วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ย. 2025, 09:11  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 82 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 19 พ.ค. 2014, 19:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
:b12:
คุยกันในประเด็นอานาปานสติแต่แลบเลยกันไปขยายถึงสติปัฏฐาน 4 และการเจริญวิปัสสนา ทำไมไม่คุยกันให้ลึกละอียดลงไปในเรื่องของอนาปานสติโดยเฉพาะล่ะครับ จะได้จบเป็นเรื่องๆ ตอนๆไป ไม่วุ่นวาย
s004


คุณเต้ดูนะครับ จะถกเถียงเรื่อง สติปัฏฐาน อานาปานสติ กัมมัฏฐาน กับอโศกให้ดู อย่ากระพริบตา คิกๆๆ :b1:

อโศก สติปัฏฐาน อานาปานสติ กัมมัฏฐาน เหมือนกันหรือต่างกัน :b32:

:b16:
ไม่เหมือนกันแต่อาจส่งต่อถึงกันได้ เป็นเหตุปัจจัยเกื้อหนุนกันได้
ไปอ่านสติปัฏฐานสูตร กับอานาปานสติสูตรที่แปลไทยให้ดีๆหรือจะไปคัดลอกมาวิเคราะกันดูในกระทู้นี้ก็ยังได้



อ้างคำพูด:
ไม่เหมือนกันแต่อาจส่งต่อถึงกันได้ เป็นเหตุปัจจัยเกื้อหนุนกันได้


นักปฏิบัติใหญ่พูดยังงั้น ไม่ชัด ยังคลุมเครือ :b1:

เอาชัดๆขอรับ ไม่คัดไม่ลอกล่ะ เอากันเท่าที่มีนี่แหละ ในสามอย่างนี้ "สติปัฏฐาน" "อานาปานสติ" "กัมมัฏฐาน" ไม่เหมือนกันยังไง เป็นเหตุปัจจัยหนุนกันยังไง อโศกชำแหละแต่ละอย่างๆออกมาให้ผู้ปฏิบัติได้แลเห็นสิครับ เอ้าาา

s004
กรัชกาย นี่ชอบถามและแตกประเด็นให้เป็นหลายเรื่องในเรื่องเดียวกัน ทำของสั้นให้เป็นของยาว ทำของน้อยให้เป็นของมาก ทำของง่ายให้เป็นของยาก จนติดนิสัย

ดังที่ท้วงติงไว้ กระทู้หัวข้ออานาปานสติ ก็จะบอกเรื่องอื่นไว้พอให้รู้จัก แต่จะพูดกันให้มากในเรื่องอานาปานสตินะครับ

สติปัฏฐาน....สติ+อุปัฏฐาน.......ฐาน ที่ตั้งที่เกิดแห่งสติ มีอยู่ 4 ฐาน คือ กาย เวทนา จิต ธรรม

กัมมัฏฐาน....กัมมะ + อุปัฏฐาน ฐาน ที่ตั้งที่เกิดแห่งการกระทำ มี 2 อย่างคือ

ก.สมถะกัมมัฏฐาน....ฐาน ที่ตั้งแห่งการเกิดสมาธิ ที่นิยมกันมาแต่โบราณมี 40 อย่าง
กรรมฐาน 40 แบ่งเป็น 7 หมวดคือ

1. กสิณกรรมฐาน 10 อย่าง

2. อสุภกรรมฐาน 10 อย่าง

3. อนุสสติกรรมฐาน 10 อย่าง

4. พรหมวิหารกรรมฐาน 4 อย่าง

5. อรูปกรรมฐาน 4 อย่าง

6. อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1 อย่าง

7. จตุธาตุววัฏฐาน 1 อย่าง

รวมทั้ง 7 หมวดเป็น 40 อย่างพอดี

ข.วิปัสสนากัมมัฏฐาน วิ = วิเศษ.......ปัสสนา. ทัศนา = ดู เห็น รู้ กัมมัฏฐาน = ที่ตั้งที่เกิดแห่งการกระทำ
การสังเกต ดูให้เห็นให้รู้สิ่งวิเศษอันเป็นต้นเหตุให้เกิดกรรมหรือการกระทำ

สิ่งวิเศษอันเป็นต้นเหตุให้เกิดการกระทำ คือธรรมะทั้งหลาย ที่เกิดขึ้นภายในกายในจิตมีปรมัตถธรรม 4 ธาตุ 4 ขันธ์ 5 อายตนะ 12 กิเลส 1,500 ตัณหา 108 สามัญลักษณะ 3 เป็นต้น

รู้แล้ว ถอนเหตุแห่งการกระทำได้ ก็ไม่ทุกข์ ถึงสุขอันเป็นอมตะ คือนิพพาน

อานาปานสติภาวนา การเจริญสติอยู่กับลมหายใจเข้าออก

เป็นวิธีการภาวนาที่ทำให้เกิดทั้งสมาธิและปัญญา พาให้หลุดพ้นจากเหตุแห่งทุกข์ได้ ถ้าเข้าใจเทคนิคปฏิบัติ ตามแนวทาง 16 ขั้นตอนในอานาปานสติสูตร

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญอานาปานาสติอยู่ ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมบำเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้
ภิกษุที่เจริญสติปัฏฐาน ๔ แล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมบำเพ็ญโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์ได้
ภิกษุที่เจริญโพชฌงค์ ๗ แล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมบำเพ็ญวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้ ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้วอย่างไรทำให้มากแล้วอย่างไร จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า
1.เธอย่อมมีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว หรือเมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าหายใจออกยาว
2.เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น หรือเมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น
3.สำหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจเข้า ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจออก
4.สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจออก
5.สำหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดปีติ หายใจเข้า ว่าเราจักเป็นกำหนดรู้ปีติ หายใจออก
6.สำหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้สุข หายใจเข้า ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้สุข หายใจออก
7.สำหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิตสังขารหายใจเข้า ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิตสังขาร หายใจออก
8.สำหนียกอยู่ ว่าเราจักระงับจิตสังขาร หายใจเข้า ว่าเราจักระงับจิตสังขาร หายใจออก
9.สำหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิต หายใจ ว่าเราจักเป็นกำหนดรู้จิต หายใจออก
10.สำหนียกอยู่ ว่าเราจักทำจิตให้ร่าเริง หายใจเข้า ว่าเราจักทำจิตให้ร่าเริง หายใจออก
11.สำหนียกอยู่ ว่าเราจักตั้งจิตมั่น หายใจเข้า ว่าเราจักตั้งจิตมั่น หายใจเข้า
12.สำหนียกอยู่ ว่าเราจักเปลื้องจิต หายใจเข้าว่าเราจักเปลื้องจิต หายใจออก
13.สำหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยง หายใจเข้า ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยง หายใจออก
14.สำหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความคลายกำหนัด หายใจเข้า ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความคลายกำหนัดหายใจออก
15.สำหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความดับกิเลส หายใจเข้า ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความดับกิเลส หายใจออก
16.สำหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้พิจารณาความสละคืนกิเลส หายใจเข้า ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความสละคืนกิเลส หายใจออก
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้แล จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้วอย่างไร? ทำให้มากแล้วอย่างไร? จึงบำเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้?
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใด เมื่อภิกษุหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว หรือเมื่อหายใจออกยาวก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น หรือเมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น
สำหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจเข้า ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจออก
สำหนียกอยู่ ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจออก
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นกายในกายมีความเพียร รู้สึกตัว มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวลมหายใจเข้าลมหายใจออกนี้ ว่าเป็นกายชนิดหนึ่งในพวกกาย
เพราะฉะนั้นแล ในสมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายมีความเพียร รู้สึกตัว มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุสำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้ปีติ หายใจเข้า ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้ปีติ หายใจออก
สำหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้สุข หายใจเข้า ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้สุข หายใจออก
สำหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิตสังขาร หายใจเข้า ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิตสังขาร หายใจออก
สำหนียกอยู่ ว่าเราจักระงับจิตสังขาร หายใจเข้า ว่าเราจักระงับจิตสังขาร หายใจออก
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา มีความเพียร รู้สึกมีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวการใส่ใจลมหายใจเข้า ลมหายใจออกเป็นอย่างดีนี้ ว่าเป็นเวทนาชนิดหนึ่ง ในพวกเวทนา
เพราะฉะนั้นแล ในสมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่าพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา มีความเพียร รู้สึกตัวมีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุสำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิต หายใจเข้า ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิต หายใจออก
สำหนียกอยู่ ว่าเราจักทำจิตให้ร่าเริง หายใจเข้า ว่าเราจักทำจิตให้ร่าเริง หายใจออก
สำหนียกอยู่ ว่าเราจักตั้งจิตมั่น หายใจเข้า เราจักตั้งจิตมั่น หายใจออก
สำหนียกอยู่ ว่าเราจักเปลื้องจิต หายใจเข้า เราจักเปลื้องจิต หายใจออก
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นจิตในจิต มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่กล่าวอานาปานสติแก่ภิกษุผู้เผลอสติ ไม่รู้สึกตัวอยู่
เพราะฉะนั้นแล ในสมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่าพิจารณาเห็นจิตในจิต มีความเพียร รู้สึกตัว มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุสำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยง หายใจเข้า ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยง หายใจออก
สำหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความคลายกำหนัด หายใจเข้า ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความคลายกำหนัด หายใจออก
สำหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความดับกิเลส หายใจเข้า ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความดับกิเลส หายใจออก
สำหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความสละคืนกิเลส หายใจเข้า ว่าเราจักเป็นตามพิจารณาความสละคืนกิเลส หายใจออก
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในสมัยนั้น ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นธรรมในธรรม มีความเพียร รู้สึกตัวมีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ เธอเห็นการละอภิชฌาและโทมนัสด้วยปัญญาแล้ว ย่อมเป็นผู้วางเฉยได้ดี
เพราะฉะนั้นแล ในสมัยนั้น ภิกษุจึงชื่อว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรม มีความเพียร รู้สึกตัวมีสติ กำจัดอภิชาฌาและโทมนัสในโลกเสียได้อยู่ ฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้แล ชื่อว่าบำเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้ ฯ
:b8:



ที่ลอกตำรามายึดยาวนั่น ก็คือการตอบปัญหาที่ว่า สติปัฏฐาน อานาปานสติ กัมมัฏฐาน ที่ว่าเหมือนกัน แต่อาจเป็นเหตุปัจจัยกันใช่ไหมครับ ใช่ ไม่ใช่ ตอบสั้นๆ ใช่ ไม่ใช่ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 19 พ.ค. 2014, 19:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณน้ำเขียน

อ้างคำพูด:
การทำอานาปนสติ เป็นการฝึกให้มีสติ
หากฝึกอย่างต่อเนื่อง แม้เวลาใกล้ตาย ความอาลัยในธาตุขันธ์ก็ไม่มี
แม้กระทั่ง ความกลัวตาย ก็ไม่มี

:b8:


ใช่ค่ะเราก็จะพูดอย่างนี้แหละค่ะ แต่พูดไม่ถูก :b1:
พอตอนนี้รู้หลักในการฝึกแล้ว เหมือนสติไม่ค่อยจะฟุ้ง คือรู้สึกได้เลยไม่เหมือนแต่ก่อน
มีความรู้สึกว่า เหมือนเราคุมสติ-คุมจิตของตัวเราเองได้ โดยไม่ต้องบังคับ




เป็นการคาดเดาเอาเองน่ะคุณเต้
จะรู้ว่า ใช่ตามที่คิดไว้หรือไม่ ต้องเจอของจริงก่อน จึงจะตอบตัวเองได้
หากยังไม่เจอของจริง ล้วนเป็นการคาดเดาเอาเอง



อ้างคำพูด:
ที่สำคัญ ที่เคยบอกกับคุณเต้ไว้
เรื่องให้พยายามหยุดสร้างเหตุนอกตัว



อ้างคำพูด:
คุณน้ำใช่หมายถึง เราชอบไปมองการกระทำของคนอื่นใช่หรือปล่าวค่ะ
ถ้าใช่เหตุนี้ เหตุผลคือเรามักจะดูการกระทำของคนอื่น แล้วก็นำมาพิจารณาธรรมว่า
มนุษย์กับกิเลสเป็นของที่คู่กัน แล้วเราจะทำอย่างไง
ให้กิเลสนั้นเหลืออยูในตัวเองน้อยที่สุด
ซึ่งบางครั้ง เราก็นึกตำหนิตัวเราเองเหมือนกันว่า"เรานี่ใช้ไม่ได้" :b8:
:b41: :b55: :b49:




หากดูการกระทำของผู้อื่น แล้วนำมาพิจรณา
ซึ่ง การดูการกระทำของคนอื่น แล้วนำมาวิพากย์วิจารณ์ ร่วมกับคนอื่นๆ

แตกต่างกันนะคุณเต้
หากนำมาพิจรณา จะไม่มีการนำมาวิพากย์วิจารณ์

หากต้องการดูว่า เหตุปัจจัยของการสร้างเหตุนอกตัว ที่ยังมีอยู่ มีมากน้อยแค่ไหน
ดูเวลาที่ผัสสะเกิด หรือ สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต

แล้วสิ่งๆนั้น ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิดต่างๆนานา
นั่นแหละ เหตุปัจจัยที่มีอยู่ ที่อาจก่อให้เกิดการกระทำได้ หากสติยังไม่ทันต่อกิเลสที่เกิดขึ้น

ดูการกระทำ ที่สร้างออกไป ตามแรงผลักดันของกิเลส(ความรู้สึกนึกคิด) ที่เกิดขึ้น
นั่นแหละ ทั้งเหตุเก่าที่ยังมีอยู่(สิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งนั้นทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด)

และเหตุที่กำลังสร้างออกไปใหม่ ตามแรงผลักดันของกิเลส ที่เกิดขึ้น
เหตุมี ผลย่อมมี

เหตุเก่า ก็ยังไม่จบ(สานต่อ)
เหตุใหม่ ก็ทำให้เกิดขึ้นอีก

อย่าไปมัวให้ค่ากับกิเลสว่า เหลือมากน้อยแค่ไหนเลย
ให้ดูที่การกระทำของตัวเอง ที่ยังมีกระทำออกไป ตามแรงผลักดันของกิเลส

รู้แค่ว่า สิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งๆนั้น ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิดต่างๆ
นั่นแหละ เหตุปัจจัย ที่ยังมีอยู่(ที่เคยกระทำไว้)

ทีนี้คุณเต้ จะสานต่อ(สร้างใหม่)
หรือเลือกที่จะหยุด แค่ตัวเอง(รู้แค่ว่า มีความรู้สึกนึกคิดเกิดขึ้น แต่ไม่สร้างเหตุออกไป)

แม้กระทั่งการเขียนโพสอะไรๆต่างๆลงมา
หากมีการกล่าวโทษหรือยกยอ ชื่นชมผู้อื่น ตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น
ล้วนเป็นการสร้างเหตุใหม่ให้เกิดขึ้นทั้งนั้นแหละคุณเต้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 19 พ.ค. 2014, 20:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:


เป็นการคาดเดาเอาเองน่ะคุณเต้
จะรู้ว่า ใช่ตามที่คิดไว้หรือไม่ ต้องเจอของจริงก่อน จึงจะตอบตัวเองได้
หากยังไม่เจอของจริง ล้วนเป็นการคาดเดาเอาเอง



ของจริงที่ว่า คืออะไร แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่ามันเป็นของจริง :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 19 พ.ค. 2014, 20:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


walaiporn เขียน:

อย่าไปมัวให้ค่ากับกิเลสว่า เหลือมากน้อยแค่ไหนเลย





ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนรอยนิ้วมือหรือรอยนิ้วหัวแม่มือ
ย่อมปรากฏอยู่ที่ด้ามเครื่องมือของพวกช่างไม้ หรือลูกมือของพวกช่างไม้

แต่เขาก็ไม่มีความรู้ว่า
ด้ามเครื่องมือของเรา วันนี้สึกไปเท่านี้ วานนี้สึกไปเท่านี้
วันอื่น ๆ สึกไปเท่านี้ ๆ คงรู้แต่ว่ามันสึกไป ๆ เท่านั้น,
นี้ฉันใด;

ภิกษุ ท. ! เมื่อภิกษุตามประกอบภาวนาอยู่
ก็ไม่รู้อย่างนี้ว่า วันนี้ อาสวะของเราสิ้นไปเท่านี้
วานนี้สิ้นไปเท่านี้ วันอื่น ๆ สิ้นไปเท่านี้ ๆ รู้แต่เพียงว่า สิ้นไปใน
เมื่อมันสิ้นไป ๆ เท่านั้น, ฉันใดก็ฉันนั้น.
สตฺตก. อํ. ๒๓/๑๒๘/๖๘.



หมายเหตุ:

เมื่อมีสิ่งเกิดขึ้นในชีวิต สิ่งๆนั้น ทำให้เกิดความรู้สึกนึกคิด(กิเลส)

แค่รู้ว่า มีเกิดขึ้น แค่รู้ว่าดับหายไป

หากยังมีเกิดขึ้นอีก แค่รู้ว่ามี ไม่ต้องไปคิดจัดการใดๆ

ตราบใดที่ยังมีกิเลส ความรู้สึกนึกคิด ย่อมมีเกิดขึ้น เป็นเรื่องธรรมดา
เพียงแต่ระวัง เรื่องการสร้างเหตุนอกตัว ที่กระทำลงไปตามความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้น

เมื่อกระทำลงไปแล้ว ไม่ว่าจะให้ค่าให้ความหมายใดๆก็ตาม
เหตุมี ผลย่อมมี

ผลที่ได้รับ จะเกิดขึ้นตามความเป็นจริง
ไม่ใช่เกิดจากการน้อมเอา คิดเอาว่า ทำแบบนี้ จะได้ผลแบบนี้

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสต์ เมื่อ: 22 พ.ค. 2014, 17:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


bbby เขียน:
คุณกรัชกายเขียน

อ้างคำพูด:
คุณเต้ดูนะครับ จะถกเถียงเรื่อง สติปัฏฐาน อานาปานสติ กัมมัฏฐาน กับอโศกให้ดู อย่ากระพริบตา คิกๆๆ


คุณกรัชกายกำลังจะบอกว่า ในสติปัฏฐาน อานาปานสติ กัมมัฏฐาน3อย่าง
ต้องอาศัยกันและกันแบบนั้นใช่หรือปล่าวคะ




ยังงี้ครับ ความหมายของกัมมัฏฐาน ครอบคลุมทั้งอานาปานสติ ทั้งสติปัฏฐาน
กัมมัฏฐาน แปลว่า ที่ทำงานของจิต หรือที่ให้จิตทำงาน ดังนั้นทั้งอานาปานสติ ทั้งสติปัฏฐาน เรียกว่า กรรมฐาน ได้

อานาปานะ ได้แก่ ลมหายใจเข้าออก เติมสติเข้าไป ก็เป็นอานาปานสติ อานาปานสติ แปลว่า สติกำหนดลมหายใจเข้าออก ลมหายใจเข้าออกก็เรียกว่า กรรมฐาน เพราะเป็นที่ทำงานของจิต

สติปัฏฐาน = สติ+ปัฏฐาน สติปัฏฐาน แปลว่า ที่ตั้งของสติ ฯลฯ สติ แปลว่า การระลึก การระลึกได้ นึกถึง นึกไว้ ไม่เผลอ ปัฏฐาน แปลว่า ที่ตั้ง สติปัฏฐาน ก็แปลว่าที่ตั้งของสติ ที่ตั้งของสติในที่นี้ มี 4 แห่ง

-กายานุปัสสนา การตามดูรู้ทันกาย การพิจารณากาย
-เวทนานุปัสสนา การตามดูรู้ทันเวทนา การพิจารณาเวทนา
-จิตตานุปัสสนา การตามดูรู้ทันจิต การพิจารณาจิต
-ธรรมานุปัสสนา การตามดูรู้ทันธรรม การพิจารณาธรรม

กาย- เวทนา- จิต - ธรรม - แต่ละแห่งละจุด เรียกว่า กรรมฐาน ได้ เพราะเป็นที่ให้จิตมันทำงาน

(ธรรมในข้อธรรมานุปัสสนา ได้แก่ ธรรมารมณ์ หมายถึง ความรู้สึกนึกคิดในใจทุกอย่างทั้งดีไม่ดี ทั้งกุศลอกุศล ชอบใจ ไม่ชอบใจ)

อานาปานสติ (ลมหายใจเข้าออก) ก็อยู่ในกาย (กายานุปัสสนา) หลักปฏิบัติมีอันเดียวคืออานาปานสติ




................

สังเกตหน้าที่และความหมายคำว่าสติอีกหน่อย

สติ มีหน้าที่ดึงอารมณ์มาสู่จิต เหนี่ยวอารมณ์ไว้กับจิต คุมหรือกำกับจิตไว้กับอารมณ์ ตรึงเอาไว้ไม่ยอมให้ลอยผ่านหรือคลาดกันไป จะเป็นการดึงมาซึ่งอารมณ์ที่ผ่านไปแล้ว หรือดึงไว้ซึ่งอารมณ์ที่ผ่านไปก็ได้ สติจึงมีขอบเขตความหมายคลุมถึง การระลึก นึกถึง นึกไว้ นึกได้ ระลึกได้ ไม่เผลอ


สติ ด้านหนึ่ง แปลกันว่า recall, recollection อีกด้านหนึ่งว่า mindfulness

(จากพุทธธรรมหน้า 19 บ้าง หน้า 764 บ้าง)

ดูลุงสมพรฝึกลิงอีกที

http://www.youtube.com/watch?v=Z9O-Wzvijss


เชือก เปรียบเสมือนสติสัมปชัญญะ คอยดึง ตรึงจิตไว้กับอารมณ์

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2014, 07:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
bbby เขียน:
คุณกรัชกายเขียน

อ้างคำพูด:
คุณเต้ดูนะครับ จะถกเถียงเรื่อง สติปัฏฐาน อานาปานสติ กัมมัฏฐาน กับอโศกให้ดู อย่ากระพริบตา คิกๆๆ


คุณกรัชกายกำลังจะบอกว่า ในสติปัฏฐาน อานาปานสติ กัมมัฏฐาน3อย่าง
ต้องอาศัยกันและกันแบบนั้นใช่หรือปล่าวคะ




ยังงี้ครับ ความหมายของกัมมัฏฐาน ครอบคลุมทั้งอานาปานสติ ทั้งสติปัฏฐาน
กัมมัฏฐาน แปลว่า ที่ทำงานของจิต หรือที่ให้จิตทำงาน ดังนั้นทั้งอานาปานสติ ทั้งสติปัฏฐาน เรียกว่า กรรมฐาน ได้

อานาปานะ ได้แก่ ลมหายใจเข้าออก เติมสติเข้าไป ก็เป็นอานาปานสติ อานาปานสติ แปลว่า สติกำหนดลมหายใจเข้าออก ลมหายใจเข้าออกก็เรียกว่า กรรมฐาน เพราะเป็นที่ทำงานของจิต

สติปัฏฐาน = สติ+ปัฏฐาน สติปัฏฐาน แปลว่า ที่ตั้งของสติ ฯลฯ สติ แปลว่า การระลึก การระลึกได้ นึกถึง นึกไว้ ไม่เผลอ ปัฏฐาน แปลว่า ที่ตั้ง สติปัฏฐาน ก็แปลว่าที่ตั้งของสติ ที่ตั้งของสติในที่นี้ มี 4 แห่ง

-กายานุปัสสนา การตามดูรู้ทันกาย การพิจารณากาย
-เวทนานุปัสสนา การตามดูรู้ทันเวทนา การพิจารณาเวทนา
-จิตตานุปัสสนา การตามดูรู้ทันจิต การพิจารณาจิต
-ธรรมานุปัสสนา การตามดูรู้ทันธรรม การพิจารณาธรรม

กาย- เวทนา- จิต - ธรรม - แต่ละแห่งละจุด เรียกว่า กรรมฐาน ได้ เพราะเป็นที่ให้จิตมันทำงาน

(ธรรมในข้อธรรมานุปัสสนา ได้แก่ ธรรมารมณ์ หมายถึง ความรู้สึกนึกคิดในใจทุกอย่างทั้งดีไม่ดี ทั้งกุศลอกุศล ชอบใจ ไม่ชอบใจ)

อานาปานสติ (ลมหายใจเข้าออก) ก็อยู่ในกาย (กายานุปัสสนา) หลักปฏิบัติมีอันเดียวคืออานาปานสติ




................

สังเกตหน้าที่และความหมายคำว่าสติอีกหน่อย

สติ มีหน้าที่ดึงอารมณ์มาสู่จิต เหนี่ยวอารมณ์ไว้กับจิต คุมหรือกำกับจิตไว้กับอารมณ์ ตรึงเอาไว้ไม่ยอมให้ลอยผ่านหรือคลาดกันไป จะเป็นการดึงมาซึ่งอารมณ์ที่ผ่านไปแล้ว หรือดึงไว้ซึ่งอารมณ์ที่ผ่านไปก็ได้ สติจึงมีขอบเขตความหมายคลุมถึง การระลึก นึกถึง นึกไว้ นึกได้ ระลึกได้ ไม่เผลอ


สติ ด้านหนึ่ง แปลกันว่า recall, recollection อีกด้านหนึ่งว่า mindfulness

(จากพุทธธรรมหน้า 19 บ้าง หน้า 764 บ้าง)

ดูลุงสมพรฝึกลิงอีกที

http://www.youtube.com/watch?v=Z9O-Wzvijss


กรัชกาย เขียน:
เชือก เปรียบเสมือนสติสัมปชัญญะ คอยดึง ตรึงจิตไว้กับอารมณ์
สติ มีหน้าที่ดึงอารมณ์มาสู่จิต เหนี่ยวอารมณ์ไว้กับจิต คุมหรือกำกับจิตไว้กับอารมณ์ ตรึงเอาไว้ไม่ยอมให้ลอยผ่านหรือคลาดกันไป จะเป็นการดึงมาซึ่งอารมณ์ที่ผ่านไปแล้ว หรือดึงไว้ซึ่งอารมณ์ที่ผ่านไปก็ได้ สติจึงมีขอบเขตความหมายคลุมถึง การระลึก นึกถึง นึกไว้ นึกได้ ระลึกได้ ไม่เผลอ



เช่นนั้น เขียน:
สติเป็นเครื่องกั้นกระแสในโลก
ซึ่งหมายเอา กระแสแห่งกิเลสตัณหา เป็นหลัก

สติ เป็นตัวสำรวมระวัง
สติ เป็นตัวแห่งความไม่ประมาท
สติ เป็นตัวทำให้จิตระลึกถึงความดี ถึงกุศลได้

พิจารณาใคร่ครวญนะเจ้าค่ะว่าสติในแบบใด ที่ทำให้อัตตากิเลศตัณหาทิฐฐิมานะลดลงได้ :b32:
แต่ถ้าให้คุนน้องบอกจากภาคปฏิบัติของตนก็คงจะเป็นแบบนี้ สติเป็นเครื่อง คอยระลึกให้ระลึก รู้ในสิ่งที่กระทำลงนั้น และสิ่งนั้นผิดหรือถูก คือระลึกได้ทั้งกุศลและอกุศล สติจะรู้ทันและเป็นเครื่องคอยเตือนสติ เมื่อมีเหตุปัจจัยเกิดขึ้น สติจะคอยระลึกให้ไม่ประมาทในขณะๆที่กำลังทำอะไรอยู่ในขณะนั้น สติทำให้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปได้ด้วยดี สติทำให้ระลึกถึงอารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิต แล้วรู้ทันมันในขณะที่เกิดการกระทบจิตขึ้น สติเป้นเหตุให้สำรวมในปัจจุบัณขณะนั้นเมื่อมีสิ่งกระทบเกิดขึ้น

พูดง่ายๆแบบฉบับเฉพาะตนคือ สติคอยคอลโทรลจิต ให้เป็นไปเพื่อ(ย้อนไปดูประโยคสีแดง)
แต่สติไม่ใช่แบบนี้
เชือก (เปรียบเสมือนสติสัมปชัญญะ) คอยดึง ตรึงจิตไว้กับอารมณ์
สติสัมปชัญญะไม่ได้ทำหน้าที่คอยดึง ตรึงจิตไว้กับอารมณ์ แต่สติทำหน้าที่รู้ตัว รู้ชัด รู้อารมณ์ที่เกิด และระลึกถึงเหตุระลึกถึงผลได้ในขณะเดียวกัน


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2014, 08:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาระสำคัญของสติปัฏฐาน


จากใจความย่อของสติปัฏฐาน ....จะเห็นว่า สติปัฏฐาน (รวม ทั้งวิปัสสนาด้วย) ไมใช่หลักการที่จำกัดว่าจะต้องปลีกตัวหลบลี้ไปนั่งปฏิบัติอยู่นอกสังคมหรือ จำเพาะในกาลเวลาใดเวลาหนึ่งโดยเหตุนี้ จึงมีการสนับสนุนให้นำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวันทั่วไป



ว่าโดยสาระสำคัญ สติปัฏฐาน ๔ บอกให้รู้ว่า ชีวิตของเรานี้ มีจุดที่ควรใช้สติคอยกำกับดูแลทั้งหมด เพียง ๔ แห่งเท่านั้นเอง คือ ๑ ร่างกายและพฤติกรรมของมัน ๒ เวทนา คือ ความรู้สึกสุขทุกข์ต่างๆ ๓ ภาวะจิตที่เป็นไปต่างๆ ๔ ความคิดนึกไตร่ตรอง ถ้า ดำเนินชีวิตโดยมีสติคุ้มครอง ณ จุดทั้งสี่แล้ว ก็จะช่วยให้เป็นอยู่อย่างปลอดภัย ไร้ทุกข์ มีความสุขผ่องใส และเป็นปฏิปทานำไปสู่ความรู้แจ้งอริยสัจธรรม

ในเวลาปฏิบัตินั้น ไม่ใช่ใช้สติเพียงอย่างเดียว แต่มีธรรมข้ออื่นๆ ควบอยู่ด้วย

ธรรมที่ไม่บ่งถึงไว้ ก็คือ “สมาธิ” ซึ่งจะมีอยู่ด้วยอย่างน้อยในขั้นอ่อนๆ (เรียกว่าวิปัสสนาสมาธิ อยู่ในระดับระหว่างขณิกสมาธิ กับ อุปจารสมาธิ)

ส่วนธรรมที่ระบุไว้ด้วย ได้แก่

1. อาตาปี = มีความเพียร (ได้แก่ องค์มรรคข้อ 6 คือ สัมมาวายามะ ซึ่งหมายถึงเพียรระวัง และละความชั่ว กับเพียรสร้างและรักษาความดี)

2. สัมปชาโน = มีสัมปชัญญะ (คือ ตัวปัญญา)

3. สติมา = มีสติ (หมายถึง ตัวสตินี้เอง)


ข้อพึงสังเกต คือ สัมปชาโน ซึ่งแปลว่า มีสัมปชัญญะ จะเห็นว่า สัมปชัญญะ คือปัญญานี้ จะเห็นได้ว่า เป็นธรรมที่มักปรากฏควบคู่กับสติ

สำหรับที่นี้คือบอกว่า การฝึกในเรื่องสตินี้ เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการพัฒนาปัญญานั่นเอง


สัมปชัญญะ หรือ ปัญญา ก็ คือ ความรู้ ความเข้าใจ ตระหนักชัดในสิ่งที่สติกำหนดไว้นั้น หรือต่อการกระทำในกรณีนั้นว่า มีความมุ่งหมายอย่างไร สิ่งที่ทำนั้นเป็นอย่างไร พึงปฏิบัติต่อมันอย่างไร และไม่เกิดความหลง หรือความเข้าใจผิด ใดๆ ขึ้นมาในกรณีนั้นๆ


ข้อความต่อท้ายเหมือนๆ กันของทุกข้อที่ว่า มองเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมสิ้นไป แสดงถึงการเข้าใจตามหลักไตรลักษณ์ จากนั้น จึงมีทัศนคติที่เป็นผลเกิดขึ้น คือ การมองและรู้สึกต่อสิ่งเหล่านั้น ตามภาวะของมันเอง เช่นที่ว่า "มีกายอยู่" เป็นต้น ก็หมายถึงรับรู้ความจริงของสิ่งนั้นตามที่เป็นอย่างนั้นของมันเอง โดยไม่เอาความรู้สึกสมมติและยึดมั่นต่างๆ เข้าไปสวมใส่ให้มัน ว่าเป็นคน เป็นตัวตน เป็นเขา เป็นเรา หรือกายของเรา เป็นต้น ท่าทีอย่างนี้ จึงเป็นท่าที่ของความเป็นอิสระ ไม่องอิงอาศัย คือไม่ขึ้นต่อสิ่งนั้นสิ่งนี้ ที่เป็นปัจจัยภายนอกและไม่ยึดมั่นสิ่งต่างๆ ในโลกด้วยตัณหาอุปาทาน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2014, 08:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
เชือก เปรียบเสมือนสติสัมปชัญญะ คอยดึง ตรึงจิตไว้กับอารมณ์
สติ มีหน้าที่ดึงอารมณ์มาสู่จิต เหนี่ยวอารมณ์ไว้กับจิต คุมหรือกำกับจิตไว้กับอารมณ์ ตรึงเอาไว้ไม่ยอมให้ลอยผ่านหรือคลาดกันไป จะเป็นการดึงมาซึ่งอารมณ์ที่ผ่านไปแล้ว หรือดึงไว้ซึ่งอารมณ์ที่ผ่านไปก็ได้ สติจึงมีขอบเขตความหมายคลุมถึง การระลึก นึกถึง นึกไว้ นึกได้ ระลึกได้ ไม่เผลอ

ถ้าใครทำความเข้าใจเรื่องสติแบบนี้ แล้วลงมือภาวนา คุนน้องขอบอกด้วยจิตเมตตา เป็นอันตรายต่อนักปฏิบัติอย่างแรง เพราะอะไรนะหรือ เพราะเรื่องนามธรรมเป็นเรื่องเฉพาะตัว ไม่มีใครไปคาดรู้คาดเดาหยั่งถึงได้ว่าลงมือภาวนาแล้วจะเกิดอะไร ยังไง เอาสติมาตรึงจิตไว้กับอารมณ์ อารมณ์อะไร ยังไงไม่เข้าใจ :b10: เอาสติมาเป็นเชือกมัดอารมร์ เอ๋าว่าไปโน่น แล้วเอาสติไปมัดไปตรึงไประลึก นึกถึงอารมรมณ์อะไร555+
ยกตัวอย่างง่ายๆเลย นั่งภาวนา เห็นผีน่ากลัวมาก เอาสติมาตรึงอารมณ์ไว้กับจิต ขณะนั้นเกิดอารมณ์กลัวผีสุดขีดเพราะอะไร ก็ผัสสะที่ปรากฏในขณะนั้น ดันไปเอาจิตดึงไว้กับอารมณ์กลัว แล้วพี่กรัชกายบอกให้กำหนด กลัวหนอๆๆ ทั้งที่ตายังเห็นผี ก็กำหนดกลัวหนอๆๆ5555 มันจะหายกลัวไหมเจ้าค่ะ มันจะกำหนดรู้ว่ายังไง มันยิ่งจะฟุ้งซ่านความกลัวยิ่งเพิ่มทวีคูณขึ้นไปอีก เพราะไม่เข้าใจเรื่องสติ :b32:


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2014, 08:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อให้เห็นเนื้อความชัดเจนยิ่งขึ้น ขอยกบาลีที่สำคัญมาแปล และแสดงความหมายไว้ โดยย่อ ดังนี้

กาเย กายานุปสฺสี แปลว่า "พิจารณาเห็นกายในกาย" นี้เป็นคำแปลตามแบบที่คุ้นๆกัน ซึ่งต้องระวังความเข้าใจไม่ให้เขว แต่ก็พึงเห็นใจท่านที่พยายามแปลกันมา เพราะบางคำบางข้อความนั้น จะหาถ้อยคำที่สื่อความหมายให้ตรงและชัดได้แสนยาก


ความหมายของข้อ ความนี้ก็คือ มองเห็นโดยรู้เข้าใจทันความจริงทุกขณะหรือตลอดตลอดเวลา เห็นกายในกาย คือ มองเห็นในกายว่าเป็นกาย หมายความว่า มองเห็นกายตามสภาวะซึ่งเป็นที่ประชุมหรือประกอบกันเข้าแห่งส่วนประกอบ คืออวัยวะน้อยใหญ่ต่างๆ เห็นตรงความจริง และเห็นแค่ที่เป็นจริง ไม่ใช่มองเห็นกาย เป็นเขา เป็นเรา เป็นนายนั่นนายนี่ เป็นของฉัน ของคนนั้นคนนี้ หรือในผมในขนในหน้าตา เห็นเป็นชายนั้นหญิงนี้ เป็นต้น


เป็นอันว่า เห็นตรงตามความจริง ตรงตามสภาวะ ให้สิ่งที่ดู ตรงกันกับสิ่งที่เห็น คือ ดูกาย ก็เห็นกาย ไม่ใช่ดูกาย ไพล่ไปเห็นนาย ก. บ้าง


ดูกาย ไพล่ไปเห็นคนชัง บ้าง ดูกาย ไพล่เห็นเป็นของชอบ อยากชม บ้าง เป็นต้น เข้าคติคำของโบราณาจารย์ว่า “สิ่งที่ดู มองไม่เห็น ไพล่ไปเห็นสิ่งที่ไม่ได้ดู เมื่อไม่เห็น ก็หลงติดกับ เมื่อติดอยู่ ก็พ้นไปไม่ได้”

อาตาปี สัมปชาโน สติมา แปลว่า "มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ" ได้แก่ มีสัมมาวายามะ สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสติ ซึ่งเป็นองค์มรรคประจำ 3 ข้อ ที่ต้องใช้ควบไปด้วยกันเสมอ ในการเจริญองค์มรรคทั้งหลายทุกข้อ *


ความเพียรคอยหนุนเร้าจิต ไม่ให้ย่อท้อหดหู่ ไม่ให้รีรอ ล้า หรือถอยหลัง จึงไม่เปิดช่องให้อกุศลธรรมเกิดขึ้น แต่เป็นแรง เร่งให้จิตเดินรุดหน้าไป หนุนให้กุศลธรรมต่างๆ เจริญยิ่งขึ้น


สัมปชัญญะ คือ ปัญญา ที่พิจารณา และรู้เท่าทันอารมณ์ที่สติกำหนด ทำให้ไม่หลงใหลไปได้ และเข้าใจถูกต้องตามสภาวะที่เป็นจริง


สติ คือ การกำหนด หมายตัว คอยจับอารมณ์ไว้ ทำให้ตามทันทุกขณะ ไม่ลืมเลือนเลอะพลาดสับสน

.................

* ข้อความว่า "กายในกาย" นี้ อรรถกถาอธิบายไว้ถึง ๔-๕ นัย โดยเฉพาะชี้ถึงความมุ่งหมาย เช่น ให้กำหนดโดยไม่สับสนกัน คือ ตามดูกายในกาย ไม่ใช่ตามดูเวทนา หรือจิต หรือธรรม ในกาย

อีกอย่างหนึ่งว่า ตามดูกายส่วนย่อย ในกายส่วนใหญ่ คือตามดูกายแต่ละส่วนๆ ในกายที่เป็นส่วนรวมนั้น เป็นการแยกออกดูไปทีละอย่าง จนมองเห็นว่าทั้งหมดนั้นไม่มีอะไร นอกจากเป็นที่รวมของส่วนประกอบย่อยๆ ลงไป ไม่มี นาย ก. นาง ข. เป็นต้น เป็นการวิเคราะห์หน่อยรวมออก หรือคลี่คลายความเป็นกลุ่มก้อน เหมือนกับลอกใบกล้วยและกาบกล้วย ออกจากต้นกล้วย จนไม่เห็นมีต้นกล้วย ดังนี้เป็นต้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2014, 08:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 ก.พ. 2012, 12:27
โพสต์: 2372

แนวปฏิบัติ: ปฏิจจสมุปบาท และกรรมฐาน
งานอดิเรก: สวดมนต์รภาวนา
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


huh อุตส่าเอาภาคปฏิบัติของตนมาให้เทียบกับหลักแล้วนะ เล่นมากางแปะคัดลอกพุทธธรรมมาให้อ่านอีกอีก จะเอาความรู้ประสบการณ์จากภาคปฏิบัติตนมาเป็นวิทยาทาน เป็นธรรมทานแก่กัลยามิตรสหายธรรม กรัชกายไม่ยอมชี้แจงกรณีคุนน้องแต่กางแปะ พุทธรรมอีกแล้ว ปุดโธ่เอ้ย
เด่วเข้าญาณฟ้องพระพุทธองค์เลยนิ :b32:


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2014, 08:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อ


วิเนยฺย โลเก อภิชฺฌาโทมนสฺสํ แปลอย่างสำนวนเก่าว่า กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้ คือปลอดไร้ความยินดียินร้ายชอบชัง หมายความว่า เมื่อปฏิบัติเช่นนี้ จิตใจก็จะปลอดโปร่งผ่องใส ไม่มีทั้งความติดใจอยากได้ และ ความขัดใจเสียใจ เข้ามาครอบงำรบกวน


อตฺถิ กาโยติ วา ปนสฺส สติ ปจฺจุปฏฺฐิตา โหติ ยาวเทว ญาณมตฺตาย ปฏิสฺสติมตฺตาย แปลว่า เธอมีสติดำรงตรงหน้า หรือมีสติพร้อมหน้ากับความรู้ว่า "กายมีอยู่" หรือมีกายเป็นกาย เพียงเพื่อเป็นความรู้ และแค่สำหรับระลึกเท่านั้น คือ มีสติตรงชัดต่อความจริงว่า แค่ที่ว่า มีกายเป็นกาย ไม่ใช่เลยไปเป็นสัตว์ บุคคล หญิง ชาย ตัวตน ของตน ของเขา ของใคร เป็นต้น ทั้งนี้เพียงเพื่อเป็นความรู้ และสำหรับใช้ระลึก คือ เพื่อเจริญสติสัมปชัญญะ หรือ เพื่อให้สติปัญญาเจริญเพิ่มพูน มิใช่เพื่อจะคิดฟุ้งเฟ้อละเมอฝัน ปรุง แต่งฟ่ามเฝือไป


แม้ในเวทนา ในจิต และในธรรม ก็พึงเข้าใจอย่างเดียวกันนี้


อนิสฺสิโต จ วิหรติ แปลว่า และเธอเป็นอยู่ไม่อิงอาศัย คือ มีใจเป็นอิสระ ไม่ขึ้น ต่อสิ่งใด ไม่ต้องเอาใจไปฝากไว้กับสิ่งนั้นสิ่งนี้ บุคคลนั้นบุคคลนี้ เป็นต้น ว่าตามหลัก คือ ไม่ต้องเอาตัณหาและทิฐิเป็นที่อิง อาศัย หรือ ไม่ต้องขึ้นต่อตัณหาและทิฐินั้น เช่น เมื่อรับรู้ประสบการณ์ต่างๆ ก็ รับรู้โดยตรงตามที่สิ่งนั้นๆ เป็นอยู่ ไม่ต้องอิงอาศัยตัณหา และทิฐิมาช่วยวาดภาพ ระบายสี เสริมแต่ง และกล่อมให้เคลิ้มไป ต่างๆ โดยฝากความคิดนึก จินตนาการ และสุขทุกข์ไว้กับตัณหาและทิฐินั้น เป็นต้น


น จ กิญฺจิ โลเก อุปาทิยติ แปลว่า อีกทั้งไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก คือ ไม่ยึดติดถือมั่นสิ่งใดๆ ไม่ว่า จะเป็นรูป หรือเวทนา หรือสัญญา หรือสังขาร

หรือวิญญาณว่า เป็นอัตตา หรืออัตตนียา เช่นว่า เป็นตัวตน เป็นของตน เป็นต้น


อชฺฌตฺตํ วา...พหิทฺธา วา...แปลว่า...ภายในบ้าง...ภายนอกบ้าง ข้อความนี้ อาจารย์หลายท่านอธิบายกันไปต่างๆ


แต่มติของอรรถกถาทั้งหลายลงกันว่า "ภายใน" หมายถึง ของตนเอง "ภายนอก" คือ ของผู้อื่น มติของอรรถกถานี้ สอดคล้องกับบาลีแห่งพระอภิธรรม ปิฎก ซึ่งขยายความไว้ชัดแจ้ง เช่นว่า


"ภิกษุตามเห็นจิตใน จิต ภายนอก อยู่อย่างไร ? ในข้อนี้ ภิกษุ เมื่อจิตของผู้นั้น มีราคะ ก็รู้ชัดว่า จิตของผู้นั้นมีราคะ ฯลฯ"


บางท่านอาจสงสัยว่า ควรหรือที่จะเที่ยวสอดแทรกตามสืบดูความเป็นไปในกายใจของคนอื่น และจะรู้ตามเป็นจริงได้อย่างไร


เรื่อง นี้ขอให้เข้าใจเพียงง่ายๆว่า ท่านมุ่งให้เราใช้สติกับสิ่งทั้งหลายทุกอย่างที่เราเข้าไปเกี่ยวข้อง และกำหนดรู้เพียงแค่ที่มันเป็น


เป็นการแน่นอนว่า ในชีวิตประจำวัน เราจะต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่นๆ เมื่อเราเกี่ยวข้องกับเขา ก็พึงเกี่ยวข้องโดยมีสติ รู้เขาตามที่เขาเป็น และตามที่ประจักษ์แก่ เราเท่านั้น คือ รู้ตรงไปตรงมา แค่ที่รู้เห็นเกี่ยวข้องแค่ไหนก็แค่นั้น (ถ้ามีญาณหยั่งรู้จิตใจของเขา ก็รู้ตรงไปตรงมาเท่าที่ญาณนั้นรู้ ถ้าไม่มีญาณ ก็ไม่ต้องไปสอดรู้) จะได้ไม่คิดปรุงแต่งวุ่นวายไปเกี่ยวกับคน อื่น ทำให้เกิดราคะบ้าง โทสะบ้าง เป็นต้น ถ้าไม่รู้ หรือ ไม่ได้เกี่ยวข้องก็แล้วไป มิได้หมายความว่า จะให้คอยสืบสอดตามดูพฤติการณ์ทางกายใจของผู้อื่นแต่ประการใด


ในทางตรงข้าม เวลาไปพูดกับคนอื่น เขามีอาการโกรธ ก็ไม่รู้ว่าเขาโกรธ แล้วจะมาบอกว่าปฏิบัติสติ-ปัฏฐานได้อย่างไร และสติปัฏฐานจะใช้ในชีวิตจริงได้อย่างไร


อาจพูดสรุปได้แนวหนึ่งว่า การเจริญสติปัฏฐาน คือการเป็นอยู่ด้วยสติสัมปชัญญะ ซึ่งทำให้ภาพตัวตนที่จิตอวิชชาปั้นแต่ง ไม่มีชองที่จะแทรกตัวเข้ามาในความคิดแล้วก่อปัญหาขึ้นได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2014, 08:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คิกๆๆๆ ต่อ


สติในฐานะความไม่ประมาท


สติ แปลกันง่ายๆว่า ความระลึกได้ เมื่อแปลอย่างนี้ ทำให้นึกเพ่งความหมายไปในแง่ของความจำ ซึ่งก็เป็นการถูกต้องในด้านหนึ่ง แต่อาจไม่เต็มความหมายหลักที่เป็นจุดมุ่งสำคัญก็ได้ เพราะถ้าพูดในแง่ปฏิเสธ สติ นอกจากหมายถึงความไม่ลืม ซึ่งตรงกับความหมายในทางอนุมัติข้างต้น ที่ว่าความระลึกได้แล้ว ยังหมายถึงความไม่เผลอ ไม่เลินเล่อ ไม่ฟั่นเืฟือน ไม่เลื่อนลอยด้วย พูดง่ายๆ ว่า ใจอยู่ ไม่ใจหาย ไม่ใจลอย


ความหมายของสติ ในแง่ปฏิเสธเหล่านี้ เล็งไปถึงความหมายในเชิงอนุมัติว่า ความระมัดระวัง ความตื่นตัวต่อหน้าที่ ความมีใจพร้อมอยู่ ใจอยู่กับกิจ จิตอยู่กังสิ่งที่ทำ ภาวะที่พร้อมอยู่เสมอในอาการคอยรับรู้ต่อสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และตระหนักว่า ควรปฏิบัติต่อสิ่งนั้นๆ อย่างไร ซึ่งทำให้เกิดเป็นการดูแล รักษา คุ้มครองไว้ได้


การ ทำหน้าที่ของสติ มักถูกเปรียบเทียบเหมือนกับนายประตู ที่คอยระวัง เฝ้าดูคนเข้าออกอยู่เสมอ และคอยกำกับการ โดยปล่อยคนที่ควรเข้าออกให้เข้าออกได้ และคอยกันห้ามคนที่ไม่ควรเข้า ไม่ให้เข้าไป คนที่ไม่ควรออก ไม่ให้ออกไป สติจึงเป็นธรรมที่สำคัญในทางจริยธรรมเป็น อย่างมาก เพราะเป็นตัวควบคุมการปฏิบัติหน้าที่ และเป็นตัวคอยป้องกันยับยั้งตนเอง ทั้งที่จะไม่ให้หลงเพลินไปตามความชั่ว และที่จะไม่ให้ความชั่วเล็ดลอดเข้าไปในจิตใจได้ พูดง่ายๆว่า ที่จะเตือนตน ในการทำความดี และไม่เปิดโอกาสแก่ความชั่ว



พุทธธรรมเน้นความสำคัญของสติเป็นอย่างมากในการปฏิบัติจริยธรรมทุกขั้น การดำเนินชีวิต หรือการประพฤติปฏิบัติโดยมีสติกำกับอยู่เสมอนั้นมีชื่อเรียกโดยเฉพาะว่า “อัปปมาท” หรือ ความไม่ประมาท



อัปปมาทนี้ เป็นหลักธรรมสำคัญยิ่งสำหรับความก้าวหน้าในระบบจริยธรรม มีความหมายหลักเหมือนเป็นคำจำกัดความว่า การเป็นอยู่โดยไม่ขาดสติ

การปฏิบัติตามแนวสติปัฏฐานนี้ นัก ศึกษาฝ่ายตะวันตกบางท่าน นำไปเปรียบเทียบกับวิธีการแบบจิตวิเคราะห์ ของจิตแพทย์ (Psychiatrist) สมัยปัจจุบัน และประเมินคุณค่าว่า

สติปัฏฐานได้ผลดีกว่า และใช้ประโยชน์ได้กว้างขวางกว่า เพราะทุกคนสามารถปฏิบัติได้เอง และ ใช้ในยามปรกติเพื่อความมีสุขภาพจิตที่ดีได้ด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2014, 08:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บทบาทของสติในกระบวนการพัฒนาปัญญา หรือการกำจัดอาสวกิเลส



อัปปมาท คือความไม่ประมาทนั้น หมายถึงการมีชีวิตอยู่อย่างไม่ขาดสติ หรือการใช้สติอยู่เสมอ ในการครองชีวิต อัปปมาท เป็นตัวการทำให้ระมัดระวังตัว ป้องกันไม่ให้พลาดตกไปในทางชั่วหรือเสื่อม คอยยับยั้งเตือนไม่ให้เพลิดเพลินมัวเมาลุ่มหลงสยบอยู่ คอยกระตุ้น ไม่ให้หยุดอยู่กับที่ และคอยเร่งเร้าให้ขะมักเขม้น ที่จะเดินรุดหน้าอยู่เรื่อยไป ทำให้สำนึกในหน้าที่อยู่เสมอ โดยตระหนักถึงสิ่งที่ควรทำ และไม่ควรทำ ทำแล้วและยังมิได้ทำ และช่วยให้ทำการต่างๆ ด้วยความรอบคอบ จึงเป็นองค์ธรรมสำคัญยิ่งในระบบจริยธรรม ดังได้กล่าวแล้ว


อย่างไรก็ดี ความสำคัญของอัปปมาทนั้น เห็นได้ว่าเป็นเรื่องจริยธรรมในวงกว้าง เกี่ยวกับความประพฤติปฏิบัติทั่วๆไปของชีวิต กำหนดคร่าวๆตั้งแต่ระดับ ศีล ถึง สมาธิ ในระดับนี้ สติทำหน้าที่แทรกแซงพัวพัน และพ่วงกันไปกับองค์ธรรมอื่นๆ เป็นอันมาก โดยเฉพาะจะมีวายามะหรือความเพียรควบอยู่ด้วยเสมอ


ครั้นจำกัดการพิจารณาแคบเข้ามา กล่าวเฉพาะการดำเนินของจิต ในกระบวนการพัฒนาปัญญา หรือการใช้ปัญญาเข้าชำระล้างภายในดวงจิต อัปปมาท ก็กลายเป็นตัววิ่งเต้น ที่คอยเร่งเร้าอยู่ในวงนอก



เมื่อ ถึงขั้นนี้ การพิจารณาจึงจำกัดวงขอบเขตจำเพาะเข้ามา เป็นเรื่องกระบวนการทำงานในจิตใจ และแยกแยะรายละเอียดซอยถี่ออกวิเคราะห์เป็นขณะๆในระดับนี้เอง ที่สติ ทำหน้าที่ของมันอย่างเต็มที่ และเด่นชัด กลายเป็นตัวแสดงที่มีบทบาทสำคัญ ที่เรียกโดยชื่อของมันเอง (ตัวอย่าง เช่น สติปัฏฐาน สตินทรีย์ สติพละ สติสัมโพชฌงค์ พุทธานุสติ กายคตาสติ...)


ความ หมายที่แท้จำเพาะตัวของสติ อาจเข้าใจได้จากการพิจารณาการปฏิบัติหน้าที่ของสติ ในกรณีที่มีบทบาทของมันเอง แยกจากองค์ธรรมอื่นๆอย่างเด่นชัด เช่นในข้อปฏิบัติที่เรียกว่า สติปัฏฐาน เป็นต้น


ในกรณีเช่นนี้ พอจะสรุปการปฏิบัติหน้าที่ของ สติ ได้ดังนี้


ลักษณะการทำงานโดยทั่วไปของสตินั้น คือ การไม่ปล่อยใจให้เลื่อนลอย ไม่ปล่อยอารมณ์ให้ผ่านเรื่อยเปื่อยไป หรือไม่ปล่อยให้ความนึกคิดฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ แต่คอยเฝ้าระวัง เหมือนจับตาดูอารมณ์ที่ผ่านมาแต่ละอย่าง มุ่งหน้าเข้าหาอารมณ์นั้นๆ เมื่อต้องการกำหนดอารมณ์ใดแล้ว ก็เข้าจับดูติดๆไป ไม่ยอมให้คลาดหายคือนึกถึง หรือระลึกไว้เสมอ ไม่ยอมให้หลงลืม



มี คำเปรียบเทียบว่า เหมือนเสาหลัก เพราะปักแน่นในอารมณ์ หรือเหมือนนายประตู เพราะเฝ้าอายตนะต่างๆที่เป็นทางรับอารมณ์ตรวจดูอารมณ์ที่ผ่านเข้ามาๆ ปทัฏฐาน หรือ เหตุใกล้ชิดที่จะให้เกิดสติ ก็คือ สัญญา ที่มั่นคง หรือสติปัฏฐานต่างๆที่จะกล่าวต่อไป


พิจารณาในแง่จริยธรรม จ ะมองเห็นการปฏิบัติหน้าที่ของสติได้ทั้งในแง่ปฏิเสธ (negative) และในแง่อนุมัติ (positive)


ในแง่ปฏิเสธ สติเป็น ตัวป้องกัน ยับยั้งจิตไม่ให้ฟุ้งซ่าน ไม่ให้ก้าวพลาด ไม่ให้ถลำลงไปในธรรมที่ไม่พึงประสงค์ ไม่ยอมให้ความชั่วได้โอกาสเกิดขึ้นในจิต และไม่ยอมให้ใช้ความคิดผิดทาง


ในแง่อนุมัติ สติเป็น ตัวควบคุมตรวจตรากระแสการรับรู้ ความนึกคิด และพฤติกรรมทุกอย่าง ที่อยู่ในแนวทางที่ต้องการ คอยกำกับจิตไว้กับอารมณ์ที่ต้องการ และจึงเป็นเครื่องมือสำหรับยึด หรือเกาะกุมอารมณ์อย่างใดๆ ดุจเอาวางไว้ข้างหน้าจิต เพื่อพิจารณาจัดการ อย่างใดอย่างหนึ่งต่อไป


ใน ทางปฏิบัติของพุทธธรรม เน้นความสำคัญของสติมาก อย่างที่กล่าวว่า สติจำปรารถนา (คือ ต้องนำมาใช้) ในกรณีทั้งปวง เป็นทั้งตัวการเหนี่ยวรั้งปรามจิต และหนุนประคองจิต ตามควรแก่กรณี

เมื่อนำลักษณะการทำหน้าที่ของสติ ที่กล่าวแล้วนั้นมาพิจารณาประกอบ จะมองเห็นประโยชน์ที่มุ่งหมายของการปฏิบัติฝึกฝนในเรื่องสติ ดังนี้


1. ควบคุมรักษาสภาพจิตให้อยู่ในภาวะที่ต้องการ โดยตรวจตรากระบวนการรับรู้ และกระแสความคิดเลือกรับสิ่งที่ต้องการ กันออกไปซึ่งสิ่งที่ไม่ต้องการ ตรึงกระแสความคิด ให้นิ่งเข้าที่ และทำให้จิตเป็นสมาธิได้ง่าย


2. ทำให้ร่างกายและจิตใจ อยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่า เป็นตัวของตัวเอง เพราะมีความโปร่งเบา ผ่อนคลาย เป็นสุขโดยสภาพของมันเอง พร้อมที่จะเผชิญความเป็นไปต่างๆ และจัดการกับสิ่งทั้งหลายในโลกอย่างได้ผลดี


3. ในภาวะจิตที่เป็นสมาธิ อาจใช้สติเหนี่ยวนำกระบวนการรับรู้ และกระแสความคิด ทำขอบเขตการรับรู้และความคิดให้ขยายออกไป โดยมิติต่างๆ หรือให้เป็นไปต่างๆได้


4. โดยการยึด หรือจับเอาอารมณ์ที่เป็นวัตถุแห่งการพิจารณา วางไว้ต่อหน้า จึงทำให้การพิจารณาสืบค้นด้วยปัญญา ดำเนินไปได้ชัดเจนเต็มที่ เท่าที่เป็นพื้นฐานในการสร้างเสริมปัญญาให้ เจริญบริบูรณ์


5. ชำระพฤติกรรมต่างๆ ทุกอย่าง (ทั้ง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม) ให้บริสุทธิ์ อิสระ ไม่เกลือกกลั้วหรือเป็นไปด้วยอำนาจตัณหา อุปาทาน และร่วมกับสัมปชัญญะ ทำให้พฤติกรรมเหล่านั้นเป็นไปด้วยปัญญา หรือเหตุผลบริสุทธิ์ล้วนๆ


ประโยชน์ข้อที่ 4 และ 5 นับว่าเป็นจุดหมายขั้นสูง จะเข้าถึงได้ด้วยวิธีปฏิบัติที่กำหนดไว้เป็นพิเศษ ซึ่งตามคำจำกัดความในข้อสัมมาสตินี้ ก็ได้แก่ สติปัฏฐาน 4

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2014, 08:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำให้ถูกต้องเถอะกิเลสจะค่อยๆหมดไปเองตามนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 24 พ.ค. 2014, 08:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เหตุใด สติที่ตามทันขณะปัจจุบัน จึงเป็นหลักสำคัญของวิปัสสนา


กิจกรรมสามัญที่สุดของทุกๆคน ซึ่งเป็นไปอยู่ตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน ก็คือ การรับรู้อารมณ์ต่างๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ


เมื่อ มีการรับรู้ ก็มีความรู้สึกพร้อมไปด้วย คือ สุขสบายบ้าง ทุกข์ระคายเจ็บปวด ไม่สบายบ้าง เฉยๆ บ้าง เมื่อมีความรู้สึกสุขทุกข์ ก็มีปฏิกิริยาเกิดขึ้นในใจด้วย คือ ถ้าสุขสบายที่สิ่งใด ก็ชอบใจติดใจสิ่งนั้น ถ้าไม่สบายได้ทุกข์ที่สิ่งใด ก็ขัดใจไม่ชอบสิ่งนั้น เมื่อชอบ ก็อยากรับรู้อีก อยากเสพซ้ำ หรืออยากได้ อยากเอา เมื่อไม่ชอบ ก็เลี่ยงหนี หรืออยากกำจัด อยากทำลาย


กระบวน การดังกล่าวนี้ ดำเนินไปอยู่ตลอดเวลา มีทั้งอย่างแผ่วๆ ที่ผ่านไปโดยไม่ได้สังเกต และที่แรงเข้มสังเกตได้เด่นชัด มีผลต่อจิตใจอย่างชัดเจน และสืบเนื่องไปนาน ส่วนใดแรงเข้ม หรือสะดุดชัด ก็มักชักให้มีความคิดปรุงแต่งยึดเยื้อเยิ่นเย้อออกไป ถ้าไม่สิ้นสุดทีในใจ ก็ผลักดันให้แสดงออกมาเป็นการพูด การกระทำต่างๆ ทั้งน้อยและใหญ่


ชีวิตของบุคคล บทบาทของเขาในโลก และการกระทำต่อกันระหว่างมนุษย์ ย่อมสืบเนื่องออกมาจากกระบวนธรรมน้อยๆ ที่เป็นไปในชีวิตแต่ละขณะๆ นี้เป็นสำคัญ


ในทางปัญญา การปล่อยจิตใจให้เป็นไปตามระบวนธรรมข้างต้นนั้น คือ เมื่อรับรู้แล้ว รู้สึกสุขสบาย ก็ชอบใจ ติดใจ เมื่อรับรู้แล้ว รู้สึกทุกข์ ไม่สบายก็ขัดใจ ไม่ชอบใจ ข้อนี้ จะเป็นเครื่องกีดกั้นปิดบังทำให้ไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่มองเห็นสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง หรือตามสภาวะที่แท้ของมัน ทั้งนี้เพราะจิตใจที่เป็นไปเช่นนั้น จะมีสภาพต่อไปนี้


- ข้องอยู่ที่ความชอบใจ หรือความขัดใจ ตกอยู่ในอำนาจของความติดใจ หรือขัดใจนั้น ถูกความชอบใจ หรือความไม่ชอบใจนั้นเคลือบคลุม ทำให้มองเห็นเอนเอียงไปอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ตรงตามที่มันเป็นจริง


- ตกอดีต หรือลอยอนาคต กล่าวคือ เมื่อคนรับรู้แล้ว เกิดความชอบใจหรือไม่ชอบใจ จิตของเขาจะข้องหรือขัด ณ ส่วน หรือจุด หรือแง่ ที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจ ของอารมณ์นั้น และจับเอาภาพของอารมณ์นั้น ณ จุด หรือส่วน หรือแง่ ที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจนั้น เก็บค้างไว้ หรือเอาไปทะนุถนอม และคิดปรุงแต่งหรือฝันฟ่ามต่อไป


การข้องอยู่ ที่ส่วนใดก็ตาม ซึ่งชอบใจหรือไม่ชอบใจ และการจับอยู่กับภาพของสิ่งนั้นซึงปรากฏอยู่ในใจของตน คือการเลื่อนไหลลงสู่อดีต การคิดปรุงแต่งต่อไปเกี่ยวกับสิ่งนั้น คือการเลื่อนลอยไปในอนาคต

ความรู้ความเข้าใจของเขา เกี่ยวกับสิ่งนั้น ก็คือภาพของสิ่งนั้น ณ จุด หรือตอน ที่ชอบใจ หรือไม่ชอบใจ หรือซึ่งเขาได้คิดปรุงแต่งต่อไปแล้ว ไม่ใช่สิ่งนั้น ตามที่มันเป็นของมันเอง ในขณะนั้นๆ


- ตกอยู่ในอำนาจคิดปรุงแต่ง จึงแปลความหมายของสิ่งที่รับรู้ หรือประสบการณ์นั้นๆ ไป ตามแนวทางของภูมิหลัง หรือความเคยชินที่ได้สั่งสมไว้ เช่นค่านิยม ทัศนคติ หรือทิฐิ ที่ตนยึดถือนิยมเชิดชูเรียกว่าจิตตกอยู่ในภาวะถูกปรุงแต่ง ไม่อาจมองอย่างเป็นกลางให้เห็นประสบการณ์ล้วนๆ ตามที่มันเป็น



- นอกจากถูกปรุงแต่งแล้ว ก็จะนำเอาภาพปรุงแต่งของประสบการณ์ใหม่นั้น เข้าไปร่วมในการปรุงแต่งต่อไปอีก เป็นการเสริมซ้ำการสั่งสมนิสัยความเคยชินของจิตให้แน่นหนายิ่งขึ้น


ความ เป็นเช่นนี้ มิใช่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องหยาบๆ ตื้นๆในการดำเนินชีวิต และทำกิจการทั่วไปเท่านั้น แต่ท่านมุ่งเน้นกระบวนของจิตในระดับละเอียดลึกซึ้ง ที่ทำให้ปุถุชนมองเห็นสิ่งทั้งหลายเป็นของคงที่ เป็นชิ้น เป็นอัน มีสวยงาม น่าเกลียด ติดในสมมติต่างๆ ไม่เห็นความเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ดำเนินอยู่ตลอดเวลา


อย่างไรก็ ดี กระบวนการเช่นนี้ เป็นความเคยชิน หรือนิสัยของจิต ที่คนทั่วไปได้สั่งสมกันมาคนละนานๆเกือบจะว่าตั้งแต่เกิดทีเดียว ๒๐-๓๐ ปีบ้าง ๔๐-๕๐ ปีบ้าง เกินกว่านั้นบ้าง และไม่เคยหัดตัดวงจรลบกระบวนกันมาเลย การจัดการแก้ไขจึงมิใช่จะทำได้ง่ายนัก ในทันทีทีรับรู้อารมณ์ หรือมีประสบการณ์ ยังไม่ทันตั้งตัวที่จะยั้งกระบวน จิตก็แล่นไปตามความเคยชินของมันเสียก่อน


ดังนั้น การแก้ไขในเรื่องนี้ จึงมิใช่จะเพียงตัดวงจรล้างกระบวนธรรมนั้นลงเท่านั้น แต่จะต้องแก้ไขความเคยชิน หรือนิสัยทีไหลแรงไปข้างเดียวของจิตอีกด้วย


องค์ธรรมสำคัญ ที่จะใช้เป็นตัวเบิกทาง และเป็นหลักรวมพลทั้งสองกรณีนั้น ก็คือ สติ การปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐานก็มีวัตถุประสงค์อย่างนี้ กล่าวคือเมื่อมีสติตามทันขณะปัจจุบัน และมองดูสิ่งนั้นๆ ตามที่มันเป็นอยู่ในขณะนั้นๆตลอด เวลา ย่อมสามารถตัดวงจรทำลายกระบวนธรรมฝ่ายอกุศลลงได้ด้วย ค่อยๆแก้ไขความเคยชินเก่าๆ พร้อมกับสร้างแนวนิสัยใหม่ให้แก่จิตได้ด้วย


จิตที่มีสติช่วยกำกับให้ตามทันอยู่กับขณะปัจจุบัน จะมีสภาพตรงข้ามกับจิตที่เป็นไปตามกระบวนธรรมข้างต้น คือ


- ความชอบใจ หรือขัดใจ ไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลย เพราะการที่จะชอบใจ หรือขัดใจ จิตจะต้องข้องขัดอยู่ ณ จุด หรือส่วนใดส่วนหนึ่ง และชะงักค้างอยู่ คือตกลงในอดีต


- ไม่เลื่อนไหลลงไปในอดีต ไม่เลื่อนลอยไปในอนาคต ความชอบใจ ไม่ชอบใจกับการตกอดีต เป็นอาการที่เป็นไปด้วยกัน เมื่อไม่ติดไม่ข้องไม่ค้างอยู่ ตามดูทันอยู่กับสภาวะ ที่กำลังเป็นไปอยู่ การตกอดีต ลอยอนาคตก็ไม่มี


-ไม่ถูกความคิดปรุงแต่งเนื่องด้วยภูมิหลังที่ ได้สั่งสมไว้ ชักจูงให้แปลประสบการณ์ หรือสิ่งที่รับรู้ให้เอนเอียงบิดเบือน หรือย้อมสี ไปตามอำนาจของมัน พร้อมที่จะมองไปตามสภาวะของสิ่งนั้นๆ


-ไม่ปรุงแต่งเสริมซ้ำหรือเพิ่มกำลังแก่ความเคยชินผิดๆที่จิตได้สั่งสมเรื่อยมา


-เมื่อ ตามรู้ดูทันทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันทุกขณะ ก็ย่อมได้รู้เห็นสภาพจิตนิสัย เป็นต้น ของตนเอง ที่ไม่พึงปรารถนา หรือที่ตนเองไม่ยอมรับปรากฏออกมาด้วย ทำให้ได้รับรู้สู้หน้าเผชิญสภาพที่เป็นจริงของตนเอง ตามที่มันเป็น ไม่เลี่ยงหนี ไม่หลอกลงตนเอง และทำให้สามารถชำระล้างกิเลสเหล่านั้น แก้ปัญหาในตนเองได้ด้วย


นอกจากนั้นในด้านคุณภาพจิตก็จะบริสุทธิ์ผ่องใสโปร่งเบิกบานเป็นอิสระไม่ถูกบีบจำกัดให้คับแคบและไม่ถูกเคลือบคลุมให้หมองมัว


สิ่งทั้งหลายตั้งอยู่ตามสภาพของมัน และเป็นไปตามธรรมดาของมัน พูดเป็นภาพพจน์ว่า ความจริงเปิดเผยตัวเองอยู่ตลอดเวลา แต่มนุษย์ปิดบังตนเองจากมัน หรือไม่ก็มองภาพของมันบิดเบือนไป หรือไม่ก็ถึงกับหลอกลวงตัวของมนุษย์เอง ตัวการที่ปิดบังบิดเบือน หรือหลอกลวงก็คือการตกลงไปในกระแสของกระบวนธรรมดังได้กล่าวข้างต้น เครื่องปิดบังบิดเบือน หรือหลอกก็มีอยู่แล้ว ยิ่งความเคยชินคอยชักลากให้เขวไปเสียอีกโอกาสที่จะรู้ความจริงก็แทบไม่มี


ในเมื่อความ เคยชินหรือติดนิสัยนี้มนุษย์ได้สั่งสมต่อเนื่องกันมานานนักหนาการปฏิบัติ เพื่อแก้ไขและสร้างนิสัยใหม่ก็ควรจะต้องอาศัยเวลามากเช่นเดียวกัน


เมื่อใด สติตามทัน ทำงานสม่ำเสมอต่อเนื่องอย่างชำนาญ คนไม่ปิดบังตัวเองไม่บิดเบือนภาพที่มองและพ้นจากอำนาจความเคยชิน หรือนิสัยเก่าของจิตแล้ว เมื่อนั้น ก็พร้อมที่จะมองเห็นสิ่งทั้งหลายตามสภาวะของมัน และรู้เข้าใจความจริง



ถึงตอนนี้ ถ้าอินทรีย์อื่นๆโดยเฉพาะปัญญาแก่กล้าพร้อมดีอยู่แล้ว ก็จะร่วมงานโดยอาศัยสติคอยเปิดทางให้ทำงานได้เต็มที่ ทำให้เกิดญาณทัศนะความหยั่งรู้หยั่งเห็นตามเป็นจริง ที่เป็นจุดหมายของวิปัสสนา


แต่การที่ปัญญินทรีย์ เป็นต้น จะพร้อมหรือแก่กล้าได้นั้น ย่อมอาศัยการฝึกฝนอบรมมาโดยลำดับ รวมทั้งเล่าเรียนสดับในเบื้องต้นด้วย การเล่าเรียนสดับฟัง และการคิดเหตุผล เป็นต้น จึงมีส่วนเกื้อกูลแก่การรู้แจ้งสัจธรรมได้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 82 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร