วันเวลาปัจจุบัน 28 ก.ค. 2025, 00:43  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2014, 18:48 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2013, 17:07
โพสต์: 39

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บอกตรงๆว่าฝึกสติปัฐฐาน 4 เป็นแค่อย่างเดียว
และชีวิตนี้ก็เคยแค่ครอบครูช่างอย่างเดียว เนื่องจากเป็นคนสมัยใหม่ไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์แต่ชอบเรื่องตื่นเต้น ชอบดูของแปลก ก็เลยชอบงานแนวทรงเจ้าเข้าผี (ดูเอามัน ดูเพื่อความบันเทิง)
แต่ช่วงไม่นานมานี้คือเริ่มฝึกสมาธิมากขึ้น และจิตก็เริ่มนิ่งขึ้นด้วย แต่กับไม่คิดว่าโลกยุคนี้มันจะมีเรื่องแบบนี้อยู่จริง(คิดว่านิทานหลอกเด็กตลอด) คือตอนนั่งสมาธิจะมีเงาดำๆฟืบเข้าร่างเรา และก็ต้องนั่งสมาธิเพื่อจี้ออก แต่มันต้องใช้กำลังของสมาธิมาก แต่พอสมาธิตกก็เข้าอีก และยิ่งไปอยู่วัดที่เขาถอนของแต่ตัวเองยังไม่ถอนเพราะต้องอัญเชิญครูช่างกลับไปยังสถานที่เอามาอง คราวนี้มายังกระบวนพาเลทเลย พลัดกันเข้า กันออกเลยไม่รู้อะไรเป็นอะไร แม่ชีที่นั่นบอกว่าจิตเปิด และของหนูก็เยอะ คราวนี้เกิดอาการค่อนข้างจะสับสน(ช็อค) เพราะเป็นพวกห้ามยัดเยียดอะไรใส่หัวจะฟุ้งมาก อยู่กับผู้คนก็ไม่ได้เพราะยิ่งถูกกระทบก็ยิ่งอยู่ในสถาณการณ์ที่แย่กว่าเดิม แม่ชียิ่งพูดหรือคนรอบข้างยิ่งใส่อาการหนักตั้งสติไม่อยู่เลย อ้อวัดนี้เป็นแนวสมถะ เน้นการสวดมนต์ พอขึ้นไปหาหลวงพ่อท่านให้ถอนของออก และท่านก้ให้กรรมฐานมา คือ ให้ว่าง และยืน กับเดิน แต่ปัญหามันอยู่ตรงนี้และเพราะร่างกายไม่แข็งแรงพอ พอหลับก็เข้าอีก บอกตรงๆว่ายังไม่เคยเห็นตัว แต่แค่สัมผัสกลุ่มก้อนพลังงานได้และะรับรู้จากกลิ่นน้ำหมาก หรืออะไรที่ไม่มีในบริเวณนั้นแน่ๆ และที่แย่การที่ถูกครอบมันไม่สดชื่นมึนหัวทั้งวัน และตอนนี้กลับมาบ้านแล้วแต่ยังไม่ถอน เพราะมีเหตุให้เอาของไปคืนไม่ได้ในตอนนี้ แต่ตอนนี้ก็ยังถูกครอบถูกแฝงอยู่ ไม่รู้จะทำไงดี เพราะกำลังจิตและกำลังกายมีไม่พอ พูดง่ายๆว่ากลับจากวัดนี้สติเตลิด กลับมารวบรวมสติไม่อยู่ ฟุ้งจนไม่รู้จะทำไงดี พอคิดมากจิตมันเหนื่อยมันก็โยนทิ้งคราวนี้ก็มาอีกแล้ว พูดง่ายๆว่าตอนนี้เอาตัวไม่รอด ทำสมาธิได้แค่จี้จนร้อนตั้งแต่บริเวณศรีษะไล่ไปจนบริเวณหลังเพราะตั้งสติไว้ลิ้นปี แต่พอหัวร้อนๆเหมือนไออะไรออกจากหัวมันก็เบาขึ้นเยอะ (บอกตรงๆว่า ตัวเองก็ไม่อยากเชื่อถึงเรื่อง แบบนี้ ยังคิดอยูว่านี้เราจินตนาการไปเองรึเปล่า) และนี้ก็เป็นช่วงขอคำแนะนำช่วงที่ยังไม่ไม่ได้ถอนของออกควรทำไงดี และจะทำไงไมให้จิตวิญญาณพวกนี้แฝงอีก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2014, 21:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จขกท. เล่าวิธีฝึกสิครับ ฝึกยังไง ที่ว่าฝึกสติปัฏฐาน 4 น่ะ :b10:

ที่ว่าจิตวิญญาณแฝงร่าง แฝงแล้วทำให้ จขกท.มีอาการยังไง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2014, 21:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ยกให้กรัชกาย..เลย...เห็นยกตัวอย่างมาเยอะ....น่าจะประสพการณ์ตรงดี..อิอิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2014, 21:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ยกให้กรัชกาย..เลย...เห็นยกตัวอย่างมาเยอะ....น่าจะประสพการณ์ตรงดี..อิอิ



กบ ก็ว่าไปบ้างซี่ อทิสสมานกาย :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2014, 04:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จขกท. กรุณาอย่ารำคาญกรัชกายนะครับ ที่ถามจู้จี้ เรื่องพันยังงี้ ต้องรู้สาเหตุบ้าง จึงจะแก้ไขปัญหาได้ :b1:

ก่อนนี้ จขกท. เคยตั้งกระทู้ถามปัญหาเรื่องสวดมนต์แล้วนอนไม่หลับ แล้วเงียบไป :b1:

การฝึกจิตหรือจะเรียกการปฏิบัติกรรมฐาน หรือเรียกในชื่ออื่นๆอีกก็ตาม ภาวนาไป ๆๆ จนจิตร่ำๆจะเกิดสมาธิเนี่ย จะมีปรากฏการณ์แปลกๆ (ความจริงเป็นธรรมดา แต่เราไม่เคยพบก็ว่าแปลก) ปรากฏแก่ผู้ปฏิบัติ ถ้าแก้ไขถูกวิธีการปฏิบัติก็ก็ก้าวหน้าไป แต่ถ้าไม่รู้วิธีแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง เสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพจิตครับ

เบื้่องต้นนี้ เรียนเชิญ จขกท. ไปศึกษาอุปสรรคปัญหาที่นี่ก่อนก็ได้มีมากมายหลายเคส

http://group.wunjun.com/whatisnippana/3759


นำมาวางให้ดูตัวอย่างหนึ่ง

อ้างคำพูด:
- ในระหว่างนั่งสมาธิจะอันเชิญประทานโดยพระพุทธเจ้าก่อน ผมจะนับเลข ไปเรื่อย ๆ พุทโธ 1 2 3 จนถึง 1000 ช่วงแรกเลยที่หัดนั่งเมื่อต้นปี มีรูปภาพที่ di cut เรียบร้อยแล้ว ลอยไปมา ส่วนใหญ่เป็นซากโบราณสถาน ที่เก่าๆ มีรอยไหม้ ๆ

- 3 เดือนผ่านไป ผมก็ยังนั่งทุกวัน ภาพต่าง ๆ หายไปแล้ว เมื่อนั่งหลาย ๆ ชม. ขาเป็นตะคิวบ่อย ช่วงกลางคืน ตอนออกจากสมาธิมีครั้งนึง เห็นตัวเองนั่งอยู่ตรงข้าม ตกใจจนออกจากสมาธิ อันนี้เป็นครั้งเดียว มีความรู้สึกว่าอันนี้ไม่น่าจะดี

- เดือนที่ 4-5 ภาพต่าง ๆ ไม่มีล่ะ นั่งได้นานขึ้น ตอนนี้มีลักษณะแปลกออกไป เหมือนมือเรามันหายไป นึกไม่ออกเลยว่ามันยังอยู่หรือป่าว

- เดือนที่ 6 ระยะหลัง ๆ นั่งแป้บเดียว ไม่รู้สึกเลยว่า ร่างกายมันอยู่ตรงไหน เหมือนนั่งอยู่คนละมิติกับโลก อันนี้ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับผม ตะคิวก็ไม่เป็นเหมือนกับไม่รู้สึกอะไรเลย

พอนึกอยากได้ยินเสียงหัวใจ ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมา สติ ต่าง ๆ ยังอยู่ครับ ไม่ได้ทรมานแต่อย่างใด สักพักเหมือนมีอะไรสักอย่างที่ไม่เข้าใจ ไหลจากแขนขึ้นมาทั้งสองฝั่ง ไล่ไปจนถึงขาทั้งสองข้าง ผมตกใจจนต้องออกจากสมาธิ และ งง ๆ ว่านั่นคืออะไร มันเย็นๆ ว้าบๆ

วันต่อมา ก็ลองปล่อยเลยเป็นไงเป็นกัน คราวนี้ ไหลขึ้นจนถึงหัว มันสบายดีแต่ หวิว ๆ ซาบซ่า บอกไม่ถูก แต่สติยังอยู่ครบ และนั่งต่อในโหมดนี้ต่อไป ให้ความรู้สึกแบบว่า เหมือนมีอะไรมาซ้อนทับลงไปประมาณนั้นอธิบายไม่ถูก

- เดือนที่ 7 อันนี้มาแปลก การนั่งก็เหมือนเคยเหมือนโดนซ้อนทับ แต่ได้ยินเสียงใครไม่รู้ ก้องอยู่ในหู หรือเสียงหมาหอนเหมือนอยู่ใกลมากๆ ออกจากสมาธิแล้วก็ได้ยิน แถมบางทีพูดเป็นประโยคเลย บ่อยมาก ทุกวันเลย

เคยคิดว่าตัวเองคงเริ่มเพี้ยน ไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจ ก็ปกติ ไม่ได้บ้า แต่อย่างใด ช่วงหลังได้ยินเสียงว่าช่วยด้วย บ่อยมาก ตอนนั่งสมาธิในบ้าน รู้สึก ได้เลยว่า รอบรั้วบ้านมีวิญญาณยืนเต็มเลย ก็พยายามแผ่เมตตาให้ แต่วันถัดไป ยิ่งรู้สึกว่ามาเยอะกว่าเดิม มีบางทีได้ยินเกี่ยวกับเลือดนี่แหละ พอไปซื้อของแถวบ้าน คนแก่ทักว่า เคยไปบริจาคเลือดหรือยังโอ้ว ไม่เคยเลย ก็ไปบริจาคเลือดมา และอุทิศไปให้

ผม จะแก้ปัญหาเรื่องเสียงพูดที่ก้องในหูเรา ได้ยินอยู่คนเดียวได้ยังไงครับ เพราะบางครั้งผมทำงานดึก ร่างกายเหนื่อย อยากจะพักผ่อนแล้ว ก็ยังมีเสียงมารบกวนอยู่ บางทีก็มาชวนคุยเรื่องงาน บางทีก็ขอให้ช่วย บางเสียงก็ฟังแบบพูดจาไม่ค่อยชัด พอผมทำไม่สนใจ ก็ตะโกนจนนอนไม่ได้ ผมเป็นมา จะสองเดือนแล้วครับ ไปหาหมอก็ให้แต่ยานอนหลับมา





.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2014, 14:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2013, 17:07
โพสต์: 39

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
จขกท. เล่าวิธีฝึกสิครับ ฝึกยังไง ที่ว่าฝึกสติปัฏฐาน 4 น่ะ :b10:

ที่ว่าจิตวิญญาณแฝงร่าง แฝงแล้วทำให้ จขกท.มีอาการยังไง


ถ้าคิดว่าบ้าก็ไม่ว่ากัน ขนาดตัว จขกท ยังคิดว่าตัวเองบ้ารึเปล่า อยู่จะแปลงร่างเป็นพวกน่าสยองขวัญ

คือช่วงที่ผ่านมาเริ่มฝึกสติอยู่กับอาการปัจจุบันขณะเกือบตลอดเวลา แต่เป็นพวกไม่นิยมการนั่งสมาธิเท่าไร อย่างมากก็ครึ่งชม. ฝึกดูความคิด ความคิดเข้ามาโยนทิ้งดูอาการปัจจุบัน อารมณ์เข้ามา รู้ หายใจยาวๆ สองสามที โยนทิ้ง มาดูอาการปัจจุบัน พอฝึกไปเรื่อยๆ เหมือนมีกำลังกับความเบิกบานใจอยู่มากๆ จนเหมือนพลังงานเยอะมาก แต่ขณะเดียวกันเหมือนพวกอัลไซเมอร์ วางอะไรก็ลืมทิ้งหมด ก็เลยหันมาฝึกสมาธิเพิ่มเพื่อกดความเบิกบานไว้ เพราะความเบิกบานมันเหมือนทำให้สติมันขาดง่ายอีก(อธิบายไม่ถูก) ส่วนการสวดมนต์โยนทิ้งไปแล้ว ศีลโยนทิ้งไปแล้ว พระพุทธเจ้าไม่ยึดไว้ในใจแล้วแต่อยู่ข้างบนแล้ว ด้วยความเข้าใจที่ว่า สุดท้ายไม่มีอะไรเชื่อถือได้ นอกจากสัจจะธรรม สัจจะคน ความคิดกับอารมณ์เชื่อถือไม่ได้เพราะพอถูกกระทบก็เกิดการผกผันและการผันแปรไปเรื่อยๆ และการที่เสพย์ติดความสุขมันมีอยู่ในตัวทุกคนเพียงแต่การดึงของที่อยู่ภายนอกเข้ามาเสพย์มันค่อนข้างมีการเผาไหม้ที่ไม่ดี มันมีมลพิษทางอารมณ์ค่อนข้างสูง ไม่เหมือนการเสพย์อารมณ์จากสิ่งที่ตนมี อย่างที่ดูคือ พอง ยุบ มันเป็นพลังงานที่ไม่สิ้นสุด(นอกจากจะตายแล้ว) ถ้าเป็นการหาจากภายนอกก็อย่างที่เป็นกันอยู่ คือวิ่งตามหา ไขว้คว้าอะไรสักอย่างเพื่อให้ตัวเองได้รู้สึกว่ามีความสุขและมันคงจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่ยยๆ ทั้งๆช่วงเวลาการเสพย์มันน้อยมากหากเทียบกับเวลาไขว้คว้า ฯลฯ(อธิบายไม่ถูก) เป็นเหตุให้ฝึกจิต

ส่วนเหตุที่เกิดจริงคือต้นปีช่วงที่ฝึกนั้น บ้านพี่สาวจัดงานทรงเจ้า ด้วยความรู้สึกอยากเสพย์อารมณ์ภายนอกบ้าง เพราะอาการเบื่อของภายนอกที่บอกไม่ถูก โทรทัศน์ไม่ดู เพลงไม่ฟัง เน็ตไม่เล่น ฯลฯ ก้เลยไปดูพอเอาเข้าจริงๆก็ดูไม่ได้ เพราะคำถามว่าเรามาทำอะไรทีนี้ คราวนี้จบเลยดูไม่ได้ ก็เลยหนีเข้าไปนั่งจีบพลูในบ้าน แล้วคราวนี้มีร่างทรงฤาษีมาทัก เราก็ไม่สนใจ พอมารอบใหม่ เขามาจับแขน คราวนี้พวกพี่สาวเขานั่งอยู่ด้วยหลายคน ร่างทรงเขาให้อาปาก พี่สาวเขาบอกว่าปู่ให้พร ในใจไม่ได้อยากอ้าปาก เพราะร่างทรงเขาหยิบพลูขึ้นมาเคี้ยว กองเชียรอยู่ข้างๆเพียบ ก็เลยอ้าปาก ส่วนตอนที่อ้าปากนั้น ดันเกิดเหตุการณ์หนึ่งคือสมองไม่ได้คิดอะไร รู้สึกเหมือนอารมณ์มันเบาและสว่างขึ้น (อธิบายไม่ถูก) ช่วงนั้นแหละทีร่างทรงเป่าน้ำลายเข้าหน้า ส่วนตัวก็ไม่ได้คิดอะไร แค่คิดว่าเขาให้พร ก็ดี

หลังจากนั้นก็เริ่มแปลกเพราะเริ่มเข้าสมาธิไม่ถึงห้านาที ก็แค่รู้สึกฟึบ หลังตรงขึ้นทันที สมองมันนิ่งๆ
ก็ยังไม่คิดอะไร แต่พอยิ่งฝึกสมาธิมากเข้า(ไม่เกินครึ่งชม) ในเวลาปรกติมันเริ่มมีอาการหนักคอ และไม่สดชื่นมากๆจนอยากจะนอนตลอดเวลา พอเกิดอาการนี้เข้าก็เลยเลิกฝึก อย่างมากก่อนนอน 5 นาที
คราวนี้ช่วงมีนากลางเดือน น้องข้างบ้านชวนไปวัดนี้เพื่อปฏิบัติธรรม เราก็ตั้งใจว่าปลายเดือนจะไปอีกวัดที่เคยไป ก็เลยเปลี่ยนใจไปวัดนี้แทน คราวนี้ไปถึงก็รู้สึกไม่ดีเพราะกลายเป็นวัดถอนของอยากจะกลับตั้งแต่ไปถึงแต่เพราะเป็นพวกซาดิสรู้ว่าทุกข์ก็เลยอยู่ พอไปถึงก็ปิดวาจาเลย แต่ช่วง 5-6 วันตอนทำวัดเย็นช่วงสวดอิติปิโส เริ่มมีอะไรแปลกๆ กลิ่นอะไรไม่รู้ ทั้งกลิ่นน้ำหมาก กลิ่นพวกดูดใบจาก มาวน อยู่ข้างๆ ในใจยังคิดว่าจินตนาการก็สวดมนต่อ คราวนี้เช้ามาเริ่มมีเสียงซุบซิบกัน ก็เลยสงสัยแล้วก็เลยไปถามแม่ที่นั่น แต่จะว่าไปก่อนหน้านั้นไม่ว่าจะสวดมนต์หรือนั่งสมาธิ พอมือสองข้างมาประกบกันมันจะเย็นมากๆยิ่งตอนอุทิศบุญมันยิ่งเย็นมากเข้าไปอีก พอรู้เรื่องก็เลยอุทิศบุญให้หลวงพ่อไม่อุทิศญาติเลย พอไม่อุทิศก็ไม่เย็นอีก แต่นั้นคือจุดเริ่มต้นของความสัยสน เวลาทำอะไรแม่ชีจะพูดกลอกหูว่า บาป อันนี้ก็จิตตก มาเจอการปฏิบัติก็ยิ่งไปกันใหญ่เลยคนละแนว จะเอาไงดีสุดท้ายก็เลยไม่เข้ากิจกรรมนี้ แต่เพราะอยู่ที่นั้นเดือนหนึ่งก็เลยได้เรียนรู้มากขึ้นและก็สับสนกับมิติที่ไม่คิดว่ามันมีจริง มันฟุ้งหนักเพราะไม่เข้าใจกับสิ่งที่เขาพูดกัน และคำถามมันก็พุดขึ้นมาเต็มหัวไปหมด คราวนี้ยิ่งตั้งสติไม่อยู่เลย แต่เพราะอยู่ที่วัดนั้นเดือนหนึ่งก็ค่อยเรืยนรู้ ในช่วงอาทิตย์ที่สอง ช่วงที่นั่งสมาธินั่นมันเห็นเงาดำ เดินเข้าร่างแล้วตัวก็ตรงอีก ตอนนั้นถึงเข้าใจเขาสิงเป็นไง แต่หลายวันเข้า มันฝึบเข้า ฝึบออกแบบที่ไม่ได้นั่งสมาธิ ก็รับรู้ได้ชัดเจนมาก ช่วงอาทิตย์ที่สามมีพี่คนหนึ่งเขามาช่วย(แต่ทำอะไรไม่รู้) แค่เขาบอกให้ท่องว่าอย่าไปอยากมัน ยิ่งอยากยิ่งเจ็บ พอพูดจบวรรคแรกแหละก็เกิดอาการเวียนหัวทันที ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังรู้สึกสดชื่นอยู่เลย พอท่องไปไม่กีที ก็เกิดอาการร้อนแล้วง่วงมาก จนทนไม่ไหวไปนอนท่อง ยิ่งทองยิ่งร้อน หลายวันเลย กว่าจะหลุดเพราะจำได้ว่า เหมือนมีอะไรวิ่งไต่ขึ้นไปตามเส้นผม สีหน้าจากดำ ก็เปลี่ยนทันทีเป็นขาวขึ้น แล้วก็สดชื่นมาก ดึกนั้นไปนอนก็เอาอีก แม่ชีบอกว่าถ้าไม่ถอนของออกไปแล้วเดียวก็เข้าอีก ความจริงก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างมาจากที่นั่น แต่ก็มีเรื่องไม่เข้าใจอีกมากถึงได้สับสนแบบสุดๆไปเลย

ส่วนตัวที่รับรู้ได้ อาการหนักไหล่ หนักหัว จนหัวเหมือนหัวมันจะแหงนไปทางข้างหลัง กับข้างหน้าตลอด ตั้งตรงไม่ได้เมื่อยมาก ส่วนถ้าอาการไม่หนักมาก อาการหนักหัว แล้วมึนตลอดเวลา ไม่มีอารมณ์ อธิบายไม่ถูก เหมือนคลืนสมองมันราบตลอดเวลา แล้วก็อาการที่อธิบายยาก (ขนาดนี้ ยังไม่อยากเชื่อ ว่ามันมีจริง)
ส่วนเรื่องการถอนของ เขาบอกว่าหนูทำได้ แต่อย่างที่บอกกำลังไม่ถึง ตอนนี้สมาธิกระเจิดกระเจิงจนต่อไม่ติด พอรวบรวมสมาธิและสติไม่ได้ก็เลยแก้ปัญหาไม่ได้ แถมยังต้องต่อสู้กับอารมณ์ง่วง ขี้เกียจ ลังเล สงสัย ฟุ้งซ่าน ก็เลยไปไม่ถูกว่าจะเอไงดี กับตัวเอง พอเริ่มภาวนา ก้เริ่มง่วงถึงขึ้นง่วงมาก ไม่รู้จะเอาอุบายมาใช้เพื่อให้เกิดกำลังกายในการต่อสู้กับอารมณ์พวกนี้แล้ว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2014, 15:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อธรรม เขียน:
กรัชกาย เขียน:
จขกท. เล่าวิธีฝึกสิครับ ฝึกยังไง ที่ว่าฝึกสติปัฏฐาน 4 น่ะ :b10:

ที่ว่าจิตวิญญาณแฝงร่าง แฝงแล้วทำให้ จขกท.มีอาการยังไง


ถ้าคิดว่าบ้าก็ไม่ว่ากัน ขนาดตัว จขกท ยังคิดว่าตัวเองบ้ารึเปล่า อยู่จะแปลงร่างเป็นพวกน่าสยองขวัญ

คือช่วงที่ผ่านมาเริ่มฝึกสติอยู่กับอาการปัจจุบันขณะเกือบตลอดเวลา แต่เป็นพวกไม่นิยมการนั่งสมาธิเท่าไร อย่างมากก็ครึ่งชม. ฝึกดูความคิด ความคิดเข้ามาโยนทิ้งดูอาการปัจจุบัน อารมณ์เข้ามา รู้ หายใจยาวๆ สองสามที โยนทิ้ง มาดูอาการปัจจุบัน พอฝึกไปเรื่อยๆ เหมือนมีกำลังกับความเบิกบานใจอยู่มากๆ จนเหมือนพลังงานเยอะมาก แต่ขณะเดียวกันเหมือนพวกอัลไซเมอร์ วางอะไรก็ลืมทิ้งหมด ก็เลยหันมาฝึกสมาธิเพิ่มเพื่อกดความเบิกบานไว้ เพราะความเบิกบานมันเหมือนทำให้สติมันขาดง่ายอีก(อธิบายไม่ถูก) ส่วนการสวดมนต์โยนทิ้งไปแล้ว ศีลโยนทิ้งไปแล้ว พระพุทธเจ้าไม่ยึดไว้ในใจแล้วแต่อยู่ข้างบนแล้ว ด้วยความเข้าใจที่ว่า สุดท้ายไม่มีอะไรเชื่อถือได้ นอกจากสัจจะธรรม สัจจะคน ความคิดกับอารมณ์เชื่อถือไม่ได้เพราะพอถูกกระทบก็เกิดการผกผันและการผันแปรไปเรื่อยๆ และการที่เสพย์ติดความสุขมันมีอยู่ในตัวทุกคนเพียงแต่การดึงของที่อยู่ภายนอกเข้ามาเสพย์มันค่อนข้างมีการเผาไหม้ที่ไม่ดี มันมีมลพิษทางอารมณ์ค่อนข้างสูง ไม่เหมือนการเสพย์อารมณ์จากสิ่งที่ตนมี อย่างที่ดูคือ พอง ยุบ มันเป็นพลังงานที่ไม่สิ้นสุด(นอกจากจะตายแล้ว) ถ้าเป็นการหาจากภายนอกก็อย่างที่เป็นกันอยู่ คือวิ่งตามหา ไขว้คว้าอะไรสักอย่างเพื่อให้ตัวเองได้รู้สึกว่ามีความสุขและมันคงจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่ยยๆ ทั้งๆช่วงเวลาการเสพย์มันน้อยมากหากเทียบกับเวลาไขว้คว้า ฯลฯ(อธิบายไม่ถูก) เป็นเหตุให้ฝึกจิต

ส่วนเหตุที่เกิดจริงคือต้นปีช่วงที่ฝึกนั้น บ้านพี่สาวจัดงานทรงเจ้า ด้วยความรู้สึกอยากเสพย์อารมณ์ภายนอกบ้าง เพราะอาการเบื่อของภายนอกที่บอกไม่ถูก โทรทัศน์ไม่ดู เพลงไม่ฟัง เน็ตไม่เล่น ฯลฯ ก้เลยไปดูพอเอาเข้าจริงๆก็ดูไม่ได้ เพราะคำถามว่าเรามาทำอะไรทีนี้ คราวนี้จบเลยดูไม่ได้ ก็เลยหนีเข้าไปนั่งจีบพลูในบ้าน แล้วคราวนี้มีร่างทรงฤาษีมาทัก เราก็ไม่สนใจ พอมารอบใหม่ เขามาจับแขน คราวนี้พวกพี่สาวเขานั่งอยู่ด้วยหลายคน ร่างทรงเขาให้อาปาก พี่สาวเขาบอกว่าปู่ให้พร ในใจไม่ได้อยากอ้าปาก เพราะร่างทรงเขาหยิบพลูขึ้นมาเคี้ยว กองเชียรอยู่ข้างๆเพียบ ก็เลยอ้าปาก ส่วนตอนที่อ้าปากนั้น ดันเกิดเหตุการณ์หนึ่งคือสมองไม่ได้คิดอะไร รู้สึกเหมือนอารมณ์มันเบาและสว่างขึ้น (อธิบายไม่ถูก) ช่วงนั้นแหละทีร่างทรงเป่าน้ำลายเข้าหน้า ส่วนตัวก็ไม่ได้คิดอะไร แค่คิดว่าเขาให้พร ก็ดี

หลังจากนั้นก็เริ่มแปลกเพราะเริ่มเข้าสมาธิไม่ถึงห้านาที ก็แค่รู้สึกฟึบ หลังตรงขึ้นทันที สมองมันนิ่งๆ
ก็ยังไม่คิดอะไร แต่พอยิ่งฝึกสมาธิมากเข้า(ไม่เกินครึ่งชม) ในเวลาปรกติมันเริ่มมีอาการหนักคอ และไม่สดชื่นมากๆจนอยากจะนอนตลอดเวลา พอเกิดอาการนี้เข้าก็เลยเลิกฝึก อย่างมากก่อนนอน 5 นาที
คราวนี้ช่วงมีนากลางเดือน น้องข้างบ้านชวนไปวัดนี้เพื่อปฏิบัติธรรม เราก็ตั้งใจว่าปลายเดือนจะไปอีกวัดที่เคยไป ก็เลยเปลี่ยนใจไปวัดนี้แทน คราวนี้ไปถึงก็รู้สึกไม่ดีเพราะกลายเป็นวัดถอนของอยากจะกลับตั้งแต่ไปถึงแต่เพราะเป็นพวกซาดิสรู้ว่าทุกข์ก็เลยอยู่ พอไปถึงก็ปิดวาจาเลย แต่ช่วง 5-6 วันตอนทำวัดเย็นช่วงสวดอิติปิโส เริ่มมีอะไรแปลกๆ กลิ่นอะไรไม่รู้ ทั้งกลิ่นน้ำหมาก กลิ่นพวกดูดใบจาก มาวน อยู่ข้างๆ ในใจยังคิดว่าจินตนาการก็สวดมนต่อ คราวนี้เช้ามาเริ่มมีเสียงซุบซิบกัน ก็เลยสงสัยแล้วก็เลยไปถามแม่ที่นั่น แต่จะว่าไปก่อนหน้านั้นไม่ว่าจะสวดมนต์หรือนั่งสมาธิ พอมือสองข้างมาประกบกันมันจะเย็นมากๆยิ่งตอนอุทิศบุญมันยิ่งเย็นมากเข้าไปอีก พอรู้เรื่องก็เลยอุทิศบุญให้หลวงพ่อไม่อุทิศญาติเลย พอไม่อุทิศก็ไม่เย็นอีก แต่นั้นคือจุดเริ่มต้นของความสัยสน เวลาทำอะไรแม่ชีจะพูดกลอกหูว่า บาป อันนี้ก็จิตตก มาเจอการปฏิบัติก็ยิ่งไปกันใหญ่เลยคนละแนว จะเอาไงดีสุดท้ายก็เลยไม่เข้ากิจกรรมนี้ แต่เพราะอยู่ที่นั้นเดือนหนึ่งก็เลยได้เรียนรู้มากขึ้นและก็สับสนกับมิติที่ไม่คิดว่ามันมีจริง มันฟุ้งหนักเพราะไม่เข้าใจกับสิ่งที่เขาพูดกัน และคำถามมันก็พุดขึ้นมาเต็มหัวไปหมด คราวนี้ยิ่งตั้งสติไม่อยู่เลย แต่เพราะอยู่ที่วัดนั้นเดือนหนึ่งก็ค่อยเรืยนรู้ ในช่วงอาทิตย์ที่สอง ช่วงที่นั่งสมาธินั่นมันเห็นเงาดำ เดินเข้าร่างแล้วตัวก็ตรงอีก ตอนนั้นถึงเข้าใจเขาสิงเป็นไง แต่หลายวันเข้า มันฝึบเข้า ฝึบออกแบบที่ไม่ได้นั่งสมาธิ ก็รับรู้ได้ชัดเจนมาก ช่วงอาทิตย์ที่สามมีพี่คนหนึ่งเขามาช่วย(แต่ทำอะไรไม่รู้) แค่เขาบอกให้ท่องว่าอย่าไปอยากมัน ยิ่งอยากยิ่งเจ็บ พอพูดจบวรรคแรกแหละก็เกิดอาการเวียนหัวทันที ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังรู้สึกสดชื่นอยู่เลย พอท่องไปไม่กีที ก็เกิดอาการร้อนแล้วง่วงมาก จนทนไม่ไหวไปนอนท่อง ยิ่งทองยิ่งร้อน หลายวันเลย กว่าจะหลุดเพราะจำได้ว่า เหมือนมีอะไรวิ่งไต่ขึ้นไปตามเส้นผม สีหน้าจากดำ ก็เปลี่ยนทันทีเป็นขาวขึ้น แล้วก็สดชื่นมาก ดึกนั้นไปนอนก็เอาอีก แม่ชีบอกว่าถ้าไม่ถอนของออกไปแล้วเดียวก็เข้าอีก ความจริงก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างมาจากที่นั่น แต่ก็มีเรื่องไม่เข้าใจอีกมากถึงได้สับสนแบบสุดๆไปเลย

ส่วนตัวที่รับรู้ได้ อาการหนักไหล่ หนักหัว จนหัวเหมือนหัวมันจะแหงนไปทางข้างหลัง กับข้างหน้าตลอด ตั้งตรงไม่ได้เมื่อยมาก ส่วนถ้าอาการไม่หนักมาก อาการหนักหัว แล้วมึนตลอดเวลา ไม่มีอารมณ์ อธิบายไม่ถูก เหมือนคลืนสมองมันราบตลอดเวลา แล้วก็อาการที่อธิบายยาก (ขนาดนี้ ยังไม่อยากเชื่อ ว่ามันมีจริง)
ส่วนเรื่องการถอนของ เขาบอกว่าหนูทำได้ แต่อย่างที่บอกกำลังไม่ถึง ตอนนี้สมาธิกระเจิดกระเจิงจนต่อไม่ติด พอรวบรวมสมาธิและสติไม่ได้ก็เลยแก้ปัญหาไม่ได้ แถมยังต้องต่อสู้กับอารมณ์ง่วง ขี้เกียจ ลังเล สงสัย ฟุ้งซ่าน ก็เลยไปไม่ถูกว่าจะเอไงดี กับตัวเอง พอเริ่มภาวนา ก้เริ่มง่วงถึงขึ้นง่วงมาก ไม่รู้จะเอาอุบายมาใช้เพื่อให้เกิดกำลังกายในการต่อสู้กับอารมณ์พวกนี้แล้ว



อ้างคำพูด:
ช่วงที่ผ่านมาเริ่มฝึกสติอยู่กับอาการปัจจุบันขณะเกือบตลอดเวลา แต่เป็นพวกไม่นิยมการนั่งสมาธิเท่าไร อย่างมากก็ครึ่งชม. ฝึกดูความคิด ความคิดเข้ามาโยนทิ้งดูอาการปัจจุบัน อารมณ์เข้ามา รู้ หายใจยาวๆ สองสามที โยนทิ้ง มาดูอาการปัจจุบัน พอฝึกไปเรื่อยๆ เหมือนมีกำลังกับความเบิกบานใจอยู่มากๆ จนเหมือนพลังงานเยอะมาก แต่ขณะเดียวกันเหมือนพวกอัลไซเมอร์ วางอะไรก็ลืมทิ้งหมด



หากกรัชกายจะพูดว่า วิธีที่ จขกท.ฝึกนั้น ไม่ถูกต้อง จะโกรธไหม

ก็เล่นไปโยนความคิดทิ้ง คิดอะไรก็โยนทิ้งๆๆๆๆ ไปฝืนธรรมชาติแล้ว หน้าที่ของจิต (ธรรมชาติ) มันต้องคิด เมื่อหน้าที่ของมันคือคิดอารมณ์ พอมันคิดๆๆ เราก็โยนความคิดทิ้งๆๆ (ปัดสลัดความคิด) ก็นั่งโยน นั่งปัดกันอยู่นั่น เพราะมันคิดทั้งวัน ถูกไหมครับ :b1: ผลที่เกิดจากการปัดความคิด ก็คือ

อ้างคำพูด:
เหมือนพวกอัลไซเมอร์ วางอะไรก็ลืมทิ้งหมด


ท่านให้ฝึกจิต คือฝึกให้มันคิดอยู่กับอารมณ์ที่เรากำหนดให้มันคิดอยู่ เช่น ลมหายใจเข้า/ออก เช่น อาการท้องพอง/ท้องยุบ หรือการนับเลข ฯลฯ ตามดูรู้ทันมัน นี่ตอนหนึ่ง


อีกตอนหนึ่ง ที่ว่า ผีเข้าเจ้าสิงนั่น เป็นผลจากการฝึกทำนั่นด้วย

ดูแล้วไม่ง่ายที่จะแก้ไขครับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2014, 20:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2013, 17:07
โพสต์: 39

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดูแล้วไม่ง่ายที่จะแก้ไขครับ :b1:[/quote]

มันไม่ได้ปัดขนาดทั้งวัน เพียงแต่พอคิดก็รู้ว่าคิดมันก็มันก็วางเอง พออารมณ์เข้ามาก็รู้ว่ามันเป็นอารมณ์อะไรมันก็วางเองไม่ได้เก็บเข้าใส่ในใจอีก ยืน เดิน หยิบ จับ รู้หมดเพราะภาวนาตลอด แต่ดันไม่จำสิ่งที่ผ่านมาแล้ว มันไม่ทุกข์ มันมีแต่ความเบิกบาน พออะไรมากระทบ รู้แล้วก็วางเอง ยิ่งฝึกยิ่งเหมือนพวกไฮเปอร์ ก็เลยต้องเอาสมาธิเข้ามาฝึกให้มากขึ้นข่มอาการไฮเปอร์กับอัลไซเมอร์ เพราะไม่เริ่มฝึกจากอาการช้าๆมันเลยรู้สึกว่าไม่พอกิน

ถ้าบอกว่าที่ฝึกมาผิดแล้วฝึกอะไรถึงจะถูก ไม่ได้โกรธนะแต่กำลังจะหาทางออกให้ตนเอง

และทีเกิดง่วงตลอดเวลาทั้งที่เริ่มภาวนาละจะแก้ยังไง ตอนอยู่วัดต้องไปทำงานขัดส้วมให้เหงื่อออก หรือไปขัดโน้นนี้ นั้น ตลอดเวลา (งานใช้แรง) พอนังสมาธิก็ดูเวทนา อาการอะไรเกิดให้ให้เอาจิตไปไว้ตรงนั้นจนกว่าเวทนาจะหายไป แล้วก็มีสติไม่เข้าในส่วนสมาธิแต่เข้าไปในส่วนเวทนาต่อ เพียงแต่มันค่อนข้างเหนื่อยตรงที่เวลาทำแบบนี้เหงื่อจะออกเยอะมาก พูดง่ายๆว่าเปียกทั้งตัว พอนั่งนิ่งๆสมาธิมันถอนออก พูดง่ายๆว่าล้า พอนอนก็หมดสภาพ ไม่เหมือนกับที่เคยฝึกมา ออกจากสมาธิก็ยังสดชื่น นอนแค่ 5 นาที ก็เหมือนชาจพลังเต็มที่ และไม่เคยเกิดอาการง่วง หรืออาการเหมือนมีอะไรครอบหัว หนักหัว พอเป็นหนักเข้าขี่รถอยู่ดีๆก็งงหัว พอเริ่มภาวนาก็เอาเลย จนเกือบโดนรถสอยเอาไปกิน

ส่วนสมถะที่เจอนั้น ให้เอาจิตไว้กับองค์ภาวนา จนกว่าองค์ภาวนาจะหายไป พอหายไปให้เอาจิตจดจ่อกับความว่างนั้นจดจ่อไปเรื่อยๆ

ส่วนมิติลี้ลับก็ไม่อยากไปยุ่งกับมัน เพราะเรื่องนี้ไม่เจอเองไม่มีทางเชื่อ ขนาดโดนเองแต่มันไม่ชัดเจนก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ยังต้องกลับมาถามตัวเองหาเหตุผลมาขัดแย้งกับสิ่งที่เจอ ต้องทัดทานกับความคิดตลอด มีหลายครั้งที่บอกตัวเองหลายครั้งถ้าไม่เห็นแบบชัดๆจัดแจ้งกับตาก็อย่าไปเชื่อ แต่โดนกรอกหูมาเยอะก็เลยยาวเลยและ ยิ่งสงสัยมันยิ่งคำถามยิ่งพุดขึ้นมาเต็มไปหมด คืออะไร ทำไม ฯลฯ

แต่ที่สำคัญคืออาการง่วง ต้องหาวิธีแก้ไขอย่างด่วน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2014, 21:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกายไม่มีอะไรแนะนำ จขกท. :b1:

แต่จะขอเตือนนักภาวนาทั้งหลาย หากได้ยินใครๆพูดว่า ปฏิบัติธรรม (ฝึกจิต) เจริญสมาธิ ฝึกกรรมฐาน หรือในชื่ออื่นทำนองนี้ ว่าดีเหลือเกิน ดียังงั้นยังงี้ พิจารณาให้จงดี เริ่มต้นให้ถูกวิธี พิจารณาผู้พูดดีๆ ว่ารู้จริงหรือไม่ :b14:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2014, 21:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 08:10
โพสต์: 2830

แนวปฏิบัติ: ขันธ์5ด้วยการสังเกตุ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และอินทรีย์22
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระสุตตันตปิฎก
อายุ: 0
ที่อยู่: ระยอง อุบลราชธานี

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับคุณอธรรม
เท่าที่อ่านดูประสบการณ์ของคุณอธรรม ความเห็นผมยังคงบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับของเข้าตัว
แต่ที่สงสัยคือ คุณอธรรมอาจจะมีเรื่องของสุขภาพ
เช่น ความดัน หรืออื่นๆ

ลองเช็คสุขภาพดูก่อนไหมครับ

.....................................................
อย่าท้อถอยต่อการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ความขุ่นเคืองเข้าแทรก สร้างพลังด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า รำลึกและตอบแทนพระคุณมารดา และบิดา มองโลกด้วยใจเป็นกลาง ระลึกเสมอว่าเรายังด้อยปัญญาหากยังไม่ได้ปัญญา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2014, 22:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
กรัชกายไม่มีอะไรแนะนำ จขกท. :b1:

แต่จะขอเตือนนักภาวนาทั้งหลาย หากได้ยินใครๆพูดว่า ปฏิบัติธรรม (ฝึกจิต) เจริญสมาธิ ฝึกกรรมฐาน หรือในชื่ออื่นทำนองนี้ ว่าดีเหลือเกิน ดียังงั้นยังงี้ พิจารณาให้จงดี เริ่มต้นให้ถูกวิธี พิจารณาผู้พูดดีๆ ว่ารู้จริงหรือไม่ :b14:


:b13: :b13: :b13:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 10 พ.ค. 2014, 05:32, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2014, 22:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณ จขกท. ขาดสติสัมปชัญญะ...ครับ
ดูเหมือนคำพูดนี้จะรุนแรงไป....แต่..ตรงและ..สั้น...ที่สุดแล้วครับ

จิตนี้มหัศจรรย์..มาก...มันสร้างภพเฉพาะตัวมันเอง....ก็ได้
บางคนเลี้ยงปลาเป็นกิจวัตร...ตายไปก็ยังเลี้ยงปลาอยู่นั้นแหละ...น้ำก็น้ำจริงๆ..ปลาที่ดำพุดดำว่ายก็เป็นปลานี้แหละ....เขาก็นั่งดูปลา..ให้อาหารปลาอยู่นั้น....เขาก็คิดว่าเขาเลี้ยงปลาจริงๆด้วยนะ....ใครไปบอกเขายังงัย....ก็ไม่ได้ยิน.ถึงได้ยินเขาก็ไม่เชื่อ...เขาแยกไม่ออก...ทุกอย่างก็เหมือนเป็นจริงสำหรับเขาไปหมด.....นี้เรื่องจริงนะ...

คนโดนผีอำ....ส่วนใหญ่....จะอยู่ในช่วงเคลิ่มๆ....แต่ตายังเห็นอยู่..หรือหูยังได้ยินอยู่...แต่เขาไม่รู้ตัว..ว่าบางส่วนได้หยุดทำงานลงไปแล้ว...ทำให้ส่วนที่ยังตื่นอยู่...ทำงานแปลผลจากผัสสะได้ไม่สมบูรณ์..ผิดเพี้ยนไป....ผลอาจจะกลายไปว่าเห็นนั้นเห็นนี้..ทั้งๆ..ที่มันไม่ใช่ความจริง...อย่างผมเห็นว่าวที่ประดับฝาผนังกลายเป็นมังกรเลื้อยมาพันตัวผม..อึดอัดหายใจไม่ออก...เพื่อนๆก็นั่งอยู่เต็มห้อง...เห็นหมดว่าใครทำอะไร...ใครพูดว่าอะไร...อันอื่นจริงหมด..แต่มังกรนี้เป็นผลของการประมวลผลจากจักษุวิญญาณที่ผิดเพี้ยนไป....นี้เป็นต้น

คนทำสมาธิบางคน...ทำได้หลายชั่วโมง..ทั้งคืนก็ยังมี...เขาก็ว่าตัวเองอยู่ในสมาธิตลอดเลยนะ...สติสมบูรณ์...ว่าอย่างนั้นนะ....แต่เขาหลับใน....เขาก็ไม่รู้ตัวนะ....คนข้างๆบอกว่าเขากรนด้วย...ยังเถียง..แถมว่าตัวเองมีสติรู้ตัวตลอดเวลาเลย...เขาไม่เชื่อว่าเขาหลับ....ผ่านไปเนินนาน...จนเขาจับอาการจุดสังเกตว่าจุดนี้เลยไปจะหลับในได้....เขาถึงรู้ว่าที่ผ่านๆมา..เขาขาดสติสัมปชัญญะ...นั้นเอง

จิตนี้มหัศจรรย์..นะ...มันสร้างภพภาวะ..ว่าตัวเองอยู่ในสมาธิ...ก็ได้

นี้เล่าเรื่องให้ฟังเป็นอุทาหรณ์นะครับ.....ไม่ได้สอนสั่งอะไรนะ

:b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2014, 09:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2013, 17:07
โพสต์: 39

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ
เรื่องสติสัมปชัญญะขาดจริงแหว่งวิ่นจนต่อไม่ติดเลย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2014, 14:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


ไม่รู้คุณอธรรม เจ้าของกระทู้เคยได้ยินคำว่า "ญาณผ่าน" รึเปล่านะครับ
จะคล้ายๆ ร่างทรงบ้างบางที อ่อบางทีก็เรียกว่า "ญาณแฝง" บ้างก็มี
จะไม่ใช่ร่างทรงเสียทีเดียว ไม่ต้องสั่นรอองค์ประทับ คนทีี่มีของส่วนใหญ่
ถ้ามีญาณผ่าน มีครูบาอาจารย์คุ้มครอง ก็เหมือนจะสื่อกับเทพ กับพ่อครู
พ่อช่าง พ่อปู่ แล้วแต่ชื่อที่เรียกกันนะครับ

เวลาสื่อก็จะ นำสิ่งที่รู้ เขาเลยเรียกว่าญาณ ส่่วนผ่านคือ ไม่ได้เป็นความรู้
ที่เรามโนเอง ขึ้นมา แล้วแต่ด้วยว่า จะเป็นสายไหน สายรักษาช่วยเหลือคน
สายปฏิบัติ สายแก้สายปราบ สายแนะนำสั่งสอน ขึ้นอยู่กับ ญาณที่ผ่าน
แล้วนำสิ่งที่รู้ที่เห็น มาแก้ไข ช่วยเหลือตนเองและคนอื่นๆ ได้

ส่วนใหญ่เป็นคนที่มีบุญวาสนา สมาธิจิตดี เป็นของเก่า พูดแบบสมัยใหม่
ก็คือองค์ความรู้หลากหลายก็มี เฉพาะทางก็มี ในการรู้ต้นสายปลายเหตุ
รู้ที่มาที่ไปของปัญหา อย่างคุณโยม ผู้ทรงคุณวุฒิแนะนำ ให้แก้ปัญหา
ของจิตที่ขาดสมาธิ ขาดสติสัมปชัญญะ นี่ก็เป็นลักษณะหนึ่ง เป็นความรู้
ที่เกิดจากการสั่งสม เป็นทั้งการประมวลความรู้ความเข้าใจต่างๆ แล้วนำมา
แนะนำแก่ญาติธรรมที่ประสบปัญหา หรือขาดความเข้าใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้น


พุทธฏีกาก็ไม่ไ้ด้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิมีความรู้ในเรื่อง วิญญาณแฝงนี้โดยตรงนะครับ
แต่อาศัยคลุกคลี มีกัลยาณมิตรสายบุญ สายนี้อยู่บ้าง บวกกับตอบคำถามหน้าไมค์
หลังไมค์อยู่เป็นปกติ เลยพอรู้มาแบบสั่งสมมา คนที่มีสิ่งเร้าเหล่านี้เกิดขึ้นในชีวิต
จะแยกเป็นสองกลุ่มหลักๆ คือ ปฏิเสธแต่มีใจสงสัย กับรับเชื่อศรัทธาในสิ่งเหล่านั้น

ก่อนจะไปพูดถึงบุคคลสองกลุ่ม ขอพูดถึงทางหลักวิทยาศาสตร์ของสมอง ของจิต
การทำงานของสมองส่วน ที่เรียกว่า ไฮโปทาลามัส (hypothalamus) และ
ต่อมใต้สมองส่วนหน้า พิทูอิทารี (Pituitary) เป็นสองจุดหลักที่มีผลต่อการรับรู้
ทางประสาทสัมผัส อารมณ์ความรู้สึก ความคิด การได้ยิน การมองเห็น หรือมี
ซิกเซ้นส์สูงกว่าคนปกติ โดยมีสารที่เรียกว่า โดปามีน (dopamine)

รูปภาพ



ข้อมูลความรู้เรื่อง โดพามีน (Dopamine)
หรือ สารสื่อประสาท และถูกค้นพบโดย Arvid Carlsson

เกิดเมื่อวันที่ 25 มกรคม ค.ศ.1923 ที่เมือง Uppsala ประเทศสวีเดน เขาเป็นผู้ผู้ค้นพบสารโดปามีนเมื่อช่วงทศวรรษ 1950
และยังพบว่าการให้สารตั้งต้นของโดปามีน คือ L-dopa สามารถรักษาอาการของโรคพาร์กินสันได้ จากผลงานนี้เองทำให้
Arvid Carlsson ได้รับรางวัลโนเบลในปี ค.ศ. 2000


โดปามีน (dopamine) สารเคมีในสมองที่จัดอยู่ในกลุ่มแคทีโคลามีน สร้างมาจากกรดอะมิโนชนิดไทโรซีน
โดยอาศัยการทำงานของเอนไซม์ไทโรซีนไฮดร็อกซิเลส เป็นทั้งสารสื่อประสาทที่คอยกระตุ้น
โดพามีนรีเซพเตอร์ (dopamine receptor) และเป็นฮอร์โมนที่หลั่งมาจากไฮโปทาลามัส (hypothalamus)
โดยเมื่อโดปามีนถูกหลั่งออกมาแล้วจะส่งผลต่ออารมณ์ให้มีความตื่นตัว กระฉับกระเฉง มีสมาธิมากขึ้น
และไวต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ รอบตัว ในทางกลับกัน หากร่างกายมีสารโดปามีนในสมองมากเกินไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมองส่วนฟรอนทัล ซึ่งสมองส่วนนี้ทำหน้าที่เกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด
การเรียนรู้ ความจำ ก็จะทำให้เกิดอาการป่วยทางจิต ซึ่งผู้ป่วยโรคจิตเภทจะมีระดับโดปามีนในสมองมากกว่าคนปกติ


_______________________________________________________________________________
อาร์เวิด คาร์สัน. ๒๕๕๖. โดปามีน.(ออนไลน์). แหล่งที่มา :

http://larndham.org/index.php?/topic/43 ... _p__808152 . ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๗.



ญาติธรรมพุทธฏีกา มีทุกเพศทุกวัย ที่มีสัมผัสยุ่งเหยิงวุ่นวาย หนักบ้าง เบาบ้าง
ตามที่เกริ่นมา แบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก คือ ปฏิเสธแต่มีใจสงสัย กับรับเชื่อศรัทธาในสิ่งเหล่านั้น

ในรายใหม่ๆ น้องใหม่ ที่กำลังจะเข้าไปใกล้ สิ่งเร้้า คำบอกเล่าบอกกล่าว
จากบุคคลรอบข้าง หรือสิ่งเร้าจากภายในใจเราเอง เป็นสองปัจจัยหลักที่ทำให้
คนที่มี สัมผัส ทางด้านนี้ จะมีอาการสะสม ทางแพทย์เรียก จิตเภท พุทธฏีกา
เห็นว่า ความจริง ทั้งสองกลุ่มเป็นจิตเภทโดยปกติธรรมชาติของทั้งสองกลุ่ม

แต่การเฝ้าสังเกตุ ทดลองสอบถาม ก็ได้คำตอบพออ้างอิงได้ ก็คือ ในกลุ่มที่
รับเชื่อและศรัทธาในสิ่งเหล่านั้น จะนำสิ่งที่ผุดขึ้นในหัว ได้ยิน หรือเห็น มาใช้ให้เป็นประโยชน์


บางคน เกิดขึ้นเองโดยไม่ตั้งใจ บางคนเกิดขึ้นเพราะอยากรู้อยากเห็นอยากให้เกิด!
ทั้งๆ ที่มีธรรมชาติของร่างกาย ของสมอง มีสารสื่อประสาท โดพามีนที่ยืนพื้น
อยู่แล้วแต่จะ หลีกหนี หรือยอมรับ และเรียนรู้ที่จะอยู่กับ สิ่งเหล่านั้นให้ได้นั่นเอง

ในรายน้องใหม่ ส่วนใหญ่้ถ้าอยู่กลุ่มปฏิเสธแต่ผูกใจสงสัยไว้ ก็จะเหมือนญาติธรรม
สตรีคนหนึ่งในเชียงใหม่ มาปรับแต่งจูนเครื่อง คล้ายๆ กับว่า สิ่งที่ผ่าน ญาณที่แฝง
ยังไม่ใช่พ่อครู พ่อช่าง ไม่ใช่พ่อปู่ แม่ๆ ที่เหมาะกับพิมพ์เขียวในจิตใจ

นอกจากยังไม่เหมาะ ขนาดที่ยัง สงสัยว่า มีอะไรหรือไม่มีอะไร จะเอาออกหรือไม่เอาออก
นั้นก็ทำให้ ญาติธรรมพุทธฏีกา พูดภาษาที่เรียกกันว่าเทพ สื่อบอกนู้นนั่นนี่ แต่เจ้าตัว
ก็ไม่รู้ว่าพูดอะไร อยู่นานสองนาน ถ้ามีสติดี ค้าขายไม่เงียบ จิตใจร่าเริง ก็จะไม่ง่วง
ไม่หาวบ่อย ไม่เพลีย ไม่หนักคอ เกร็งบ่าเกร็งหัวไหล่ มึนเจ็บหน้าพาก เหม็นกลิ่นสาป
หายใจไม่ค่อยออก นี่ก็เป็นอาการช่วงแรกๆ ถ้าพูดภาษาคนมีของก็ว่า ยังแต่งเครื่อง
กันไม่ลงสนิทดี จูนกันยังไม่ได้ เอาเป็นวิชาการก็คล้ายๆ ว่า สมองซีกซ้ายซีกขวา
ยังตีกัน ยังสับสน ในกลุ่มปฏิเสธแต่ผูกใจสงสัย นั่นแปลว่ายังกลับใจไปๆ มาๆ ได้นั่นเอง


ที่นี้พูดถึงเรื่อง ชอบลอง ขาลุย ไปสู้ปฏิบัติธรรมมา ขออนุโมทนาสาธุ รวมถึงเรื่องที่เล่า
เกี่ยวกับประสบการณ์การปฏิบัติ อ่านแล้วชอบ ถ้าสมมตินะครับ สมมติจะให้ทัก ก็จะทักว่า
ที่แฝงดำๆ เข้าๆ ออกๆ เต็มไปหมด ก็บอกได้เลย พวกขอส่วนบุญ ถ้าเปรียบเทียบปริมาณ
คนรวยกะคนจน คนมีบุญกะไม่มีบุญ คนไม่มีเลยเยอะ แล้วใครละ จะแมท จะเหมาะสุด
ก็ต้องคนที่มี โดพามีนในสมองสูงๆ หลายคน เห็นเอาตอนกึ่งหลับกึ่งตื่น ทางตา

บางคนไปแมท ไปเหมาะเจาะเอาตอนได้คลื่น ที่มาในรูปของลม กระทบเข้าประสาททางจมูก
ก็ได้กลิ่นหอมบ้าง กลิ่นเหม็นบ้าง แล้วแต่ อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดจะีตีความ

ดังนั้นการเห็น การรู้สึกมีอะไรวูบเข้าวูบออก ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรสำหรับคนที่ มีแนวโน้ม
ในเรื่องของ มีปริมาณสารสื่อประสาท (โดพามีน)สูง นอนน้อย คร่ำเคร่ง จัดสรรเวลา
กิจกรรมผักผ่อน บันเทิง หลับนอน ให้ตัวเองไม่ดีพอ ก็มีโอกาส จะเหนื่อยจะเพลีย และ
ยิ่งนำมาซึ่งความไม่รู้ ไ่ม่เท่าทันต่อประสาทสัมผัสต่างๆ เพราะมี ตัวกรองความคิดที่ยัง
กรองอะไรคืออะไรยังไม่ได้ ถ้ามีชุดกรองความคิด ต่อให้เห็น ได้ยิน รู้สึกสัมผัส ในการ
เจริญสติปัฏฐาน สิ่งเหล่านั้นก็สักแต่ว่า กาย เวทนา จิตไปก็เท่านั้นเอง เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น
สัมผัสรู้สึกคิดนึกเหล่านั้น ล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

เหมือนที่คุณอธรรม เจ้าของกระทู้ เห็นความคิดเ้ข้าแล้ว แต่ความเกิดความดับยังไม่ชัด
โม้เสียยืดยาว ทิฏฐิจริต ถึงจะดูจิตเห็นจิตเลยความจริงก็สมควร แต่ถ้า่ร่างกาย จิตใจ
สิ่งรุมเร้ายังไม่เบาบางลง ความอิ่ม ความกระปี้กระเปร่ายังไม่มา

ก็อยากให้ ผ่อนคลายตัวเองลงอีกนิดนึง พอจิตตั้งมั่นมากขึ้น เวลาที่จิตมีความคิดอะไร
ซ้อนขึ้นมา ผุดขึ้นมา นอกไปจากการรู้ กาย(อริยาบถต่างๆ ลมหายใจ พองยุบ) เวทนา
(อารมณ์พอใจ ไม่พอใจ เฉยๆ) จิต(คิดก็รู้,ไม่คิดก็รู้) มีสัมปชัญญะรู้ตัวรู้ใจเอาไว้มากๆ
แบบผ่อนคลาย ทำแบบที่โสมนัส ปิติสุข เย็นๆ สบายๆ เกิดง่าย ก็ค่อยไปดูไตรลักษณ์
ดูความไม่แน่ไม่นอน แปรปรวนเปลี่ยนแปลงของสภาวะอารมณ์ ของจิต

โดยสรุป อาการวูบเข้าวูบออก เป็นความรู้สีกทางระบบประสาท และการคัดกรองข้อมูล
ภายในสมองของเรา ว่าเป็นตัวตนอะไร หรือว่าเป็นเพียงธรรมชาติยุ่งเหยิงในการรับรู้
ทางตา ทางหู ทางอารมณ์ความรู้สีกนึกคิดของเรา ไม่ว่าจะสภาพตัวดำๆ หรือสภาพ
ธรรมชาติเช่นนั้นเองของเรา จึงไม่ใช่อาการวูบเข้าวูบออก หรือมีญาณแฝงอะไรเลย

เหนื่อยๆ ก็มา สับสนฟุ้งซ่านก็มารุมเร้า กินโต๊ะจีน ร่าเริงเบิกบาน สงบก็ไม่มีอาการดำๆ
วูบเข้าวูบออก ก็มาดูที่จิต รู้ในเรื่องที่คิดไหม หรือรู้ลงไปในเรื่องที่คิด ถ้ารู้ลงไปในเรื่อง
ที่คิด ก็ดูว่า หลงยาวขนาดไหน มีสติก็มารู้อิริยาบถบ้าง รู้ที่จิตเผลอไปรู้ในเรื่องที่คิดบ้าง
หรือรู้ที่จิตออกจากเรื่องที่คิด เห็นเหมือนวันที่ เห็นความคิด เป็นสักว่าความคิด

อาการวูบเข้าออกไม่ใช่วิญญาณแฝง ธรรมชาติของจิต ที่รู้ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ
เป็นวิญญาณที่แฝงการทำงานโดยธรรมชาติปกติ ไม่มีใครไล่ได้ เกิดดับรวดเร็ว
จิตมีวิตกวิจาร ในกามสุคติภุมิ เราตัวตนของเรา ตัวคนนู้นคนนี้มาก ก็หลงมาก
กว่าจะรู้ว่า จิตที่คิด จิตที่เห็นแฝงการทำงานอยู่ ก็หลงไปไหนต่อไหนไกลแล้ว
ถ้าจิตมีวิตกวิจาร ในรูปภูมิมากหน่อย ก็ไม่มีตัวเราของเราชัด เท่ากามสุคติภูมิ
มีแต่ พองยุบ ลมหายใจเข้าออก พุทโธ เบาๆ สบายๆ ไป พอทำได้อย่างนี้

ไม่มีจิตอกุศล ไม่เป็นนิวรณ์ ไม่สงสัย ไม่ฟุ้ง ปราศจากนิวรณ์ สงบตั้งมั่นเป็นอารมณ์เดียว
ที่นี้แหละ ถึงจะมี ตาวิเศษ เห็นวิญญาณแฝงทั้ง ๖ เห็นตัววูบเข้าวูบออกทางกาย ผสม
กับการเห็นกึ่งหลับกึ่งตื่น หรือคิดว่าเห็นเต็มตา หรือมีการหักเหของแสง บวกผสมความรู้สึก
ทางประสาทสัมผัสทางกาย จึงกรอง ตีความว่าเห็นวูบเข้าวูบออก พอมีสติชัด

ก็จะเห็นวิญญาณทางตา ทางกายสัมผัส ทางตัวความคิด ทำงานทะลุปรุโปร่ง ไม่ใช่แค่
เห็นวิญญาณใน สัญญา ในความคิด มิติเดียว ในหัว ทั้งๆ ที่มันอาศัยกันเกิดถึง หกมิติ
ไปสงสัย หลง งงกับมิติเดียวทางความคิด ก็ออกคับแคบไปหน่อย ลองดูนะครับทำใจ
สบายๆ ทำจิตตั่งมั่น อย่าไปฝืนไปสู้ ตอนร่างกาย อ่อนแรงแล้ว จิตก็เพลียแล้ว
ลองดูใหม่ มารู้มาเห็นวิญญาณแฝงจริงๆ เกิดดับรวดเร็ว ๖ ทวารอย่างนี้ อีกหน่อย
เกิดอะไรขึ้น ก็มีสติสัมปชัญญะเท่าทัน ไม่หลงรับเชื่อเข้าใจ ในมิติเดียวทางความคิด


ขอเจริญพร.

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 พ.ค. 2014, 22:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2013, 17:07
โพสต์: 39

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ

ส่วนตัวที่ผ่านมาฝึกสติอยู่ประมาณ 70% ไม่ได้เน้นหนักถึง 100 %
สติสัมปชัญญะมันไม่ครบถ้วนสมบูณอยู่แล้ว ฝึกเพื่อการเรียนรู้กับสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้น

ส่วนการถอนของก็ยังจะไป ไปเพื่อความสบายใจ จะได้โยนความคิดพวกนี้ออกจากหัว จะได้ใช้คำว่า
"ช่างหัวมัน" ได้เต็มปาก แต่ถ้ามันไม่หายจะไปจิตแพทย์ซะให้รู้แล้วรู้รอดไป ถึงใครจะตราหน้าว่าเป็นพวกบ้า พวกโรคจิต งานนี้ก็ยอม ดีกว่ากู่ไม่กลับ ถ้าบ้ายาวก็งามไส้แหละงานนี้

ส่วนการฝึกตอนนี้ก็ไม่ได้ฝึก แต่มันไปเอง พอเลิกคิดเรื่องข้างนอกมันก็ไปเอง แต่จิตไม่ได้ปักแน่น และเพราะอาการสับสนทางความคิด ตกลงกับตัวเองไม่ได้ว่าจะเอาไงดี ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเพี้ยนเอง ถึงไม่คิดจะทำอะไรทั้งนั้นจนกว่าจะหาทางออกให้ตัวเองเจอ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 22 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร