วันเวลาปัจจุบัน 29 ก.ค. 2025, 00:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 04 มิ.ย. 2014, 07:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ซึ่งก็ยังพันๆ กับเรื่องสมมุติบัญญัติ ชีวิตหรือขันธ์ ๕ ซึ่ง

ต่อจากหัวข้อ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=47852

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 04 มิ.ย. 2014, 07:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สังขตธรรม อสังขตธรรม ขันธ์ ๕ นิพพาน เป็นสภาวะ ไร้อัตตาทั้งนั้น



สังขตธรรมหรือสังขาร ที่แยกแยะเป็นขันธ์ ๕ ก็เป็นสภาวะ ซึ่งมีอยู่เป็นอยู่ตามที่มันเป็นของมัน โดยมีอาการเป็นไปที่เรียกว่าสังขตลักษณะ

อสังขตธรรม คือ นิพพาน ก็เป็นสภาวะ ซึ่งมีอยู่เป็นอยู่ตามที่มันเป็นของมัน โดยไม่มีอาการเป็นไปอย่างสังขตธรรมนั้น เรียกว่า มีอสังขตลักษณะ

ทั้งสังขตธรรม และอสังขตธรรม ก็ล้วนเป็นสภาวะ ไม่เป็นสัตว์ ไม่เป็นบุคคล ไม่เป็นอัตตา ไม่เป็นตัวตน ฯลฯ ไม่เป็นสมมติ อะไรทั้งนั้น

ขันธ์ ๕ ก็ตาม นิพพาน ซึ่งพ้นจาก ขันธ์ ๕ ก็ตาม ก็มีก็เป็นตามภาวะของมันๆ ไม่เป็นอัตตา ไม่มีอัตตาอยู่ที่ไหน

แต่เมื่อ ขันธ์ ๕ เป็นไปของมันตามเหตุปัจจัย ตามกระบวนที่เรียกว่าอิทัปปัจจตาปฏิจจสมุปบาท สภาวะทั้งหลายก็เกิด ก็ดับ ก็แปรเปลี่ยนไปตามวิถีแห่งเหตุปัจจัยนั้นๆ

เมื่อไม่มีความรู้เข้าใจสภาวะ ไม่หยั่งถึงความจริงตามสภาวะนั้น ขันธ์ ๕ หรือนามรูป พร้อมทั้งวิญญาณที่เป็นไปอย่างนั้น ก็เท่ากับอยู่ในภาวะที่พร้อมจะให้เกิดมีการยึดถือ สมมุติบัญญัติขึ้นมาว่าสัตว์ บุคคล อัตตา ตัวตน ตลอดจนว่าคนชื่อนั้นชื่อนี้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ฯลฯ เป็นอย่างนั้น มีอย่างนี้

เมื่ออยู่กันด้วยความยึดติดถือมั่น ไม่รู้ทันสมมติแล้ว ปัญหาทุกข์ภัยนานาจากการยึดถือตามสมมติบัญญัติ ก็เกิดขึ้น จนถึงการขัดแย้งเบียดเบียนกันในโลก

เมื่อเกิดความรู้เข้าใจถึงสภาวะ หยั่งถึงสภาวะที่เป็นความจริงของขันธ์ ๕ แล้ว ความเข้าใจผิด ความหลงผิด ความยึดติดในสมมติ ก็หายไป ความว้าวุ่นภายใน และความวุ่นวายภายนอกจากการยึดติดถือมั่นค้างคาอยู่กับสมมติ ก็สงบ ก็ประจักษ์แจ้งนิพพาน มีความสงบสุขอยู่ด้วยปัญญา ซึ่งรู้ถึงสภาวะ และรู้ทันสมมติ

เมื่ออยู่ด้วยความตระหนักรู้ถึงสภาวะ และรู้ทันสมมติ ไม่ติดสมมติ ก็อยู่กับคนทั้งหลายในโลก สื่อสารกับคนทั้งหลายไปตามสมมติด้วยบัญญัติที่ตกลงใช้กัน ให้สำเร็จประโยชน์ที่พึงประสงค์โดยไม่ยึดติดถือค้างถือคา ที่จะให้เกิดเป็นพิษภัยแก่ตนและผู้อื่น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 04 มิ.ย. 2014, 07:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ

คนที่บัญญัติเรียกตามสภาวะของกิเลสที่มีอยู่ว่าปุถุชนนั้น เมื่ออยู่กับขันธ์ ๕ แต่ไม่รู้ถึงสภาวะที่เป็นเพียงขันธ์ทั้งหลาย ก็ยึดติดสำคัญมั่นหมายขึ้นมาว่ามี ว่าเป็นอัตตา บัญญัติเป็นสัตว์ เป็นบุคคลอย่างนั้นอย่างนี้

ปุถุชนนั้น เมื่อได้ยินได้ฟัง หรือแม้แต่ร่ำเรียนเรื่องนิพพาน ก็แค่รู้จักนิพพานไปตามสัญญา ตามความจำหมายในสมมุติบัญญัติ ไม่ได้ประจักษ์นิพพาน ก็อาจยึดเอานิพพาน (คือบัญญัติว่า นิพพาน) เป็นอัตตาขึ้นมาได้ คือ ยึดเอาสัญญาบ้าง ถือเอาเวทนาบ้าง เป็นต้น ว่าเป็นนิพพาน ที่แท้ก็คือยึดอยู่ในขันธ์ ๕ นั่นเอง

แต่พระอรหันต์ซึ่งประจักษ์แจ้งนิพพาน ก็คือรู้ถึงสภาวะ และรู้ทันสมมติ จึงแจ้งนิพพาน

เมื่อไม่ติดบัญญัติ ไม่หลงสมมติอยู่ ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่จะไม่ยึดถือสำคัญมั่นหมายเอานิพพานเป็นอัตตา

ดังนั้น พระอรหันต์จึงอยู่ทั้งกับสังขตธรรมหรือขันธ์ ๕ และกับอสังขตธรรมคือนิพพาน ด้วยปัญญาที่รู้ถึงสภาวะของขันธ์ทั้งหลายตามที่เป็นสังขตธรรม และสภาวะของนิพพานตามที่เป็นนิพพาน หรือตามที่เป็นอสังขตธรรม ไม่ยึดถือเอาธรรมใดๆ ไม่ว่า ขันธ์ ๕ หรือนิพพาน ไม่ว่าสังขตธรรม หรืออสังขตธรรม ว่าเป็นอัตตา หรือเป็นสัตว์ บุคคล โดยรู้ทันสมมติใช้บัญญัติไปตามที่เป็นโวหารเครื่องสื่อสารในโลก อย่างที่ว่ามาแล้ว

เมื่อการยึดติดสมมติถือมั่นตามบัญญัติ เป็นเรื่องของปุถุชน และปุถุชนก็รู้อยู่แค่ในขอบเขตของขันธ์ ๕ แม้จะพูดถึงนิพพาน ก็เป็นเพียงสัญญาในบัญญัติ เมื่อเป็นอย่างนี้ การยึดถืออัตตาจึงเป็นเรื่องของปุถุชน และที่ยึดถือเป็นอัตตา ก็ยึดได้แค่ขันธ์ ๕

เพราะฉะนั้น จึงมีพุทธพจน์ที่ตรัสว่า สมณพราหมณ์เหล่าหนึ่งเหล่าใดก็ตาม ที่จะยึดถืออัตตา ก็ยึดกันอยู่ที่ขันธ์ ๕ นี่แหละ (ดู สํ.ข.๑๗/๙๔/๕๗) ดังนั้น เมื่อจะสอนไม่ยึดติดถืออัตตา ตามปกติ ก็สอนเน้นอยู่กับเรื่องขันธ์ ๕ นี้

(ผู้แจ้งนิพพานแล้ว เข้าถึงสภาวะ ไม่ยึดถืออัตตาอยู่แล้ว รู้กันอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องสอน ไม่ต้องพูดถึงเป็นธรรมดา)

นิพพาน ก็ไม่เป็นอัตตา ขันธ์ ๕ ก็ไม่เป็นอัตตา ไม่ได้มีอัตตาแท้จริงอยู่ที่ไหนทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าขันธ์ ๕ เป็นไป จะมีอัตตาขึ้นมา ไม่ได้มีอัตตาที่จะเกิดขึ้นและดับสลายไป อัตตาไม่มี มีแต่การยึดถือว่ามีอัตตา คืออัตตามีอยู่เพียงในการยึดถือ เมื่อหมดการยึดถือ การยึดหายไป อัตตาที่ไม่มี ก็ไม่มีไปตามเดิม ภาพอัตตาก็หายไป

เพราะฉะนั้น คำว่า “อัตตา” นี้ ในบาลี เมื่อแปลลึกลงไป จึงหมายถึงการยึดถืออัตตา เช่น ในพุทธพจน์ที่ตรัสเรียกพระอรหันต์ว่าเป็น “อัตตัญชโห” แปลแค่ตามรูปศัพท์ว่า “ผู้ละอัตตา” แต่ความหมายคือ “ผู้ละไร้ความยึดถืออัตตา” เพราะไม่มีอัตตาที่จะไปละ


เมื่อ ละความยึดถืออัตตาได้ อัตตาก็ที่ไม่มีอยู่แล้ว ก็หมดภาพที่สร้างใส่ให้ไว้แก่ชื่อของมัน ภาพอัตตาที่ยึดไว้ถือมาก็ลับตาหายไป เหลือแต่สมมติบัญญัติว่าอัตตาที่จะใช้กันอย่างรู้เท่าทันต่อไป

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 04 มิ.ย. 2014, 10:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: อนุโมทนาค่ะ

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร