วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 12:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 20:51 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 08:17
โพสต์: 73

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
สองใจ เขียน:
สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนและสามารถนำไปปฏิบัติเพื่อให้พ้นจากวัฏฏะนี้

สิ่งที่วิเศษกว่าสิ่งอื่น สิ่งที่สำนักอื่นไม่มี นั่นคือ

การรู้อย่างวิเศษ "วิปัสสนา" นั่นเอง

"ตัวรู้" "รู้" เป็นกุญแจ เป็นหัวใจสำคัญ นำไปเพื่อการเกิดปัญญา สู่การพ้นไปจากวัฏฏะนี้

"รู้" รู้อะไร รู้อย่างไรถึงเรียกว่ารู้อย่างวิเศษ :

ูรู้ กาย รู้ใจ ตัวเองนี้ ลงเป็นปัจจุบัน รู้ทัน ตามรู้ ใจ ที่ปรับเปลี่ยน หมุนเวียนตลอดเวลา โดยไม่แทรกแซง

ไม่แทรกแซงเป็นอย่างไร : ตามรู้ไปเฉยๆนั่นหล่ะ การแซงแทรงคือ เมื่อรู้ทันตามทัน จิต หรือเจตสิก ก็เกิดอาการ ชอบ เกลียด (ยินดีพอใจ หรือ ชัง) แล้วเข้าไปแก้ไขดัดแปลง เช่น นั่งฟังเพลงอยู่ดีๆ เจ้านายเรียกให้ไปทำงาน (เกิดอาการอะไรกับจิตใจ ตอนนี้รู้แล้ว เช่น โกรธ โกรธที่เจ้านายเรียก ทีนี้ พอโกรธเสร็จ อยากให้หายโกรธ ก็ไปทำให้มันหายโกรธ เช่น บริกรรม โกรธหนอๆ ๆๆ ๆๆ หรืออะไรก็แล้วแต่ เพื่อให้ความโกรธหายไป แบบนี้เรียกว่า แทรกแซง ) การเห็นอย่างวิเศษ คือ เห็นแล้วไม่แทรกแซง ให้รู้ไปเลย ว่า อืม โกรธอยู่ โกรธเป็นแบบนี้ สังเกตุ กายกับใจตัวเองนั้นแหละ
แล้วก็ดูไปว่า ความโกรธ หายไปได้อย่างไร หายไปเมื่อไหร่ นี่คือ การรู้ รู้ความเป็นจริง ในที่สุด ความโกรธ โดยไม่แทรกแซง ก็จบลง สลายตัว ตามกฏพระไตรลักษณ์ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนไว้อยู่ดี นี่ วิธีการดู การรู้อย่างวิเศษ

รู้เฉยๆแล้วได้อะไร : ได้ความจริง ความจริงของกายใจ ที่ต้องเป็นไปตามกฏของพระไตรลักษณ์

รู้เห็นพระไตรลักษณ์ กระทั่ง ใจ หมดความยึดถือ กาย ใจ ว่า เป็นเรา เป็นของเรา ที่เที่ยงแท้ถาวร (ที่ท่านว่า สัมมาทิฐิ ) รู้ถูก เข้าใจถูก เห็นตรง ตามความเป็นจริง

หมดความยึดถือ ที่เขาเรียกว่า คลายกำหนัด ยินดี พอใจ ในกายและใจนี้

หรือ เห็นอย่างวิเศษ ในการแยกธาตุ แยกขันธ์ ก็ได้
ขันธ์ 5 : ขันธ์ แปลตามตำรา เขาว่า "กอง" กองอะไร ???
ร่างกาย จิตใจนี้ เมื่อแยกออกมาเป็นกองๆ ได้ 5 กอง

กองรูป กองเวทนา กองสัญญา กองสังขาร กองวิญญาณ (ใครสนใจบัพนี้ รบกวนไปศึกษาเพิ่มเติมเอานะ แล้วแต่จริตนิสัย)

แยกออกมาขนาดนี้แล้ว อันไหนเป็นตัวเรา ก็เมื่อ ทั้งห้ากองมารวมกัน ก็เกิดเป็นเรา เกิดความยึดถือเมื่อขันธ์ทั้งห้ามารวมแล้วเป็นร่างกายจิตใจ (อันที่จริง ทั้งห้ากอง เขาแยกกันทำงาน คนละส่่วน คนละหน้าที่ แต่มันสัมพันธ์กัน ผู้ที่ไม่ได้เจริญสติจะมองไม่เห็นหลอก เขาจะเห็นแค่มันเป็นเรา ทั้งหมดเรียกว่าเรา


นี่ คือ สิ่งที่จะทำให้ สรรพสัตว์ ออกไปจากวัฏฏะสงสารนี้ได้
เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ ตรัสสอน เพื่อความพ้นทุกข์
เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการออกไปจากวัฏฏะนี้



ยังมองไม่เห็นวิธีทำหรือวิธีปฏิบัติของคุณสองใจเลย เอาชัดๆสิครับทำยังไง จึงจะออกจากวัฏฏสงสารได้

แล้ว วัฏฏสงสาร หมายถึงอะไรครับ




เอาเทิญท่านกรัชกาย ขอให้ท่าน เป็นผู้มีดวงตา เห็นธรรม ในเร็ววันนี้เทิญ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 20:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สองใจ เขียน:
กรัชกาย เขียน:
สองใจ เขียน:
สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนและสามารถนำไปปฏิบัติเพื่อให้พ้นจากวัฏฏะนี้

สิ่งที่วิเศษกว่าสิ่งอื่น สิ่งที่สำนักอื่นไม่มี นั่นคือ

การรู้อย่างวิเศษ "วิปัสสนา" นั่นเอง

"ตัวรู้" "รู้" เป็นกุญแจ เป็นหัวใจสำคัญ นำไปเพื่อการเกิดปัญญา สู่การพ้นไปจากวัฏฏะนี้

"รู้" รู้อะไร รู้อย่างไรถึงเรียกว่ารู้อย่างวิเศษ :

ูรู้ กาย รู้ใจ ตัวเองนี้ ลงเป็นปัจจุบัน รู้ทัน ตามรู้ ใจ ที่ปรับเปลี่ยน หมุนเวียนตลอดเวลา โดยไม่แทรกแซง

ไม่แทรกแซงเป็นอย่างไร : ตามรู้ไปเฉยๆนั่นหล่ะ การแซงแทรงคือ เมื่อรู้ทันตามทัน จิต หรือเจตสิก ก็เกิดอาการ ชอบ เกลียด (ยินดีพอใจ หรือ ชัง) แล้วเข้าไปแก้ไขดัดแปลง เช่น นั่งฟังเพลงอยู่ดีๆ เจ้านายเรียกให้ไปทำงาน (เกิดอาการอะไรกับจิตใจ ตอนนี้รู้แล้ว เช่น โกรธ โกรธที่เจ้านายเรียก ทีนี้ พอโกรธเสร็จ อยากให้หายโกรธ ก็ไปทำให้มันหายโกรธ เช่น บริกรรม โกรธหนอๆ ๆๆ ๆๆ หรืออะไรก็แล้วแต่ เพื่อให้ความโกรธหายไป แบบนี้เรียกว่า แทรกแซง ) การเห็นอย่างวิเศษ คือ เห็นแล้วไม่แทรกแซง ให้รู้ไปเลย ว่า อืม โกรธอยู่ โกรธเป็นแบบนี้ สังเกตุ กายกับใจตัวเองนั้นแหละ
แล้วก็ดูไปว่า ความโกรธ หายไปได้อย่างไร หายไปเมื่อไหร่ นี่คือ การรู้ รู้ความเป็นจริง ในที่สุด ความโกรธ โดยไม่แทรกแซง ก็จบลง สลายตัว ตามกฏพระไตรลักษณ์ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนไว้อยู่ดี นี่ วิธีการดู การรู้อย่างวิเศษ

รู้เฉยๆแล้วได้อะไร : ได้ความจริง ความจริงของกายใจ ที่ต้องเป็นไปตามกฏของพระไตรลักษณ์

รู้เห็นพระไตรลักษณ์ กระทั่ง ใจ หมดความยึดถือ กาย ใจ ว่า เป็นเรา เป็นของเรา ที่เที่ยงแท้ถาวร (ที่ท่านว่า สัมมาทิฐิ ) รู้ถูก เข้าใจถูก เห็นตรง ตามความเป็นจริง

หมดความยึดถือ ที่เขาเรียกว่า คลายกำหนัด ยินดี พอใจ ในกายและใจนี้

หรือ เห็นอย่างวิเศษ ในการแยกธาตุ แยกขันธ์ ก็ได้
ขันธ์ 5 : ขันธ์ แปลตามตำรา เขาว่า "กอง" กองอะไร ???
ร่างกาย จิตใจนี้ เมื่อแยกออกมาเป็นกองๆ ได้ 5 กอง

กองรูป กองเวทนา กองสัญญา กองสังขาร กองวิญญาณ (ใครสนใจบัพนี้ รบกวนไปศึกษาเพิ่มเติมเอานะ แล้วแต่จริตนิสัย)

แยกออกมาขนาดนี้แล้ว อันไหนเป็นตัวเรา ก็เมื่อ ทั้งห้ากองมารวมกัน ก็เกิดเป็นเรา เกิดความยึดถือเมื่อขันธ์ทั้งห้ามารวมแล้วเป็นร่างกายจิตใจ (อันที่จริง ทั้งห้ากอง เขาแยกกันทำงาน คนละส่่วน คนละหน้าที่ แต่มันสัมพันธ์กัน ผู้ที่ไม่ได้เจริญสติจะมองไม่เห็นหลอก เขาจะเห็นแค่มันเป็นเรา ทั้งหมดเรียกว่าเรา


นี่ คือ สิ่งที่จะทำให้ สรรพสัตว์ ออกไปจากวัฏฏะสงสารนี้ได้
เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ ตรัสสอน เพื่อความพ้นทุกข์
เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการออกไปจากวัฏฏะนี้



ยังมองไม่เห็นวิธีทำหรือวิธีปฏิบัติของคุณสองใจเลย เอาชัดๆสิครับทำยังไง จึงจะออกจากวัฏฏสงสารได้

แล้ว วัฏฏสงสาร หมายถึงอะไรครับ




เอาเทิญท่านกรัชกาย ขอให้ท่าน เป็นผู้มีดวงตา เห็นธรรม ในเร็ววันนี้เทิญ


คุณสองใจก็เป็นเสียยังเงี้ยทุกที ขี้งอน ถามอะไรนิดอะไรหน่อยก็สบัดก้นไปทุกที เฮ้อ...ทำไมนะเราจึงสนทนากันไม่ได้ สวรรค์ คิดแล้วเศร้าใจ :b7:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 21:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
คุณสองใจก็เป็นเสียยังเงี้ยทุกที ขี้งอน ถามอะไรนิดอะไรหน่อยก็สบัดก้นไปทุกที เฮ้อ...ทำไมนะเราจึงสนทนากันไม่ได้ สวรรค์ คิดแล้วเศร้าใจ :b7:

พี่กรัชกายรู้ไหมธรรมชาติของผู้หญิงมีสองอย่าง ขี้งอนกะขี้บ่น (ทีกะเราละบอกรำคาญหู ยอมๆๆซะจะได้จบเรื่อง :b14: ทั้งที่เราหวังดี ดุจดั่งมารดารักบุตร :b32: )


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 21:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ม.ค. 2014, 08:17
โพสต์: 73

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สำหรับการปฏิบัติธรรม (ที่เรียกกันทั่วไป)
ไม่ว่าจะเป็นด้านของ สมถะ หรือ วิปัสสนา นั้น

สิ่งแรก ที่เป็นพื้นฐาน ที่ท่านผู้ใฝ่ในธรรมทั้งหลาย ต้องมี
ปุถุชนชั้นดี ต้องมี เพื่อเป็นบาตร ฐาน ของการเจริญธรรม นั้นคือ ศีล

ชาวบ้านอย่างเราๆท่านๆ ก็แค่ ศีล 5 ก็พอใช้ได้แล้ว

ศีล 5 ต้องบริสุทธิ
ศีล มิใช่แค่ข้อห้าม แต่ต้องเกิดจากใจ
1. งดเว้นฆ่าสัตว์ : มิใช่แค่ข้อห้าม แต่ มันต้องเกิดจากใจ ที่ไม่คิดจะทำร้าย ไม่คิดเบียดเบียน ให้ผู้ใด ได้รับความทุกข์ทางกาย บาดเจ็บ ฯลฯ
2. งดเว้นลักทรัพย์ : ไม่เอา ไม่หยิบ สิ่งของ ที่เป็นของผู้อื่น โดยไม่ได้รับอนุญาติ
3. งดเว้นประพฤผิดในกาม : กิ๊กกิ๊ก กั๊กกั๊ก นี่ก็ผิดนะ ผิดเต็มๆ
4. งดเว้นพูดปด : ไม่ว่าจะ โกหก หลอกลวง พูดหยาบ พูดกระทบ ส่อเสียด พูดให้แตกหักกัน พูดให้เกิดความเข้าใจผิด ยุยง ส่งเสริมให้แตกกัน เพ้อเจอ กระแนะกระแหน รวมถึง พูดจาลบหลู่ซึ่งกันและกัน ฯลฯ
5. งดเว้นจากการดื่มของเมา : อันนี้ เป็นตัวสำคัญ ที่ทำให้ขาดสติ (ปกติก็ทำให้ศีลเกิดยากอยู่แล้ว ยิ่งได้ดื่มเข้าไป ยิ่งไม่มีสติ ทำศีลให้เกิด เข้าไปอีก)

(ที่จริงศีล 5 ของผู้เจริญกรรมฐาน จะละเอียดกว่านี้มาก)

ที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นการกระทำทางกายใช่ไหม แต่ สังเกตุดีๆ ทุกอย่างเกิดมาจากจิตทั้งนั้น ที่จะสั่งให้ทำโน่น นี่ นั้น จะดีหรือชั่ว กายเป็นผู้กระทำ แต่จิตใจ สั่งให้ทำ (มโนกรรม เกิดก่อน)

ดังนั้น จะปฏิบัติ ทำได้ เจริญในธรรมได้(สัมมา) ท่านทั้งหลาย ต้องมีศีล เป็นฐานก่อนนะ
ถ้ารากฐานไม่ดี ตึกสูงๆก็พังลงมาได้

ถึงท่านจะปฏิบัติธรรมใดๆได้ แต่ไม่มีศีล ก็ไม่ได้ทำให้การปฏิบัติเจริญขึ้นได้
ในเมื่อ ดินไม่ดี พืชที่หว่านไว้ จะเจริญเติบโต ได้อย่างไร
ก็อาจจะมีนะที่เจริญเติบโต แต่ไม่ใช่พืชที่เราหว่าน แต่เป็นพืชร้ายที่เราไม่ต้องการเจริญงอกงามแทน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 22:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สองใจ เขียน:
สำหรับการปฏิบัติธรรม (ที่เรียกกันทั่วไป)
ไม่ว่าจะเป็นด้านของ สมถะ หรือ วิปัสสนา นั้น

สิ่งแรก ที่เป็นพื้นฐาน ที่ท่านผู้ใฝ่ในธรรมทั้งหลาย ต้องมี
ปุถุชนชั้นดี ต้องมี เพื่อเป็นบาตร ฐาน ของการเจริญธรรม นั้นคือ ศีล

ชาวบ้านอย่างเราๆท่านๆ ก็แค่ ศีล 5 ก็พอใช้ได้แล้ว

ศีล 5 ต้องบริสุทธิ
ศีล มิใช่แค่ข้อห้าม แต่ต้องเกิดจากใจ
1. งดเว้นฆ่าสัตว์ : มิใช่แค่ข้อห้าม แต่ มันต้องเกิดจากใจ ที่ไม่คิดจะทำร้าย ไม่คิดเบียดเบียน ให้ผู้ใด ได้รับความทุกข์ทางกาย บาดเจ็บ ฯลฯ
2. งดเว้นลักทรัพย์ : ไม่เอา ไม่หยิบ สิ่งของ ที่เป็นของผู้อื่น โดยไม่ได้รับอนุญาติ
3. งดเว้นประพฤผิดในกาม : กิ๊กกิ๊ก กั๊กกั๊ก นี่ก็ผิดนะ ผิดเต็มๆ
4. งดเว้นพูดปด : ไม่ว่าจะ โกหก หลอกลวง พูดหยาบ พูดกระทบ ส่อเสียด พูดให้แตกหักกัน พูดให้เกิดความเข้าใจผิด ยุยง ส่งเสริมให้แตกกัน เพ้อเจอ กระแนะกระแหน รวมถึง พูดจาลบหลู่ซึ่งกันและกัน ฯลฯ
5. งดเว้นจากการดื่มของเมา : อันนี้ เป็นตัวสำคัญ ที่ทำให้ขาดสติ (ปกติก็ทำให้ศีลเกิดยากอยู่แล้ว ยิ่งได้ดื่มเข้าไป ยิ่งไม่มีสติ ทำศีลให้เกิด เข้าไปอีก)

(ที่จริงศีล 5 ของผู้เจริญกรรมฐาน จะละเอียดกว่านี้มาก)

ที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นการกระทำทางกายใช่ไหม แต่ สังเกตุดีๆ ทุกอย่างเกิดมาจากจิตทั้งนั้น ที่จะสั่งให้ทำโน่น นี่ นั้น จะดีหรือชั่ว กายเป็นผู้กระทำ แต่จิตใจ สั่งให้ทำ (มโนกรรม เกิดก่อน)

ดังนั้น จะปฏิบัติ ทำได้ เจริญในธรรมได้(สัมมา) ท่านทั้งหลาย ต้องมีศีล เป็นฐานก่อนนะ
ถ้ารากฐานไม่ดี ตึกสูงๆก็พังลงมาได้

ถึงท่านจะปฏิบัติธรรมใดๆได้ แต่ไม่มีศีล ก็ไม่ได้ทำให้การปฏิบัติเจริญขึ้นได้
ในเมื่อ ดินไม่ดี พืชที่หว่านไว้ จะเจริญเติบโต ได้อย่างไร
ก็อาจจะมีนะที่เจริญเติบโต แต่ไม่ใช่พืชที่เราหว่าน แต่เป็นพืชร้ายที่เราไม่ต้องการเจริญงอกงามแทน



ดังกล่าวมาทั้งหมดนี่ เป็นวิธีปฏิบัติที่คุณสองใจใช้อยู่ ถูกมั้ยครับ :b1: หรือมีอะไรอีก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 23:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
อ้างคำพูด:

Quote Tipitaka:
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีศีลอันสมบูรณ์ มีปาติโมกข์อันสมบูรณ์ อยู่เถิด จงเป็น
ผู้สำรวมด้วยความสำรวมในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจรอยู่เถิด จงเป็นผู้มีปกติเห็น
ภัยในโทษทั้งหลายมีประมาณน้อย สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลายเถิด."



ภาวิตกาย


อย่าเวิ่นเว้อต่อไปเลย

อย่าแสดงสิ่งที่ยังกรัชกายไม่รู้


ก็ลอกมาทั้งดุ้น

ถามความรู้เช่นนั้นนะ ตอบตามที่ตนรู้เข้าใจ

อ้างคำพูด:
ศีลอันสมบูรณ์

ปาติโมกข์อันสมบูรณ์

อาจาระและโคจร

สิกขาบท


บอกรายละเอียดหน่อยครับ มีศีลสมบูรณ์ เป็นต้น ยังไง


แม้แต่การถาม ก็ถามผิดนะครับกรัชกาย

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2014, 04:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
อ้างคำพูด:

Quote Tipitaka:
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีศีลอันสมบูรณ์ มีปาติโมกข์อันสมบูรณ์ อยู่เถิด จงเป็น
ผู้สำรวมด้วยความสำรวมในปาติโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจรอยู่เถิด จงเป็นผู้มีปกติเห็น
ภัยในโทษทั้งหลายมีประมาณน้อย สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลายเถิด."



ภาวิตกาย


อย่าเวิ่นเว้อต่อไปเลย

อย่าแสดงสิ่งที่ยังกรัชกายไม่รู้


ก็ลอกมาทั้งดุ้น

ถามความรู้เช่นนั้นนะ ตอบตามที่ตนรู้เข้าใจ

อ้างคำพูด:
ศีลอันสมบูรณ์

ปาติโมกข์อันสมบูรณ์

อาจาระและโคจร

สิกขาบท


บอกรายละเอียดหน่อยครับ มีศีลสมบูรณ์ เป็นต้น ยังไง


แม้แต่การถาม ก็ถามผิดนะครับกรัชกาย


ถ้าถามผิด ช่วยถามเองตอบเองหน่อย ว่าไป :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 37 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร