วันเวลาปัจจุบัน 08 มิ.ย. 2025, 22:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2014, 20:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ขอบคุณคำตอบนะขอรับ

แต่ขอถามอีกหน่อย เห็นพูดกันมานานแล้ว สมถะๆๆๆ วิปัสสนาๆๆๆๆ

สมถะ องค์ธรรมมันได้แก่อะไร

องค์ธรรมของวิปัสสนา ได้แก่อะไรครับ :b8: :b1:

สมถะ องค์ธรรมคือ สงบ หรือ สยบ นิวรณ์ 5[/size]



อ้อ ครับๆ :b8:

แล้ววิปัสสนาล่ะ :b1:



กินข้าวกลางวันหรือยังล่ะ กรัชกาย



ถามว่า ไปไหนมา แน่ะๆ ตอบ 3 วา 2 ศอก แล้วมันจะรู้เรื่องกันไหมเนี่ยะขอรับ คิกๆๆ

ฟังเพลงดีฝ่า :b32:
:b32:
ตาฟางหรือเปล่ากรัชกาย คำตอบอยู่ข้างบนไง เลยถามแบบเรียกสัมปชัญญะกลับคืนมา บ๊ะ กลับไม่รู้ตัวอีก


ว๊าย ตาเถร ตอนอ้างอิง ทำไมไม่ติดมาล่ะ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2014, 20:29 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ขอบคุณคำตอบนะขอรับ

แต่ขอถามอีกหน่อย เห็นพูดกันมานานแล้ว สมถะๆๆๆ วิปัสสนาๆๆๆๆ

สมถะ องค์ธรรมมันได้แก่อะไร

องค์ธรรมของวิปัสสนา ได้แก่อะไรครับ :b8: :b1:

สมถะ องค์ธรรมคือ สงบ หรือ สยบ นิวรณ์ 5[/size]



อ้อ ครับๆ :b8:

แล้ววิปัสสนาล่ะ :b1:



กินข้าวกลางวันหรือยังล่ะ กรัชกาย



ถามว่า ไปไหนมา แน่ะๆ ตอบ 3 วา 2 ศอก แล้วมันจะรู้เรื่องกันไหมเนี่ยะขอรับ คิกๆๆ

ฟังเพลงดีฝ่า :b32:
:b32:
ตาฟางหรือเปล่ากรัชกาย คำตอบอยู่ข้างบนไง เลยถามแบบเรียกสัมปชัญญะกลับคืนมา บ๊ะ กลับไม่รู้ตัวอีก


ว๊าย ตาเถร ตอนอ้างอิง ทำไมไม่ติดมาล่ะ :b1:

:b12: :b12:
อ้าว ๆ ๆ......

นี่เพิ่งรู้นะว่ากรัชกายเป็นบัณเฑาะว์.......เพราะเห็นมีอาการวีดว้ายกระตู้วู้แพลมออกมานี่
:b13: :b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2014, 20:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ขอบคุณคำตอบนะขอรับ

แต่ขอถามอีกหน่อย เห็นพูดกันมานานแล้ว สมถะๆๆๆ วิปัสสนาๆๆๆๆ

สมถะ องค์ธรรมมันได้แก่อะไร

องค์ธรรมของวิปัสสนา ได้แก่อะไรครับ :


สมถะ องค์ธรรมคือ สงบ หรือ สยบ นิวรณ์ 5

"วิปัสสนา ภาวนา" องค์ธรรมคือ รู้เห็นธรรมตามความเป็นจริง อันได้แก่ เกิด - ดับ หรือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"


เอาชัดๆตามหลักเลยก็น่ะ สมถะ = สมาธิ วิปัสสนา = ปัญญา

คือ ปัญญาที่ทำงานให้เกิดความเห็นแจ้งรู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายตรงตามสภาวะที่มันเป็น เพื่อให้จิตหลุดพ้นเป็นอิสระ นี่แหละคือวิปัสสนา

ตามหลักขาวๆอย่างนี้

แต่ถ้าว่าโดยอารมณ์ภาคปฏิบัติจริงนั้น มันหลากหลายพิสดารยิ่งนัก กว่าจะรู้เข้าใจสภาพธรรมดาของชีวิตหรือรูปนามนี้

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มี.ค. 2014, 20:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้าวนี่อีกตัวอย่างหนึ่ง


อ้างคำพูด:
เวลาที่นั่งสมาธิสักพัก จิตเริ่มสงบแล้ว ก็เกิดนิมิตเห็นคนหรือวิญญาณไม่แน่ใจค่ะ นั่งก้มหน้าสงบนิ่งอยู่ข้างๆเรา เจอหลายครั้งค่ะ บางทีก็มากันหลายคน มีอยู่ครั้งหนึ่งชัดเจนมาก มาด้วยกัน 4 คนค่ะ ผู้ชาย 2 คน หญิงอุ้มลูกเล็กๆอีกหนึ่ง เกิดจากอะไรคะ และทำอย่างไรคะหากเจอแบบนี้ แค่แผ่เมตตาพอหรือเปล่า



สังเกตเถอะผู้ที่ถามเนี่ย คือไปไม่เป็นทั้งนั้น พูดง่ายๆคือไม่รู้วิธีว่าทำยังไงจึงจะเดินต่อได้

พูดนั่นง่าย ว่าไป ยังงั้นยังงี้นั่นนี่ไป แต่พอตัวเองประสบอารมณ์เช่นนั่นๆเข้ากับตัวเอง คิกๆๆ

เอาอีกความรู้สึกหนึ่ง



อ้างคำพูด:
ระยะหนึ่ง...จิตได้เกิดกลางดึก คือ มีสติรู้ขึ้นมาทันทีของการพองยุบของท้องและรู้สึกว่ามีนิ้วมือมากดที่สะดือแรงมาก เวลาที่พองออก ท้องก็จะพองออกมาก มือที่กดก็จะแรงไปตามการพองและยุบครับ จนรู้สึกกลัวมากเหมือนไส้จะหลุดออกมา.. แต่ผมก็พยายามดึงสติให้อยู่กับ คำบริกรรมพอง ยุบอีก แต่พยายามแล้วจิตก็ทนไม่ได้ จิตสั่นไปหมดเหมือนท้องจะแตก จิตคิดตอนนั้นครับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2014, 07:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ขอบคุณคำตอบนะขอรับ

แต่ขอถามอีกหน่อย เห็นพูดกันมานานแล้ว สมถะๆๆๆ วิปัสสนาๆๆๆๆ

สมถะ องค์ธรรมมันได้แก่อะไร

องค์ธรรมของวิปัสสนา ได้แก่อะไรครับ :


สมถะ องค์ธรรมคือ สงบ หรือ สยบ นิวรณ์ 5

"วิปัสสนา ภาวนา" องค์ธรรมคือ รู้เห็นธรรมตามความเป็นจริง อันได้แก่ เกิด - ดับ หรือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"


เอาชัดๆตามหลักเลยก็น่ะ สมถะ = สมาธิ วิปัสสนา = ปัญญา

คือ ปัญญาที่ทำงานให้เกิดความเห็นแจ้งรู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายตรงตามสภาวะที่มันเป็น เพื่อให้จิตหลุดพ้นเป็นอิสระ นี่แหละคือวิปัสสนา

ตามหลักขาวๆอย่างนี้

แต่ถ้าว่าโดยอารมณ์ภาคปฏิบัติจริงนั้น มันหลากหลายพิสดารยิ่งนัก กว่าจะรู้เข้าใจสภาพธรรมดาของชีวิตหรือรูปนามนี้

:b39:
สำคัญตรงคำว่า "เพื่อให้จิตหลุดพ้น"
ถ้ามีมโนกรรมอย่างนี้ไว้ในจิตเสียก่อน วิปัสสนาจะไม่เดินไม่ก้าวหน้าไปตามธรรม

วิปัสสนาจะเจริญไปตามธรรม ต้องไร้เจตนา มีแต่ให้สติปัญญาเขาทำหน้าที่ไปตามธรรมกับปัจจุบันอารมณ์ ผลหรือวิบากตามธรรมเขาหากเกิดเอง คือความรู้ เห็นธรรมตามความเป็นจริง....เบื่อหน่าย...คลายจาง.....ละวาง.....สลัดคืน...ฟื้นกลับสู่สภาพเดิมแท้

ลามเลยไปแก้ไขความรู้สึกพิสดารทั้งหลายในภาคปฏิบัติด้วยตัวธรรมเอง
:b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2014, 07:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อ้าวนี่อีกตัวอย่างหนึ่ง


อ้างคำพูด:
เวลาที่นั่งสมาธิสักพัก จิตเริ่มสงบแล้ว ก็เกิดนิมิตเห็นคนหรือวิญญาณไม่แน่ใจค่ะ นั่งก้มหน้าสงบนิ่งอยู่ข้างๆเรา เจอหลายครั้งค่ะ บางทีก็มากันหลายคน มีอยู่ครั้งหนึ่งชัดเจนมาก มาด้วยกัน 4 คนค่ะ ผู้ชาย 2 คน หญิงอุ้มลูกเล็กๆอีกหนึ่ง เกิดจากอะไรคะ และทำอย่างไรคะหากเจอแบบนี้ แค่แผ่เมตตาพอหรือเปล่า



สังเกตเถอะผู้ที่ถามเนี่ย คือไปไม่เป็นทั้งนั้น พูดง่ายๆคือไม่รู้วิธีว่าทำยังไงจึงจะเดินต่อได้

พูดนั่นง่าย ว่าไป ยังงั้นยังงี้นั่นนี่ไป แต่พอตัวเองประสบอารมณ์เช่นนั่นๆเข้ากับตัวเอง คิกๆๆ

เอาอีกความรู้สึกหนึ่ง



อ้างคำพูด:
ระยะหนึ่ง...จิตได้เกิดกลางดึก คือ มีสติรู้ขึ้นมาทันทีของการพองยุบของท้องและรู้สึกว่ามีนิ้วมือมากดที่สะดือแรงมาก เวลาที่พองออก ท้องก็จะพองออกมาก มือที่กดก็จะแรงไปตามการพองและยุบครับ จนรู้สึกกลัวมากเหมือนไส้จะหลุดออกมา.. แต่ผมก็พยายามดึงสติให้อยู่กับ คำบริกรรมพอง ยุบอีก แต่พยายามแล้วจิตก็ทนไม่ได้ จิตสั่นไปหมดเหมือนท้องจะแตก จิตคิดตอนนั้นครับ

:b44:
ทั้งสองเรื่องที่ถามก็เป็นผลจากสติ สมาธิไม่ได้สัดส่วนพอดีกับปัญญา จึงมีปัญหากับนิมิตหลากหลายรูปแบบ

มูลเหตุ คือสติอ่อน สัมปชัญญะขาด สติไม่ทันปัจจุบันอารมณ์ ไม่รู้ตัว ไปหลงยึดนิมิตอันเป็นอดีตมาทำเป็นปัจจุบันอารมณ์ให้ปรุงแต่งต่อ

การแก้ไข

ถ้าเป็นสาย หนอ ก็ต้องให้ผู้ภาวนา บริกรรม "เห็นหนอ ๆ ๆ ๆ.....ไปจนกว่านิมิตนั้นจะดับ

ส่วนคนที่รู้สึกเหมือนมีนิ้วมากดทับท้องนั้น ก็ให้บริกรรม "รู้หนอ ๆ ๆ ....ไปจนความรู้สึกนั้นดับไป

แต่ถ้าจะแก้โดยวิปัสสนาล้วนๆไม่ใช้คำบริกรรม ก็

"นิ่งรู้ นิ่งสังเกต ภาพนิมิต หรือความรู้สึกนิมิตนั้นๆ จนมันดับไป
ทำได้อย่างนี้ทุกครั้งกับทุกอารมณ์และความรู้สึก จิตยินดียินร้าย หรือปรุงแต่งต่อในอารมณ์ ความรู้สึก นิมิต ต่างๆเหล่านั้นจะหมดความหมายไร้ค่าที่จะมาทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้ภายในได้ต่อไป
:b36:
onion


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2014, 11:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ขอบคุณคำตอบนะขอรับ

แต่ขอถามอีกหน่อย เห็นพูดกันมานานแล้ว สมถะๆๆๆ วิปัสสนาๆๆๆๆ

สมถะ องค์ธรรมมันได้แก่อะไร

องค์ธรรมของวิปัสสนา ได้แก่อะไรครับ :


สมถะ องค์ธรรมคือ สงบ หรือ สยบ นิวรณ์ 5

"วิปัสสนา ภาวนา" องค์ธรรมคือ รู้เห็นธรรมตามความเป็นจริง อันได้แก่ เกิด - ดับ หรือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"


เอาชัดๆตามหลักเลยก็น่ะ สมถะ = สมาธิ วิปัสสนา = ปัญญา

คือ ปัญญาที่ทำงานให้เกิดความเห็นแจ้งรู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายตรงตามสภาวะที่มันเป็น เพื่อให้จิตหลุดพ้นเป็นอิสระ นี่แหละคือวิปัสสนา

ตามหลักขาวๆอย่างนี้

แต่ถ้าว่าโดยอารมณ์ภาคปฏิบัติจริงนั้น มันหลากหลายพิสดารยิ่งนัก กว่าจะรู้เข้าใจสภาพธรรมดาของชีวิตหรือรูปนามนี้

:b39:
สำคัญตรงคำว่า "เพื่อให้จิตหลุดพ้น"
ถ้ามีมโนกรรมอย่างนี้ไว้ในจิตเสียก่อน วิปัสสนาจะไม่เดินไม่ก้าวหน้าไปตามธรรม

วิปัสสนาจะเจริญไปตามธรรม ต้องไร้เจตนา มีแต่ให้สติปัญญาเขาทำหน้าที่ไปตามธรรมกับปัจจุบันอารมณ์ ผลหรือวิบากตามธรรมเขาหากเกิดเอง คือความรู้ เห็นธรรมตามความเป็นจริง....เบื่อหน่าย...คลายจาง.....ละวาง.....สลัดคืน...ฟื้นกลับสู่สภาพเดิมแท้

ลามเลยไปแก้ไขความรู้สึกพิสดารทั้งหลายในภาคปฏิบัติด้วยตัวธรรมเอง
:b44:



มโนไปเรื่อย คิกๆๆ :b32:

อ้างคำพูด:
วิปัสสนาจะเจริญไปตามธรรม ต้องไร้เจตนา


ไร้เจตนา หมายถึงอะไรอโศก พูดไปพูดมาวนไปวนมา เดี๊ยะไปเข้า เจตนาหํ ภิกฺขเว ฯลฯ ที่ตัวเองเคยบอกว่า...เกี่ยวกับศีลหรอกน่า คิกๆ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2014, 16:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
ขอบคุณคำตอบนะขอรับ

แต่ขอถามอีกหน่อย เห็นพูดกันมานานแล้ว สมถะๆๆๆ วิปัสสนาๆๆๆๆ

สมถะ องค์ธรรมมันได้แก่อะไร

องค์ธรรมของวิปัสสนา ได้แก่อะไรครับ :


สมถะ องค์ธรรมคือ สงบ หรือ สยบ นิวรณ์ 5

"วิปัสสนา ภาวนา" องค์ธรรมคือ รู้เห็นธรรมตามความเป็นจริง อันได้แก่ เกิด - ดับ หรือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"


เอาชัดๆตามหลักเลยก็น่ะ สมถะ = สมาธิ วิปัสสนา = ปัญญา

คือ ปัญญาที่ทำงานให้เกิดความเห็นแจ้งรู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายตรงตามสภาวะที่มันเป็น เพื่อให้จิตหลุดพ้นเป็นอิสระ นี่แหละคือวิปัสสนา

ตามหลักขาวๆอย่างนี้

แต่ถ้าว่าโดยอารมณ์ภาคปฏิบัติจริงนั้น มันหลากหลายพิสดารยิ่งนัก กว่าจะรู้เข้าใจสภาพธรรมดาของชีวิตหรือรูปนามนี้

:b39:
สำคัญตรงคำว่า "เพื่อให้จิตหลุดพ้น"
ถ้ามีมโนกรรมอย่างนี้ไว้ในจิตเสียก่อน วิปัสสนาจะไม่เดินไม่ก้าวหน้าไปตามธรรม

วิปัสสนาจะเจริญไปตามธรรม ต้องไร้เจตนา มีแต่ให้สติปัญญาเขาทำหน้าที่ไปตามธรรมกับปัจจุบันอารมณ์ ผลหรือวิบากตามธรรมเขาหากเกิดเอง คือความรู้ เห็นธรรมตามความเป็นจริง....เบื่อหน่าย...คลายจาง.....ละวาง.....สลัดคืน...ฟื้นกลับสู่สภาพเดิมแท้

ลามเลยไปแก้ไขความรู้สึกพิสดารทั้งหลายในภาคปฏิบัติด้วยตัวธรรมเอง
:b44:



มโนไปเรื่อย คิกๆๆ :b32:

อ้างคำพูด:
วิปัสสนาจะเจริญไปตามธรรม ต้องไร้เจตนา


ไร้เจตนา หมายถึงอะไรอโศก พูดไปพูดมาวนไปวนมา เดี๊ยะไปเข้า เจตนาหํ ภิกฺขเว ฯลฯ ที่ตัวเองเคยบอกว่า...เกี่ยวกับศีลหรอกน่า คิกๆ

:b16:
เพราะกรัชกายอาจขาดแคลนประสบการณ์จริง จึงสำคัญไปว่าอโศกะมโนเอาเอง

เอาตรงเรื่อง "ไร้เจตนา" นี่ก็ลึกซึ้งยิ่งนัก บางท่านก็เรียกว่า "ไม่แทรกแซง"..."รู้ซื่อๆ".....นี่เป็นเคล็ดสำคัญของวิปัสสนาภาวนาเลยทีเดียว

เพราะถ้าสติ ปัญญา นิ่งรู้ นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ไปตามธรรมอยู่เช่นนั้น ความเห็นผิดว่าเป็นกู เป็นเรา คือ อัตตา หรือ สักกายทิฏฐิ นั้นไม่อาจเกิดขึ้นมาตอบโต้ ยินดียินร้ายหรือทำอะไรได้

ลองนิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ของกรัชกายดูสิ เพียงเวลาไม่กี่นาที กรัชกายจะได้พบกับสภาวะที่มีเจตนา หรืออัตตาหรือ กู ไปยุ่งกับผัสสะ เวทนา อารมณ์ นั้นเป็นอย่างไร

มีเจตนา ก็ให้รู้ว่ามีเจตนา แต่ไม่ให้มีการสนองเจตนาด้วยสติ ปัญญา ขันติ วิริยะ ทรงอารมณ์อย่างนี้ไปให้ได้สักระยะหนึ่ง เจตนานั้นจะดับไปด้วยกฏของทุกขัง อนิจจัง อนัตตา

ทำให้ได้อย่างนี้กับทุกผัสสะ เวทนา อารมณ์ ผล อันเป็นความสงบ นิ่ง วางเฉยจักเกิดขึ้นและพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆ (โอปนยิโก) จนเมื่อถึงที่ ได้ทาง ธรรมเขาก็จะส่งเป็นผลอันยิ่งใหญ่ทำลายความเห็นผิดยึดผิดให้หมดสิ้นไปจากกมลสันดาน
:b38:
เรื่องนี้เข้าใจยากมากถ้าคิดตาม

แต่จะเข้าใจง่ายมากถ้าปฏิบัติตาม

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2014, 17:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:


เพราะกรัชกายอาจขาดแคลนประสบการณ์จริง จึงสำคัญไปว่าอโศกะมโนเอาเอง

เอาตรงเรื่อง "ไร้เจตนา" นี่ก็ลึกซึ้งยิ่งนัก บางท่านก็เรียกว่า "ไม่แทรกแซง"..."รู้ซื่อๆ".....นี่เป็นเคล็ดสำคัญของวิปัสสนาภาวนาเลยทีเดียว

เพราะถ้าสติ ปัญญา นิ่งรู้ นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ไปตามธรรมอยู่เช่นนั้น ความเห็นผิดว่าเป็นกู เป็นเรา คือ อัตตา หรือ สักกายทิฏฐิ นั้นไม่อาจเกิดขึ้นมาตอบโต้ ยินดียินร้ายหรือทำอะไรได้

ลองนิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ของกรัชกายดูสิ เพียงเวลาไม่กี่นาที กรัชกายจะได้พบกับสภาวะที่มีเจตนา หรืออัตตาหรือ กู ไปยุ่งกับผัสสะ เวทนา อารมณ์ นั้นเป็นอย่างไร

มีเจตนา ก็ให้รู้ว่ามีเจตนา แต่ไม่ให้มีการสนองเจตนาด้วยสติ ปัญญา ขันติ วิริยะ ทรงอารมณ์อย่างนี้ไปให้ได้สักระยะหนึ่ง เจตนานั้นจะดับไปด้วยกฏของทุกขัง อนิจจัง อนัตตา

ทำให้ได้อย่างนี้กับทุกผัสสะ เวทนา อารมณ์ ผล อันเป็นความสงบ นิ่ง วางเฉยจักเกิดขึ้นและพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆ (โอปนยิโก) จนเมื่อถึงที่ ได้ทาง ธรรมเขาก็จะส่งเป็นผลอันยิ่งใหญ่ทำลายความเห็นผิดยึดผิดให้หมดสิ้นไปจากกมลสันดาน
เรื่องนี้เข้าใจยากมากถ้าคิดตาม

แต่จะเข้าใจง่ายมากถ้าปฏิบัติตาม



อ้างคำพูด:
เอาตรงเรื่อง "ไร้เจตนา" นี่ก็ลึกซึ้งยิ่งนัก บางท่านก็เรียกว่า "ไม่แทรกแซง"..."รู้ซื่อๆ".....นี่เป็นเคล็ดสำคัญของวิปัสสนาภาวนาเลยทีเดียว



คิกๆๆ ไร้เจตนา คือไม่แทรกแซง ได้ยินได้ฟังจนหูชาแล้วขอรับ แล้วก็รู้ด้วยว่าคำพูดนี้มาจากไหน นี่แหละมโน คิกๆๆ ไร้เจตนา ไม่แทรกแซง

รู้ไหมเจตนา ได้แก่อะไร หมายถึงอะไร หน้าที่ของธรรมชาติดวงนี้เป็นยังไง อ้าวถามให้คิดหน่อย :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2014, 21:00 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:


เพราะกรัชกายอาจขาดแคลนประสบการณ์จริง จึงสำคัญไปว่าอโศกะมโนเอาเอง

เอาตรงเรื่อง "ไร้เจตนา" นี่ก็ลึกซึ้งยิ่งนัก บางท่านก็เรียกว่า "ไม่แทรกแซง"..."รู้ซื่อๆ".....นี่เป็นเคล็ดสำคัญของวิปัสสนาภาวนาเลยทีเดียว

เพราะถ้าสติ ปัญญา นิ่งรู้ นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ไปตามธรรมอยู่เช่นนั้น ความเห็นผิดว่าเป็นกู เป็นเรา คือ อัตตา หรือ สักกายทิฏฐิ นั้นไม่อาจเกิดขึ้นมาตอบโต้ ยินดียินร้ายหรือทำอะไรได้

ลองนิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ของกรัชกายดูสิ เพียงเวลาไม่กี่นาที กรัชกายจะได้พบกับสภาวะที่มีเจตนา หรืออัตตาหรือ กู ไปยุ่งกับผัสสะ เวทนา อารมณ์ นั้นเป็นอย่างไร

มีเจตนา ก็ให้รู้ว่ามีเจตนา แต่ไม่ให้มีการสนองเจตนาด้วยสติ ปัญญา ขันติ วิริยะ ทรงอารมณ์อย่างนี้ไปให้ได้สักระยะหนึ่ง เจตนานั้นจะดับไปด้วยกฏของทุกขัง อนิจจัง อนัตตา

ทำให้ได้อย่างนี้กับทุกผัสสะ เวทนา อารมณ์ ผล อันเป็นความสงบ นิ่ง วางเฉยจักเกิดขึ้นและพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆ (โอปนยิโก) จนเมื่อถึงที่ ได้ทาง ธรรมเขาก็จะส่งเป็นผลอันยิ่งใหญ่ทำลายความเห็นผิดยึดผิดให้หมดสิ้นไปจากกมลสันดาน
เรื่องนี้เข้าใจยากมากถ้าคิดตาม

แต่จะเข้าใจง่ายมากถ้าปฏิบัติตาม



อ้างคำพูด:
เอาตรงเรื่อง "ไร้เจตนา" นี่ก็ลึกซึ้งยิ่งนัก บางท่านก็เรียกว่า "ไม่แทรกแซง"..."รู้ซื่อๆ".....นี่เป็นเคล็ดสำคัญของวิปัสสนาภาวนาเลยทีเดียว



คิกๆๆ ไร้เจตนา คือไม่แทรกแซง ได้ยินได้ฟังจนหูชาแล้วขอรับ แล้วก็รู้ด้วยว่าคำพูดนี้มาจากไหน นี่แหละมโน คิกๆๆ ไร้เจตนา ไม่แทรกแซง

รู้ไหมเจตนา ได้แก่อะไร หมายถึงอะไร หน้าที่ของธรรมชาติดวงนี้เป็นยังไง อ้าวถามให้คิดหน่อย :b32:


:b51:
:b38:
เจตนา .......จงใจที่จะทำ.....มีอัตตานำหน้า.....เป็นได้ทั้งกุศลและอกุศล

มนสิการ.......ตั้งใจที่จะทำ.......มีสติปัญญานำหน้า.......เป็นกุศลฝ่ายเดียว
:b40:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2014, 21:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:


เพราะกรัชกายอาจขาดแคลนประสบการณ์จริง จึงสำคัญไปว่าอโศกะมโนเอาเอง

เอาตรงเรื่อง "ไร้เจตนา" นี่ก็ลึกซึ้งยิ่งนัก บางท่านก็เรียกว่า "ไม่แทรกแซง"..."รู้ซื่อๆ".....นี่เป็นเคล็ดสำคัญของวิปัสสนาภาวนาเลยทีเดียว

เพราะถ้าสติ ปัญญา นิ่งรู้ นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ไปตามธรรมอยู่เช่นนั้น ความเห็นผิดว่าเป็นกู เป็นเรา คือ อัตตา หรือ สักกายทิฏฐิ นั้นไม่อาจเกิดขึ้นมาตอบโต้ ยินดียินร้ายหรือทำอะไรได้

ลองนิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ของกรัชกายดูสิ เพียงเวลาไม่กี่นาที กรัชกายจะได้พบกับสภาวะที่มีเจตนา หรืออัตตาหรือ กู ไปยุ่งกับผัสสะ เวทนา อารมณ์ นั้นเป็นอย่างไร

มีเจตนา ก็ให้รู้ว่ามีเจตนา แต่ไม่ให้มีการสนองเจตนาด้วยสติ ปัญญา ขันติ วิริยะ ทรงอารมณ์อย่างนี้ไปให้ได้สักระยะหนึ่ง เจตนานั้นจะดับไปด้วยกฏของทุกขัง อนิจจัง อนัตตา

ทำให้ได้อย่างนี้กับทุกผัสสะ เวทนา อารมณ์ ผล อันเป็นความสงบ นิ่ง วางเฉยจักเกิดขึ้นและพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆ (โอปนยิโก) จนเมื่อถึงที่ ได้ทาง ธรรมเขาก็จะส่งเป็นผลอันยิ่งใหญ่ทำลายความเห็นผิดยึดผิดให้หมดสิ้นไปจากกมลสันดาน
เรื่องนี้เข้าใจยากมากถ้าคิดตาม

แต่จะเข้าใจง่ายมากถ้าปฏิบัติตาม



อ้างคำพูด:
เอาตรงเรื่อง "ไร้เจตนา" นี่ก็ลึกซึ้งยิ่งนัก บางท่านก็เรียกว่า "ไม่แทรกแซง"..."รู้ซื่อๆ".....นี่เป็นเคล็ดสำคัญของวิปัสสนาภาวนาเลยทีเดียว



คิกๆๆ ไร้เจตนา คือไม่แทรกแซง ได้ยินได้ฟังจนหูชาแล้วขอรับ แล้วก็รู้ด้วยว่าคำพูดนี้มาจากไหน นี่แหละมโน คิกๆๆ ไร้เจตนา ไม่แทรกแซง

รู้ไหมเจตนา ได้แก่อะไร หมายถึงอะไร หน้าที่ของธรรมชาติดวงนี้เป็นยังไง อ้าวถามให้คิดหน่อย :b32:


เจตนา .......จงใจที่จะทำ.....มีอัตตานำหน้า.....เป็นได้ทั้งกุศลและอกุศล
มนสิการ.......ตั้งใจที่จะทำ.......มีสติปัญญานำหน้า.......เป็นกุศลฝ่ายเดียว



มโนอีก อโศกเอาหลักฐานจากไหนมาอธิบายยังงั้น :b9:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2014, 21:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:


เพราะกรัชกายอาจขาดแคลนประสบการณ์จริง จึงสำคัญไปว่าอโศกะมโนเอาเอง

เอาตรงเรื่อง "ไร้เจตนา" นี่ก็ลึกซึ้งยิ่งนัก บางท่านก็เรียกว่า "ไม่แทรกแซง"..."รู้ซื่อๆ".....นี่เป็นเคล็ดสำคัญของวิปัสสนาภาวนาเลยทีเดียว

เพราะถ้าสติ ปัญญา นิ่งรู้ นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ไปตามธรรมอยู่เช่นนั้น ความเห็นผิดว่าเป็นกู เป็นเรา คือ อัตตา หรือ สักกายทิฏฐิ นั้นไม่อาจเกิดขึ้นมาตอบโต้ ยินดียินร้ายหรือทำอะไรได้

ลองนิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ของกรัชกายดูสิ เพียงเวลาไม่กี่นาที กรัชกายจะได้พบกับสภาวะที่มีเจตนา หรืออัตตาหรือ กู ไปยุ่งกับผัสสะ เวทนา อารมณ์ นั้นเป็นอย่างไร

มีเจตนา ก็ให้รู้ว่ามีเจตนา แต่ไม่ให้มีการสนองเจตนาด้วยสติ ปัญญา ขันติ วิริยะ ทรงอารมณ์อย่างนี้ไปให้ได้สักระยะหนึ่ง เจตนานั้นจะดับไปด้วยกฏของทุกขัง อนิจจัง อนัตตา

ทำให้ได้อย่างนี้กับทุกผัสสะ เวทนา อารมณ์ ผล อันเป็นความสงบ นิ่ง วางเฉยจักเกิดขึ้นและพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆ (โอปนยิโก) จนเมื่อถึงที่ ได้ทาง ธรรมเขาก็จะส่งเป็นผลอันยิ่งใหญ่ทำลายความเห็นผิดยึดผิดให้หมดสิ้นไปจากกมลสันดาน
เรื่องนี้เข้าใจยากมากถ้าคิดตาม

แต่จะเข้าใจง่ายมากถ้าปฏิบัติตาม

:b12: :b12: :b12:


อ้างคำพูด:
เอาตรงเรื่อง "ไร้เจตนา" นี่ก็ลึกซึ้งยิ่งนัก บางท่านก็เรียกว่า "ไม่แทรกแซง"..."รู้ซื่อๆ".....นี่เป็นเคล็ดสำคัญของวิปัสสนาภาวนาเลยทีเดียว



คิกๆๆ ไร้เจตนา คือไม่แทรกแซง ได้ยินได้ฟังจนหูชาแล้วขอรับ แล้วก็รู้ด้วยว่าคำพูดนี้มาจากไหน นี่แหละมโน คิกๆๆ ไร้เจตนา ไม่แทรกแซง

รู้ไหมเจตนา ได้แก่อะไร หมายถึงอะไร หน้าที่ของธรรมชาติดวงนี้เป็นยังไง อ้าวถามให้คิดหน่อย :b32:


เจตนา .......จงใจที่จะทำ.....มีอัตตานำหน้า.....เป็นได้ทั้งกุศลและอกุศล
มนสิการ.......ตั้งใจที่จะทำ.......มีสติปัญญานำหน้า.......เป็นกุศลฝ่ายเดียว



มโนอีก อโศกเอาหลักฐานจากไหนมาอธิบายยังงั้น :b9:

:b12: :b12: :b12: :b12:
เอาหลักฐานจากที่รู้เห็นในกายในใจนี่หละครับมาอ้าง

กรัชกายอยากเห็นหลักฐานก็ นิ่งรู้ นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์เข้าไป ไม่นานเกินรอก็จะรู้จะเห็นสภาวธรรมตอนที่ อัตตานำหน้า กับตอนที่ สติ ปัญญานำหน้าครับ
:b11:
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2014, 21:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:


เพราะกรัชกายอาจขาดแคลนประสบการณ์จริง จึงสำคัญไปว่าอโศกะมโนเอาเอง

เอาตรงเรื่อง "ไร้เจตนา" นี่ก็ลึกซึ้งยิ่งนัก บางท่านก็เรียกว่า "ไม่แทรกแซง"..."รู้ซื่อๆ".....นี่เป็นเคล็ดสำคัญของวิปัสสนาภาวนาเลยทีเดียว

เพราะถ้าสติ ปัญญา นิ่งรู้ นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ไปตามธรรมอยู่เช่นนั้น ความเห็นผิดว่าเป็นกู เป็นเรา คือ อัตตา หรือ สักกายทิฏฐิ นั้นไม่อาจเกิดขึ้นมาตอบโต้ ยินดียินร้ายหรือทำอะไรได้

ลองนิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ของกรัชกายดูสิ เพียงเวลาไม่กี่นาที กรัชกายจะได้พบกับสภาวะที่มีเจตนา หรืออัตตาหรือ กู ไปยุ่งกับผัสสะ เวทนา อารมณ์ นั้นเป็นอย่างไร

มีเจตนา ก็ให้รู้ว่ามีเจตนา แต่ไม่ให้มีการสนองเจตนาด้วยสติ ปัญญา ขันติ วิริยะ ทรงอารมณ์อย่างนี้ไปให้ได้สักระยะหนึ่ง เจตนานั้นจะดับไปด้วยกฏของทุกขัง อนิจจัง อนัตตา

ทำให้ได้อย่างนี้กับทุกผัสสะ เวทนา อารมณ์ ผล อันเป็นความสงบ นิ่ง วางเฉยจักเกิดขึ้นและพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆ (โอปนยิโก) จนเมื่อถึงที่ ได้ทาง ธรรมเขาก็จะส่งเป็นผลอันยิ่งใหญ่ทำลายความเห็นผิดยึดผิดให้หมดสิ้นไปจากกมลสันดาน
เรื่องนี้เข้าใจยากมากถ้าคิดตาม

แต่จะเข้าใจง่ายมากถ้าปฏิบัติตาม

:b12: :b12: :b12:


อ้างคำพูด:
เอาตรงเรื่อง "ไร้เจตนา" นี่ก็ลึกซึ้งยิ่งนัก บางท่านก็เรียกว่า "ไม่แทรกแซง"..."รู้ซื่อๆ".....นี่เป็นเคล็ดสำคัญของวิปัสสนาภาวนาเลยทีเดียว



คิกๆๆ ไร้เจตนา คือไม่แทรกแซง ได้ยินได้ฟังจนหูชาแล้วขอรับ แล้วก็รู้ด้วยว่าคำพูดนี้มาจากไหน นี่แหละมโน คิกๆๆ ไร้เจตนา ไม่แทรกแซง

รู้ไหมเจตนา ได้แก่อะไร หมายถึงอะไร หน้าที่ของธรรมชาติดวงนี้เป็นยังไง อ้าวถามให้คิดหน่อย :b32:


เจตนา .......จงใจที่จะทำ.....มีอัตตานำหน้า.....เป็นได้ทั้งกุศลและอกุศล
มนสิการ.......ตั้งใจที่จะทำ.......มีสติปัญญานำหน้า.......เป็นกุศลฝ่ายเดียว



มโนอีก อโศกเอาหลักฐานจากไหนมาอธิบายยังงั้น :b9:

:b12: :b12: :b12: :b12:
เอาหลักฐานจากที่รู้เห็นในกายในใจนี่หละครับมาอ้าง

กรัชกายอยากเห็นหลักฐานก็ นิ่งรู้ นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์เข้าไป ไม่นานเกินรอก็จะรู้จะเห็นสภาวธรรมตอนที่ อัตตานำหน้า กับตอนที่ สติ ปัญญานำหน้าครับ


คิกๆๆ จะยกตัวอย่างให้อโศกแยกนะ เอากันแบบเห็นๆนี่แหละ

จะแกงสักหม้อหนึ่ง โดยน้ำเครื่องแกงมาหั่น เช่น ข่า ตะไคร้ พริก กะปิ กระเทียม เป็นต้น เมื่อได้พอเหมาะแล้ว ก็นำเครื่องแกงนั้นไปบดจนละเอียด แล้วก็นำใส่หม้อเติมน้ำตั้งไฟ ฯลฯ สุกยกลง... ทีนี้เราได้แกงหม้อหนึ่ง

ถึงคำถามนะ คือกรัชกายจะให้อโศก หยิบเครื่องแกง เช่น ข่า ตะไคร้ กระเทียม ...ที่อยู่ในน้ำแกงออกมาใส่จานให้ดูได้ไหม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2014, 22:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:


เพราะกรัชกายอาจขาดแคลนประสบการณ์จริง จึงสำคัญไปว่าอโศกะมโนเอาเอง

เอาตรงเรื่อง "ไร้เจตนา" นี่ก็ลึกซึ้งยิ่งนัก บางท่านก็เรียกว่า "ไม่แทรกแซง"..."รู้ซื่อๆ".....นี่เป็นเคล็ดสำคัญของวิปัสสนาภาวนาเลยทีเดียว

เพราะถ้าสติ ปัญญา นิ่งรู้ นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ไปตามธรรมอยู่เช่นนั้น ความเห็นผิดว่าเป็นกู เป็นเรา คือ อัตตา หรือ สักกายทิฏฐิ นั้นไม่อาจเกิดขึ้นมาตอบโต้ ยินดียินร้ายหรือทำอะไรได้

ลองนิ่งรู้นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ของกรัชกายดูสิ เพียงเวลาไม่กี่นาที กรัชกายจะได้พบกับสภาวะที่มีเจตนา หรืออัตตาหรือ กู ไปยุ่งกับผัสสะ เวทนา อารมณ์ นั้นเป็นอย่างไร

มีเจตนา ก็ให้รู้ว่ามีเจตนา แต่ไม่ให้มีการสนองเจตนาด้วยสติ ปัญญา ขันติ วิริยะ ทรงอารมณ์อย่างนี้ไปให้ได้สักระยะหนึ่ง เจตนานั้นจะดับไปด้วยกฏของทุกขัง อนิจจัง อนัตตา

ทำให้ได้อย่างนี้กับทุกผัสสะ เวทนา อารมณ์ ผล อันเป็นความสงบ นิ่ง วางเฉยจักเกิดขึ้นและพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆ (โอปนยิโก) จนเมื่อถึงที่ ได้ทาง ธรรมเขาก็จะส่งเป็นผลอันยิ่งใหญ่ทำลายความเห็นผิดยึดผิดให้หมดสิ้นไปจากกมลสันดาน
เรื่องนี้เข้าใจยากมากถ้าคิดตาม

แต่จะเข้าใจง่ายมากถ้าปฏิบัติตาม



อ้างคำพูด:
เอาตรงเรื่อง "ไร้เจตนา" นี่ก็ลึกซึ้งยิ่งนัก บางท่านก็เรียกว่า "ไม่แทรกแซง"..."รู้ซื่อๆ".....นี่เป็นเคล็ดสำคัญของวิปัสสนาภาวนาเลยทีเดียว



คิกๆๆ ไร้เจตนา คือไม่แทรกแซง ได้ยินได้ฟังจนหูชาแล้วขอรับ แล้วก็รู้ด้วยว่าคำพูดนี้มาจากไหน นี่แหละมโน คิกๆๆ ไร้เจตนา ไม่แทรกแซง

รู้ไหมเจตนา ได้แก่อะไร หมายถึงอะไร หน้าที่ของธรรมชาติดวงนี้เป็นยังไง อ้าวถามให้คิดหน่อย :b32:


เจตนา .......จงใจที่จะทำ.....มีอัตตานำหน้า.....เป็นได้ทั้งกุศลและอกุศล

มนสิการ.......ตั้งใจที่จะทำ.......มีสติปัญญานำหน้า.......เป็นกุศลฝ่ายเดียว


นั่น ^คือมโนของอโศก :b9:

ดูสัมปยุตธรรม

สัพพจิตตสาธารณเจตสิก (เจตสิกที่เกิดกับจิตได้ทุกดวง) มี ๕ คือ ผัสสะ เจตนา เอกัคคตา ชีวิตทรีย์ มนสิการ (เดิม มี ๗ ทั้งเวทนา กับ สัญญา)

ทั้งเจตนา ทั้งมนสิการ เกิดกับจิตได้ทุกดวง (ทุกขณะ) แล้วจิตก็มีทั้งกุศลจิต อุกศลจิต อัพพยากตจิต


อ้างคำพูด:
เจตนา .......จงใจที่จะทำ

มนสิการ.......ตั้งใจที่จะทำ



แล้วจงใจ กับ ตั้งใจ มันต่างกันตรงไหน ไม่ทราบ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 มี.ค. 2014, 07:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:

เอาหลักฐานจากที่รู้เห็นในกายในใจนี่หละครับมาอ้าง

กรัชกายอยากเห็นหลักฐานก็ นิ่งรู้ นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์เข้าไป ไม่นานเกินรอก็จะรู้จะเห็นสภาวธรรมตอนที่ อัตตานำหน้า กับตอนที่ สติ ปัญญานำหน้าครับ



อ้างคำพูด:
เอาหลักฐานจากที่รู้เห็นในกายในใจนี่หละครับมาอ้าง



อีกสักคำถามนะครับ :b1:

กายใจ กับ กายมโน เหมือนกันหรือต่างกันขอรับ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร