วันเวลาปัจจุบัน 03 ส.ค. 2025, 05:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 25 ก.พ. 2014, 05:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




1959656_288929194587854_974950764_n.jpg
1959656_288929194587854_974950764_n.jpg [ 43.16 KiB | เปิดดู 3202 ครั้ง ]
***** รักษาศีล 5 เป็นประกันภัยไม่ไปอบาย *****

มีโยมถามพระอาจารย์สุชาติว่า : มีคนบอกว่า สวดมนต์คาถาอุณหิสสวิชัย แล้วจะไม่ตกนรก ?

พระอาจารย์ : " คือการสวดนี้ มันไม่ได้เป็นเหตุ ที่จะให้ตกนรกหรือไม่ให้ตกนรก

เหตุที่จะทำให้ตกนรกคือการทำบาป เช่นการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤตผิดในกาม พูดปดมดเท็จ เสพสุรายาเมา อันนี้เป็นเหตุให้ไปตกนรก

ถ้าสวดแล้วไปทำบาปมันก็ไปตกนรกอยู่ดี ที่ให้สวดก็เพื่อที่จะให้ใจสงบ ใจเย็น ใจอิ่ม ใจพอ คือให้ทำสมาธิ

การสวดนี้ก็เป็นการเจริญสติ เรียกว่า ธัมมานุสสติ คือคิดถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า บทวดมนต์ต่างๆ นี้ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าเราอยู่กับคำสอนของพระพุทธเจ้า ใจของเราก็จะเย็น จะสบาย จะสงบ จะมีสมาธิ จะไม่หิว จะไม่อยากได้อะไร พอไม่หิวไม่อยากได้อะไร ไม่มีความจำเป็นที่จะไปทำบาปนั่นเอง

คนที่ไปทำบาป ก็เพราะว่าใจไม่อิ่ม ใจไม่สุข ใจไม่สงบ ใจถูกความโลภ ความอยากครอบงำจิตใจ เห็นโน้นเห็นนี่ก็อยากได้ พออยากแล้วถ้าไม่สามารถหามาได้โดยวิธีที่สุจริต ก็ไปหามาโดยวิธีทุจริตก็คือ การไปทำบาปนั่นเอง

ดังนั้น ถ้าสวดมนต์แล้ว จิตสงบ จิตก็จะไม่ไปทำบาปได้ แต่ถ้าสวดแล้ว ไม่สงบ หรือว่า สวดแบบนกแก้ว คือสวดไปแต่ใจก็คิดเรื่อยๆเปื่อย คิดถึงเรื่องนั้น คิดถึงเรื่องนี้ ขณะที่สวดอยู่ ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะใจจะไม่สงบ ใจก็จะหิวจะอยาก พอหยุดสวดก็ไปทำตามความหิว ทำตามความอยาก ก็อาจจะไปทำบาปแล้ว แล้วถ้าทำบาปได้ ถ้าทำบาปได้ก็ไปตกนรกได้

มันไม่ได้อยู่ที่การสวดอย่างเดียว การสวดนี้เป็นเพียงเหตุที่จะทำให้เราไม่ไปทำบาป แต่ถ้าเราหยุดการกระทำบาปไม่ได้ เช่น พระเทวทัตนี้ ได้บวชเป็นพระเป็นเวลาตั้งหลาย 10 ปี แต่ใจของท่านก็ยังไม่สงบ หรือสงบแต่ก็ยังไม่สามารถกำจัดความอยากต่างๆ ให้หมดไปได้ พอปล่อยให้ความอยากออกมามีอิทธิพล อยากจะไปเป็นผู้รักษาการณ์แทนพระพุทธเจ้า อยากจะเป็นผู้ปกครองสงฆ์แทนพระพุทธเจ้า พอไปกราบทูลขอพุทธานุญาตแล้วไม่ทรงอนุญาต ก็เกิดความโกรธขึ้นมา ก็พยายามปลงพระชนม์เพื่อที่จะได้ตั้งตนเป็นพระพุทธเจ้าแทนต่อไป

อันนี้ก็เป็นเพราะว่าไม่สามารถควบคุมความอยาก ไม่สามารถหยุดการกระทำบาปได้ พอตายไปก็เลยต้องไปตกนรกในขุมที่ลึก

ฉะนั้น อย่าไปคิดว่าการสวดอย่างเดียว จะเป็นประกันภัยจะรับประกันว่า จะไม่ไปตกนรก สิ่งที่จะรับประกันไม่ให้เราไปตกนรกก็คือ ศีล รักษาศีล 5 ให้ได้เถอะ รักษาศีล 5 ได้แล้วรับประกันได้ว่าจะไม่ตกนรก จะสวดไม่สวดไม่เป็นปัญหาอะไร สวดก็ได้ ไม่สวดก็ได้ ถ้าสวดมันก็อาจจะช่วยทำให้รักษาศีล 5 ง่ายขึ้น เพราะใจลดความอยากได้ ทำให้ความอยากอ่อนกำลังหรือเบาบางลงได้ มันก็จะไม่มากดดันจิตใจให้ไปทำบาป แต่ถ้าไม่ได้สวดนี้ ก็อาจจะทำให้ทำบาปง่าย เพราะความอยากไม่ได้รับการบรรเทา ไม่ได้รับการลดลงก็จะกดดันจิตใจให้ไปทำบาปทำกรรมต่อไป

ดังนั้น เราต้องเข้าใจว่า การกระทำแต่ละอย่างนี้มีผลอย่างไร แล้วถึงจะเข้าใจแล้วถึงจะปฏิบัติได้ถูกต้อง บางทีเขาบอกว่า ให้สวดมนต์ไปแล้วไม่ตกนรกก็สวดไปแล้ว ก็ออกไปกินเหล้าต่อ เดี๋ยวก็ไปลักขโมย ไปประพฤติผิดประเวณี เพราะว่าไม่มีใครบอกว่า ทำบาปแล้วจะตกนรกมีแต่บอกว่า ถ้าไม่อยากจะตกนรกก็ให้สวดคาถานี้ไป ก็สบาย ถ้ายิ่งคาถาสั้นๆ สวด5 นาที สวดเสร็จก็ไปละ มีประกันภัยแล้ว ที่นี้ก็ไปทำบาปทำกรรมได้แล้วซิ มันไม่ได้นะ

เหตุที่จะทำให้เราไปอบายก็คือ การไม่รักษาศีล อย่างในท้ายศีลท่านแสดงไว้ว่า สีเลน สุคติง ยันติ ศีล เป็นเหตุที่จะทำให้ไปเกิดในสุคติ สุคติก็คือ ภพของเทวดา ภพของมนุษย์ ภพของอริยเจ้า ส่วนภพของเดรัจฉาน ของเปรตนี้เรียกว่า อบาย พวกนี้ไปเพราะว่าทำบาป หรือถ้าทำบาปด้วยความไม่รู้ก็ไปเป็นเดรัจฉาน ทำบาปเพราะโลภอยากได้มากๆ ก็ไปเป็นเปรต ทำบาปเพราะความกลัวก็จะไปเป็นอสุรกาย ทำบาปเพราะความอาฆาตพยาบาตโกรธแค้นโกรธเคือง ก็จะไปนรก อย่างพระเทวทัตนี้ทำบาปเพราะความโกรธแค้นโกรธเคือง โกรธแค้นพระพุทธเจ้าที่ไม่ทรงแต่งตั้งให้เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนพระพุทธเจ้าก็เลยพยายามปลงพระชนม์ถึง 3 ครั้งด้วยกัน

อันนี้ก็ไปตกนรก ส่วนอำมาตย์ที่ในเรื่องหนึ่งที่มีพระเจ้าแผ่นในยามค่ำคืนท่านบอกว่ามีเสียงอะไรมาร้องโหยหวน ก็ไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่าเป็นอะไรกัน พระพุทธเจ้าก็บอกว่า เป็นอำมาตย์ที่ตอนนี้มาเป็นเปรต เพราะว่าสมัยที่มีชีวิตอยู่ได้รับใช้พระองค์ ไม่ใช่ชาตินี้แต่เป็นชาติในอดีต พระองค์เป็นพระเจ้าแผ่นดินแล้ว เปรตตัวนี้เป็นอำมาตย์ พระองค์ได้สั่งให้อำมาตย์นี้เอาทรัพย์ไปทำบุญ แล้วอำมาตย์นี้จะยักยอกทรัพย์บางส่วนไว้ เป็นของตนเอง นี่เรียกว่า ทำบาปด้วยความโลภ อยากได้เงินของผู้อื่น ก็เลยยักยอกทรัพย์ของพระเจ้าแผ่นดิน ไม่ไปซื้อของทำบุญ แทนที่จะซื้อทั้งหมดก็แบ่งไว้ส่วนหนึ่งไว้สำหรับตนเอง พอตายไปท่านก็บอกว่าไปตกนรกออกจากนรกมาก็มาเป็นเปรต แล้วพอเป็นเปรตก็นึกถึงพระเจ้าเเผ่นดินเจ้านายเก่าก็มาขอส่วนบุญ ก็พระพุทธเจ้าก็บอกว่าให้ทำบุญอุทิศให้กับเขาไป

นี่คือทำบาปด้วยความโลภ ถ้าทำบาปด้วยความไม่รู้ เช่น สัตว์เดรัจฉานเขาไม่รู้ว่าบาป แต่เขาต้องฆ่าต้องกินสัตว์เล็กสัตว์น้อยเพื่อความอยู่รอดอย่างนี้เรียกว่า เดรัจฉาน

มนุษย์ที่ไม่รู้ว่าทำอาชีพค้าขาย ฆ่าวัวฆ่าควายฆ่าเป็ดฆ่าไก่ก็เเบบเดียวกัน เขาก็ไม่รู้ว่า บาปเขาก็รู้ว่าเป็นอาชีพ หรือแม้แต่ผู้ที่รักษาประเทศชาติ เช่นตำรวจ ทหารนี้ก็เหมือนกัน ถ้าไปฆ่าผู้อื่นในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ก็ถือว่าบาปเหมือนกัน ก็เป็นเดรัจฉานได้เหมือนกัน เพราะทำไปด้วยความไม่รู้ว่าบาป ว่ามีผลที่จะตามมา คิดว่าทำตามหน้าที่แล้วไม่บาป ทำเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง อย่างนี้ก็ลักษณะเดียวกันเดรัจฉาน แต่อาจจะไม่หนักเหมือนกับเดรัจฉานก็ได้ เพราะไม่ได้ทำตลอดเวลา อย่างบางคนก็ไม่ได้ทำเลย รับราชการมาจนเกษียณก็ไม่เคยไปฆ่าใครเลย อันนี้ก็จะไม่มีผลบาปตามมา

ที่วัดนี้มีธรรมเนียมอุทิศเพื่อแผ่นดินไทย เขาก็ทำบุญอุทิศให้แก่วีรบุรุษทั้งหลายที่ออกรบทำสงครามปกป้องรักษาประเทศ ว่าเวลาเขาตายไปนี้ เขาก็มีโอกาสไปเกิดเป็นเปรตได้ ไปเกิดในอบายได้ เพราะฉะนั้นผู้ที่มีชีวิตอยู่ ผู้ที่สำนึกในบุญคุณของเขาเหล่านี้ก็ทำบุญอุทิศให้แก่เขาไป

ดังนั้น การจะไปไหนหรือไม่ไปไหนอยู่ที่การทำบาป หรือไม่ทำบาป ไม่ได้อยู่ที่การสวดเพียงอย่างเดียว แล้วการสวดนี้ก็ต้องอยู่ที่ว่าได้ผลหรือไม่ได้ผล คือสวดแล้วจิตสงบเป็นสมาธิหรือไม่ ถ้าสวดแล้วสงบใจเป็นสมาธิตายไปแล้วไปเกิดเป็นพรหมได้"

ถาม-ตอบ ธรรมะบนเขา วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2557

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสต์ เมื่อ: 25 ก.พ. 2014, 06:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5363


 ข้อมูลส่วนตัว


ศีล 5 ถ้า สามารถรักษาให้บริสุทธิ์ได้ ก็จะเป็นกุศลที่ทำให้ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
และศีล 5 สามารถทำให้เกิดในสุขติภูมิ เพราะฉะนั้นศีล 5 นั้นสำคัญมาก แม้ว่าการเจริญภาวนาถ้าศีลไม่บริสุทธิ์ ผู้ภาวนาก็ไม่สามารถภาวนาให้เกิดมรรคเกิดผลได้ ยกตัวอย่าง ถ้าฆ่าสัตว์ แล้วมาเจริญภาวนารับลองเลยขณะภาวนาจิตจะเศร้าหมอง หรือทำผิดศีลข้อใดข้อหนึ่งแล้วมาเจริญภาวนา รับรองเลยว่าจิตใจจะไม่สงบ เพราะฉะนั้นศีล 5 นี่แหละเป็นบาทฐานของการเจริญภาวนาเช่นกัน และนอกจากนี้ศีล 5 เราสามารถนำไปเจริญสีลานุสติ คือระลึกถึงศีลเป็นสีลานุสติ ในอนุสติ10 ของสมถะกรรมฐานได้อีกด้วย ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ


โพสต์ เมื่อ: 25 ก.พ. 2014, 10:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสต์ เมื่อ: 25 ก.พ. 2014, 13:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
น้องรสมนครับ น่าสนใจนำมาวิเคราะห์คุยกันว่า
ท่านอหิงสกะ หรือองคุลีมาลซึ่งฆ่าคนมาเป็นพัน ตอนที่ถือดาบไล่หมายจะฆ่าพระพุทธเจ้า แต่พอวางดาบลงกราบฟังธรรมของพระองค์กลับบรรลุธรรมได้
s006


โพสต์ เมื่อ: 25 ก.พ. 2014, 18:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


มันเป้นความจริง....ที่อาจจะจิตนาการยากซักหน่อย....เพราะเราเถรวาท....จะชินกับคำสอนที่ต้องมั่นเพียรพยายาม..ลำบาก..มากๆ..

มีพุทธดำรัสทำนองว่า....เราไม่อาจพยากรณ์ได้เลยว่า..สัตว์ผู้มีอวิชชาอยู่จะหลุดพ้นได้เมื่อไร

แสดงว่า..ในระหว่างเพียรพยายามนั้น....จะหลุดพ้นตอนไหนก็ได้ถ้าคุณมีวิชชา

ความจริงที่หลายคนอาจเจ็บปวด..เมื่อเห้นคนที่เคยเลวกว่าเรา...สำเร็จกิจก่อนเรา

แล้วเราก็มาปลอบใจด้วยการยกกฎแห่งกรรมมาบ้างงะ..หรือไม่ก็อาจอ้างว่าชาติที่แล้วเขาทำมาดีบ้างละ

แต่ไม่เคยคิดที่จะพิจารณาว่า..ณ. ปัจจุบัน..เขาสำเร็จได้ด้วยความอุตส่าหะเพียงไร...เขาพิจารณาอะไรทำให้กระจ่างแจ้งในอริยะสัจสี่ได้


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.พ. 2014, 07:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ขอมาร่วมเจาะลึกพระองคุลิมาลด้วย แต่รายละเอียดที่ท่านทั้งหลายพอทราบกันอยู่แล้วจึงไม่ขอกล่าว พระองคุลิมาลเมื่อโตขึ้นก็ได้เข้าศึกษาในสำนักตักศิลาเป็นสถานที่เดียวกับพระพุทธเจ้าเคยไปศึกษามานั่นเอง การศึกษาขององคุลิมาลท่านศึกษาเก่งกว่าใครๆ ในรุ่นเดียวกันจึงเป็นที่อิจฉาของเพื่อนๆ เพื่อนๆ จึงไปบอกกับอาจารย์ผู้สอนว่าองคุลิมาลคิดฆ่าอาจารย์ เมื่ออาจารย์หลงเชื่อก็คิดอุบายฆ่าองคุลิมาลเสีย แต่จะฆ่าเองก็คิดกระไรอยู่จึงคิดหลอกให้ไปฆ่าโจรหวังให้โจรฆ่าตาย จึงออกอุบายว่าต้องไปฆ่าคนให้ได้ ๑,๐๐๐ คนเพราะเป็นวิชชาขั้นสูงสุด เมื่อเป็นดังนั้นองคุลิมาลก็ออกไปปราบโจรตายหมดแต่ว่าไม่ครบ ๑,๐๐๐ คนจึงได้เที่ยวหาคนที่จะฆ่าให้ครบ ๑,๐๐๐ คน

ตรงนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าโจรตั้งเกือบพันคนทำไมจึงฆ่าองคุลิมาลไม่ได้ ก็เพราะองคุลิมาลท่านเป็นปัจฉิมภวิก คือว่าท่านเกิดมาในชาตินี้ชาติเดียวที่เป็นชาติสุดท้ายเพื่อจะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์นั่นเอง ความว่าท่านจะไม่ตายก่อนที่จะบรรลุเป็นพระอรหันต์นั่นเอง จึงไม่มีใครที่จะสามารถฆ่าท่านให้ตายได้ และในอดีตชาติท่านเคยพบกับพระพุทธเจ้าตอนที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์อยู่มาแล้ว จึงตั้งความปรารถนามาเพื่อจะบรรลุธรรมตามพระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันนี้

การที่ท่านได้ฆ่าโจรเกือบ ๑,๐๐๐ คนนั้น ท่านไม่ได้สร้างบาปแต่ประการใด ก็เพราะเจตนาของท่านหวังเพื่อบรรลุธรรมชั้นสูง และท่านได้แสวงหาคนเพื่อฆ่าให้ครบ ๑,๐๐๐ คนนั้นก็ได้แก่มารดาของท่านเอง ดังนั้นความจึงได้ทราบถึงด้วยพระญาณของพระองค์ เพื่อมิให้องคุลิมาลต้องทำอนันตริยกรรม ที่จะพลาดจากมรรคผล ขอย้อนรอยกลับไปนิดนึงว่าทำไมต้องเป็นมารดาขององคุลิมาล เมื่อมารดาขององคุลิมาลทราบข่าวว่าพระเจ้าปเทนทิโกศลจะยกทัพเพื่อไปปราบองคุลิมาล นางก็รีบไปพบเพื่อจะบอกให้ทราบ ดังที่มีมาในพระไตรปิฎกทั่วไปดังนั้นจะไม่ขอกล่าว

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.พ. 2014, 13:13 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ลุงหมานครับ....ผมว่าลุงมีปัญหาแล้วละ...

เอาเฉพาะที่ลุงว่า" ฆ่าโจร 1,000 ไม่บาปเพราะใจมุ่งบรรลุธรรม" ก่อนนะ....ยังไม่ว่าเรื่อง..ทำไมถึงคิดว่า..ฆ่าโจร..นะ

คือ..ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร...ถ้าไปฆ่าเขา...มันบาปทั้งหมดแหละครับ...บาป..แปลว่าอะไรครับ..?


โพสต์ เมื่อ: 28 ก.พ. 2014, 06:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5363


 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b8:
น้องรสมนครับ น่าสนใจนำมาวิเคราะห์คุยกันว่า
ท่านอหิงสกะ หรือองคุลีมาลซึ่งฆ่าคนมาเป็นพัน ตอนที่ถือดาบไล่หมายจะฆ่าพระพุทธเจ้า แต่พอวางดาบลงกราบฟังธรรมของพระองค์กลับบรรลุธรรมได้
s006



ผมขอเสนอความเห็นนะครับ เหตุที่จะสามารถบรรลุธรรมได้เกิดจากการสั่งสมบารมีมานานอย่างพระอริยบุคคลเอกอัครสาวกที่ท่านบำเพ็ญบารมีมานาน ในกรณีตัวอย่างของท่านองคุลีมาล ท่านได้ทำบาปโดยการฆ่าคนเพื่อเอานิ้ว แต่เหตุที่จะขัดขวางเพื่อไม่ให้สามารถบรรลุธรรมได้ก็คือกรรมหนัก 5 อย่าง หรืออนันตริกรรม 5 ซึ่งกรรมหนัก 5 อย่างนี้ เมื่อผู้ใดได้กระทำแล้วจะเป็นเหตุให้ไม่สามารถเข้าถึงนิพพานได้ ในกรณีของท่านองคุลิมารท่านทำบาปมามาก แต่ท่านไม่ได้ทำอนันตริยกรรม เพราะฉะนั้นเมื่อบารมีที่เกิดจากการส่งสมและได้พบพระพุทธเจ้าทำให้สามารถบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ครับ


โพสต์ เมื่อ: 28 ก.พ. 2014, 06:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 มี.ค. 2009, 10:48
โพสต์: 5363


 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาบุญกับกัลยาณมิตรทุกท่านด้วยครับที่ได้สนทนาธรรมร่วมกัน


โพสต์ เมื่อ: 28 ก.พ. 2014, 06:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




1798623_654931941237690_1588227058_n.jpg
1798623_654931941237690_1588227058_n.jpg [ 124.55 KiB | เปิดดู 3018 ครั้ง ]
กบนอกกะลา เขียน:
ลุงหมานครับ....ผมว่าลุงมีปัญหาแล้วละ...

เอาเฉพาะที่ลุงว่า" ฆ่าโจร 1,000 ไม่บาปเพราะใจมุ่งบรรลุธรรม" ก่อนนะ....ยังไม่ว่าเรื่อง..ทำไมถึงคิดว่า..ฆ่าโจร..นะ



ต้องเข้าใจเรื่องกรรมก่อนนะ คำว่า

"เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ" แปลว่า "เจตนานั่นแหละเป็นกรรม"
เจตนาเป็นเครื่องชี้วัดกรรม ใช่หรือไม?
เมื่อมี"เจตนา" เป็นกุศล "กรรม" เหล่านั้นย่อมไม่ใช่บาป

องคุลิมาลท่านเป็นปัจฉิมภวิก ท่านต้องบรรลุในชาตินี้ที่เป็นชาติสุดท้าย
ที่นี้คำว่า "กรรม" นั้น ไม่ว่าผู้นั้นจะทำกุศลก็ยังได้ชื่อว่าผู้นั้นได้ทำกรรม
ผู้ใดยังสร้างกรรมอยู่ผู้นั้นก็จะต้องเกิดอีกใช่หรือไม่?
ถ้าองคุลิมาลสร้างกรรมอยู่ หรือกรรมเข้าสูกระแสจิตท่านได้ก็ย่อมต้องเกิดอีก
มันก็จะไปขัดกับคำว่า "ท่านเกิดเป็นชาติสุดท้าย" ใช่หรือไม่?


อ้างคำพูด:
คือ..ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร...ถ้าไปฆ่าเขา...มันบาปทั้งหมดแหละครับ...บาป..แปลว่าอะไรครับ..?


ที่นี้ก็ต้องเข้าใจอย่างนี้ว่า ตัวอย่างเช่น พระอรหันต์ขณะที่เดินจงกรมหรือเดินบิณบาต
อาจเหยียบมดตายจะบาปหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าไม่บาปใช่หรือไม่ เพราะว่าท่านนั้นไม่มี "เจตนา"
เมื่อไม่มี เจตนา ที่เป็นตัว กรรม กรรมเหล่านั้นก็ไม่มีใช่หรือไม่?

จะเห็นได้ว่าพระอรหันต์ท่านเหล่าเป็นผู้ที่อยู่เหนือกรรมทั้งสิ้น คือ อยู่เหนือทั้งบาปและบุญ
หรือแม้แต่พระอรหันต์จะสร้างบุญโดยการให้ทานก็ไม่เป็นบุญ การกระทำของท่าน
ก็เป็นเพียง "กิริยา" หรือเรียกอีกอย่างหนึ่ง คือ "อัพพยากตธรรม"
บาปกรรมหรือบุญกรรมก็ไม่สามารถเข้าสู่กระแสจิตของท่านเหล่านั้นได้

ก็ต้องมาคิดอีกว่าสัตว์ที่ตายนั้นเป็นเพราะว่าสัตว์มารับผลของกรรมนั้น จริงหรือไม่
หรืออีกอย่างหนึ่งดูง่ายๆ อาจขณะที่เราเดินไปภายในร่มไม้ เกิดกิ่งไม้หักตกใส่หัว
กิ่งไม้ทำกรรมหรือไม่ ฉะนั้นเรานั่นแหละเป็นผู้รับผลของกรรมเหล่านั้นจริงหรือไม่

ที่ยกตัวอย่างมานั้นอาจจะพอเข้าใจได้บ้างมั้งนะครับ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสต์ เมื่อ: 28 ก.พ. 2014, 08:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาวพุทธบ้านเรายังมองศีลมองธรรมห่างไกลจากเจตนารมณ์ของพระพุทธศาสนา คือ มองพ้นออกไปจากชีวิตจากสังคมมนุษย์ปัจจุบัน :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 28 ก.พ. 2014, 17:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



บุพกรรมท่านองคุลีมาล ..

บางตำราก็ว่า

ท่านเกิดเป็นควายป่า กำลังมาก เกเร ทำให้สัตว์และชาวบ้านเดือดร้อน
เขาจึงช่วยกันรุมจับและฆ่าท่านตาย ท่านจึงอาฆาตไว้

บ้างก็ว่า ท่านเป็นเต่ายักษ์ถูกฆ่ากินเนื้อ เป็นต้น ..

แต่หลังจากที่ท่านบวชแล้ว กรรมที่ฆ่าคนตายก็ยังสนองท่าน ชาวบ้านยังใช้ไม้
ก้อนหินขว้างปาท่าน เวลาไปบิณฑบาต ซึ่งท่านก็อดทน ..

พระพุทธเจ้าตรัสว่า " .. เธอจงอดกลั้นไว้เถิดพราหมณ์ เธอจงอดกลั้นไว้เถิดพราหมณ์
เธอได้เสวยผลกรรมซึ่งเป็นเหตุ จะให้เธอพึงหมกไหม้อยู่ในนรกตลอดปีเป็นอันมาก
ตลอดร้อยปีเป็นอันมาก ตลอดพันปีเป็นอันมาก ในปัจจุบันนี้เท่านั้น .. "

กรรมนั้นเมื่อถึงเวลาย่อมให้ผลเสมอ แม้แต่ท่านผู้เป็นอรหันต์ที่ยังทรงชนม์ชีพอยู่
ยกเว้นแต่ท่านผู้ดับขันธ์เข้าสู่นิพพานเท่านั้น กรรมนั้นจึงจะกลายเป็นอโหสิกรรม

:b1:

http://84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php ... 237&Z=8451


.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสต์ เมื่อ: 28 ก.พ. 2014, 21:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b38:
มาถึงตอนนี้เราน่าจะได้กำลังใจอะไรสักอย่างหนึ่งว่า

ใครก็ตาม ได้ทำบาปล่วงศีล 5 มามากน้อยเพียงไรก็ตาม เมื่อมาได้ฟังข้อธรรมคำสอนอันถูกต้องของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จงอย่าได้ไปวิตกกังวลกับอดีตบาปที่ผิดศีลทั้งหมดนั้น พึงควรตั้งหน้านับหนึ่งใหม่ ณ บัดเดี๋ยวนี้ที่จะรักษาศีล 5 ให้ดี และมุ่งหน้าเจริญธรรม เจริญสมถะและวิปัสสนาภาวนา เพื่อให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์

ไม่มีใครรู้ได้ว่าอดีตชาติที่ผ่านมาเราได้ทำดีทำชั่วอะไรไว้มากน้อยเพียงไร

พึงมองในแง่บวกและให้กำลังใจกับตนเองว่า อดีตชาติเราอาจได้เคยทำความดีบางอย่างดุจดังท่านอหิงสกะ มาก่อน ชาตินี้ได้มาพบคำสอนอันถูกต้องของพระพุทธเจ้า คงเป็นโอกาสอันดีที่จะได้บรรลุธรรม แล้วก็เร่งความเพียรย่อมมีโอกาสสำเร็จธรรมได้เสมอ


:b37:
:b36:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร