าไปคาดเดา อโศกะเองเลย huh



อโศกคาดเดาไม่ยาก เพราะพูดไม่ใช่ทำ :b32:



ให้เวลาอโศกคิดคำตอบ 7 วัน :b1:

แต่ในขณะรอ จะสนทนากับท่านเช่นนั้นไปพลางก่อน :b9:

คือให้เช่นนั้นยกข้อธรรมที่คิดว่าอโศกรู้แบบไม่ต้องเดามาสักข้อสิขอรับ :b1: :b13:



ที่รู้ชัดไม่ต้องเดาก็คือรู้ว่ากรัชกายเป็นนักวิชาการเต็มตัว ชอบซักถามแบบวัวพันหลัก ชอบชักปัญหาผู้อื่นมาถาม ชอบเล่าความตามตำรา สภวาวะของตนไม่กล้าแสดง บางครั้งปนยุแยงตะแคงรั่ว บางครั้งก็มั่วบัญญัติ ........



แน่ะๆ :b9: มาก่อนเวลาคิดว่า มาตอบคำถาม เปล่า ไม่ตอบ นอกจากไม่ตอบแล้ว ยังมาพูดเอาเท่เอาหล่ออีก เช่น สภาวะ บัญญัติ ทำเสียงหล่อ (เป็นอาฉีเสียงหล่อ) แต่ไม่รู้เข้าใจความหมายเขาว่าหมายถึงอะไร พูดไปเรื่อย เออ

ไหนก็มาแล้ว เชิญอโศกพ่อนักปฏิบัติหย่าย :b32: ตอบสะคราวเดียวกันเลยนะ :b14:

หนก่อนอโศกพูดว่า

อ้างคำพูด:
“พอได้เจอกับผู้รู้จริงอย่างท่านเช่นนั้น มาทักท้วงเอาบ้าง กรัชกายก็ไฟลุกปลุกขึ้นเหมือนกัน”


เช่นนั้นรู้อะไร ที่ว่าผู้รู้จริง หนึ่งนะ

สอง สภาวะ ได้แก่อะไร สภาวะที่ว่านั่นน่า

สาม บัญญัติ อโศกว่ามันเป็นอะไรยังไง

อย่าหลบลี้หนีหายถึงกับต้องปลุกต้องเร้ากันอีกนะ คิกๆๆ ไม่ต้องอาย :b15: ตอบได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้ ต่อไปก็ไม่ต้องพูดอีก ใครเขาจะไปว่าอะไรเหล้าเออ :b1:


อดไม่ได้ :b13: เขาเป็นอะไรขอรับ นักปฏิบัติใหญ่เนี่ย :b14:

http://www.youtube.com/watch?v=ZYgcf-nl ... nl9iE#t=35

ไม่เชื่อ :b32: นักวิชาการใหญ่ คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2014, 20:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
รึ ???
^v*

พอเถอะเช่นนั้น ไม่รู้จะว่ายังไงไปทางไหน ก็อาบน้ำกินนมนอนพักผ่อนเถอะ :b32:

กรัชกายก็พอเช่นกันนะ
อย่าไปคาดเดา อโศกะเองเลย huh



อโศกคาดเดาไม่ยาก เพราะพูดไม่ใช่ทำ :b32:



ให้เวลาอโศกคิดคำตอบ 7 วัน :b1:

แต่ในขณะรอ จะสนทนากับท่านเช่นนั้นไปพลางก่อน :b9:

คือให้เช่นนั้นยกข้อธรรมที่คิดว่าอโศกรู้แบบไม่ต้องเดามาสักข้อสิขอรับ :b1: :b13:



ที่รู้ชัดไม่ต้องเดาก็คือรู้ว่ากรัชกายเป็นนักวิชาการเต็มตัว ชอบซักถามแบบวัวพันหลัก ชอบชักปัญหาผู้อื่นมาถาม ชอบเล่าความตามตำรา สภวาวะของตนไม่กล้าแสดง บางครั้งปนยุแยงตะแคงรั่ว บางครั้งก็มั่วบัญญัติ ........



แน่ะๆ :b9: มาก่อนเวลาคิดว่า มาตอบคำถาม เปล่า ไม่ตอบ นอกจากไม่ตอบแล้ว ยังมาพูดเอาเท่เอาหล่ออีก เช่น สภาวะ บัญญัติ ทำเสียงหล่อ (เป็นอาฉีเสียงหล่อ) แต่ไม่รู้เข้าใจความหมายเขาว่าหมายถึงอะไร พูดไปเรื่อย เออ

ไหนก็มาแล้ว เชิญอโศกพ่อนักปฏิบัติหย่าย :b32: ตอบสะคราวเดียวกันเลยนะ :b14:

หนก่อนอโศกพูดว่า

อ้างคำพูด:
“พอได้เจอกับผู้รู้จริงอย่างท่านเช่นนั้น มาทักท้วงเอาบ้าง กรัชกายก็ไฟลุกปลุกขึ้นเหมือนกัน”


เช่นนั้นรู้อะไร ที่ว่าผู้รู้จริง หนึ่งนะ

สอง สภาวะ ได้แก่อะไร สภาวะที่ว่านั่นน่า

สาม บัญญัติ อโศกว่ามันเป็นอะไรยังไง

อย่าหลบลี้หนีหายถึงกับต้องปลุกต้องเร้ากันอีกนะ คิกๆๆ ไม่ต้องอาย :b15: ตอบได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้ ต่อไปก็ไม่ต้องพูดอีก ใครเขาจะไปว่าอะไรเหล้าเออ :b1:


อดไม่ได้ :b13: เขาเป็นอะไรขอรับ นักปฏิบัติใหญ่เนี่ย :b14:

http://www.youtube.com/watch?v=ZYgcf-nl ... nl9iE#t=35

ไม่เชื่อ :b32: นักวิชาการใหญ่ คิกๆๆ

s004
สไตล์เดิม ถามให้อธิบายศัพท์ธรรมะเหมือนเดิม เอาปัญหาคนอื่นมาถามเหมือนเดิม ตอบถามกันมาจนคนอ่านเขาเบื่อแล้วก็ยังทำเหมือนเดิม เป็นอยู่แค่นี้หรือกรัชกาย

ถ้าอยากได้คำตอบทั้งหมดนั้นให้ลงนั่งขัดสมาธิ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้ตรงหน้า ตั้งตาปัญญา สังเกต พิจารณาเข้าไปในกายใจ ปิดตาเนื้อ เปิดตาใจ ค้นหาคำตอบด้วยตัวเองออกมาให้ได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นมั่งในกาย ในใจ ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นใหม่ จนผ่านไปถึงกึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมง ทำได้แล้วเอามาเล่าให้ฟัง หลังจากนั้นจึงจะคุยกันต่อได้ ไม่มั่วหมกมุ่นอยู่เฉพาะเรื่องในตำราอันน่าเบื่อหน่าย
ทำได้ไหมอย่างนี้กรัชกาย ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องมาถาม ไม่ต้องมาคุยกัน แล้วเลิกมาลองภูมิกันด้วยคำถามเรื่องศัพท์ธรรมะอันจำเจอีกนะ เอาภาคปฏิบัติมาคุยกันดีกว่า จะได้เป็นประโยชน์จริงๆกับผู้อ่าน
smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2014, 21:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อโศกะ น่าจะรอให้ครบ 7 วัน ^ ^
จะได้เห็นบุ้งไต่รอบปากที่คันๆ ของกรัชกาย

โอ้ ...... คันหนอ คันหนอ คันยุก คันยิกหนอ ......

ถ้าไต่ถึงหู
ก็ โอ้ คันหูหนอ คันหูหนอ กำหนด คันหูหนอ cry s007 huh

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2014, 04:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
รึ ???
^v*

พอเถอะเช่นนั้น ไม่รู้จะว่ายังไงไปทางไหน ก็อาบน้ำกินนมนอนพักผ่อนเถอะ :b32:

กรัชกายก็พอเช่นกันนะ
อย่าไปคาดเดา อโศกะเองเลย huh



อโศกคาดเดาไม่ยาก เพราะพูดไม่ใช่ทำ :b32:



ให้เวลาอโศกคิดคำตอบ 7 วัน :b1:

แต่ในขณะรอ จะสนทนากับท่านเช่นนั้นไปพลางก่อน :b9:

คือให้เช่นนั้นยกข้อธรรมที่คิดว่าอโศกรู้แบบไม่ต้องเดามาสักข้อสิขอรับ :b1: :b13:



ที่รู้ชัดไม่ต้องเดาก็คือรู้ว่ากรัชกายเป็นนักวิชาการเต็มตัว ชอบซักถามแบบวัวพันหลัก ชอบชักปัญหาผู้อื่นมาถาม ชอบเล่าความตามตำรา สภวาวะของตนไม่กล้าแสดง บางครั้งปนยุแยงตะแคงรั่ว บางครั้งก็มั่วบัญญัติ ........



แน่ะๆ :b9: มาก่อนเวลาคิดว่า มาตอบคำถาม เปล่า ไม่ตอบ นอกจากไม่ตอบแล้ว ยังมาพูดเอาเท่เอาหล่ออีก เช่น สภาวะ บัญญัติ ทำเสียงหล่อ (เป็นอาฉีเสียงหล่อ) แต่ไม่รู้เข้าใจความหมายเขาว่าหมายถึงอะไร พูดไปเรื่อย เออ

ไหนก็มาแล้ว เชิญอโศกพ่อนักปฏิบัติหย่าย :b32: ตอบสะคราวเดียวกันเลยนะ :b14:

หนก่อนอโศกพูดว่า

อ้างคำพูด:
“พอได้เจอกับผู้รู้จริงอย่างท่านเช่นนั้น มาทักท้วงเอาบ้าง กรัชกายก็ไฟลุกปลุกขึ้นเหมือนกัน”


เช่นนั้นรู้อะไร ที่ว่าผู้รู้จริง หนึ่งนะ

สอง สภาวะ ได้แก่อะไร สภาวะที่ว่านั่นน่า

สาม บัญญัติ อโศกว่ามันเป็นอะไรยังไง

อย่าหลบลี้หนีหายถึงกับต้องปลุกต้องเร้ากันอีกนะ คิกๆๆ ไม่ต้องอาย :b15: ตอบได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้ ต่อไปก็ไม่ต้องพูดอีก ใครเขาจะไปว่าอะไรเหล้าเออ :b1:


อดไม่ได้ :b13: เขาเป็นอะไรขอรับ นักปฏิบัติใหญ่เนี่ย :b14:

http://www.youtube.com/watch?v=ZYgcf-nl ... nl9iE#t=35

ไม่เชื่อ :b32: นักวิชาการใหญ่ คิกๆๆ

s004
สไตล์เดิม ถามให้อธิบายศัพท์ธรรมะเหมือนเดิม เอาปัญหาคนอื่นมาถามเหมือนเดิม ตอบถามกันมาจนคนอ่านเขาเบื่อแล้วก็ยังทำเหมือนเดิม เป็นอยู่แค่นี้หรือกรัชกาย

ถ้าอยากได้คำตอบทั้งหมดนั้นให้ลงนั่งขัดสมาธิ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้ตรงหน้า ตั้งตาปัญญา สังเกต พิจารณาเข้าไปในกายใจ ปิดตาเนื้อ เปิดตาใจ ค้นหาคำตอบด้วยตัวเองออกมาให้ได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นมั่งในกาย ในใจ ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นใหม่ จนผ่านไปถึงกึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมง ทำได้แล้วเอามาเล่าให้ฟัง หลังจากนั้นจึงจะคุยกันต่อได้ ไม่มั่วหมกมุ่นอยู่เฉพาะเรื่องในตำราอันน่าเบื่อหน่าย
ทำได้ไหมอย่างนี้กรัชกาย ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องมาถาม ไม่ต้องมาคุยกัน แล้วเลิกมาลองภูมิกันด้วยคำถามเรื่องศัพท์ธรรมะอันจำเจอีกนะ เอาภาคปฏิบัติมาคุยกันดีกว่า จะได้เป็นประโยชน์จริงๆกับผู้อ่าน



ทั้งๆที่ตนเองพูดว่าเขาว่า


อ้างคำพูด:
พอได้เจอกับผู้รู้จริงอย่างท่านเช่นนั้นมาทักท้วงเอาบ้าง กรัชกายก็ไฟลุกปลุกขึ้นเหมือนกัน


จึงถามว่า เช่นนั้น รู้อะไร ที่ว่ารู้จริงน่า ถามแค่เนี้ยะ กลายเป็นกรัชกายเป็นคนผิดเป็นคนเลว :b2: โธ่สวรรค์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2014, 05:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
อโศกะ น่าจะรอให้ครบ 7 วัน ^ ^
จะได้เห็นบุ้งไต่รอบปากที่คันๆ ของกรัชกาย

โอ้ ...... คันหนอ คันหนอ คันยุก คันยิกหนอ ......

ถ้าไต่ถึงหู
ก็ โอ้ คันหูหนอ คันหูหนอ กำหนด คันหูหนอ


ท่านเช่นนั้น ถามจริงๆ พูดจริงหรือประชด คิกๆๆ :b32:

อ่านนิทานเรื่องไกรทอง ตอนชาละวันบาดเจ็บหนีกลับเข้าถ้ำทองบำเพ็ญศีลภาวนา แต่ทนแรงมนต์ของไกรทองไม่ไหว โดดออกจากถ้ำมาพบจุดจบ :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2014, 21:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
เจอคำตอบเด็ดๆของท่านเช่นนั้นจนตีลังกาไปแปดตลบในหลายกระทู้ ยังมาถามว่าท่านเช่นนั้นรู้จริงอะไรอีกหรือ กรัชกาย จะต้องให้อโศกะไปค้นหาหลักฐานมาอ้างอิงอยู่อีกหรือ กรัชกาย
s004
ไปทำการบ้านแล้วตอบมาให้ได้ก่อนสิ เมื่อลงนั่งหลับตาภาวนาดูเข้าไปข้างในมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แล้วทำยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันจะน่าคุยน่าสนทนากว่าภาคทฤษฎีอันเต็มไปด้วยศัพท์แสงและยาวยืดยากต่อการนำไปใช้ที่กรัชกายกำลังเพียรทำอยู่ขณะนี้
s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 มิ.ย. 2014, 18:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
เจอคำตอบเด็ดๆของท่านเช่นนั้นจนตีลังกาไปแปดตลบในหลายกระทู้ ยังมาถามว่าท่านเช่นนั้นรู้จริงอะไรอีกหรือ กรัชกาย จะต้องให้อโศกะไปค้นหาหลักฐานมาอ้างอิงอยู่อีกหรือ กรัชกาย
s004
ไปทำการบ้านแล้วตอบมาให้ได้ก่อนสิ เมื่อลงนั่งหลับตาภาวนาดูเข้าไปข้างในมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แล้วทำยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันจะน่าคุยน่าสนทนากว่าภาคทฤษฎีอันเต็มไปด้วยศัพท์แสงและยาวยืดยากต่อการนำไปใช้ที่กรัชกายกำลังเพียรทำอยู่ขณะนี้



ไปกระทู้นี้สิครับ viewtopic.php?f=1&t=47868
:b1: ถ้าอยากภาวนา ชนะจิต :b32: ไม่ใช่หมอดูแต่ทำนายไว้ก่อนเลยว่า อโศกไม่กล้าไป :b13:


ชวนแล้วไม่ไป งั้นเอามานี่เลย

อ้างคำพูด:
จิตสร้างคำหยาบคายลามกกับพระรัตนตรัย ทำไงดีครับ


มันเริ่มจากคำหยาบเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน แล้วพอมันเกิดขึ้น
ผมจะรู้สึกแย่ แล้วพอเวลาผ่านไป ผมอยากปฏิบัติธรรม
ให้ได้ตามหลักมรรค 8 จิตมันเริ่มรู้ว่าต้องระวังให้มากขึ้น
กลายเป็นเกร็งมากขึ้น มีคำหยาบมากขึ้นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็พยายามทำใจว่าใจจริงเราเคารพ
พระรัตนตรัย กลายเป็นทำศึกสองด้าน ด้านหนึ่งระวัง
ไม่ให้จิตสร้างคำหยาบ ด้านหนึ่งเจริญปัญญา

ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ มันจะทำให้มรรค 8 ด่าง
พร้อยมั้ยครับ ย้ำอีกทีว่าใจผมเคารพพระรัตนตรัย
ในรอบหลายปีมานี่ ไม่เคยมีวาจาหรือการกระทำที่
ลบหลู่พระรัตนตรัยครับ มีแต่คำหยาบที่จิตผลิตมา
หลอกหลอนวันละหลาย ๆ ประโยค


ทำไงดีครับ :b10:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2014, 07:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b12:
เจอคำตอบเด็ดๆของท่านเช่นนั้นจนตีลังกาไปแปดตลบในหลายกระทู้ ยังมาถามว่าท่านเช่นนั้นรู้จริงอะไรอีกหรือ กรัชกาย จะต้องให้อโศกะไปค้นหาหลักฐานมาอ้างอิงอยู่อีกหรือ กรัชกาย
s004
ไปทำการบ้านแล้วตอบมาให้ได้ก่อนสิ เมื่อลงนั่งหลับตาภาวนาดูเข้าไปข้างในมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แล้วทำยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันจะน่าคุยน่าสนทนากว่าภาคทฤษฎีอันเต็มไปด้วยศัพท์แสงและยาวยืดยากต่อการนำไปใช้ที่กรัชกายกำลังเพียรทำอยู่ขณะนี้



ไปกระทู้นี้สิครับ viewtopic.php?f=1&t=47868
:b1: ถ้าอยากภาวนา ชนะจิต :b32: ไม่ใช่หมอดูแต่ทำนายไว้ก่อนเลยว่า อโศกไม่กล้าไป :b13:


ชวนแล้วไม่ไป งั้นเอามานี่เลย

อ้างคำพูด:
จิตสร้างคำหยาบคายลามกกับพระรัตนตรัย ทำไงดีครับ


มันเริ่มจากคำหยาบเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อน แล้วพอมันเกิดขึ้น
ผมจะรู้สึกแย่ แล้วพอเวลาผ่านไป ผมอยากปฏิบัติธรรม
ให้ได้ตามหลักมรรค 8 จิตมันเริ่มรู้ว่าต้องระวังให้มากขึ้น
กลายเป็นเกร็งมากขึ้น มีคำหยาบมากขึ้นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ผมก็พยายามทำใจว่าใจจริงเราเคารพ
พระรัตนตรัย กลายเป็นทำศึกสองด้าน ด้านหนึ่งระวัง
ไม่ให้จิตสร้างคำหยาบ ด้านหนึ่งเจริญปัญญา

ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ มันจะทำให้มรรค 8 ด่าง
พร้อยมั้ยครับ ย้ำอีกทีว่าใจผมเคารพพระรัตนตรัย
ในรอบหลายปีมานี่ ไม่เคยมีวาจาหรือการกระทำที่
ลบหลู่พระรัตนตรัยครับ มีแต่คำหยาบที่จิตผลิตมา
หลอกหลอนวันละหลาย ๆ ประโยค


ทำไงดีครับ :b10:

:b38:
ฝึกภาวนา ทิ้งอดีตให้ได้ให้เป็นก่อน ฝึกจากปัจจุบันเรื่องปัจจุบันอารมณ์ตอนที่ลงนั่งภาวนานั่นเลยทีเดียว เพราะจิตที่ยังฝึกไว้ไม่ดี จะนึกเคล้าอยู่กับอดีต คิดล่วงไปสู่อนาคตตลอดเวลา ไม่ยอมอยู่กับปัจจุบันอารมณ์ เรื่องมันถึงมากอย่างที่เขียนที่พิมพ์มากันยาวยืดนี้

การฝึกก็ไม่ยาก เอาความยินดียินร้ายที่เกิดขึ้นกับทุกผัสสะและอารมณ์ในปัจจุบันออกให้ได้

จะเอายินดียินร้ายออกได้อย่างไร?

"นิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์จนดับไปต่อหน้าต่อตา"
:b37:
ชีวิตของเรานี้ดูมีค่าขึ้นมาทันทีเมื่อลงนั่งขัดสมาธิ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้ตรงหน้า สังเกต พิจารณาเข้าไปในกายใจ ทรงสติ ปัญญาไว้กับปัจจุบันอารมณ์ หรือ "ภาวนา" นั่นเอง เพราะเมื่อคิดพิจารณาเข้าไปลึกๆ มีภาวนานี้เท่านั้นที่สามารถสร้างสิ่งที่เป็นจริงหรือแก่นสารของชีวิตขึ้นมาได้นิดหนึ่งเพื่อที่จะได้นำติดจิตใจไปสู่ภพชาติต่างๆ เมื่อชีวิตนี้สิ้นสุดลงไปจากชาติปัจจุบัน
:14:
ดังนั้นจึงพึงทำภาวนาให้ได้ทุกวันจนเป็นนิสสัย ความเคยชินและฝังลึกบันทึกไว้ในกมลสันดาน ทำได้เช่นนั้น ชีวิตนี้จึงจะมีความหมาย
:b36:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2014, 07:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


"สมถะภาวนา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2014, 08:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
"สมถะภาวนา"

:b13: :b13: :b13:
ติดอยู่แค่นี้ละหรือ คุณกบ

ลองปฏิบัติจริงดูหรือยังล่ะ ยังไม่ได้พิสูจน์เลย ด่วนตัดสินความไปโดยอัตโนมัย ระวังจะเสียโอกาสของชาตินี้ไปนะ

อนึ่งสมถะกับวิปัสสนาเหมือนปลายไม้เท้ากับโคนไม้เท้าอย่างที่หลวงปู่ชาว่า ปลายกระดก โคนก็ขยับ โคนขยับ ปลายก็กระดก ต้องเข้าใจความนัยอีนนี้ให้ลึกซึ้งด้วยนะ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สัมมาสมาธิ อันหมายถึง ความตั้งมั่นของจิตระดับฌาณ 4 นั้น เวลาใช้งานสัมมาสมาธิก็ต้องใช้เป็นด้วยนะ ที่ท่านเรียกว่า "โยนิโสมนสิการ" หรือฉลาดแยบคายในการทำงาน ด้วย โปรดพิจารณา


:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2014, 08:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
"สมถะภาวนา"

:b13: :b13: :b13:
ติดอยู่แค่นี้ละหรือ คุณกบ

ลองปฏิบัติจริงดูหรือยังล่ะ ยังไม่ได้พิสูจน์เลย ด่วนตัดสินความไปโดยอัตโนมัย ระวังจะเสียโอกาสของชาตินี้ไปนะ

อนึ่งสมถะกับวิปัสสนาเหมือนปลายไม้เท้ากับโคนไม้เท้าอย่างที่หลวงปู่ชาว่า ปลายกระดก โคนก็ขยับ โคนขยับ ปลายก็กระดก ต้องเข้าใจความนัยอีนนี้ให้ลึกซึ้งด้วยนะ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สัมมาสมาธิ อันหมายถึง ความตั้งมั่นของจิตระดับฌาณ 4 นั้น เวลาใช้งานสัมมาสมาธิก็ต้องใช้เป็นด้วยนะ ที่ท่านเรียกว่า "โยนิโสมนสิการ" หรือฉลาดแยบคายในการทำงาน ด้วย โปรดพิจารณา


:b38:


เขาปฏิบัติแล้วเป็นยังงี้ อโศกบอกให้เขาทำยังไง

อ้างคำพูด:
เรานั่งสมาธิไปเรื่อยๆแล้ว ทำไมตัวเราเหมือนจะค่อยๆจะลุกขึ้น ขาก็เหมือนจะยกขึ้น เขาเรียกอาการอะไรค่ะ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 07:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
"สมถะภาวนา"

:b13: :b13: :b13:
ติดอยู่แค่นี้ละหรือ คุณกบ

ลองปฏิบัติจริงดูหรือยังล่ะ ยังไม่ได้พิสูจน์เลย ด่วนตัดสินความไปโดยอัตโนมัย ระวังจะเสียโอกาสของชาตินี้ไปนะ

อนึ่งสมถะกับวิปัสสนาเหมือนปลายไม้เท้ากับโคนไม้เท้าอย่างที่หลวงปู่ชาว่า ปลายกระดก โคนก็ขยับ โคนขยับ ปลายก็กระดก ต้องเข้าใจความนัยอีนนี้ให้ลึกซึ้งด้วยนะ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สัมมาสมาธิ อันหมายถึง ความตั้งมั่นของจิตระดับฌาณ 4 นั้น เวลาใช้งานสัมมาสมาธิก็ต้องใช้เป็นด้วยนะ ที่ท่านเรียกว่า "โยนิโสมนสิการ" หรือฉลาดแยบคายในการทำงาน ด้วย โปรดพิจารณา


:b38:


เขาปฏิบัติแล้วเป็นยังงี้ อโศกบอกให้เขาทำยังไง

อ้างคำพูด:
เรานั่งสมาธิไปเรื่อยๆแล้ว ทำไมตัวเราเหมือนจะค่อยๆจะลุกขึ้น ขาก็เหมือนจะยกขึ้น เขาเรียกอาการอะไรค่ะ

s004
เขาเรียกว่า อาการของปีติและนิมิต เป็นผลของการที่จิตเริ่มจะตั้งมั่น ต้องนิ่งรู้นิ่งสังเกตจนมันดับไปหรือหักใจกลับไปกำหนดสติให้อยู่กับกรรมฐานให้แน่นมากกว่านี้

อย่าไปคิดแก้อาการที่เกิด เพราะเป็นผลไม่ใช่เหตุ

เหตุ....ถ้าเจริญสมถะภาวนาอยู่ เป็นเพราะสติ สัมปชัญญะหลุดจากองค์กรรมฐาน

เหตุ....ถ้าเจริญวิปัสสนาภาวนาอยู่ เป็นเพราะ สติ สัมปชัญญะหลุดจากปัจจุบันอารมณ์

เน้นแก้ตรงสติ สัมปชัญญะ อันเป็นเหตุ อย่าหมายไปแก้อารมณ์ที่ปรุงแต่งซึ่งเป็นผล

ให้เอาพุทธธรรมข้อ เยธัมมา......มาใช้

"ทุกสิ่งเกิดแต่เหตุ ถ้าเหตุดับผลก็ดับ"
:b36:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 08:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
"สมถะภาวนา"

:b13: :b13: :b13:
ติดอยู่แค่นี้ละหรือ คุณกบ

ลองปฏิบัติจริงดูหรือยังล่ะ ยังไม่ได้พิสูจน์เลย ด่วนตัดสินความไปโดยอัตโนมัย ระวังจะเสียโอกาสของชาตินี้ไปนะ

อนึ่งสมถะกับวิปัสสนาเหมือนปลายไม้เท้ากับโคนไม้เท้าอย่างที่หลวงปู่ชาว่า ปลายกระดก โคนก็ขยับ โคนขยับ ปลายก็กระดก ต้องเข้าใจความนัยอีนนี้ให้ลึกซึ้งด้วยนะ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สัมมาสมาธิ อันหมายถึง ความตั้งมั่นของจิตระดับฌาณ 4 นั้น เวลาใช้งานสัมมาสมาธิก็ต้องใช้เป็นด้วยนะ ที่ท่านเรียกว่า "โยนิโสมนสิการ" หรือฉลาดแยบคายในการทำงาน ด้วย โปรดพิจารณา


:b38:


เขาปฏิบัติแล้วเป็นยังงี้ อโศกบอกให้เขาทำยังไง

อ้างคำพูด:
เรานั่งสมาธิไปเรื่อยๆแล้ว ทำไมตัวเราเหมือนจะค่อยๆจะลุกขึ้น ขาก็เหมือนจะยกขึ้น เขาเรียกอาการอะไรค่ะ

s004
เขาเรียกว่า อาการของปีติและนิมิต เป็นผลของการที่จิตเริ่มจะตั้งมั่น ต้องนิ่งรู้นิ่งสังเกตจนมันดับไปหรือหักใจกลับไปกำหนดสติให้อยู่กับกรรมฐานให้แน่นมากกว่านี้

อย่าไปคิดแก้อาการที่เกิด เพราะเป็นผลไม่ใช่เหตุ

เหตุ....ถ้าเจริญสมถะภาวนาอยู่ เป็นเพราะสติ สัมปชัญญะหลุดจากองค์กรรมฐาน

เหตุ....ถ้าเจริญวิปัสสนาภาวนาอยู่ เป็นเพราะ สติ สัมปชัญญะหลุดจากปัจจุบันอารมณ์

เน้นแก้ตรงสติ สัมปชัญญะ อันเป็นเหตุ อย่าหมายไปแก้อารมณ์ที่ปรุงแต่งซึ่งเป็นผล

ให้เอาพุทธธรรมข้อ เยธัมมา......มาใช้

"ทุกสิ่งเกิดแต่เหตุ ถ้าเหตุดับผลก็ดับ"
:b36:



เหมือนเดิม อ้างศัพท์นั่นนี่ แล้วก็ปลืมว่าเป็นธรรม เจ้าสำนักอย่างอโศกนี่แหละทำให้คนเพี้ยน เขาเป็นอย่าง ตัวเองพูดอย่าง ถามอย่างตอบอย่าง สติมั่งปัญญามั่ง เย นั่น เย นี่ คิกๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 10:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
"สมถะภาวนา"

:b13: :b13: :b13:
ติดอยู่แค่นี้ละหรือ คุณกบ

ลองปฏิบัติจริงดูหรือยังล่ะ ยังไม่ได้พิสูจน์เลย ด่วนตัดสินความไปโดยอัตโนมัย ระวังจะเสียโอกาสของชาตินี้ไปนะ

อนึ่งสมถะกับวิปัสสนาเหมือนปลายไม้เท้ากับโคนไม้เท้าอย่างที่หลวงปู่ชาว่า ปลายกระดก โคนก็ขยับ โคนขยับ ปลายก็กระดก ต้องเข้าใจความนัยอีนนี้ให้ลึกซึ้งด้วยนะ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สัมมาสมาธิ อันหมายถึง ความตั้งมั่นของจิตระดับฌาณ 4 นั้น เวลาใช้งานสัมมาสมาธิก็ต้องใช้เป็นด้วยนะ ที่ท่านเรียกว่า "โยนิโสมนสิการ" หรือฉลาดแยบคายในการทำงาน ด้วย โปรดพิจารณา


:b38:


เขาปฏิบัติแล้วเป็นยังงี้ อโศกบอกให้เขาทำยังไง

อ้างคำพูด:
เรานั่งสมาธิไปเรื่อยๆแล้ว ทำไมตัวเราเหมือนจะค่อยๆจะลุกขึ้น ขาก็เหมือนจะยกขึ้น เขาเรียกอาการอะไรค่ะ

s004
เขาเรียกว่า อาการของปีติและนิมิต เป็นผลของการที่จิตเริ่มจะตั้งมั่น ต้องนิ่งรู้นิ่งสังเกตจนมันดับไปหรือหักใจกลับไปกำหนดสติให้อยู่กับกรรมฐานให้แน่นมากกว่านี้

อย่าไปคิดแก้อาการที่เกิด เพราะเป็นผลไม่ใช่เหตุ

เหตุ....ถ้าเจริญสมถะภาวนาอยู่ เป็นเพราะสติ สัมปชัญญะหลุดจากองค์กรรมฐาน

เหตุ....ถ้าเจริญวิปัสสนาภาวนาอยู่ เป็นเพราะ สติ สัมปชัญญะหลุดจากปัจจุบันอารมณ์

เน้นแก้ตรงสติ สัมปชัญญะ อันเป็นเหตุ อย่าหมายไปแก้อารมณ์ที่ปรุงแต่งซึ่งเป็นผล

ให้เอาพุทธธรรมข้อ เยธัมมา......มาใช้

"ทุกสิ่งเกิดแต่เหตุ ถ้าเหตุดับผลก็ดับ"
:b36:



เหมือนเดิม อ้างศัพท์นั่นนี่ แล้วก็ปลืมว่าเป็นธรรม เจ้าสำนักอย่างอโศกนี่แหละทำให้คนเพี้ยน เขาเป็นอย่าง ตัวเองพูดอย่าง ถามอย่างตอบอย่าง สติมั่งปัญญามั่ง เย นั่น เย นี่ คิกๆๆ

:b13:
แค่เรื่องปีติกับนิมิตที่เกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติ กรัชกายยังแยกแยะไม่ออกเลย ใดเป็นเหตุ ใดเป็นผลก็ยังวินิจฉัยไม่เป็น แล้วจะไม่ทำให้ผู้หลงเชื่อเพี้ยนไปตามหรือนี่
:b7:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2014, 11:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กบนอกกะลา เขียน:
"สมถะภาวนา"

:b13: :b13: :b13:
ติดอยู่แค่นี้ละหรือ คุณกบ

ลองปฏิบัติจริงดูหรือยังล่ะ ยังไม่ได้พิสูจน์เลย ด่วนตัดสินความไปโดยอัตโนมัย ระวังจะเสียโอกาสของชาตินี้ไปนะ

อนึ่งสมถะกับวิปัสสนาเหมือนปลายไม้เท้ากับโคนไม้เท้าอย่างที่หลวงปู่ชาว่า ปลายกระดก โคนก็ขยับ โคนขยับ ปลายก็กระดก ต้องเข้าใจความนัยอีนนี้ให้ลึกซึ้งด้วยนะ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สัมมาสมาธิ อันหมายถึง ความตั้งมั่นของจิตระดับฌาณ 4 นั้น เวลาใช้งานสัมมาสมาธิก็ต้องใช้เป็นด้วยนะ ที่ท่านเรียกว่า "โยนิโสมนสิการ" หรือฉลาดแยบคายในการทำงาน ด้วย โปรดพิจารณา


:b38:


เขาปฏิบัติแล้วเป็นยังงี้ อโศกบอกให้เขาทำยังไง

อ้างคำพูด:
เรานั่งสมาธิไปเรื่อยๆแล้ว ทำไมตัวเราเหมือนจะค่อยๆจะลุกขึ้น ขาก็เหมือนจะยกขึ้น เขาเรียกอาการอะไรค่ะ

s004
เขาเรียกว่า อาการของปีติและนิมิต เป็นผลของการที่จิตเริ่มจะตั้งมั่น ต้องนิ่งรู้นิ่งสังเกตจนมันดับไปหรือหักใจกลับไปกำหนดสติให้อยู่กับกรรมฐานให้แน่นมากกว่านี้

อย่าไปคิดแก้อาการที่เกิด เพราะเป็นผลไม่ใช่เหตุ

เหตุ....ถ้าเจริญสมถะภาวนาอยู่ เป็นเพราะสติ สัมปชัญญะหลุดจากองค์กรรมฐาน

เหตุ....ถ้าเจริญวิปัสสนาภาวนาอยู่ เป็นเพราะ สติ สัมปชัญญะหลุดจากปัจจุบันอารมณ์

เน้นแก้ตรงสติ สัมปชัญญะ อันเป็นเหตุ อย่าหมายไปแก้อารมณ์ที่ปรุงแต่งซึ่งเป็นผล

ให้เอาพุทธธรรมข้อ เยธัมมา......มาใช้

"ทุกสิ่งเกิดแต่เหตุ ถ้าเหตุดับผลก็ดับ"
:b36:



เหมือนเดิม อ้างศัพท์นั่นนี่ แล้วก็ปลืมว่าเป็นธรรม เจ้าสำนักอย่างอโศกนี่แหละทำให้คนเพี้ยน เขาเป็นอย่าง ตัวเองพูดอย่าง ถามอย่างตอบอย่าง สติมั่งปัญญามั่ง เย นั่น เย นี่ คิกๆๆ

:b13:
แค่เรื่องปีติกับนิมิตที่เกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติ กรัชกายยังแยกแยะไม่ออกเลย ใดเป็นเหตุ ใดเป็นผลก็ยังวินิจฉัยไม่เป็น แล้วจะไม่ทำให้ผู้หลงเชื่อเพี้ยนไปตามหรือนี่
:b7:



เมื่อมันเป็นยังงั้น แล้วจะทำยังไง ทำยังไงๆๆๆๆๆๆๆๆ เออแน่ะ ก็พูดอยู่นั่นแหละ ปีติ ปีตุ นิมิต นิมัติ เขาถามว่าเมื่อเป็นยังงั้นแล้วจะทำยังไง เพื่อให้เดินต่อไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 925 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 41, 42, 43, 44, 45, 46, 47 ... 62  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร