วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 03:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 82 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2014, 09:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สติปัฏฐานเป็นอาหารของโพชฌงค์

ความจริงนั้น สติ ไม่ใช่ตัววิปัสสนา ปัญญา หรือการใช้ปัญญาต่างหาก เป็น วิปัสสนา แต่ปัญญาจะได้โอกาส และจะทำงานได้อย่างปลอดโปร่งเต็มที่ ก็ต่อเมื่อมีสติคอยช่วยกำกับหนุนอยู่ด้วย ... การฝึกสติจึงมีความสำคัญมากในวิปัสสนา



(ทิ้่งไว้เท่านั้นก่อน) คงเห็นแล้ว่า สติ มิใช่วิปัสสนา ปัญญาต่างหากเป็นวิปัสสนา แต่เขาต้องอาศัยกันและกัน ไม่ใช่ทำงานตัวเดียวโด่เด่ อย่างที่พวกเราเน้นพูดกันแต่สติๆๆๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 12:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณเช่นนั้นเขียน

อ้างคำพูด:
การทำงานบ้าน โดยมีอานาปานสติเป็นเครื่องอยู่สุขสบาย ....ทำได้ครับ

ผมเข้าใจคำถามว่า "การกำหนดจิตให้นิ่ง ขณะที่ทำงานบ้าน" โดยให้จิตนิ่งอยู่กับลมหายใจเข้าออกอย่างนั้นหรือครับ... ถ้าผมเข้าใจถูกตามที่คุณ bbby เข้าใจ
ไม่เรียกว่าทำอานาปานสติครับ ... เป็นเพียงการทำจิตจดจ่ออยู่กับการงานครับ

การทำอานาปานสติ จึงไม่ใช่การให้จิตนิ่ง
การให้จิตนิ่งแล้วเกิดปัญญา จึงเป็นไปไม่ได้ครับ

สิ่งที่เราเห็นทุกข์จากการยึดติด .... เกิดจากสัญญาจำได้จากการทรงจำครับ




แต่ก่อนเราก็คิดแบบคุณเช่นนั้นค่ะ ในเมื่อจิตนิ่งจะเกิดปัญญาได้อย่างไร
จิตนิ่งเกิดปัญญาได้ค่ะ คือถ้าให้เราอธิบาย
เราก็พูดไม่ถูก คือเราก็พูดไม่ถูกนะ :b1: :b41: :b55: :b47:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 13:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32:
จิตนิ่ง..แล้วความรู้(สึก)หรือ.ปัญญา...เกิดได้ครับ...

แต่..รู้นั้น...พาเราไปไหน..?...
หากรู้นั้น....ทำให้เราห่างไกลทุกข์...นำเราไปสู่ความดับทุกข์....ก็เรียกว่าโลกุตรปัญญา

แต่หากรู้นั้น....ไม่ทำให้เราเห็นทุกข์....ไม่ทำให้เราเห็นเหตุของการเกิดทุกข์....รู้นั้นก็อาจเป็นสิ่งร้อยรัดให้ตายเกิดในวัฏสงสารต่อไปเรื่อยๆ...ได้อีก

จุดนี้.....ต้องมีครูบาอาจารย์...ถึงถึง...จึงจะแนะนำ..ชักนำ...ไม่ให้หลง...ชักเข้าทางได้

แต่หากเจอ..นักวิชาการ...อาจพากันลงทะเล..อิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 14:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณเช่นนั้นเขียน

อ้างคำพูด:
การทำงานบ้าน โดยมีอานาปานสติเป็นเครื่องอยู่สุขสบาย ....ทำได้ครับ

ผมเข้าใจคำถามว่า "การกำหนดจิตให้นิ่ง ขณะที่ทำงานบ้าน" โดยให้จิตนิ่งอยู่กับลมหายใจเข้าออกอย่างนั้นหรือครับ... ถ้าผมเข้าใจถูกตามที่คุณ bbby เข้าใจ
ไม่เรียกว่าทำอานาปานสติครับ ... เป็นเพียงการทำจิตจดจ่ออยู่กับการงานครับ

การทำอานาปานสติ จึงไม่ใช่การให้จิตนิ่ง
การให้จิตนิ่งแล้วเกิดปัญญา จึงเป็นไปไม่ได้ครับ

สิ่งที่เราเห็นทุกข์จากการยึดติด .... เกิดจากสัญญาจำได้จากการทรงจำครับ




แต่ก่อนเราก็คิดแบบคุณเช่นนั้นค่ะ ในเมื่อจิตนิ่งจะเกิดปัญญาได้อย่างไร
จิตนิ่งเกิดปัญญาได้ค่ะ คือถ้าให้เราอธิบาย
เราก็พูดไม่ถูก คือเราก็พูดไม่ถูกนะ :b1: :b41: :b55: :b47:

"นิ่ง" .....กับตั้งสงบในภายใน
"นิ่ง" ..... ไม่รับรู้อารมณ์
"นิ่ง"..... นิ่งเพราะไม่ปรุงแต่ง

คุณ bbb
สอง นิ่งหลัง ไม่เกิดปัญญา

นิ่ง แรก .... บางท่านเรียกว่า นิ่ง แต่ไม่ใช่นิ่ง ครับ

ผมเข้าใจ คำจำกัดความ "นิ่ง" ที่ คุณ bbb เข้าใจ กรณีไหนครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 14:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณเช่นนั้นเขียน

อ้างคำพูด:
"นิ่ง" .....กับตั้งสงบในภายใน"นิ่ง" ..... ไม่รับรู้อารมณ์
"นิ่ง"..... นิ่งเพราะไม่ปรุงแต่ง

คุณ bbb
สอง นิ่งหลัง ไม่เกิดปัญญา

นิ่ง แรก .... บางท่านเรียกว่า นิ่ง แต่ไม่ใช่นิ่ง ครับ

ผมเข้าใจ คำจำกัดความ "นิ่ง" ที่ คุณ bbb เข้าใจ กรณีไหนครับ




นิ่งตั้งสงบภายในค่ะ

แต่ก่อนเราคงจะนิ่งแบบนี้ค่ะ
"นิ่ง" ..... ไม่รับรู้อารมณ์
"นิ่ง"..... นิ่งเพราะไม่ปรุงแต่ง

ก็เลยเกิดความอึดอัด :b8: :b41: :b55: :b49:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 14:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 15:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
"นิ่ง" .....กับตั้งสงบในภายใน
"นิ่ง" ..... ไม่รับรู้อารมณ์
"นิ่ง"..... นิ่งเพราะไม่ปรุงแต่ง

อ้างคำพูด:
สอง นิ่งหลัง ไม่เกิดปัญญา

นิ่ง แรก .... บางท่านเรียกว่า นิ่ง แต่ไม่ใช่นิ่ง ครับ

คุนน้องสงสัยเจ้าค่ะ ท่านเช่นนั้นช่วยอธิบายสภาวะ นิ่ง เพราะไม่ปรุงแต่งให้คุนน้องเข้าใจหน่อยได้ไหมเจ้าค่ะ ทำไมนิ่งเพราะไม่ปรุงแต่งถึงไม่เกิดปัญญา s006


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 15:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


nongkong เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
"นิ่ง" .....กับตั้งสงบในภายใน
"นิ่ง" ..... ไม่รับรู้อารมณ์
"นิ่ง"..... นิ่งเพราะไม่ปรุงแต่ง

อ้างคำพูด:
สอง นิ่งหลัง ไม่เกิดปัญญา

นิ่ง แรก .... บางท่านเรียกว่า นิ่ง แต่ไม่ใช่นิ่ง ครับ

คุนน้องสงสัยเจ้าค่ะ ท่านเช่นนั้นช่วยอธิบายสภาวะ นิ่ง เพราะไม่ปรุงแต่งให้คุนน้องเข้าใจหน่อยได้ไหมเจ้าค่ะ ทำไมนิ่งเพราะไม่ปรุงแต่งถึงไม่เกิดปัญญา s006


เพราะ ปัญญา เป็นสังขาร
เป็นส่วนหนึ่งจากการใช้ความคิดพิจารณาอย่างแยบคาย
จากความรู้ เชิงประจักษ์

การไม่ปรุงแต่งย่อมไม่ก่อให้เกิดปัญญาครับ

ยกตัวอย่าง ในวิชชา 3
คือ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ

พระพุทธองค์เมื่อทรงจิตด้วย ฌานที่ 4 จึงน้อมจิตออกไป ทำเหตุพิจารณา สิ่งๆ ต่างๆ อันเกี่ยวกับ ญาณทั้ง 3
จนบรรลุ วิชชาทั้ง 3 ตามลำดับ และน้อมจิตพิจารณา เหตุปัจจัย คือปฏิจจสมุปบาท จนบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 15:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
nongkong เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
"นิ่ง" .....กับตั้งสงบในภายใน
"นิ่ง" ..... ไม่รับรู้อารมณ์
"นิ่ง"..... นิ่งเพราะไม่ปรุงแต่ง

อ้างคำพูด:
สอง นิ่งหลัง ไม่เกิดปัญญา

นิ่ง แรก .... บางท่านเรียกว่า นิ่ง แต่ไม่ใช่นิ่ง ครับ

คุนน้องสงสัยเจ้าค่ะ ท่านเช่นนั้นช่วยอธิบายสภาวะ นิ่ง เพราะไม่ปรุงแต่งให้คุนน้องเข้าใจหน่อยได้ไหมเจ้าค่ะ ทำไมนิ่งเพราะไม่ปรุงแต่งถึงไม่เกิดปัญญา s006


เพราะ ปัญญา เป็นสังขาร
เป็นส่วนหนึ่งจากการใช้ความคิดพิจารณาอย่างแยบคาย
จากความรู้ เชิงประจักษ์

การไม่ปรุงแต่งย่อมไม่ก่อให้เกิดปัญญาครับ

ยกตัวอย่าง ในวิชชา 3
คือ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ

พระพุทธองค์เมื่อทรงจิตด้วย ฌานที่ 4 จึงน้อมจิตออกไป ทำเหตุพิจารณา สิ่งๆ ต่างๆ อันเกี่ยวกับ ญาณทั้ง 3
จนบรรลุ วิชชาทั้ง 3 ตามลำดับ และน้อมจิตพิจารณา เหตุปัจจัย คือปฏิจจสมุปบาท จนบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ครับ

อนุโมทนาในคำตอบเจ้าค่ะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 18:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
nongkong เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
"นิ่ง" .....กับตั้งสงบในภายใน
"นิ่ง" ..... ไม่รับรู้อารมณ์
"นิ่ง"..... นิ่งเพราะไม่ปรุงแต่ง

อ้างคำพูด:
สอง นิ่งหลัง ไม่เกิดปัญญา

นิ่ง แรก .... บางท่านเรียกว่า นิ่ง แต่ไม่ใช่นิ่ง ครับ

คุนน้องสงสัยเจ้าค่ะ ท่านเช่นนั้นช่วยอธิบายสภาวะ นิ่ง เพราะไม่ปรุงแต่งให้คุนน้องเข้าใจหน่อยได้ไหมเจ้าค่ะ ทำไมนิ่งเพราะไม่ปรุงแต่งถึงไม่เกิดปัญญา s006


เพราะ ปัญญา เป็นสังขาร
เป็นส่วนหนึ่งจากการใช้ความคิดพิจารณาอย่างแยบคาย
จากความรู้ เชิงประจักษ์

การไม่ปรุงแต่งย่อมไม่ก่อให้เกิดปัญญาครับ

ยกตัวอย่าง ในวิชชา 3
คือ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ

พระพุทธองค์เมื่อทรงจิตด้วย ฌานที่ 4 จึงน้อมจิตออกไป ทำเหตุพิจารณา สิ่งๆ ต่างๆ อันเกี่ยวกับ ญาณทั้ง 3
จนบรรลุ วิชชาทั้ง 3 ตามลำดับ และน้อมจิตพิจารณา เหตุปัจจัย คือปฏิจจสมุปบาท จนบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ครับ



ท่านเช่นนั้นเอ้ย จะเพ้อเจ้อเพ้อฝันไปถึงไหนขอรับ จะเอานั่นเอานี่ พูดถึงผล เอาผล แต่เหตุคือการทำนะ คุณทำยังไงหือ เพ้อเจ้อ ตัวคุณเองยังตอบตนเองไม่ได้เลยเออ แนะนำให้คนเพ้อฝันผิดหลักพุทธธรรม ซึ่งสอนให้คนกระทำเหตุ คือลงมือทำ แล้วก็ทำอย่างถูกต้องด้วย คุณทำยังไงบอกหน่อยสิ

แหมๆ วิชชานั่นวิชชานี่ ฌานนั่นฌานนี่ คิกๆๆ ฝันเหมือนคนอนาถา ซึ่งนอนอยู่ใต้ทางด่วนว่า เออถ้าเรามีเงิน 10 ล้านนะ จะซื้อบ้านสักหลังหนึ่ง ...ถามว่า ทำยังไงจึงจะมีเงินล่ะ ไม่รู้... รู้แต่ว่า ถ้ามีเงินแล้วเรามีบ้านอยู่ มีข้าวกินสามมือฉันใด เช่นนั้นก็ฉันนั้น เพ้อเอานั่นเอานี่ ถามว่าทำยังล่ะ ไม่รู้ :b13: :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 18:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น นี่นิ่งพอหรือยัง เขาไปถึงไหนแล้วเนี่ยะ :b11:

อ้างคำพูด:
เหตุการณ์คือ ผมได้บวชภาคฤดูร้อน ตอนอายุ 10 ขวบ และพระอาจารย์ ได้นำสวดมนต์ และนั่งสมาธิ แต่วันนั้น ผมมีอาการ ปวดหัวมาก เหมือนจะเป็นไข้ จะลาอาจารย์ไปนอน ก้ออายเพื่อนเณร ด้วยกัน

ตอนนั่งสมาธิ ผมจึงได้ นั่งกำหนดพุท โธ ไปที่ศรีษะ ตรงที่ปวดมาก (ปกติ ดูลมหายใจ) แล้วอยู่ๆ จิตก็ดับวูบ ไม่มีร่างกาย ไม่มีสภาพแวดล้อม ไม่มีลมหายใจ ไม่มีความคิด มีเพียงเห็นความสว่างเหมือนตอนกลางวัน แล้วนิ่ง อยู่อย่างนั้น

จนกระทั่งมีเพื่อน สามเณร องค์หนึ่ง มาเขย่าตัวปลุก จึงกลับคืนมาสู่โลกความเป็นจริง ที่ เพื่อนสามเณรลุกไปนั่งรอรับน้ำปาณะ อีกที่หนึ่งหมดแล้ว เหลือเพียงผม นั่งสมาธิเหลืออยู่องค์เดียว

และอาการปวดหัว ที่รุนแรง ก็หายไปเหมือนปิดทิ้ง หลังจากออกจากสมาธิ

หลังจากวันนั้น ผมก็นั่งสมาธิ มาเรื่อยๆ แต่ ไม่เข้าถึงสถาวะนั้นเลย อีกสักครั้ง


.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 19:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เอาอีกเอ้า ตัดมาพอได้ใจความ


อ้างคำพูด:
ฯลฯ

ผมก็พยายามกำหนดรู้ลมหายใจในชีวิตประจำวัน เวลาเดิน ก็รู้สึกดีครับ รู้สึกเพลินกับการยึดลมหายใจ

หลังจากนั้นมีวันหนึ่ง ผมเกิดนึกอยากนั่งสมาธิขึ้นมา ผมก็เลยนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ (ก่อนหน้านี้ตอนเด็กๆ เวลาคุณครูที่รร.สั่งให้นั่งสมาธิในห้องเรียน ให้พยายามตามดูลมหายใจจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ น่าปวดหัวมาก แต่คาดว่าคงเป็นเพราะจากที่ได้ฝึกในชีวิตประจำวัน ทำให้ตั้งแต่นั่งครั้งนี้ก็ไม่รู้สึกเช่นนั้นอีก)

......ในการนั่งสมาธิครั้งนี้ ผมสามารถรับรู้ลมหายใจได้ตลอดสายเป็นเวลานาน แต่ผมก็คิดว่า เวลาจิตเราสงบมากแล้ว แต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้ายังไงเราลองเปลี่ยนวิธีกำหนดดูดีกว่า ผมเลยเปลี่ยนวิธีกำหนดในใจเป็นสมถแบบอัปปมัญญา ๔ (ที่ผมเปลี่ยนเป็นวิธีนี้เพราะก่อนหน้านี้เคยอ่านหนังสือเรื่องสมถ ๔o วิธีแล้วรู้สึกว่า เราน่าจะเหมาะกับวิธีนี้ คือเกิดความรู้สึกนี้ขึ้นเอง) ....แล้วกำหนดคำบริกรรมในใจแผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณในทิศเบื้องหน้า จากนั้นก็เบื้องหลัง จากนั้นก็เบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องซ้าย แล้วก็เบื้องขวา พอครบทุกทิศแล้ว ก็กำหนดแผ่ไปในทุกทิศพร้อมกันไม่มีประมาณ กำหนดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

จากนั้นผมก็รู้สึกเหมือนกายผมขยายตามที่กำหนดแผ่เมตตาไปด้วย รู้สึกว่ากายขยายไปทุกทิศ ความรู้สึกนี้มันเกิดในเวลาแค่แปปเดียว กายขยายไปทุกทิศ จนรู้สึกว่า กายหายไป คือไม่มีกาย เวลานี้รู้สึกว่าความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปิติ มีแต่ความสุขไปหมด จากนั้นผมก็คิดขึ้นมาว่า "มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วยหรือ ความสุขนี้ดีกว่าความสุขในโลกที่เราเคยพบมาทั้งหมด โอ ความสุขนี้แค่นั่งก็ได้แล้ว คนทั้งโลก (ส่วนใหญ่)มัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่ บางคนทำทุจริตต่างๆเพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน ทำไปทำไมนะ มันเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ไม่ได้เลย ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก อยู่กับตัวเองแท้ๆ คน (ส่วนใหญ่) ในโลกกลับไม่รู้"

จากนั้นผมก็สังเกตลมหายใจก็รู้สึกว่า ลมหายใจตอนนี้มันละเอียดมาก ถึงค่อยเข้าใจคำว่าลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียดว่าเป็นยังไง ก่อนหน้านี้เข้าใจว่าคือลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก

ความรู้สึกจากการเกิดสมาธิครั้งแรกนี้ มันเหมือนจุ่มค้างอยู่ปิติ คือปิติเกิดค้างอยู่ แต่ไม่เห็นนิมิตอะไรทั้งสิ้นเลยนะครับ แต่รู้สึกจิตเวลานี้ไม่มีนิวรณ์เลย คือมีความรู้พร้อมอยู่ จากนั้นผมก็รู้สึกยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคิดไปเรื่อยว่า "นี่คือปฐมฌาณหรือเปล่านี่ ปฐมฌาณเกิดกับเราหรือ" จนจิตเริ่มไม่เป็นสมาธิ เริ่มปั่นป่วน หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงห้องข้างๆตะโกนเสียงดัง (คาดว่าน่าจะดูบอล) ผมก็เลยหลุดออกมาจากสภาวะนั้น

แต่หลังจากนั้นมา ผมก็ไม่สามารถเข้าถึงสภาวะดังกล่าวได้อีกเลย คือทำได้มากสุด ก็แค่ทำปิติให้เกิดขึ้นแวบหนึ่งเท่านั้น (แต่ก็สามารถทำให้เกิดได้ตลอดเวลา ตามที่ต้องการทันที) แต่ไม่สามารถทำให้เกิดค้างไว้ จนรู้สึกเหมือนจุ่มลงในปิติ แล้วมีลมหายใจละเอียดแบบครั้งแรกได้



ใครก็ตาม มีท่านเช่นนั้น เป็นต้น ถ้ายังไม่ลงมือทำแล้วล่ะ อย่าได้หวัง ฌานนั้นฌานนี้ วิชชานั่นวิชชานี่ญาณนั่นญาณนี่ อย่างที่พูดๆ เอาหัวเป็นประกัน :b1: แม้แต่ดูตัวอย่างยังดูไม่เข้าใจเลย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 23:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ใครก็ตาม มีท่านเช่นนั้น เป็นต้น ถ้ายังไม่ลงมือทำแล้วล่ะ อย่าได้หวัง ฌานนั้นฌานนี้ วิชชานั่นวิชชานี่ญาณนั่นญาณนี่ อย่างที่พูดๆ เอาหัวเป็นประกัน :b1: แม้แต่ดูตัวอย่างยังดูไม่เข้าใจเลย

ตัวอย่างอะไรยาวๆ สองตัวอย่างนั้น
กรัชกาย ก๊อปมาแปะเฉยๆ เช่นเคย
เหมือนทุกตัวอย่างที่ยกมานะครับ ไม่อ่านครับเสียเวลา

คำตอบก็คือ กรัชกาย เวิ่นเว้อแล้วครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 27 พ.ค. 2014, 23:46, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ค. 2014, 23:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ท่านเช่นนั้นเอ้ย จะเพ้อเจ้อเพ้อฝันไปถึงไหนขอรับ จะเอานั่นเอานี่ พูดถึงผล เอาผล แต่เหตุคือการทำนะ คุณทำยังไงหือ เพ้อเจ้อ ตัวคุณเองยังตอบตนเองไม่ได้เลยเออ แนะนำให้คนเพ้อฝันผิดหลักพุทธธรรม ซึ่งสอนให้คนกระทำเหตุ คือลงมือทำ แล้วก็ทำอย่างถูกต้องด้วย คุณทำยังไงบอกหน่อยสิ

แหมๆ วิชชานั่นวิชชานี่ ฌานนั่นฌานนี่ คิกๆๆ ฝันเหมือนคนอนาถา ซึ่งนอนอยู่ใต้ทางด่วนว่า เออถ้าเรามีเงิน 10 ล้านนะ จะซื้อบ้านสักหลังหนึ่ง ...ถามว่า ทำยังไงจึงจะมีเงินล่ะ ไม่รู้... รู้แต่ว่า ถ้ามีเงินแล้วเรามีบ้านอยู่ มีข้าวกินสามมือฉันใด เช่นนั้นก็ฉันนั้น เพ้อเอานั่นเอานี่ ถามว่าทำยังล่ะ ไม่รู้ :b13: :b32:

ไม่เข้าใจ
กรัชกายกำลังบ่นอะไรครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ค. 2014, 04:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ใครก็ตาม มีท่านเช่นนั้น เป็นต้น ถ้ายังไม่ลงมือทำแล้วล่ะ อย่าได้หวัง ฌานนั้นฌานนี้ วิชชานั่นวิชชานี่ญาณนั่นญาณนี่ อย่างที่พูดๆ เอาหัวเป็นประกัน :b1: แม้แต่ดูตัวอย่างยังดูไม่เข้าใจเลย

ตัวอย่างอะไรยาวๆ สองตัวอย่างนั้น
กรัชกาย ก๊อปมาแปะเฉยๆ เช่นเคย
เหมือนทุกตัวอย่างที่ยกมานะครับ ไม่อ่านครับเสียเวลา

คำตอบก็คือ กรัชกาย เวิ่นเว้อแล้วครับ


นี่ไงว่าแล้วว่าดูตัวอย่างการทำสมถะ วิปัสสนา ไม่เข้าใจ

ที่ตัวเองพูดปร๋อ สมถะวิปัสสนา พูดตามชื่อนั่นที่ตนเองอ่านมา สมถะวิปัสสนาๆๆ แต่ไม่รู้จักหน้าตาของสมถะวิปัสสนา ได้มาจำมาทั้งดุ้น เหมือนคนได้มะพร้าวทั้งเปลือกมาแล้วนั่งคลึงคลำมะพร้าวอยู่ ทำตาลอยๆ มะพร้าวหอมหวานอร่อย...พอมีคนถามว่า ปอกเปลือก ทุบกะลา กินเนื้อกินน้ำมันแล้วรึ ถึงรู้ว่ามันหวานหอมอร่อย ยัง.... อ้าวว ... แล้วรู้ได้ยังไงล่ะว่ามะพร้าวหวานหอมอร่อย ตอบ คิดนึกเอา ฉันใด ท่านเช่นนั้นก็ฉันนั้น

พ่อแม่พี่น้องเอ้ย สมถะวิปัสสนา ดีเหลือเกิน ของเขาดีจริงๆ ให้ตายซี่เอ้า พอคนถามว่า ทำยังไงสมถะวิปัสสนาจึงจะเกิดขึ้นเจริญขึ้นๆล่ะ ตอบ ไม่รู้ .... เขาถามต่ออีกว่า แล้วตุณรู้ได้ยังไงล่ะว่า สมถะวิปัสสนา ดี ของเขาดีจริงๆ ตอบ คิดเอา ท่านเช่นนั้น ออกแนวนี้ :b32: กรัชกายถึงได้บอกไงว่า เช่นนั้น น่ะ จินตนาการเอา (สมถะของเขา เป็นสมเถอะของเช่นนั้น วิปัสสนาของเขา จึงเป็นวิปัสสนึกของเช่นนั้น) คือท่านเช่นนั้น เข้าใจพุทธธรรมอย่างแก้วสารพัดนึก คือนึกๆคิดๆเอา เช่นว่า... เดี๋ยวเถอะๆสมถะวิปัสสนาต้องมาเกิดแก่เราแน่ๆ ข้านึกถึงแล้วนะ สมถะวิปัสสนาๆๆๆๆ อิเมโจได๋ๆๆๆ :b32: :b9:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 82 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร