คิก...คิก....กรัชกาย....ต่างหาก..ต้องเป็นฝ่ายตอบ
ก็กรัชกายว่า.(หรืออาจารย์ของกรัชกาย..ก็ไม่รู้นะ..).....พระองค์พัฒนากายเพื่อปฏิบัติกับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ...

แล้ว....ตา..หู...จมูก..ลิ้น....กาย....ของพระองค์มีอะไรเพิ่มขึ้นมาเป็นพิเศษ....กว่า...ตอนเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ...

ก็เพื่อที่จะได้สนับสนุน...คำของกรัชกายเองที่ว่า...".ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน..."...อัน..ตน..นี้...กรัชกายว่า...คือกาย..งัยละ

พูดไม่ออก..ละซิ...อิอิ

ก็บอกแต่ต้นแล้ว...ว่ากรัชกายโยงเรื่องผิด

ง่ายๆมากครับ ท่านเป็นคน แต่คำว่าคนคือ ขันธ์5 ผู้ที่เข้าถึงพุทธศาสนาควรจะเข้าถึงคำว่าคนนั้น เป็นสมมุติบัญญัติ แต่ควรเข้าถึงปรมัตร์ว่าเป็นขันธ์5 ไม่ใช่ลึกซึ้งในพุทธก็ยังไม่เปลี่ยนความเห็นตนเองยึดถือคำว่าคนเป็นตัวหลัก

อย่างสมมุติ ก็คือคนเดียวกัน
ขันธ์5เรียกอนัตตา ไม่ใช่ขันธ์5เดียวกัน ตามปรมัตร์

จะถามว่า ขันธ์ 5 มีอะไรบ้าง ก็เชย เห็นว่ากันปร๋อทั้งนั้น (เพราะเขาบอกอยู่แล้วว่ามี 5) แต่จำเป็นจะต้องให้ท่าน student เรียงให้ดู

แล้วสงเคราะห์ขันธ์ 5 เข้าในคน ซึ่งมีชีวิต ตรงไหนเรียกว่า ปรมัตถ์ ตรงไหนเรียกว่า บัญญัติ จัดดูครับ

ตรง ทุกขัง อนิจจัง อนัตตาเรียก ปรมัตร์
ตรง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เรียก บัญญัติ ครับผม

ไม่เป็นอนัตตาหรือขอรับ ไม่เป็นปรมัตถ์หรือครับ

นี่ธาตุไฟ นี่ธาตุดิน นี่ธาตุน้ำ นี่ธาตุลม เป็นปรมัตถ์และอนัตตา แล้วเรียกรวมกันว่ารูปไงครับ

student ว่า.




คุณว่าเป็นบัญญัติ แปลว่า ไม่ใช่หรือไม่เป็น ปรมัตถ์ ถูกมั้ยครับ

ทีนี้กรัชกายก็ถามว่า

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

ไม่เป็นอนัตตา ไม่เป็นปรมัตถ์ใช่มั้ย

คุณก็ตอบว่า

นี่ธาตุไฟ นี่ธาตุดิน นี่ธาตุน้ำ นี่ธาตุลม เป็นปรมัตถ์และอนัตตา แล้วเรียกรวมกันว่ารูปไง

ดูๆเหมือน student เข้าใจว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมกันเรียกว่า รูป ใช่มั้ยครับ หรือยังไง เอาชัดๆสิครับ

student หายไปไหน หรือยังงงงงอยู่ครับ

กรัชกาย.....ยึดถือมัน.....มันก็เป้นตัวเป้นตน....
เอาแค่พอประมาณ....ถือพอหลวมๆ...อย่าไปถือมั่น....ไล่ล่า..ยังกะหมาบ้า...บ้าไป..ที่ควรมีประโยชน์ก็จักกลายเป็นโทษไป...

ต้องแปลอย่างนั่นอย่างนี้....แปลอย่างนั่นผิด....เข้าใจอย่างนี้ไม่ตรงคำแปล....อิอิ

นี้แหละ...ข้อเสีย...ของรู้มากไป...โสตะ...จินตะเยอะ....แต่คุณธรรมอื่นพัฒนาตามไม่ทัน..เช่นขาดพรหมวิหาร...หรือแม้แต่ของง่าย ๆ อย่าง..บุญกิริยาวัตถุ10 ข้อความอ่อนน้อม...ข้อการอนุโมทนาบุญ...ฯลฯ....จึงเกิดความ.ไม่สมดุลย์..มานะเลยพุ่งปรีด...

แล้ว..อีกอย่าง.....ถ้าก๊อปข้อความจากหนังสือมา....หรือจากที่ไหนมา...แบบไม่ได้เขียนเอง.....ก็ควรจะแจ้งด้วยว่า..เอามาจากไหน...ให้เครดิตเจ้าของข้อความเขาหน่อย....

ผิดแล้วกบ ไม่ใช่ไล่ล่า แต่เมื่อเราเห็นไม่ตรงกัน ก็ต้องสนทนากัน เพื่อให้รู้ลงตัวว่า จริงๆมันอยู่ตรงไหน บางทีเรานอนคิดอยู่คนเดียวก็อาจหลงผิดไปว่า มันถูก กบว่าจริงไหม

แม้แต่กบเองก็เลอะเทอะ คิกๆๆ ยังทำปากดีอีก

ทำงานทั้งวันครับ ไม่ได้งง

ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นปรมัตถ์ย่อเป็นรูป
รูปเป็นบัญญัติของธาตุทั้ง4

อาการ ปวด ตึง เหน็บชา เวียนหัว เศร้า เหงา ย่อเป็นเวทนา
เวทนาเป็นบัญญัติของอาการ

สังขาร วิญญาณ สัญญา ก็เป็นบัญญัติของธรรม

แต่ทั้งหมดก็ตกอยู้ภายใต้กฎพระไตรลักษณ์
คือทุกขัง อนิจจัง อนัตตา
รูป เป็นบัญญัติ ถ้าเป็นอนัตตาก็ต้องขยายความรูปออกมาสิครับ
ว่า รูปเพราะการประชุมกันของมหาภูติ4เป็นอนัตตา ไม่ใช่รูปเป็นอนัตตาโดยไม่ขยายออกมาว่ารูปคืออะไร

ต่อให้แปลถูก.....แต่ก็ยังไม่อาจแก้ความหลง..ได้....ก็มีเยอะ...
และ..ไอ้เจ้าแปลถูก..นี้แหละ...ทำให้หลงว่าเข้าใจแล้ว...ไอ้หลงตัวนี้..แก้ยาก..มาก..ถึงมากที่สุด..เลยเชียวแระ
อิอิ....

ดูเหมือนเลอะเทอะอย่างนี้...จิต...ใจ....ดีนะกรัชกาย....บอกต่ง..

ไม่ได้งงครับ

ผมตอบตามความเข้าใจของผม บัญญัติไม่ใช่เกี่ยวกับอนัตตา
บัญญัติของธรรมที่แสดงสิครับเป็นอนัตตา

เช่นรถเป็นบัญญัติของอุปกรณ์เล็กน้อยต่างๆ รถไม่ใช่เรียกเป็นอนัตตา แต่รถเพราะเหตุที่มีอุปกรณ์น้อยใหญ่ที่อุปกรณ์น้อยใหญ่เหล่านั้นคือสสารที่เป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ จึงถึงความเป็นสามัญลักษณะคือ ไม่เที่ยง แปลเปลี่ยนสภาพ จึงเป็นอนัตตา