วันเวลาปัจจุบัน 27 ก.ค. 2025, 21:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2014, 19:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1367828148-13926290-o.gif
1367828148-13926290-o.gif [ 162.48 KiB | เปิดดู 4062 ครั้ง ]
คือเห็นข่าว...ร้องเพลงกล่อมที่ http://www.thairath.co.th/gallery/7992

ทำให้นึกถึงแม่สมัยก่อน เมื่อลูกเล็กร้องไห้โยเย แม่จะอุ้มใส่เปลไกว่ไปร้องเห่กล่อมไปว่า "โอ ละ เห่ โอ้ โอ๋ ละ หึก..." :b13:

พอดีอ่านหนังสือ "จาริกบุญ จารึกธรรม" โดยพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) บันทึกเมื่อครั้งไปเยือนถิ่นพุทธภูมิ ตอนนี้ให้ชื่อว่า "จะอาศัยสิ่งกล่อมอยู่สบายๆ หรือจะใช้ความเพียรและปัญญาที่เป็นอิสระ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2014, 19:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จะใช้สิ่งกล่อมอยู่สบายๆ หรือ จะใช้ความเพียร และปัญญาที่เป็นอิสระ


มนุษย์เรามีความโน้มเอียงชอบหาสิ่งที่จะพึ่งพา ไม่ชอบพึ่งตนเอง

ส่ิ่งที่จะพึงพา อย่างน้อยที่ทำให้เราสบายใจ อย่างง่ายๆ เพลินไปเรื่อยๆ ไม่ต้องทำความเพียร ก็ได้แก่สิ่งกล่อมทั้งหลาย เวลามีความลำบาก มีความทุกข์ขึ้นมา ไม่อยากจะเพียรพยายามแก้ไข ก็ใช้ส่ิ่งกล่อม

คนเรามีความโน้มเอียงที่อาศัยส่ิ่งกล่อม ส่ิ่งกล่อมนี้ อย่างเลวก็มี อย่างดีก็มี


ส่ิ่งกล่อมที่ร้ายก็เช่น สุรายาเมา สิ่งเสพติด และการพนัน คนที่หันไปหาส่ิ่งกล่อมจำพวกสุราเมรัยสิ่งเสพติด ก็เพราะว่า ใจไม่เข้มแข็งพอ ไม่อยากสู้สู้ชีวิต ไม่อยากเพีียรพยายาม หรือติดตันอับจนจึงหาทางออกด้วยการเอาส่ิ่งกล่อมมาช่วย มันก็ทำให้เพลินๆไป ก็อยู่ไปได้ แต่มีจุดอ่อน


ส่ิ่งกล่อมทั้งหลายนั้น จุดอ่อนที่สำคัญ คือ มันจะทำให้มนุษย์หยุดชะงักการพัฒนาตนเอง ส่ิ่งกล่อมไม่ว่าอย่างใดทั้งนั้น ทำให้มนุษย์หยุดนิ่ง เพลินอยู่ที่จุดนั้น จมอยู่ในสิ่งที่กล่อม หลบทุกข์ ลืมปัญหา สบายแต่ชั่วคราว


จุดอ่อนที่สอง คือ ไม่ประกอบด้วยปัญญา ไม่มีความสว่างแห่งปัญญา ไม่มีปัญญาที่พัฒนาตนต่อไป คนก็เพลินอยู่กับสิ่งนั้น โดยสิ่งกล่อมที่ร้าย คือ พวกยาเสพติด สุรายาเมา ซึ่งเห็นได้ชัด นอกจากทำให้สาบายเพลินไป กลบทุกข์ หลบทุกข์ พอให้พ้นเวลานั้นไปทีหนึ่ง และหยุดการพัฒนาแล้ว ยังทำให้เสื่อมทรุดลงด้วย แถมยังจะก่อปัญหาตามมาอีกมากมาย ทั้งแก่ชีวิตของตนเและสังคม อย่า่งน้อยก็ได้แค่มากกลบความทุกข์ไว้ ทำให้ไม่มีปัญญาที่จะแก้ปัญหาให้เสร็จสิ้นไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2014, 19:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งกล่อมที่ดีกว่านั้น ได้แก่พวกการละเล่น การสนุกสนาน บันเทิงต่างๆ ซึ่งแม้จะทำให้หลงเพลิน ก็ยังมีส่วนดีอยู่บ้าง ถ้ารู้จักใช้และรู้จักประมาณ แต่ถ้าลุ่มหลงหมกมุ่นก็ก่อผลร้ายแก่ชีวิตและสังคมไม่น้อย


สิ่งกล่อมทีดีขึ้นไปกว่านั้น ก็เช่นพวกดนตรี ศิลปะ วรรณคดี เป็นต้น ซึ่งช่วยให้เพลิดเพลินในระดับที่ประณีตขึ้นมา ถ้ารู้จักใช้และรู้จักประกมาณก็เป็นประโยชน์ได้มาก


ในพระพุทธศาสนานี้ ดนตรีท่านก็ใช้หเมือนกัน แต่ขออย่างเดียวต้องมีสติ โดยเฉพาะในระดับศีล ๕ พระพุทธเจ้า ไม่ว่าอะไรเลย เพราะอย่างน้อยมันอาจจะกล่อม โดยช่วยดึงไว้ไม่ให้หลงไปหาสิ่งกล่อมที่เลวร้ายกว่า การหลงในสิ่งที่ดีก็ยังดีกว่าหลงในสิ่งที่เลวร้าย หลงในกุศลก็ยังดีกว่าหลงในอกุศล หลงในบุญก็ยังดีกว่าหลงในบาป

เพราะฉะนั้น พวกดนตรี ศิลปะ และวรรณคดี ก็อาจจะกล่อมคนไว้ในสิ่งที่ดี เช่นในบุญในกุศล

อีกอย่างหนึ่งก็คือ พอกล่อมไว้แล้ว ก็รีบหาสิ่งที่ดีกว่ามาให้ในระหว่างนั้น คือ ในขณะที่ใจของเขาพอจะสงบความกระวนกระวายลงได้ ก็รีบเอาสิ่งที่ดีมาให้ เช่น อย่างวรรณคดีนี่ พออ่านเพลินๆ เราก็เอาคติธรรมใส่เข้าไป เขาก็อาจจะได้ประโยชน์ ดนตรีก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าก็เคยทรงแต่งเพลงธรรมให้แก่มาณพที่เาเอาไปร้องเกี้ยวสาว


ดนตรีอยู่ในพระสูตรก็มี ในพระไตรปิฎกมีพระสูตรหนึ่งที่มีเพลงและดนตรี เทพบุตรดีดพิณร้องเพลงเกี้ยวเทพธิดา ในเพลงนั้นก็พรรณนาความรัก พร้อมไปด้วยกันกับการเอ่ยอ้างพระคุณของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ (ที.ม.10/247)


ดนตรีที่กล่อมนี้ ถ้าเราใช้สิ่งที่ดีงามเข้ามาแทรก เช่น เรื่องคนทำดี และธรรมในแง่และระดับต่างๆ ก็เป็นเครื่องโน้มน้อมดึงจิตใจของคนให้มาสู่สิ่งที่ประณีตงดงามยิ่งขึ้น เป็นจุดเชื่อมต่อดึงคนขึ้นมาสู่สิ่งที่ดี

เพราะฉะนั้น สิ่งกล่อมในระดับที่ประณีตก็ใช้ประโยชน์ได้ ของอย่่่่างเดียวอย่าให้มัวหลงเพลินอยู่ แล้วผู้ที่ใช้ต้องมีอุบาย คือมีสติปัญญา แล้วก็ใช้เป็นเครื่องดึงเขาเข้าหรือขึ้นมาสู่สิ่งที่ดีงาม


นอกจากการรู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์แล้ว วิธีปฏิบัติสำคัญอีกอย่างหนึ่งต่อเรื่องสิ่งกล่อมทั้งหลาย ก็คือ การมีวิธีฝึกเพื่อไม่ให้ติดหลงมัวเมาจมอยู่กับสิ่งเหล่านี้ หรืออย่างน้อยไม่ให้ต้องมีชีวิตที่พึงพาส่ิงเหล่านี้มากเกินไป และจะได้สามารถเดินหน้าก้าวสู่สิ่งดีงามที่สูงขึ้นไป

วิธีฝึกอย่างนี้มีตัวอย่างที่สำคัญ เช่น การถือศีล ๘ โดยรักษาอุโบสถ หมายความว่า ๗ หรือ ๘ วัน ก็หันมาถือศีล ๘ ครั้งหนึ่ง

หลักการรักษาอุโบสถ ก็คือ ตามปกติเราก็ดำเนินชีวิตมีความสุขโดยพึงพาสิ่งเสพที่เป็นวัตถุหรือสิ่งเร้าภายนอก เช่น อาหารอร่อย ู การเล่น การบันเทิง ฟังเพลง ฟัง/เล่นดนตรี แต่งตัว นอนฟูกนุ่มหนา


พอถึงวันที่ ๘ ก็คือศีล ๘ งดเว้นสิ่งเหล่านี้วันหนึ่ง โดยกินใช้บริโภคเพียงแค่เพื่อคุณภาพชีวิต ฝึกให้มีชีวิตที่ดีงาม และความสุขได้อย่างเป็นอิสระ โดยไม่ต้องขึ้นต่อวัตถุเสพภายนอกเหล่านั้น อย่างน้อยก็เป็นการทำให้เกิดสติ ที่จะไม่ลุ่มหลงเพลิดเพลินมัวเมาอยู่กับสิ่งเสพ


นอกจากมีชีวิตและความสุขที่เป็นอิสระมากขึ้นแล้ว ก็จะได้เอาเวลาที่จะวุ่นกับสิ่งเหล่านี้ไปใช้ทำสิ่งสร้างสรรค์ที่ดีงามอย่างอื่นบ้าง ไปสนใจให้เวลาแก่เพื่อนมนุษย์คนอื่นบ้าง และพัฒนาตนให้ก้าวสู่ส่ิ่งดีงามที่สูงขึ้นไป ข้อปฏิบัติในการฝึก เช่น ศีล ๘ นี้ จึงเป็นหัวต่อที่เชื่อมการพัฒนาพฤติกรรม กับ การพัฒนาจิตใจ และปัญญา

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2014, 19:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งกล่อมต่อไปก็คือ ความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้าและอำนาจดลบันดาลฤทธิ์เดชปาฏิหาริย์ ตลอดจนไสยศาสตร์

คนเราพอเกิดทุกข์ภัยพิบัติ มีความเดือดร้อน ก็หวังพึ่งเทพเจ้าว่าวันนั้นท่านคงจะมาช่วย ก็กล่อมใจตัวเองให้ลืมทุกข์ลืมปัญหา สบายใจอยู่ด้วยความหวัง

แต่มันจะมีพิษมีภัย ถ้าตัวเองมัวแต่เชื่ออย่างนั้น ก็นอนงอมืองอเท้ารอคอยเทพเจ้า อะไรที่ควรแก้ไขควรทำก็ไม่ทำ เลยแก้ไขปัญหาไม่ได้ ก็อยู่สบายไปวันหนึ่งๆ แต่ตัวเองไม่พัฒนา และปัญหาจริงก็ถูกปล่อยไว้ไม่ได้แก้ ในระยะยาวก็จะเสื่อมหรือถึงความวิบัติ

มนุษย์จำนวนมากอยู่ด้วยสิ่งกล่อมประเภทนี้ คืออยู่ด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่งเทพเจ้าท่านจะมาช่วย

อย่างของอินเดียนี่เทพเจ้าเต็มไปหมด แล้วก็มีเทพนิยายว่า เทพเจ้าองค์นั้นเก่งอย่างนี้ องค์นี้เก่งอย่างนั้น มีอิทธิฤทธิ์ทำได้อย่างนั้นอย่างนี้ อย่างน้อยพวกประชาชนที่ฟังเทพนิยายเหล่านี้ ก็ตื่นเต้นไปกับฤทธิ์ของเทพเจ้า เสร็จแล้วก็ชื่นบานสบายใจ ปล่อยใจตัวเองให้ครึ้มๆไปชั้นหนึ่ง พอจะให้ลืมสภาพแวดล้อมที่มันบีบคั้นตัวเองและอยู่ด้วยความหวังชะโลมใจ

ศาสนาจำนวนมากต้องเอาความหวังในอำนาจดลบันดาลนี้มากล่อม แล้วใช้อุบายเข้ามาช่วย ให้อุบายอย่างไร ก็บอกให้แก่หวังไว้ว่า เทพเจ้าจะมาช่วย เช่น สัญญาว่าเมื่อนั้นจะให้รางวัลนะ แต่ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไร ระหว่างนี้แก่ต้องช่วยตัวเองไปก่อน

กล่อมแบบนี้หมายความว่า ให้มีความหวังไว้ยาวไกลข้างหน้า ว่าต่อไปนะ อีกห้าร้อยหรือห้าพันปีจะมาช่วย แต่ตอนนี้ไม่ช่วยนะ ตอนนี้พวกเธอต้องช่วยตัวเองไปก่อน หรืออย่างบางศาสนาก็สอนว่า พระเจ้าจะช่วยแต่คนที่ช่วยตัวเอง ก็เป็นการกล่อม ก็เป็นการกล่อมไว้ด้านหนึ่ง แต่อีกด้านหนึ่งก็มาบังคับเอาว่าพวกเธอต้องช่วยตัวเอง ก็เป็นอุบายไป

ในที่สุดก็หนีไม่พ้น ที่ต้องให้ทุกคนต้องเพียรพยายามด้วยตนเอง นี่ก็คือการกล่อม และการหาทางแก้ผลเสียของการกล่อม


ลืมบอกหน้า หน้า 311

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2014, 00:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ เรื่องการกล่อมต่างๆ หากไม่พิจารณาให้ตรงตามเหตุผล ก็ยังถือเป็นกระแสโลก แม้จะดีก็ดีแบบกระแสโลก จึงต้องพิจารณาต่อสิ่งที่เย้ายวนต่างๆรวมทั้งศาสนา เพราะมีทั้งความเชื่อ (เชื่อว่าหลบปัญหาได้ช่วยคราว หรือเชื่อว่าทำให้เกิดความหวัง)

โลกจึงยังคงเต็มไปด้วยความเป็นอาสวะ4ของการดำเนินชีวิตต่อไป

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2014, 07:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1401861236-4625571253-o.jpg
1401861236-4625571253-o.jpg [ 42.36 KiB | เปิดดู 4007 ครั้ง ]
บทความในหนังสือจาริกบุญ จารึกธรรม ยังมีแง่คิดมีเนื้อหาสารธรรมมากมายหลายตอน แต่ที่น่าศึกษาคือประวัติของพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งเป็นกษัตริย์นักรบที่เก่งฉกาจดุร้าย รบที่ไหนชนะที่นั่น สงครามครั้งสุดท้าย ทหารทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บล้มตายเป็นแสนๆคน การรบครั้งนี้แหละที่พระเจ้าอโศกเปลี่ยนใจมานับถือพระพุทธศาสนา ได้เปลี่ยนนโยบายเอาชนะใจคนด้วยคุณธรรมความดี ไม่ใช่ด้วยการบังคับขู่เข็ญ ไม่่ใช่ด้วยคมหอกคมดาบ ปลายกระบอกปืน ไม่ใช่ๆ ให้เขายิ้มเขายอมจากกระบอกปืน มีแต่จะสร้างความรักในรอยแค้น ให้แก่ผู้ถูกกระทำมากขึ้นๆ พ้นจากผู้นั้น ไหนยังพ่อแม่พี่น้องครอบครัวเขาก็แค้น จองเวรไม่จบไม่สิ้น

ดูประวัติความเป็นมาสักเล็กน้อย


ย้อนกลับไปเมื่อสมัยก่อน พ.ศ. 200

พระเจ้าจันทรคุปต์ เมื่อหนีออกมาจากเงื้อมมือของพระเจ้าอเลกซานเดอร์ได้แล้ว ก็ต้องมาหาวิธียึดอำนาจแคว้นมคธด้วยตนเองต่อไป และมีเรื่องมีราวมากมาย เช่น ครั้งหนึ่งเคยนึกว่าตัวเองมีกำลังมากพอแล้ว ก็ยกทัพเข้าตีแคว้นมคธ ปราฎกว่าพ่ายแพ้ จันทรคุปต์เองเอาชีวิตแทบไม่รอด แล้วก็หนีซอกซอนไปจนถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง


เมื่อเข้าไปในหมู่บ้านแห่งนั้น พอดีผ่านมาทางบ้านที่ยายคนหนึ่งกำลังทำขนมเบื้องให้ลานกิน ทีนี้พอเอาลงจากเตา เรียกว่าทอดเสร็จใหม่ๆ ก็หยิบส่งให้หลาน หลานรับมากำลังร้อนๆ กัดกร้วมลงไปตรงกลาง ก็ร้องไห้จ้าเพราะมันร้อนจัด ลวกเอาลิ้นเอาปากเข้า


เมื่อหลานร้องขึ้นมา ยายก็เลยด่าเอาว่า “เอ็งมันโง่เหมือนเจ้าจันทรคุปต์ ไปกัดไปกินได้ยังไงตรงกลางยังร้อนจัด มันต้องและเล็มกินจากขอบข้างนอกเข้ามาก่อน” ขอบมันบาง ก็เย็นเร็วกว่า


พระเจ้าจันทรคุปต์ กำลังหนีซอกซอนมาในขนบทถึงหมู่บ้านนั้นพอดี เมื่อได้ยินเสียงยายด่าหลานอย่างนี้ ก็ได้ความคิดขึ้นมาทันที จึงเปลี่ยนแผนการรบใหม่ว่า จะไปรบโดยตรงบุกทะลวงเข้าไปคงไม่ไหว กำลังเราน้อยกว่า ต้องใช้วิธีแบบกินขนมเบื้อง คือเล็มจากขอบเข้ามา


จึงค่อยๆ ไปซ่องสุมกำลังใหม่ โดยทำสัมพันธไมตรีกับเผ่าเล็กเผ่าน้อย รวมไพร่พลได้มากาขึ้นแล้ว จึงเข้ามาตีอาณาจักมคธ ด้วยวิธีล้อมเข้ามาจากรอบนอกตามลำดับ


ในที่สุด พระเจ้าจันทรคุปต์ก็รบชนะแค้วนมคธ แล้วก็เข้าครอบครองแผ่นดินมคธ ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ราชวงศ์ใหม่ คือราชวงศ์ โมริยะ ในภาษาบาลี ส่วนในภาษาสันตกฤตเรียก เมารยะ และครองเมืองปาตลีบุตรนี้สืบมา


โอรสของพระเจ้าจันทรคุปต์นั้น มีพระนามว่าพินทุสาร โอรสพระเจ้าพินทุสารมีนามว่าอโศก ก็คือพระเจ้าอโศกมหาราชนี่แหละ


พระเจ้าอโศกมหาราช แต่แรกก็เป็นกษัตริย์ดุร้ายมาก คือตอนเป็นเจ้าชาย ได้ไปเป็นอุปราชที่เมืองอุชเชนี ครั้นพระราชบิดา คือพระเจ้าพินทุสารสวรรคต เจ้าชายอโศกก็ได้ฆ่าพี่น้องหมดประมาณ 100 องค์ เหลือไว้เฉพาะพระอนุชาร่วมมารดาองค์เดียว ด้วยความกระหายอำนาจ ก็ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ยิ่งใหญ่ผู้เดียว


พอขึ้นเป็นกษัตริย์ของแค้วนมคธได้แล้ว ไม่พอ ไม่หยุดอยู่แค่นั้น ก็แสวงอำนาจต่อไป เมื่อพร้อมแล้วก็ยกทัพไปรุกรานตีประเทศอื่น โดยหวังจะเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดต่อไปในประวัติศาสตร์ หรือผู้เดียวในชมพูทวีป


ได้ตีลงไปจนกระทั่งถึงแคว้นกลิงคะ ซึ่งเป็นแคว้นที่ได้ชื่อว่ามีนักรบที่เก่งกาจ มีกองทัพที่เข้มแข็ง มีความสามารถอย่างยิ่ง ได้รบกันอยู่เป็นเวลานาน เกิดความเสียหายมากมายด้วยกันทั้งสองฝ่าย ในที่สุด พระเจ้าอโศกก็ชนะ แคว้นกลิงคะก็แตกไป


แต่การสู้รบครั้งนี้ เป็นภัยพิบัติที่ร้ายแรงมาก คนตายกันเป็นแสน สูญหายเป็นแสน ถูกจับเป็นเชลยก็เป็นแสน ถึงตอนนี้นี่แหละที่พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสลดใจ แล้วหันมานับถือพระพุทธศาสนา นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญมาก ถึงขั้นเปลี่ยนประวัติศาสตร์เลยทีเดียว

เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชเปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนาแล้ว ก็ได้เปลี่ยนนโยบายใหม่ จากการเอาชนะด้วยสงคราม มาสู่ธรรมวิชัย แปลว่า เอาชนะด้วยธรรม คือเอาชนะใจกันด้วยความดี ก็ได้สร้างสมความดีเป็นการใหญ่ มีการทำงานเพื่อสร้างสรรค์ประโยชน์สุขแก่ประชาชนเป็นอันมาก



.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2014, 20:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณกรัชกายเขียน

อ้างคำพูด:
อาศัยสิ่งกล่อมอยู่สบายๆ...



ที่คุณกรัชกายเขียนมา เรามองว่า
เป็นสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับหลักความเป็นจริงของชีวิต (เราพูดไม่ถูกล่ะ) :b1:

คุณกรัชกายพูดเรื่องหลักความเป็นจริงของชีวิตหน่อยสิ คือคล้ายๆกับว่า
มนุษย์เรามักจะสร้างจินตนการณ์ขึ้นมา เพื่อที่จะหนีหลักความเป็นจริงของชีวิต
แต่พอผลที่สุด หนีความจริงของชีวิตไม่ได้ก็ทุกข์ :b41: :b55: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2014, 23:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


มนุษย์เรานั้นที่สร้างจินตนาการขึ้นมา
และก็สร้างจินตนาการเพื่อหนีไปจากจินตนาการเหล่านั้น
โดยการโคจรไปในภพต่าง ๆ

ซึ่ง จินตนาการ หนี จินตนาการ
คือ จุดผกผันทางจิตวิญญาณ

จินตนาการ ปรากฎด้วยปัจจัย

เรา เป็นส่วนหนึ่งของ ปัจจัย
เรา เป็นส่วนหนึ่งของ จินตนาการ
โลกทุกใบเป็นอย่างนั้น ภพทุกภพเป็นอย่างนั้น

มันล้วนมีเพียง ปัจจัย ที่ทำให้ จินตนาการเป็นไป
ถ้าปราศจากซึ่ง ปัจจัย ก็ปราศจากสิ่งที่อาศัยให้จินตนาการปรากฎ

แม้แต่อารมณ์อันเป็นอิสระจาก จินตนาการ ก็เป็นไปโดยปัจจัย

นิพพาน ลักษณะหนึ่ง
เป็น นิพพานที่สามารถถูกพบได้ในทุกขณะ ที่ผู้ปฏิบัติเห็นการพ้นไป
หรือ การเห็นการดับไปของอารมณ์หนึ่ง และจิตรู้ได้เข้าไปตั้งอยู่ในอารมณ์ที่รู้ถึงการดับไปนั้น ๆ
ปัญญา/วิชชาในการดับกิเลส ดับเหตุ
อารมณ์อันละเอียดปรากฎ อารมณ์หยาบก็ดับไป
อารมณ์อันประณีตปรากฎ อารมณ์อันละเอียดก็ดับไป
อารมณ์อันสงบปรากฎ อารมณ์อันประณีตก็ดับไป

การที่จิตตั้งอยู่ในอารมณ์อันปราณีต/สงบได้โดยมาก
ทำให้จิตโคจรคลอเคลียไปรอบ ๆ ปัจจัย
จิตที่คลอเคลีย ย่อมคลุกเคล้าอยู่
การวิปัสสนา จะวิปัสสนาสิ่งใด จิตย่อมต้องอยู่กับสิ่งนั้นได้อย่างใกล้ชิด
และมีเวลามากพอที่จิตจะประมวลปัญญาทั้งหมดที่มีอยู่ ที่จำเป็นมาประชุมร่วมกัน

มันมี นิพพาน ในอีกลักษณะ
ปัญญา/วิชชาที่ ดับปัจจัย :b1:

:b41: :b41: :b41: :b41:



โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2014, 23:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป

ดับเย็นในทุกข์นั้นเสีย


:b30: :b30: :b30:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2014, 04:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณกรัชกายเขียน

อ้างคำพูด:
อาศัยสิ่งกล่อมอยู่สบายๆ...



ที่คุณกรัชกายเขียนมา เรามองว่า
เป็นสิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามกับหลักความเป็นจริงของชีวิต (เราพูดไม่ถูกล่ะ) :b1:

คุณกรัชกายพูดเรื่องหลักความเป็นจริงของชีวิตหน่อยสิ คือคล้ายๆกับว่า
มนุษย์เรามักจะสร้างจินตนการณ์ขึ้นมา เพื่อที่จะหนีหลักความเป็นจริงของชีวิต
แต่พอผลที่สุด หนีความจริงของชีวิตไม่ได้ก็ทุกข์



คุณเต้ :b1: ดูลิงค์นี้ยัง http://www.thairath.co.th/gallery/7992
เขาทำทำไม เพื่ออะไร

อ้างคำพูด:
คุณกรัชกายพูดเรื่องหลักความเป็นจริงของชีวิตหน่อยสิ


การดำเนินชีวิตทั่วๆไปในสังคม มนุษย์ทุกคนพึงมีพึงได้สิทธิ์ความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกันบนหลักสามอย่างนี้

ความเสมอภาค หรือสมภาพ (Equality)
เสรีภาพ (Liberty)
ภราดรภาพ (Fraternity)


แต่ถ้าพูดถึงชีวิตด้านลึก ที่เป็นไปตามธรรมดาของมัน คือชีวิตที่เป็นสามัญลักษณะ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) นี่เรื่องใหญ่ เข้าใจยาก

อ้างคำพูด:
มนุษย์เรามักจะสร้างจินตนการณ์ขึ้นมา เพื่อที่จะหนีหลักความเป็นจริงของชีวิต
แต่พอผลที่สุด หนีความจริงของชีวิตไม่ได้ก็ทุกข์


เมื่อเข้าใจยากกกก ตัวของตัวเองไม่เข้าใจชีวิตด้านลึกเอง (ทั้งๆที่อยู่กับมัน) เมื่อประสบทุกข์นานามนุษย์ก็เสาะหาวิธีหนีทุกข์กลบทุกข์ ด้วยสิ่งเสพติดบ้าง ด้วยบันเทิงเริงรมย์ เป็นต้นบ้าง ซึ่งที่นี้เรียกว่า สิ่งกล่อม สิ่งกล่อมนี้ อย่างเลวก็มี อย่างดีก็มี ดังที่ว่าแล้ว

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2014, 12:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: คุณกรัชกายเก็บความอดทนไม่ไหว :b32:
นึกถึงมะม่วงอกร่องค่ะ ตอนดิบๆมันเปรี้ยว แต่พอสุกแล้วมันทั้งหวานทั้งหอมเลยนะ :b12:
พิจารณาตามหลักของธรรมค่ะ แล้วจิตจะนิ่งค่ะ :b1: :b41: :b55: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2014, 13:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




14017945171401794625l.jpg
14017945171401794625l.jpg [ 254.61 KiB | เปิดดู 3880 ครั้ง ]
bbby เขียน:
:b32: :b32: คุณกรัชกายเก็บความอดทนไม่ไหว :b32:
นึกถึงมะม่วงอกร่องค่ะ ตอนดิบๆมันเปรี้ยว แต่พอสุกแล้วมันทั้งหวานทั้งหอมเลยนะ :b12:
พิจารณาตามหลักของธรรมค่ะ แล้วจิตจะนิ่งค่ะ


สังเกตคล้องอะไร :b1: (ภาพจิตรกรรมฝานังโบสถ์ทางภาคใต้)

นึกถึงเมียนม่าในอดีต :b1: ที่ปกครองด้วยเผด็จการทหาร ถูกนานาชาติคว่ำบาตร ปชช.อดอยากหิวโหยกินเผือกกินมัน ที่ทนไม่ได้ก็หนีเข้ามาขายแรงงานยัง ปท.ข้างเคียง ปชช. ของเขาเข็ดขี้อ่อนขี้แก่ จึงกลับมาสู่ ปชต. แต่พวกเรา(บางกลุ่ม) กระดี้กระด้าอยากจะเป็นอย่างพม่า :b32: เข้ากับนิทานพื้นบ้าน กบเลือกนาย ... ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา :b2:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2014, 07:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




1401861004-4625571248-o.jpg
1401861004-4625571248-o.jpg [ 16.01 KiB | เปิดดู 3822 ครั้ง ]
ต่อประวัติพระเจ้าอโศกที่ viewtopic.php?f=1&t=47869&p=353750#p353750

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร