วันเวลาปัจจุบัน 28 ก.ค. 2025, 01:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2014, 08:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อธรรม เขียน:
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ

ส่วนตัวที่ผ่านมาฝึกสติอยู่ประมาณ 70% ไม่ได้เน้นหนักถึง 100 %
สติสัมปชัญญะมันไม่ครบถ้วนสมบูณอยู่แล้ว ฝึกเพื่อการเรียนรู้กับสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น

ส่วนการถอนของก็ยังจะไป ไปเพื่อความสบายใจ จะได้โยนความคิดพวกนี้ออกจากหัว จะได้ใช้คำว่า
"ช่างหัวมัน" ได้เต็มปาก แต่ถ้ามันไม่หายจะไปจิตแพทย์ซะให้รู้แล้วรู้รอดไป ถึงใครจะตราหน้าว่าเป็นพวกบ้า พวกโรคจิต งานนี้ก็ยอม ดีกว่ากู่ไม่กลับ ถ้าบ้ายาวก็งามไส้แหละงานนี้

ส่วนการฝึกตอนนี้ก็ไม่ได้ฝึก แต่มันไปเอง พอเลิกคิดเรื่องข้างนอกมันก็ไปเอง แต่จิตไม่ได้ปักแน่น และเพราะอาการสับสนทางความคิด ตกลงกับตัวเองไม่ได้ว่าจะเอาไงดี ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเพี้ยนเอง ถึงไม่คิดจะทำอะไรทั้งนั้นจนกว่าจะหาทางออกให้ตัวเองเจอ


อ้างคำพูด:
จะไปจิตแพทย์ซะให้รู้แล้วรู้รอดไป ถึงใครจะตราหน้าว่าเป็นพวกบ้า พวกโรคจิต งานนี้ก็ยอม ดีกว่ากู่ไม่กลับ ถ้าบ้ายาวก็งามไส้แหละงานนี้


การปรึกษากับจิตแพทย์ คนทั่วๆไปเขาก็ไป ไม่ใช่เรื่องน่าอาย ไปปรึกษาไปเล่าอาการให้หมอฟังแล้วท่านคงให้คำแนะนำ ดีกว่ามานังคิดนั่งวิตกอยู่เพียงผู้เดียว

แต่ส่วนตัวกรัชกาย จขกท.ไม่ได้บ้า แต่เกิดจากการฝึกฝนจิต ไม่ถูกวิธี อารมณ์ (อาการ) นี้ชัดเลย

อ้างคำพูด:
ส่วนการฝึกตอนนี้ก็ไม่ได้ฝึก แต่มันไปเอง พอเลิกคิดเรื่องข้างนอกมันก็ไปเอง


เมื่อจิตไม่มีอารมณ์ข้างนอกให้มันเกาะมันยึด มันก็เกาะอารมณ์ที่มันคล่อง (ชำนาญ) คือธรรมารมณ์ข้างใน อย่างที่บอกก่อนหน้า ธรรมชาติของจิต คิดอารมณ์ (- ธรรมชาติใด ย่อมคิดซึ่งอารมณ์ เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น ชื่อว่าจิต) มันอยู่เฉยไม่ได้ ต้องมีงาน (มีอารมณ์) ให้มันคิดมันทำ


กรัชกายแนะนำบุคคลคนหนึ่ง เขาคิดปรามาสพระรัตนไตร ทั้งที่ตนเองก็นับถือนะ แต่จิตมันคอยจะลบหลู่ จนตนเองเป็นทุกข์ไม่สบายใจ ทำการทำงานความคิดนี้ก็โผล่รบกวน จนเดี๋ยวนี้ ความคิดนั้น หมดไป เขาใช้ชื่อนี้ http://group.wunjun.com/whatisnippana/t ... 5904-21271


แต่เผอิญกระทู้ข้อความที่เคยสนทนากันสูญหายไปเมื่อตอนที่เขาปรับปรุงบอร์ด

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2014, 09:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นึกได้ มีพุทธพจน์อยู่แห่งหนึง ว่าโรคมี 2 อย่าง่ คือ โรคทางกาย กับ โรคทางใจ โรคทางกายนั้นบางคนอาจพูดว่า ตนเองไม่มีโรคทางกายเลยตลอด 5 ปี 10 ปีเป็นต้น แต่ผู้ซึ่งไม่มีโรคทางใจเลย หาได้ยากในโลก นอกจากพระขีณาสพ


อ้างคำพูด:
ผมเป็นคนที่ชอบทำบุญและปฎิบัติธรรมอยู่เป็นประจำ แต่มักจะมีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นกับผมตลอดโดยเฉพาะวันพระ 1วันก่อนไปทำบุญ หรือหลังจากไปทำบุญมาแล้ว ตอนนอนผมมักจะชอบฝันร้าย เช่น เห็นนักบวชที่มีหน้า และลำตัวสีแดงอิฐ บรรยากาศรอบข้างเหมือนกับในนรก และทุกครั้งที่ผมฝันมันก็จะร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมไม่ได้ไปทำบุญ และไม่ได้ไปปฏิบัติธรรม ผมกลับไม่ได้ฝันอะไรที่มันร้ายแรงเลย จนวันนี้ตอนเช้าผมได้กลับไปทำบุญอีกครั้ง พอกลับมานอนตอนเย็นและต้องตกใจตื่นเมื่อตอนสี่ทุ่ม ผมฝันว่าทะเลาะกับแม่แล้วแม่ก็มาตีผม ผมเลยตีแม่กลับอย่างแรงแต่ที่ตลกแม่กลับไม่ได้เป็นอะไรเลยกึ่งหัวเราะ แต่ที่ผมอยากรู้คือการที่ผมตีแม่ในฝันนั้นมันบาปไหม เพราะว่ามันรุนแรงและเหมือนจริงมาก (แต่ปกติผมไม่เคยเป็นคนแบบนั้นเลยน่ะครับ)



ตัวอย่างวิถีจิตของบุคคล ผู้ซึ่งหลับไม่สนิท จิตมันก็ทำงาน ขนาดตื่นแล้ว ยังนำมาคิดให้เกิดทุกข์ตอนตื่นได้ ตรงข้ามถ้าคิดฝันเรื่องดีๆ ตัวก็ปลื้มอิ่มใจทั้งวัน :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 พ.ค. 2014, 13:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธฏีกา เขียน:
ไม่รู้คุณอธรรม เจ้าของกระทู้เคยได้ยินคำว่า "ญาณผ่าน" รึเปล่านะครับ
จะคล้ายๆ ร่างทรงบ้างบางที อ่อบางทีก็เรียกว่า "ญาณแฝง" บ้างก็มี
จะไม่ใช่ร่างทรงเสียทีเดียว ไม่ต้องสั่นรอองค์ประทับ คนทีี่มีของส่วนใหญ่
ถ้ามีญาณผ่าน มีครูบาอาจารย์คุ้มครอง ก็เหมือนจะสื่อกับเทพ กับพ่อครู
พ่อช่าง พ่อปู่ แล้วแต่ชื่อที่เรียกกันนะครับ

เวลาสื่อก็จะ นำสิ่งที่รู้ เขาเลยเรียกว่าญาณ ส่่วนผ่านคือ ไม่ได้เป็นความรู้
ที่เรามโนเอง ขึ้นมา แล้วแต่ด้วยว่า จะเป็นสายไหน สายรักษาช่วยเหลือคน
สายปฏิบัติ สายแก้สายปราบ สายแนะนำสั่งสอน ขึ้นอยู่กับ ญาณที่ผ่าน
แล้วนำสิ่งที่รู้ที่เห็น มาแก้ไข ช่วยเหลือตนเองและคนอื่นๆ ได้

ส่วนใหญ่เป็นคนที่มีบุญวาสนา สมาธิจิตดี เป็นของเก่า พูดแบบสมัยใหม่
ก็คือองค์ความรู้หลากหลายก็มี เฉพาะทางก็มี ในการรู้ต้นสายปลายเหตุ
รู้ที่มาที่ไปของปัญหา อย่างคุณโยม ผู้ทรงคุณวุฒิแนะนำ ให้แก้ปัญหา
ของจิตที่ขาดสมาธิ ขาดสติสัมปชัญญะ นี่ก็เป็นลักษณะหนึ่ง เป็นความรู้
ที่เกิดจากการสั่งสม เป็นทั้งการประมวลความรู้ความเข้าใจต่างๆ แล้วนำมา
แนะนำแก่ญาติธรรมที่ประสบปัญหา หรือขาดความเข้าใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น


พุทธฏีกาก็ไม่ไ้ด้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิมีความรู้ในเรื่อง วิญญาณแฝงนี้โดยตรงนะครับ
แต่อาศัยคลุกคลี มีกัลยาณมิตรสายบุญ สายนี้อยู่บ้าง บวกกับตอบคำถามหน้าไมค์
หลังไมค์อยู่เป็นปกติ เลยพอรู้มาแบบสั่งสมมา คนที่มีสิ่งเร้าเหล่านี้เกิดขึ้นในชีวิต
จะแยกเป็นสองกลุ่มหลักๆ คือ ปฏิเสธแต่มีใจสงสัย กับรับเชื่อศรัทธาในสิ่งเหล่านั้น

ก่อนจะไปพูดถึงบุคคลสองกลุ่ม ขอพูดถึงทางหลักวิทยาศาสตร์ของสมอง ของจิต
การทำงานของสมองส่วน ที่เรียกว่า ไฮโปทาลามัส (hypothalamus) และ
ต่อมใต้สมองส่วนหน้า พิทูอิทารี (Pituitary) เป็นสองจุดหลักที่มีผลต่อการรับรู้
ทางประสาทสัมผัส อารมณ์ความรู้สึก ความคิด การได้ยิน การมองเห็น หรือมี
ซิกเซ้นส์สูงกว่าคนปกติ โดยมีสารที่เรียกว่า โดปามีน (dopamine)

รูปภาพ



ข้อมูลความรู้เรื่อง โดพามีน (Dopamine)
หรือ สารสื่อประสาท และถูกค้นพบโดย Arvid Carlsson

เกิดเมื่อวันที่ 25 มกรคม ค.ศ.1923 ที่เมือง Uppsala ประเทศสวีเดน เขาเป็นผู้ผู้ค้นพบสารโดปามีนเมื่อช่วงทศวรรษ 1950
และยังพบว่าการให้สารตั้งต้นของโดปามีน คือ L-dopa สามารถรักษาอาการของโรคพาร์กินสันได้ จากผลงานนี้เองทำให้
Arvid Carlsson ได้รับรางวัลโนเบลในปี ค.ศ. 2000


โดปามีน (dopamine) สารเคมีในสมองที่จัดอยู่ในกลุ่มแคทีโคลามีน สร้างมาจากกรดอะมิโนชนิดไทโรซีน
โดยอาศัยการทำงานของเอนไซม์ไทโรซีนไฮดร็อกซิเลส เป็นทั้งสารสื่อประสาทที่คอยกระตุ้น
โดพามีนรีเซพเตอร์ (dopamine receptor) และเป็นฮอร์โมนที่หลั่งมาจากไฮโปทาลามัส (hypothalamus)
โดยเมื่อโดปามีนถูกหลั่งออกมาแล้วจะส่งผลต่ออารมณ์ให้มีความตื่นตัว กระฉับกระเฉง มีสมาธิมากขึ้น
และไวต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ รอบตัว ในทางกลับกัน หากร่างกายมีสารโดปามีนในสมองมากเกินไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมองส่วนฟรอนทัล ซึ่งสมองส่วนนี้ทำหน้าที่เกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด
การเรียนรู้ ความจำ ก็จะทำให้เกิดอาการป่วยทางจิต ซึ่งผู้ป่วยโรคจิตเภทจะมีระดับโดปามีนในสมองมากกว่าคนปกติ


_______________________________________________________________________________
อาร์เวิด คาร์สัน. ๒๕๕๖. โดปามีน.(ออนไลน์). แหล่งที่มา :

http://larndham.org/index.php?/topic/43 ... _p__808152 . ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗.



ญาติธรรมพุทธฏีกา มีทุกเพศทุกวัย ที่มีสัมผัสยุ่งเหยิงวุ่นวาย หนักบ้าง เบาบ้าง
ตามที่เกริ่นมา แบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก คือ ปฏิเสธแต่มีใจสงสัย กับรับเชื่อศรัทธาในสิ่งเหล่านั้น

ในรายใหม่ๆ น้องใหม่ ที่กำลังจะเข้าไปใกล้ สิ่งเร้้า คำบอกเล่าบอกกล่าว
จากบุคคลรอบข้าง หรือสิ่งเร้าจากภายในใจเราเอง เป็นสองปัจจัยหลักที่ทำให้
คนที่มี สัมผัส ทางด้านนี้ จะมีอาการสะสม ทางแพทย์เรียก จิตเภท พุทธฏีกา
เห็นว่า ความจริง ทั้งสองกลุ่มเป็นจิตเภทโดยปกติธรรมชาติของทั้งสองกลุ่ม

แต่การเฝ้าสังเกตุ ทดลองสอบถาม ก็ได้คำตอบพออ้างอิงได้ ก็คือ ในกลุ่มที่
รับเชื่อและศรัทธาในสิ่งเหล่านั้น จะนำสิ่งที่ผุดขึ้นในหัว ได้ยิน หรือเห็น มาใช้ให้เป็นประโยชน์


บางคน เกิดขึ้นเองโดยไม่ตั้งใจ บางคนเกิดขึ้นเพราะอยากรู้อยากเห็นอยากให้เกิด!
ทั้งๆ ที่มีธรรมชาติของร่างกาย ของสมอง มีสารสื่อประสาท โดพามีนที่ยืนพื้น
อยู่แล้วแต่จะ หลีกหนี หรือยอมรับ และเรียนรู้ที่จะอยู่กับ สิ่งเหล่านั้นให้ได้นั่นเอง

ในรายน้องใหม่ ส่วนใหญ่้ถ้าอยู่กลุ่มปฏิเสธแต่ผูกใจสงสัยไว้ ก็จะเหมือนญาติธรรม
สตรีคนหนึ่งในเชียงใหม่ มาปรับแต่งจูนเครื่อง คล้ายๆ กับว่า สิ่งที่ผ่าน ญาณที่แฝง
ยังไม่ใช่พ่อครู พ่อช่าง ไม่ใช่พ่อปู่ แม่ๆ ที่เหมาะกับพิมพ์เขียวในจิตใจ

นอกจากยังไม่เหมาะ ขนาดที่ยัง สงสัยว่า มีอะไรหรือไม่มีอะไร จะเอาออกหรือไม่เอาออก
นั้นก็ทำให้ ญาติธรรมพุทธฏีกา พูดภาษาที่เรียกกันว่าเทพ สื่อบอกนู้นนั่นนี่ แต่เจ้าตัว
ก็ไม่รู้ว่าพูดอะไร อยู่นานสองนาน ถ้ามีสติดี ค้าขายไม่เงียบ จิตใจร่าเริง ก็จะไม่ง่วง
ไม่หาวบ่อย ไม่เพลีย ไม่หนักคอ เกร็งบ่าเกร็งหัวไหล่ มึนเจ็บหน้าพาก เหม็นกลิ่นสาป
หายใจไม่ค่อยออก นี่ก็เป็นอาการช่วงแรกๆ ถ้าพูดภาษาคนมีของก็ว่า ยังแต่งเครื่อง
กันไม่ลงสนิทดี จูนกันยังไม่ได้ เอาเป็นวิชาการก็คล้ายๆ ว่า สมองซีกซ้ายซีกขวา
ยังตีกัน ยังสับสน ในกลุ่มปฏิเสธแต่ผูกใจสงสัย นั่นแปลว่ายังกลับใจไปๆ มาๆ ได้นั่นเอง


ที่นี้พูดถึงเรื่อง ชอบลอง ขาลุย ไปสู้ปฏิบัติธรรมมา ขออนุโมทนาสาธุ รวมถึงเรื่องที่เล่า
เกี่ยวกับประสบการณ์การปฏิบัติ อ่านแล้วชอบ ถ้าสมมตินะครับ สมมติจะให้ทัก ก็จะทักว่า
ที่แฝงดำๆ เข้าๆ ออกๆ เต็มไปหมด ก็บอกได้เลย พวกขอส่วนบุญ ถ้าเปรียบเทียบปริมาณ
คนรวยกะคนจน คนมีบุญกะไม่มีบุญ คนไม่มีเลยเยอะ แล้วใครละ จะแมท จะเหมาะสุด
ก็ต้องคนที่มี โดพามีนในสมองสูงๆ หลายคน เห็นเอาตอนกึ่งหลับกึ่งตื่น ทางตา

บางคนไปแมท ไปเหมาะเจาะเอาตอนได้คลื่น ที่มาในรูปของลม กระทบเข้าประสาททางจมูก
ก็ได้กลิ่นหอมบ้าง กลิ่นเหม็นบ้าง แล้วแต่ อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดจะีตีความ

ดังนั้นการเห็น การรู้สึกมีอะไรวูบเข้าวูบออก ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับคนที่ มีแนวโน้ม
ในเรื่องของ มีปริมาณสารสื่อประสาท (โดพามีน)สูง นอนน้อย คร่ำเคร่ง จัดสรรเวลา
กิจกรรมผักผ่อน บันเทิง หลับนอน ให้ตัวเองไม่ดีพอ ก็มีโอกาส จะเหนื่อยจะเพลีย และ
ยิ่งนำมาซึ่งความไม่รู้ ไ่ม่เท่าทันต่อประสาทสัมผัสต่างๆ เพราะมี ตัวกรองความคิดที่ยัง
กรองอะไรคืออะไรยังไม่ได้ ถ้ามีชุดกรองความคิด ต่อให้เห็น ได้ยิน รู้สึกสัมผัส ในการ
เจริญสติปัฏฐาน สิ่งเหล่านั้นก็สักแต่ว่า กาย เวทนา จิตไปก็เท่านั้นเอง เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น
สัมผัสรู้สึกคิดนึกเหล่านั้น ล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

เหมือนที่คุณอธรรม เจ้าของกระทู้ เห็นความคิดเ้ข้าแล้ว แต่ความเกิดความดับยังไม่ชัด
โม้เสียยืดยาว ทิฏฐิจริต ถึงจะดูจิตเห็นจิตเลยความจริงก็สมควร แต่ถ้า่ร่างกาย จิตใจ
สิ่งรุมเร้ายังไม่เบาบางลง ความอิ่ม ความกระปี้กระเปร่ายังไม่มา

ก็อยากให้ ผ่อนคลายตัวเองลงอีกนิดนึง พอจิตตั้งมั่นมากขึ้น เวลาที่จิตมีความคิดอะไร
ซ้อนขึ้นมา ผุดขึ้นมา นอกไปจากการรู้ กาย(อริยาบถต่างๆ ลมหายใจ พองยุบ) เวทนา
(อารมณ์พอใจ ไม่พอใจ เฉยๆ) จิต(คิดก็รู้,ไม่คิดก็รู้) มีสัมปชัญญะรู้ตัวรู้ใจเอาไว้มากๆ
แบบผ่อนคลาย ทำแบบที่โสมนัส ปิติสุข เย็นๆ สบายๆ เกิดง่าย ก็ค่อยไปดูไตรลักษณ์
ดูความไม่แน่ไม่นอน แปรปรวนเปลี่ยนแปลงของสภาวะอารมณ์ ของจิต

โดยสรุป อาการวูบเข้าวูบออก เป็นความรู้สีกทางระบบประสาท และการคัดกรองข้อมูล
ภายในสมองของเรา ว่าเป็นตัวตนอะไร หรือว่าเป็นเพียงธรรมชาติยุ่งเหยิงในการรับรู้
ทางตา ทางหู ทางอารมณ์ความรู้สีกนึกคิดของเรา ไม่ว่าจะสภาพตัวดำๆ หรือสภาพ
ธรรมชาติเช่นนั้นเองของเรา จึงไม่ใช่อาการวูบเข้าวูบออก หรือมีญาณแฝงอะไรเลย

เหนื่อยๆ ก็มา สับสนฟุ้งซ่านก็มารุมเร้า กินโต๊ะจีน ร่าเริงเบิกบาน สงบก็ไม่มีอาการดำๆ
วูบเข้าวูบออก ก็มาดูที่จิต รู้ในเรื่องที่คิดไหม หรือรู้ลงไปในเรื่องที่คิด ถ้ารู้ลงไปในเรื่อง
ที่คิด ก็ดูว่า หลงยาวขนาดไหน มีสติก็มารู้อิริยาบถบ้าง รู้ที่จิตเผลอไปรู้ในเรื่องที่คิดบ้าง
หรือรู้ที่จิตออกจากเรื่องที่คิด เห็นเหมือนวันที่ เห็นความคิด เป็นสักว่าความคิด

อาการวูบเข้าออกไม่ใช่วิญญาณแฝง ธรรมชาติของจิต ที่รู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
เป็นวิญญาณที่แฝงการทำงานโดยธรรมชาติปกติ ไม่มีใครไล่ได้ เกิดดับรวดเร็ว
จิตมีวิตกวิจาร ในกามสุคติภุมิ เราตัวตนของเรา ตัวคนนู้นคนนี้มาก ก็หลงมาก
กว่าจะรู้ว่า จิตที่คิด จิตที่เห็นแฝงการทำงานอยู่ ก็หลงไปไหนต่อไหนไกลแล้ว
ถ้าจิตมีวิตกวิจาร ในรูปภูมิมากหน่อย ก็ไม่มีตัวเราของเราชัด เท่ากามสุคติภูมิ
มีแต่ พองยุบ ลมหายใจเข้าออก พุทโธ เบาๆ สบายๆ ไป พอทำได้อย่างนี้

ไม่มีจิตอกุศล ไม่เป็นนิวรณ์ ไม่สงสัย ไม่ฟุ้ง ปราศจากนิวรณ์ สงบตั้งมั่นเป็นอารมณ์เดียว
ที่นี้แหละ ถึงจะมี ตาวิเศษ เห็นวิญญาณแฝงทั้ง ๖ เห็นตัววูบเข้าวูบออกทางกาย ผสม
กับการเห็นกึ่งหลับกึ่งตื่น หรือคิดว่าเห็นเต็มตา หรือมีการหักเหของแสง บวกผสมความรู้สึก
ทางประสาทสัมผัสทางกาย จึงกรอง ตีความว่าเห็นวูบเข้าวูบออก พอมีสติชัด

ก็จะเห็นวิญญาณทางตา ทางกายสัมผัส ทางตัวความคิด ทำงานทะลุปรุโปร่ง ไม่ใช่แค่
เห็นวิญญาณใน สัญญา ในความคิด มิติเดียว ในหัว ทั้งๆ ที่มันอาศัยกันเกิดถึง หกมิติ
ไปสงสัย หลง งงกับมิติเดียวทางความคิด ก็ออกคับแคบไปหน่อย ลองดูนะครับทำใจ
สบายๆ ทำจิตตั่งมั่น อย่าไปฝืนไปสู้ ตอนร่างกาย อ่อนแรงแล้ว จิตก็เพลียแล้ว
ลองดูใหม่ มารู้มาเห็นวิญญาณแฝงจริงๆ เกิดดับรวดเร็ว ๖ ทวารอย่างนี้ อีกหน่อย
เกิดอะไรขึ้น ก็มีสติสัมปชัญญะเท่าทัน ไม่หลงรับเชื่อเข้าใจ ในมิติเดียวทางความคิด


ขอเจริญพร.


:b1: :b8: :b8: :b8: :b1:

โฉมหน้าพุทธศาสนาในยุคที่หมู่มวลมนุษย์จะก้าวไปถึง ...

....

:b8: :b8: :b8:

ขอกราบคาราวะงาม ๆ กับผู้เพียรสละตน

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 พ.ค. 2014, 20:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 00:02
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b44: :b44: ดูมันเฉยๆๆๆ มันไม่ใช่เรา เราไม่ไช่มัน ฉันเคยมีประสบการณ์แบบนี้ครั้งหนึ่ง ขณะนอนทำสมาธิ เห็นเงามืดมาข้างเตียง แล้วก็นอนคว่ำจมลงหายไปในร่างกายของฉัน แต่ฉันไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่มีอาการกลัวแม้แต่น้อย แต่สักพักมันก็ออกมาแล้วหายไป ทิ้งไว้แต่กลิ่นอสุจิของผู้ชาย กลิ่นคาวมากๆๆ แต่จิตบอกว่า เจ้าของเงานั้นคือ อดีตเขาเคยเป็นสามีของฉัน ไม่รู้ว่าชาติไหน ออกจากสมาธิใหม่ๆ ฉันนึกถึงทีไรมีอาการคลื่นไส้ทุกที ฉันเข้าใจที่คุณเล่าค่ะ คุณไม่ได้บ้าหรอก แต่ตั้งสติให้ดี ดูมันเฉยๆๆๆ มันไม่ใช่เรา เราไม่ไช่มัน :b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2014, 08:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: อนุโมทนาค่ะ ท่านพุทธฏีกา

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 พ.ค. 2014, 10:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


อย่างที่ความเห็นผม หากเรามีความประสงค์จะรู้ความจริง
ไม่เฉพาะเรามุ่งความสนใจไปที่จิต กายเราก็ต้องให้ความสนใจด้วย
เพราะต้นเหตุคือทุกข์ ความไม่ปกติ ความไม่ตั้งอยู่ของสังขารเป็นทุกข์
กายนั้นให้เข้าถึงว่าเป็นทุกข์
จิตนั้นให้รู้ความทุกข์นี้ให้ได้ก่อนที่จะก้าวสู่ความไม่ปกติของอารมณ์ครับผม

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2014, 22:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2009, 00:02
โพสต์: 111

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b44: :b44: เพิ่งนึกได้อีกเหตุการณ์หนึ่งค่ะ ขณะที่ทำสมาธิดูลมหายใจเข้าออกไปเรื่อยๆ จนจิตสงบมากๆ ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกับผู้ชายคุยกัน พวกเขามาดูตัวฉันมายืนข้างเตียง ผู้หญิงเป็นคนพาผู้ชายมา
แล้วเขาก็ทำการทดสอบอะไรสักอย่างกับร่างกายของฉัน ฉันรู้สึกเหมือนอะไรสักอย่างวิ่งขึ้นมาจากขาทั้งสองข้างพอถึงเอวก็หยุดวิ่งกลับไปที่ปลายเท้า (ลักษณะเหมือนคุณเอาขวดใส่น้ำแล้วเหลือส่วนของอากาศไว้แล้วปิดฝา และคว่ำไปมา)วิ่งไปมาประมาณ 2-3 ครั้งและเย็นวาบๆ ดิฉันคิดในใจว่าพวกคุณมารบกวนฉันทำไม
ฉันกำลังจะนอนหลับ รู้สึกรำคาญเล็กน้อย (เหตุการณ์นี้น่าจะคล้ายๆ บางสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับคุณนะคะ) :b44: :b44:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร