วันเวลาปัจจุบัน 21 ก.ค. 2025, 21:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 288 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14 ... 20  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2014, 21:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
บอกความหมายศัพท์ก่อน จะดูว่า เช่นนั้น เข้าใจความหมายศัพท์เขายังไง :b1:

เช่นนั้นจำเป็นต้องเปิดปทานุกรมคำศัพท์ ให้กรัชกายหรือไม่ครับ



เอาตามที่เช่นนั้นเข้าใจ แล้วนำมาพูดครับ เข้าใจยังไงก็พูดยังงั้น
ว่าไป

สติ

สัมปชัญญะ

สมาธิ

นาม

รูป

สภาวธรรม

ปัญญา

อารมณ์


แยกเอาจากข้อความที่เรียบเรียงสวยๆข้างบนนั่นเอง


เสียเวลา โยกโย้ ครับกรัชกาย
กรัชกาย ไม่เข้าใจสภาวะธรรมของแม่นางคนนั้น ก็ยอมรับมาเถอะครับ



เช่นนั้น เข้าใจความหมายศัพท์บาลีที่นำมานั่นไหม :b32:



นกแก้วนกขุนทอง พูดภาษาคนได้ แต่หารู้ความหมายนั่นไม่ เหมือนเช่นนั้น :b12:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2014, 21:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
นกแก้วนกขุนทอง พูดภาษาคนได้ แต่หารู้ความหมายนั่นไม่ เหมือนเช่นนั้น :b12:

ปัญหาของกระทู้นี้ อยู่ที่ ถามผู้รู้ผู้ปฏิบัติ

ถ้าผู้รู้ผู้ปฏิบัติ ไม่เข้าใจสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้อง ก็ไม่ควรจะให้คำแนะนำใดๆ ต่อผู้ถาม
เข้าใจไหมครับ กรัชกาย

กรัชกายไม่รู้จริงต่อสิ่งที่แม่นางคนนั้นเล่า
กรัชกายเห็นผิดไปจากความจริง โดยคิดเองว่า สภาวะธรรมที่เรียกว่า สมาธิ สติ ปัญญา มีแก่แม่นางคนนั้น
โดยที่ความเป็นจริงแล้ว ไม่มี

นี่ก็แสดงว่า กรัชกาย ไม่รู้จักสิ่งที่กรัชกาย เขียนออกมา
มีแต่ความเห็นที่เลื่อนลอย

และตัวอย่างที่เห็นชัดอีกตัวอย่างหนึ่ง คือ เดี๋ยวก็บอกว่าสวย เดี่ยวก็บอกว่า ไม่สวย เป็นต้น

เมื่อกรัชกายถูกถามถึงความจริง เกี่ยวกับความรู้ต่อสภาวะที่เกิดขึ้นของแม่นางนั้น
ก็เฉไฉ ไปนอกเรื่องโดยพยายามให้คู่สนทนาอธิบายคำศัพท์

กรัชกาย ตั้งกระทู้ขึ้นมาเพื่อสิ่งไร

การตอบปัญหาถึงการแก้ไขให้บุคคลอื่น
ต้องย้อนมาดูตนเองเสียก่อนว่า พร้อมหรือไม่พร้อม

เช่นนั้น จึงถามกรัชกายอันดับแรกเลยว่า กรัชกายเข้าใจอย่างไรต่อสิ่งที่แม่นางนั้นเล่าออกมา
ถ้ากรัชกาย เห็นถูกต้องตามข้อปฏิบัติที่พระพุทธองค์สอนไว้
กรัชกายก็ควรแล้วที่จะแนะนำ แม่นางนั้นต่อไป

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2014, 22:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เข้าใจความหมายศัพท์บาลีที่นำมานั่นไหม :b32:

กรัชกาย เข้าใจสภาวะธรรมที่เกิดขึ้น ขณะนั้นของแม่นางอย่างถูกต้องไหม



สภาวธรรม หมายถึงอะไรยังไง ตามนิยามของเช่นนั้น :b1:



หลบคำพูดตนเอง ที่ถามนี่ไปอีก คิกๆๆ

สภาวธรรม เช่นนั้นเข้าใจว่าอะไร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2014, 22:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เข้าใจความหมายศัพท์บาลีที่นำมานั่นไหม :b32:

กรัชกาย เข้าใจสภาวะธรรมที่เกิดขึ้น ขณะนั้นของแม่นางอย่างถูกต้องไหม



สภาวธรรม หมายถึงอะไรยังไง ตามนิยามของเช่นนั้น :b1:



หลบคำพูดตนเอง ที่ถามนี่ไปอีก คิกๆๆ

สภาวธรรม เช่นนั้นเข้าใจว่าอะไร


ไม่จำเป็นต้องหลบ ครับ
กรัชกาย หลบการยอมรับหรือเปล่าครับว่า
เห็นผิดไปต่อสภาวะธรรมที่ปรากฏของ แม่นางนั้น

แม่นางนั้น ไม่มีสติไม่มีสมาธิ แต่ฟุ้งไปกับนามรูป จริงไหมครับ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2014, 22:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เข้าใจความหมายศัพท์บาลีที่นำมานั่นไหม :b32:

กรัชกาย เข้าใจสภาวะธรรมที่เกิดขึ้น ขณะนั้นของแม่นางอย่างถูกต้องไหม



สภาวธรรม หมายถึงอะไรยังไง ตามนิยามของเช่นนั้น :b1:



หลบคำพูดตนเอง ที่ถามนี่ไปอีก คิกๆๆ

สภาวธรรม เช่นนั้นเข้าใจว่าอะไร


ไม่จำเป็นต้องหลบ ครับ
กรัชกาย หลบการยอมรับหรือเปล่าครับว่า
เห็นผิดไปต่อสภาวะธรรมที่ปรากฏของ แม่นางนั้น

แม่นางนั้น ไม่มีสติไม่มีสมาธิ แต่ฟุ้งไปกับนามรูป จริงไหมครับ



ไม่พลบก็บอกหน่อย สภาวธรรม ตามความเข้าใจของเช่นนั้นคือยังไง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2014, 22:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เข้าใจความหมายศัพท์บาลีที่นำมานั่นไหม :b32:

กรัชกาย เข้าใจสภาวะธรรมที่เกิดขึ้น ขณะนั้นของแม่นางอย่างถูกต้องไหม



สภาวธรรม หมายถึงอะไรยังไง ตามนิยามของเช่นนั้น :b1:



หลบคำพูดตนเอง ที่ถามนี่ไปอีก คิกๆๆ

สภาวธรรม เช่นนั้นเข้าใจว่าอะไร


ไม่จำเป็นต้องหลบ ครับ
กรัชกาย หลบการยอมรับหรือเปล่าครับว่า
เห็นผิดไปต่อสภาวะธรรมที่ปรากฏของ แม่นางนั้น

แม่นางนั้น ไม่มีสติไม่มีสมาธิ แต่ฟุ้งไปกับนามรูป จริงไหมครับ


เช่นนั้น นี่เพ้อเจ้อพอใช้ได้ทีเดียว ยกศัพท์บาลีนั่นนี่มา แต่หารู้เข้าใจความหมายไม่ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2014, 22:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2014, 22:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
ไม่จำเป็นต้องหลบ ครับ
กรัชกาย หลบการยอมรับหรือเปล่าครับว่า
เห็นผิดไปต่อสภาวะธรรมที่ปรากฏของ แม่นางนั้น

แม่นางนั้น ไม่มีสติไม่มีสมาธิ แต่ฟุ้งไปกับนามรูป จริงไหมครับ


เห็นผิดใช่ไหมครับ กรัชกาย

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2014, 22:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
หัวข้อเดิมเขา "ไม่มีครูอาจารย์คอยแนะนำเรื่องนั่งสมาธิ อยากถามผู้เรื่องการนั่ง"

แต่กรัชกายเปลี่ยนชื่อ "ถามนักปฏิบัติ" :b1: เอาชัดๆไปเลย

เขาถามดังนี้ครับ

ไม่มีครูบาอาจารย์คอยแนะนำเรื่องนั่งสมาธิ อยากถามผู้รู้เรื่องการนั่ง


คือดิฉันลองนั่งสมาธิ แล้วได้เห็นนิมิต เป็นดวงไฟกลมๆสีเหลือง ลอยวนไปวนมา แต่ดิฉันก็ไม่สนใจ ไม่ใด้เพ่งมองดวงไฟนั้น สุดท้ายมันก็หายไป และอีกครั้งนึงตอนนั่งอยู่ ดิฉันเห็นหน้าตัวเอง เป็นหน้าที่ใหญ่มาก และใบหน้านั้นจ้องเขม่งมาที่ดิฉัน เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ จนทำให้ดิฉันกลัว และไม่กล้านั่งสมาธิอีกเปนปีเลยค่ะ แต่ตอนนี้หายกลัวแล้ว

ดิฉันอยากถามผู้รู้ว่าที่ดิฉันเห็นแบบนั้นเพราะอะไร และดิฉันมีความสนใจเรื่องณานขั้นต่างๆ อยากรู้วิธิฝึกของแต่ละขั้น แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราฝึกได้ถึงขั้นใหน ดิฉันไม่มีครูบาอาจารย์ที่คอยชี้แนะ ได้แต่อ่านตามหนังสือ แล้วลองนั่งเอง ไม่รู้ว่าที่นั่งอยู่ทำถูกหรือว่าผิด

ดิฉันนั่งโดยการกำหนดลมหายใจเข้าออกไปเรื่อยๆ จนกว่าขาจะเป็นเหน็บชา พอทนไม่ไหวจิงๆก็จะออกจากสมาธิ แล้วก็แผ่เมตตา หลายครั้งคิดว่าจะฝืนนั่งให้นานที่สุด แต่มันก็ปวดขาจิงๆไม่มีสมาธิจะนั่งต่อเลย อยากรู้ว่าคนอื่นๆเค้าทำยังไงเวลานั่งจนปวดขาแล้ว เลิกนั่งเลยหรือเปล่า


กำหนดลมหายเข้าออกไปๆๆๆๆ สติ สัมปชัญญะ สมาธิ เป็นต้น จะค่อยๆเจริญขึ้นๆ

ถ้าเขาไม่มีสมาธิ จะไม่ประสบสภาวะเช่นว่านั้น ตัวอย่างก็เช่นคนทั่วๆไป ทั้งที่สภาวะเช่นนั้นเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปตลอดเวลาตามธรรมดาของมัน แต่คนทัวไปก็ไม่รู้ ต่อเมื่อมากำหนดนามรูปเช่นนั้น จิตมีสมาธิเป็นต้นบ้าง มันก็ปรากฎ นี่่มันเป็นอย่างนี้นะเช่นนั้น :b1:


อ่านให้ดีๆ กรัชกาย
แม่นางขณะนั้นมีสมาธิหรือไม่

กรัชกายจะหยุดความฟุ้งของแม่นางต่อนามรูป อย่างไรก่อนเป็นอันดับแรก
ควรแนะนำอะไรก่อนแก่แม่นางนั้น

จึงค่อยบอกการกำหนดรูปนาม ด้วยสติด้วยสัมปชัญญะอย่างไรอย่างถูกต้องต่อไป
นางจึงจะทำจิตตภาวนาต่อไปได้ด้วยจิตอันเป็นสมาธิ

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2014, 04:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
หัวข้อเดิมเขา "ไม่มีครูอาจารย์คอยแนะนำเรื่องนั่งสมาธิ อยากถามผู้เรื่องการนั่ง"

แต่กรัชกายเปลี่ยนชื่อ "ถามนักปฏิบัติ" :b1: เอาชัดๆไปเลย

เขาถามดังนี้ครับ

ไม่มีครูบาอาจารย์คอยแนะนำเรื่องนั่งสมาธิ อยากถามผู้รู้เรื่องการนั่ง


คือดิฉันลองนั่งสมาธิ แล้วได้เห็นนิมิต เป็นดวงไฟกลมๆสีเหลือง ลอยวนไปวนมา แต่ดิฉันก็ไม่สนใจ ไม่ใด้เพ่งมองดวงไฟนั้น สุดท้ายมันก็หายไป และอีกครั้งนึงตอนนั่งอยู่ ดิฉันเห็นหน้าตัวเอง เป็นหน้าที่ใหญ่มาก และใบหน้านั้นจ้องเขม่งมาที่ดิฉัน เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ จนทำให้ดิฉันกลัว และไม่กล้านั่งสมาธิอีกเปนปีเลยค่ะ แต่ตอนนี้หายกลัวแล้ว

ดิฉันอยากถามผู้รู้ว่าที่ดิฉันเห็นแบบนั้นเพราะอะไร และดิฉันมีความสนใจเรื่องณานขั้นต่างๆ อยากรู้วิธิฝึกของแต่ละขั้น แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราฝึกได้ถึงขั้นใหน ดิฉันไม่มีครูบาอาจารย์ที่คอยชี้แนะ ได้แต่อ่านตามหนังสือ แล้วลองนั่งเอง ไม่รู้ว่าที่นั่งอยู่ทำถูกหรือว่าผิด

ดิฉันนั่งโดยการกำหนดลมหายใจเข้าออกไปเรื่อยๆ จนกว่าขาจะเป็นเหน็บชา พอทนไม่ไหวจิงๆก็จะออกจากสมาธิ แล้วก็แผ่เมตตา หลายครั้งคิดว่าจะฝืนนั่งให้นานที่สุด แต่มันก็ปวดขาจิงๆไม่มีสมาธิจะนั่งต่อเลย อยากรู้ว่าคนอื่นๆเค้าทำยังไงเวลานั่งจนปวดขาแล้ว เลิกนั่งเลยหรือเปล่า


กำหนดลมหายเข้าออกไปๆๆๆๆ สติ สัมปชัญญะ สมาธิ เป็นต้น จะค่อยๆเจริญขึ้นๆ

ถ้าเขาไม่มีสมาธิ จะไม่ประสบสภาวะเช่นว่านั้น ตัวอย่างก็เช่นคนทั่วๆไป ทั้งที่สภาวะเช่นนั้นเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปตลอดเวลาตามธรรมดาของมัน แต่คนทัวไปก็ไม่รู้ ต่อเมื่อมากำหนดนามรูปเช่นนั้น จิตมีสมาธิเป็นต้นบ้าง มันก็ปรากฎ นี่่มันเป็นอย่างนี้นะเช่นนั้น :b1:


อ่านให้ดีๆ กรัชกาย
แม่นางขณะนั้นมีสมาธิหรือไม่

กรัชกายจะหยุดความฟุ้งของแม่นางต่อนามรูป อย่างไรก่อนเป็นอันดับแรก
ควรแนะนำอะไรก่อนแก่แม่นางนั้น

จึงค่อยบอกการกำหนดรูปนาม ด้วยสติด้วยสัมปชัญญะอย่างไรอย่างถูกต้องต่อไป
นางจึงจะทำจิตตภาวนาต่อไปได้ด้วยจิตอันเป็นสมาธิ




อ้างคำพูด:
แม่นางขณะนั้นมีสมาธิหรือไม่


อันที่จริงก็บอกไปแล้วว่า ถ้าเขาไม่มีสมาธิแล้วละก็ เขาจะไม่ประสบสัจธรรมนั่น ทั้งๆที่มันเกิดดับอยู่ทุกลมหายใจเข้าหายใจออก แต่คนทั่วๆไปก็ไม่รู้ เพราะขาดสมาธิ เป็นต้น ต่อเมื่อเขามาทำกรรมฐานเช่นนั่นบริกรรมไปจิตจะรวมตัวไม่ฟุ้งซ่านมีความสงบระดับหนึ่ง เมื่อจิตสงบก็ประสบกับสภาวะเช่นนั้น เมื่อถามว่า แม่นางขณะนั้นมีสมาธิหรือไม่ ตอบว่า "มี"


อ้างคำพูด:
กรัชกายจะหยุดความฟุ้งของแม่นางต่อนามรูป อย่างไรก่อนเป็นอันดับแรก


ดูคำตอบก่อนหน้าด้วยนะ ความฟุ้งซ่าน เป็นนิวรณ์ธรรมตัวหนึ่ง มีอยู่ในจิตใจของคนทั่วๆไปอยู่่แล้ว ถูกไหม เมื่อมันฟุ้งขึ้น หน้าที่ของผู้ปฏิบัติพึงกำหนดรู้ตามที่มันเป็น ตามที่ปรากฎ วิธีปฏิบัติขณะจิตฟุ้ง ตัวอย่างฟุ้งปัุบ ฟุ้งซ่าน (หนอๆๆ) ปัป ในวงเล็บเปลี่ยนเป็นอื่นได้หรือจะตัดทิ้งเป็นบางครั้งก็ได้ แต่สภาวะความฟุ้งนั้น จะละเลยไม่ได้เด็ดขาด จิตฟุ้งซ่าน จะต้องกำหนด (ว่าในใจ) ตามที่มันเป็นทุกคร้้งทุกขณะไป นี่คือหลักเจริญสติปัฏฐาน

อ้างคำพูด:
ความฟุ้งของแม่นางต่อนามรูป


เช่นนั้น ลื่นไหลไปตามความเคยชิน อันที่จริง ความฟุ้ง เป็นนาม แต่เช่นนั้นไปพูดว่า ฟุ้งต่อนาม (รูป) นี่ก็เข้าใจผิดแล้ว ฟุ้งเป็นนามจำไว้

กรัชกาย จึงได้ถามศัพท์ที่ใช้ทางธรรมที่เช่นนั้นนำมาพูดปะติดประต่อกับความคิดของตนนั่น เช่นนั้นเข้าใจความหมายของเขาบ้างสักนิดไหม :b1: ไม่เลย ไม่เข้าใจเลยสักคำ คิกๆๆ


ความคิดของเช่นนั้นนี้โดยรวม

อ้างคำพูด:
กรัชกายจะหยุดความฟุ้งของแม่นางต่อนามรูป อย่างไรก่อนเป็นอันดับแรก
ควรแนะนำอะไรก่อนแก่แม่นางนั้น

จึงค่อยบอกการกำหนดรูปนาม ด้วยสติด้วยสัมปชัญญะอย่างไรอย่างถูกต้องต่อไป
นางจึงจะทำจิตตภาวนาต่อไปได้ด้วยจิตอันเป็นสมาธิ



เช่นนั้นยังสำคัญคนผิด คือเข้าใจว่า ต้องไม่ฟุ้งซ่านเสียก่อน คือหยุดความฟุ้งก่อนแล้วจึงปฏิบัติกรรมฐาน,ปฏิบัติธรรม,เจริญสติปัญญา เช่นนั้นเข้าใจอย่างนี้ ซึ่งก็เหมือนๆคนทั่วไปเข้าใจ ที่เห็นๆก็คิดทำนองนี้ ก็ตนเองคิดฟุ้งอยู่ทั้งกะปี แต่ไม่เคยมนสิการมัน พอไปทำกรรมฐาน ไปปฏิบัติธรรม ไปนั่งสังเกตความคิด ว๊ายยยย ตาเถร ทำไมเป็นยังงี้ ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวกับลมเข้า-ออกเลย แว้บไปโน่นมานี่ :b32:

พี่น้องเอ้ย คิกๆๆ เพราะคนเรามีจิตฟุ้งซ่าน (อย่างที่บอกว่าฟุ้งซ่านเป็นนิวรณ์ธรรมตัวหนึ่ง) ก็จึงมาทำกรรมฐาน มาาเจริญสติปัฏฐาน มาทำอานาปานสติ (เรียกอย่างอื่นอีกเยอะแยะ) เพื่อให้จิตสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน .....ไม่ใช่ไม่ฟุ้งซ่านอยู่ก่อนแล้วไปปฏิบัติ ถูกไหม ปัดโธ่ ท่านเช่นนั้น :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2014, 05:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ใครก็ตามที่คิดทำนองท่านเช่นนั้นว่า ต้องหยุดความฟุ้งก่อนแล้วจึงไปปฏิบัติธรรม กรัชกายบอกสวนว่าอย่าไปเลยครับ อยู่่เฉยๆนะดีแล้ว มันไม่ฟุ้ง พอไปปฏิบัติธรรมแล้วมันฟุ้ง :b1: :b9: เออ

ความคิดของกรัชกายเองบอกว่า จิตใจเราไม่สงบ ฟุ้งเหลือเกินเซ็ง ทำอะไรจิตใจก็ไม่อยู่กับงาน ได้หน้าลืมหลัง อย่ากระนั้นเลยมาปฏิบัติกรรมฐาน (จะใช้พอง-ยุบ หรือลมเข้าออก หรือใช้กสิณก็เลือกเอา) มาเจริญสติปัฏฐาน เพื่อให้จิตสงบสะบ้างหน่อยเถอะ เมื่อจิตสงบปัญญาความรอบรู้ในกองสังขารอาจเกิดตามมา ถ้าไม่ถึงรอบรู้ในกองสังขารแจ่มแจ้งนัก ก็ใช้จิตที่ไม่ฟุ้งซ่านทำงานประจำวันอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่หลงๆลืมๆ พี่น้องเอ้ย :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2014, 07:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอาอีก ท่านเช่นนั้นมีความเห็นยังไงขอรับ :b13: :b32:

อ้างคำพูด:
คือดิฉัน สวดมนต์ นั่งสมาธิ อยู่ที่บ้าน ไปปฏิบัติธรรมทีวัดบ้างบางโอกาส แล้วมีอาการเกิดขึ้นกับดิฉัน คือ เริ่มจมูกตึงหน่วง แล้วก็หน้าผากตึงหน่วง และสักระยะก็เกิดตึงหน่วงไปทั่วศรีษะ โดยเฉาพะกลางกระหม่อมตึงมาก แล้วรู้สึกบริเวณคอเหมือนมีก้อนอะไรสักอย่างเกิดขึ้นตรงลำคอ ทำให้รู้สึกไม่สบายคอเลย แล้วสักระยะผ่านไปก็มีอาการกระตุก เหมือนมีชีพจรเต้นตรงจุดกลางระหว่าง รูถวารกับอวัยวะเพศ และก้นกบ และก็มีอาการกระตุกบริเวณใต้สะดือ หรือบางครั้งก็รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงมาก จนตัวร่างกายโยกตามแรงเต้นของหัวใจ ซึ่งอาการเหล่านี้ดิฉันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่มาเป็นก็เลยกังวล เกิดจากอะไร และจะมีอันตรายอะไรหรือเปล่าคะ เพราะพักหลังๆดิฉันฝันแปลกๆบ่อย ฝันเห็นเทพ เห็นเทวดา วิญญาน พญานาค อะไรประมาณนี้ ก็ไม่รู้ว่าสื่อถึงอะไร เชื่อถือได้หรือเปล่า ไม่ได้คิดอะไรมากนะคะ แต่มันฝันขึ้นมาเอง เคยหลับตาสวดมนต์ไปแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองหลับไป แต่ใจรู้ตัวว่านั่งสวดมนต์อยู่ จู่ๆก็ได้ยินตัวเองสวดมนต์บทที่เราเองไม่เคยได้ยิน และไม่เคยสวดแต่ปากมันสวด หูก็ได้ยิน เกิดแอ๊ะใจ สงสัยขึ้นมา ก็เลยกลับมาสู่สภาพเดิม คือเรานั่งอยู่ ก็ลืมตาขึ้น แปลกใจว่าเรานั่งหลับไปหรือเปล่า งงค่ะ ช่วยแนะนำหน่อยคะ



ลืมบอกไปคะว่า อาการตึงหน่วงตามจุดต่างๆที่เล่าให้ฟังข้างต้น เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่ว่าเดิน ยืน นั่ง นอน ตึงมาก จนรู้สึกเหมือนจะมีตัวอะไรพยายามจะออกมาจากหน้าผาก ออกมาจากกลางกระหม่อมอย่างนั้น ตรงหน้าผากระหว่างคิ้วเป็นมากจนต้องหลับตา พอหลับตาแล้ว จะลืมตา กลับลืมตาไม่ได้ เหมือนอยากจะหลับตาสะงั้น จนต้องออกแรงเพื่อให้เปลือกตาเิดขึ้นคะ เคยมีใครเป็นกันหรือเปล่าคะ


อาการตึง หน่วงที่ว่า คือ อยู่เฉยๆก็เป็นคะ ตึงเหมือนมีตัวอะไรมาเกาะตรงหน้าผาก แล้วหมุนเป็นวง เหมือนมีอะไรอยู่ข้างในจะโผล่ออกมา เวลาหมุนตรงหน้าผาก ข้างหลังตรงท้ายทอยก็หมุนไปด้วย ส่วนกลางกระหม่อมหมุนจนเหมือนกระโหลกจะเปิดออกได้ ยิ่งเวลานอน ก็จะหมุนแรงมาก ดิฉันก็ปล่อยให้หมุนไปจนรู้สึกหลับไปตอนใหนก็ไม่รู้ หลับก็ไม่รู้สึกคะ


ตอนนี้ แค่สงสัยไปต่างๆนาๆ แต่คิดว่าอะไรจะเกิด ก็ให้มันเกิด ถึงต้องตาย ดิฉันก็ต้องปล่อยให้ตัวเองตาย สั่งแม่ไว้แล้ว การที่ดิฉันหันมาสวดมนต์ นั่งสมาธิ อยู่ในศีลในธรรม แล้วเกิดเหตุการแปลกๆเกิดขึ้น ถึงจะต้องตาย ดิฉันก็ขอตายคะ แต่จะไม่ยอมหยุดสวดมนต์และทำสมาธิ ทำผิดบ้างถูกบ้าง ก็จะทำไปเรื่อยคะ เพราะไม่มีครู ไม่ไม่ใครสอนอะไร ใจอยากทำ ก็ทำไปเองคะ




ท่านเช่นนั้น มีศัพท์สวยๆอะไรพอจะนำมาลงบ้างขอรับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2014, 08:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เธอมีสติ..มีสมาธิ..หรือ...ขาดสติ...ขาดสมาธิ!!!!

ก็ค่อยดูกรัชกายตอบอยู่...ถึงตามอ่านอยู่นี้

555... :b32: :b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2014, 08:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เธอมีสติ..มีสมาธิ..หรือ...ขาดสติ...ขาดสมาธิ!!!!

ก็ค่อยดูกรัชกายตอบอยู่...ถึงตามอ่านอยู่นี้



ติดตามอ่าน ดู ฟัง ยังอยู่ขั้นต้น คือ ปริยัติ จะต้องก้าวต่อไป คือ ปฏิบัติ คือลงมือทำ คือทำให้มันมีมันเป็นขึ้นมา เมื่อลงมือทำนั่นแหละ จึงจะรู้ว่าตนเอง มีสติ มีสมาธิ หรือขาดสติ ขาดสมาธิ ขาดปัญญา :b1: จะรู้ชัดตอนลงมือภาวนานี่แหละ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ค. 2014, 08:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
เช่นนั้น เขียน:
กรัชกาย เขียน:
กรัชกาย เขียน:
หัวข้อเดิมเขา "ไม่มีครูอาจารย์คอยแนะนำเรื่องนั่งสมาธิ อยากถามผู้เรื่องการนั่ง"

แต่กรัชกายเปลี่ยนชื่อ "ถามนักปฏิบัติ" :b1: เอาชัดๆไปเลย

เขาถามดังนี้ครับ

ไม่มีครูบาอาจารย์คอยแนะนำเรื่องนั่งสมาธิ อยากถามผู้รู้เรื่องการนั่ง


คือดิฉันลองนั่งสมาธิ แล้วได้เห็นนิมิต เป็นดวงไฟกลมๆสีเหลือง ลอยวนไปวนมา แต่ดิฉันก็ไม่สนใจ ไม่ใด้เพ่งมองดวงไฟนั้น สุดท้ายมันก็หายไป และอีกครั้งนึงตอนนั่งอยู่ ดิฉันเห็นหน้าตัวเอง เป็นหน้าที่ใหญ่มาก และใบหน้านั้นจ้องเขม่งมาที่ดิฉัน เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ จนทำให้ดิฉันกลัว และไม่กล้านั่งสมาธิอีกเปนปีเลยค่ะ แต่ตอนนี้หายกลัวแล้ว

ดิฉันอยากถามผู้รู้ว่าที่ดิฉันเห็นแบบนั้นเพราะอะไร และดิฉันมีความสนใจเรื่องณานขั้นต่างๆ อยากรู้วิธิฝึกของแต่ละขั้น แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเราฝึกได้ถึงขั้นใหน ดิฉันไม่มีครูบาอาจารย์ที่คอยชี้แนะ ได้แต่อ่านตามหนังสือ แล้วลองนั่งเอง ไม่รู้ว่าที่นั่งอยู่ทำถูกหรือว่าผิด

ดิฉันนั่งโดยการกำหนดลมหายใจเข้าออกไปเรื่อยๆ จนกว่าขาจะเป็นเหน็บชา พอทนไม่ไหวจิงๆก็จะออกจากสมาธิ แล้วก็แผ่เมตตา หลายครั้งคิดว่าจะฝืนนั่งให้นานที่สุด แต่มันก็ปวดขาจิงๆไม่มีสมาธิจะนั่งต่อเลย อยากรู้ว่าคนอื่นๆเค้าทำยังไงเวลานั่งจนปวดขาแล้ว เลิกนั่งเลยหรือเปล่า


กำหนดลมหายเข้าออกไปๆๆๆๆ สติ สัมปชัญญะ สมาธิ เป็นต้น จะค่อยๆเจริญขึ้นๆ

ถ้าเขาไม่มีสมาธิ จะไม่ประสบสภาวะเช่นว่านั้น ตัวอย่างก็เช่นคนทั่วๆไป ทั้งที่สภาวะเช่นนั้นเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปตลอดเวลาตามธรรมดาของมัน แต่คนทัวไปก็ไม่รู้ ต่อเมื่อมากำหนดนามรูปเช่นนั้น จิตมีสมาธิเป็นต้นบ้าง มันก็ปรากฎ นี่่มันเป็นอย่างนี้นะเช่นนั้น :b1:


อ่านให้ดีๆ กรัชกาย
แม่นางขณะนั้นมีสมาธิหรือไม่

กรัชกายจะหยุดความฟุ้งของแม่นางต่อนามรูป อย่างไรก่อนเป็นอันดับแรก
ควรแนะนำอะไรก่อนแก่แม่นางนั้น

จึงค่อยบอกการกำหนดรูปนาม ด้วยสติด้วยสัมปชัญญะอย่างไรอย่างถูกต้องต่อไป
นางจึงจะทำจิตตภาวนาต่อไปได้ด้วยจิตอันเป็นสมาธิ




อ้างคำพูด:
แม่นางขณะนั้นมีสมาธิหรือไม่


อันที่จริงก็บอกไปแล้วว่า ถ้าเขาไม่มีสมาธิแล้วละก็ เขาจะไม่ประสบสัจธรรมนั่น ทั้งๆที่มันเกิดดับอยู่ทุกลมหายใจเข้าหายใจออก แต่คนทั่วๆไปก็ไม่รู้ เพราะขาดสมาธิ เป็นต้น ต่อเมื่อเขามาทำกรรมฐานเช่นนั่นบริกรรมไปจิตจะรวมตัวไม่ฟุ้งซ่านมีความสงบระดับหนึ่ง เมื่อจิตสงบก็ประสบกับสภาวะเช่นนั้น เมื่อถามว่า แม่นางขณะนั้นมีสมาธิหรือไม่ ตอบว่า "มี"


อ้างคำพูด:
กรัชกายจะหยุดความฟุ้งของแม่นางต่อนามรูป อย่างไรก่อนเป็นอันดับแรก


ดูคำตอบก่อนหน้าด้วยนะ ความฟุ้งซ่าน เป็นนิวรณ์ธรรมตัวหนึ่ง มีอยู่ในจิตใจของคนทั่วๆไปอยู่่แล้ว ถูกไหม เมื่อมันฟุ้งขึ้น หน้าที่ของผู้ปฏิบัติพึงกำหนดรู้ตามที่มันเป็น ตามที่ปรากฎ วิธีปฏิบัติขณะจิตฟุ้ง ตัวอย่างฟุ้งปัุบ ฟุ้งซ่าน (หนอๆๆ) ปัป ในวงเล็บเปลี่ยนเป็นอื่นได้หรือจะตัดทิ้งเป็นบางครั้งก็ได้ แต่สภาวะความฟุ้งนั้น จะละเลยไม่ได้เด็ดขาด จิตฟุ้งซ่าน จะต้องกำหนด (ว่าในใจ) ตามที่มันเป็นทุกคร้้งทุกขณะไป นี่คือหลักเจริญสติปัฏฐาน

อ้างคำพูด:
ความฟุ้งของแม่นางต่อนามรูป


เช่นนั้น ลื่นไหลไปตามความเคยชิน อันที่จริง ความฟุ้ง เป็นนาม แต่เช่นนั้นไปพูดว่า ฟุ้งต่อนาม (รูป) นี่ก็เข้าใจผิดแล้ว ฟุ้งเป็นนามจำไว้

กรัชกาย จึงได้ถามศัพท์ที่ใช้ทางธรรมที่เช่นนั้นนำมาพูดปะติดประต่อกับความคิดของตนนั่น เช่นนั้นเข้าใจความหมายของเขาบ้างสักนิดไหม :b1: ไม่เลย ไม่เข้าใจเลยสักคำ คิกๆๆ


ความคิดของเช่นนั้นนี้โดยรวม

อ้างคำพูด:
กรัชกายจะหยุดความฟุ้งของแม่นางต่อนามรูป อย่างไรก่อนเป็นอันดับแรก
ควรแนะนำอะไรก่อนแก่แม่นางนั้น

จึงค่อยบอกการกำหนดรูปนาม ด้วยสติด้วยสัมปชัญญะอย่างไรอย่างถูกต้องต่อไป
นางจึงจะทำจิตตภาวนาต่อไปได้ด้วยจิตอันเป็นสมาธิ



เช่นนั้นยังสำคัญคนผิด คือเข้าใจว่า ต้องไม่ฟุ้งซ่านเสียก่อน คือหยุดความฟุ้งก่อนแล้วจึงปฏิบัติกรรมฐาน,ปฏิบัติธรรม,เจริญสติปัญญา เช่นนั้นเข้าใจอย่างนี้ ซึ่งก็เหมือนๆคนทั่วไปเข้าใจ ที่เห็นๆก็คิดทำนองนี้ ก็ตนเองคิดฟุ้งอยู่ทั้งกะปี แต่ไม่เคยมนสิการมัน พอไปทำกรรมฐาน ไปปฏิบัติธรรม ไปนั่งสังเกตความคิด ว๊ายยยย ตาเถร ทำไมเป็นยังงี้ ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวกับลมเข้า-ออกเลย แว้บไปโน่นมานี่ :b32:

พี่น้องเอ้ย คิกๆๆ เพราะคนเรามีจิตฟุ้งซ่าน (อย่างที่บอกว่าฟุ้งซ่านเป็นนิวรณ์ธรรมตัวหนึ่ง) ก็จึงมาทำกรรมฐาน มาาเจริญสติปัฏฐาน มาทำอานาปานสติ (เรียกอย่างอื่นอีกเยอะแยะ) เพื่อให้จิตสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน .....ไม่ใช่ไม่ฟุ้งซ่านอยู่ก่อนแล้วไปปฏิบัติ ถูกไหม ปัดโธ่ ท่านเช่นนั้น :b32:


กรัชกาย รู้เท่านี้ จริงๆ
มันแยะต้องค่อยๆ อธิบายแต่ละอย่าง
กรัชกาย ....... ศึกษาธรรมให้มากขึ้นนะครับ
ทำธุระก่อน

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 288 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 8, 9, 10, 11, 12, 13, 14 ... 20  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร