วันเวลาปัจจุบัน 24 ส.ค. 2025, 21:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 120 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 25 ก.พ. 2014, 21:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
ตอนนี้ อยู่เย็น เป็นสุข อยู่ในสำนักอยู่แล้ว จะต้องไปยุ่งกับเรื่องจักรยาน หรือภาระอื่นใดให้หนักอีก

กรัชกายซิ ยังท่องเที่ยวอยู่รึใน 3 ภพ ยังไม่อยากพักถาวรซักทีรึ

เวลาเหลือน้อยแล้วนะ รีบๆจ้ำอ้าวๆ ไปให้ถึงสถานีที่ 1 ก่อนตะวันตกดินนะ....จะได้ไม่ชวดเชยโอกาสอันวิเศษที่ได้เกิดมาเป็น กรัชกาย ชาตินี้


อ้างคำพูด:
กรัชกายซิ ยังท่องเที่ยวอยู่รึใน 3 ภพ ยังไม่อยากพักถาวรซักทีรึ


พูดอะไรให้ต้องตีความอยู่เรื่อย ช้าๆ .........ชัดๆสิขอรับ หมายถึงอะไร :b1:

อ้างคำพูด:
เวลาเหลือน้อยแล้วนะ รีบๆจ้ำอ้าวๆ ไปให้ถึงสถานีที่ 1 ก่อนตะวันตกดินนะ


นี่ก็คลุมเครือ หมายถึงอะไรครับน่า :b1: :b10: พูดอะไรไม่เคยมีความมั่นใจเลยนะ คิกๆๆ

:b6: :b6: :b6:
อืม!.......เป็นเรื่องที่น่าแปลกที่นักวิชาการ รู้มากอย่างกรัชกาย ไม่เข้าใจเรื่องการท่องเที่ยวใน 3 ภพ กับ สถานีที่ 1ที่ชาวพุทธทุกคนควรไปถึงให้ได้ จึงจะไม่เสียชาติเกิด

ตะวันตกดิน ......ก็แปลความหมายไม่ออก

น่าแปลกจริงๆ น่าแปลกจริงๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
s006 s006
คงต้องขอทิ้งไว้เป็นปริศนาให้กรัชกายขบคิด ค้นหาคำตอบเอาเองแล้วละนะ มันถึงจะมีคุณค่า
:b11:
ตอนนี้มีศรัทธาในกำนันเตพเตื้อก ก็ไปตามก้นกำนันให้อิ่มให้พอเสียก่อนนะ
เตรียมประเทศใหม่ไว้อยู้ด้่วยตามที่ Amazing เชื้อเชิญไว้
:b7:


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.พ. 2014, 08:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

ตอนนี้ อยู่เย็น เป็นสุข อยู่ในสำนักอยู่แล้ว จะต้องไปยุ่งกับเรื่องจักรยาน หรือภาระอื่นใดให้หนักอีก

กรัชกายซิ ยังท่องเที่ยวอยู่รึใน 3 ภพ ยังไม่อยากพักถาวรซักทีรึ

เวลาเหลือน้อยแล้วนะ รีบๆจ้ำอ้าวๆ ไปให้ถึงสถานีที่ 1 ก่อนตะวันตกดินนะ....จะได้ไม่ชวดเชยโอกาสอันวิเศษที่ได้เกิดมาเป็น กรัชกาย ชาตินี้[/color]



อ้างคำพูด:
กรัชกายซิ ยังท่องเที่ยวอยู่รึใน 3 ภพ ยังไม่อยากพักถาวรซักทีรึ


พูดอะไรให้ต้องตีความอยู่เรื่อย ช้าๆ .........ชัดๆสิขอรับ หมายถึงอะไร :b1:

อ้างคำพูด:
เวลาเหลือน้อยแล้วนะ รีบๆจ้ำอ้าวๆ ไปให้ถึงสถานีที่ 1 ก่อนตะวันตกดินนะ


นี่ก็คลุมเครือ หมายถึงอะไรครับน่า :b1: :b10: พูดอะไรไม่เคยมีความมั่นใจเลยนะ คิกๆๆ

:b6: :b6: :b6:
อืม!.......เป็นเรื่องที่น่าแปลกที่นักวิชาการ รู้มากอย่างกรัชกาย ไม่เข้าใจเรื่องการท่องเที่ยวใน 3 ภพ กับ สถานีที่ 1ที่ชาวพุทธทุกคนควรไปถึงให้ได้ จึงจะไม่เสียชาติเกิด

ตะวันตกดิน ......ก็แปลความหมายไม่ออก

น่าแปลกจริงๆ น่าแปลกจริงๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
s006 s006
คงต้องขอทิ้งไว้เป็นปริศนาให้กรัชกายขบคิด ค้นหาคำตอบเอาเองแล้วละนะ มันถึงจะมีคุณค่า
:b11:
ตอนนี้มีศรัทธาในกำนันเตพเตื้อก ก็ไปตามก้นกำนันให้อิ่มให้พอเสียก่อนนะ
เตรียมประเทศใหม่ไว้อยู้ด้่วยตามที่ Amazing เชื้อเชิญไว้
:b7:



อ้างคำพูด:
ตะวันตกดิน ......ก็แปลความหมายไม่ออก

น่าแปลกจริงๆ น่าแปลกจริงๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ



ตอบก็ได้ :b32: เดี๋ยวจะว่าโง่ แต่จริงๆไม่โง่น่ะเออ :b9:

"ตะวันตกดิน" หมายถึงตอนเย็น หลัง 18.00 น.ไปแล้ว แต่จริงๆตะวันลับเหลี่ยมโลกทางทิศตะวันตกนะ (ถ้าตะวันตกดิน คงหายเงียบไปเลย คงไม่โผล่มาให้เห็นอีกหรอก คิกๆ)

ไม่เชื่อฟังนี่

http://www.youtube.com/watch?v=XxSrOoLSBsY

พอรุ่งเช้าตะวันก็โผล่ทางทิศตะวันออกอีก หมุนวนไปเงี้ยจนกว่าโลกจะแตกสลาย ถูกไหมครับน่า :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 26 ก.พ. 2014, 08:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท ก็คือ ทุกข์ และทุกขสมุทัย

นิพพาน ก็คือ นิโรธ แล้วก็รวมเอา หรือ เล็งเอามรรคเข้าไปด้วย เพราะเป็นข้อปฏิบัติที่จะให้ถึงนิพพาน แต่ในที่นี้ตรัสเฉพาะสภาวธรรม

เป็นอันว่า เวลาตรัสแสดงคำสอนของพระพุทธศาสนา ในส่วนสาระสำคัญ อย่างที่เรียกว่าเอาเฉพาะหลักการแท้ๆ ตามสภาวะ ก็ทรงระบุอิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท และนิพพาน นี่แหละคือหัวใจตัวจริงแท้ ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เอง พระพุทธเจ้าตรัสปรารภกับพระองค์เอง ไม่ต้องกลัวว่าใครจะเข้าใจหรือไม่

แต่ในเวลานำมาแสดงแก่ประชาชน ต้องแสดงในรูปอริยสัจ ก็คือเอาอิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท และนิพพาน นั่นแหละ มาแสดงในรูปที่จะสื่อกับประชาชนได้ เรียกว่า เป็นอริยสัจ ๔ ประการ จึงถือว่า อริยสัจนั้น คือสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดงในรูปลักษณะที่จะให้คนทั้งหลายรู้เข้าใจ และนำไปประพฤติปฏิบัติได้


เพราะฉะนั้น อริยสัจ จึงเป็นวิธีสอนของพระพุทธเจ้าไปด้วย วิธีสอนต่างๆที่จะได้ผลดี จะเห็นว่า แม้แต่ยุคปัจจุบันก็ต้องใช้หลักอริยสัจ ๔ แม้แต่พวกที่เป็นนักปลุกระดม ก็ต้องใช้วิธีตามแนวอริยสัจ ๔



อ้างคำพูด:
วิธีสอนต่างๆที่จะได้ผลดี จะเห็นว่า แม้แต่ยุคปัจจุบันก็ต้องใช้หลักอริยสัจ ๔ แม้แต่พวกที่เป็นนักปลุกระดม ก็ต้องใช้วิธีตามแนวอริยสัจ ๔


หัวข้อกระทู้ยังค้างอยู่อีกนิดหนึ่ง พอดีได้โอกาสจึงลงต่อ ซึ่งเข้ากับสถานการณ์สังคมด้วย แล้วก็เป็นข้อศึกษาพระพุทธศาสนาด้วย
พระพุทธศาสนาไม่ใช่แก้วสารพัดนึกอย่างที่อโศกเข้าใจ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งการกระทำ (กรรมวาที) เป็นศาสนาแห่งความเพียรพยายาม (วิริยวาที)


วิธีอริยสัจ ได้ผลชะงัด ตั้งแต่สอนนักเรียน จนถึงปลุกระดม

ขอนอกเรื่องสักนิดหนึ่ง ใช้อย่างไร วิธีปลุกระดมตามแนววิธีของอริยสัจ 4

1. จาระไนปัญหา จะต้องแจกแจงหรือแถลงก่อนว่า เดี๋ยวนี้อะไรต่ออะไรมันเสียหายร้ายแรง เลวทรามอย่างไร เช่น จะปฏิวัติสังคมก็ต้องพูดนำให้เห็นก่อนว่า ขณะนี้สังคมมันเลวร้าย มีปัญหาอย่างนั้นอย่างนี้ พูดจนกระทั่งคนเห็นว่าสังคมนี้ ไม่ไหวแล้ว

2. ชี้หน้าตัวการ พอพูดจาระไนปัญหาจนกระทั่งคนเห็นด้วยว่า ไม่ไหวจริงๆ เลวเต็มทีแล้ว จะต้องแก้ไข นักปลุกระดมก็พูดต่อไปว่า ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ ตัวการคืออะไร ใครเป็นตัวการ เอาแล้วสิทีนี้ พอชี้ตัวการว่าตัวการอยู่ที่นั่น พวกนั้นพวกนี้ อันนั้นอันนี้ เป็นตัวการ นี่ละตัวเหตุละ พอชี้ตัวการแล้ว คนก็ฮื่มกระหื่นขึ้นมาจะลงมือ พร้อมที่จะปฏิวัติเลย

3. หันไปจ้องจุดหมาย พอชี้ตัวการร้ายเสร็จ ก็บอกจุดหมายเลยว่า นี่ ถ้าเราแก้ไขเสร็จแล้วนะ มันจะดีอย่างนั้นอย่างนี้ บรรยายสภาพที่เป็นจุดหมายว่า จะดีเลิศประเสริฐอย่างไร จนกระทั่งคนกระหาย อยากจะเข้าถึงจุดหมายอันนั้น

พอถึงขั้นนี้ คนก็พร้อมที่จะปฏิบัติการทุกอย่าง เพราะมองเห็นและคิดหมายใฝ่ปรารถนาจุดหมายที่ดีงามแล้ว ก็อยากจะไปเต็มที่ แล้วก็โยงมาด้วยว่า จะไปถึงจุดหมายนั้นได้ ก็ต้องกำจัดไอ้เจ้าตัวร้ายทั้งหลายที่เป็นต้นเหตุให้หมด แล้วปัญหาต่างๆ ความทุกข์ ความเดือดร้อน ทั้งปวงก็จะหมดไป

4. สาธยายวิธีทำการ พอคนพร้อมอย่างนี้แล้ว ก็บอกวิธีปฏิบัติ ตอนนี้ จะให้ลงมือทำ จะให้ทำอะไร ทำได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะยากจะเย็นจะซับซ้อนอย่างไร เอาทุกอย่าง




นี่แหละวิธีสอนแบบอริยสัจ ใช้มา 2500 กว่าปี จนบัดนี้ ไม่มีล้าสมัย และใครทุกพวก ไม่ว่าจะฝ่ายดี ฝ่ายร้าย ต้องใช้ มีแต่ว่าจะใช้ในทางดี หรือทางร้ายเท่านั้นเอง


ฉะนั้น ในวงการศึกษาเวลานี้จึงยอมรับมาก ในเรื่องวิธีสอนแบบอริยสัจ ถือได้ว่าเป็นต้นแบบของวิธีสอนทุกอย่าง พระพุทธเจ้าทรงนำเอาสัจธรรมมาแสดงแก่มนุษย์ ในรูปแบบที่เรียกว่า อริยสัจ 4

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.พ. 2014, 20:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

ตอนนี้ อยู่เย็น เป็นสุข อยู่ในสำนักอยู่แล้ว จะต้องไปยุ่งกับเรื่องจักรยาน หรือภาระอื่นใดให้หนักอีก

กรัชกายซิ ยังท่องเที่ยวอยู่รึใน 3 ภพ ยังไม่อยากพักถาวรซักทีรึ

เวลาเหลือน้อยแล้วนะ รีบๆจ้ำอ้าวๆ ไปให้ถึงสถานีที่ 1 ก่อนตะวันตกดินนะ....จะได้ไม่ชวดเชยโอกาสอันวิเศษที่ได้เกิดมาเป็น กรัชกาย ชาตินี้[/color]



อ้างคำพูด:
กรัชกายซิ ยังท่องเที่ยวอยู่รึใน 3 ภพ ยังไม่อยากพักถาวรซักทีรึ


พูดอะไรให้ต้องตีความอยู่เรื่อย ช้าๆ .........ชัดๆสิขอรับ หมายถึงอะไร :b1:

อ้างคำพูด:
เวลาเหลือน้อยแล้วนะ รีบๆจ้ำอ้าวๆ ไปให้ถึงสถานีที่ 1 ก่อนตะวันตกดินนะ


นี่ก็คลุมเครือ หมายถึงอะไรครับน่า :b1: :b10: พูดอะไรไม่เคยมีความมั่นใจเลยนะ คิกๆๆ

:b6: :b6: :b6:
อืม!.......เป็นเรื่องที่น่าแปลกที่นักวิชาการ รู้มากอย่างกรัชกาย ไม่เข้าใจเรื่องการท่องเที่ยวใน 3 ภพ กับ สถานีที่ 1ที่ชาวพุทธทุกคนควรไปถึงให้ได้ จึงจะไม่เสียชาติเกิด

ตะวันตกดิน ......ก็แปลความหมายไม่ออก

น่าแปลกจริงๆ น่าแปลกจริงๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
s006 s006
คงต้องขอทิ้งไว้เป็นปริศนาให้กรัชกายขบคิด ค้นหาคำตอบเอาเองแล้วละนะ มันถึงจะมีคุณค่า
:b11:
ตอนนี้มีศรัทธาในกำนันเตพเตื้อก ก็ไปตามก้นกำนันให้อิ่มให้พอเสียก่อนนะ
เตรียมประเทศใหม่ไว้อยู้ด้่วยตามที่ Amazing เชื้อเชิญไว้
:b7:



อ้างคำพูด:
ตะวันตกดิน ......ก็แปลความหมายไม่ออก

น่าแปลกจริงๆ น่าแปลกจริงๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ



ตอบก็ได้ :b32: เดี๋ยวจะว่าโง่ แต่จริงๆไม่โง่น่ะเออ :b9:

"ตะวันตกดิน" หมายถึงตอนเย็น หลัง 18.00 น.ไปแล้ว แต่จริงๆตะวันลับเหลี่ยมโลกทางทิศตะวันตกนะ (ถ้าตะวันตกดิน คงหายเงียบไปเลย คงไม่โผล่มาให้เห็นอีกหรอก คิกๆ)

ไม่เชื่อฟังนี่

http://www.youtube.com/watch?v=XxSrOoLSBsY

พอรุ่งเช้าตะวันก็โผล่ทางทิศตะวันออกอีก หมุนวนไปเงี้ยจนกว่าโลกจะแตกสลาย ถูกไหมครับน่า :b1:

:b12: :b12: :b12:
3 ภพ

รูปภพ

อรูปภพ

กามภพ

สถานีที่ 1............โสดาปัตติผล

ตะวันตกดิน...........ตาย........ตะวัน 9 โมง อายุ 20 ปี....ตะวันเที่ยง อายุ 40 ปี.....ตะวันบ่ายสาม อายุ 60 ปี ตะวัน หกโมงเย็น อายุ 80 ปี
:b37:


โพสต์ เมื่อ: 27 ก.พ. 2014, 21:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:
กรัชกาย เขียน:
asoka เขียน:

ตอนนี้ อยู่เย็น เป็นสุข อยู่ในสำนักอยู่แล้ว จะต้องไปยุ่งกับเรื่องจักรยาน หรือภาระอื่นใดให้หนักอีก

กรัชกายซิ ยังท่องเที่ยวอยู่รึใน 3 ภพ ยังไม่อยากพักถาวรซักทีรึ

เวลาเหลือน้อยแล้วนะ รีบๆจ้ำอ้าวๆ ไปให้ถึงสถานีที่ 1 ก่อนตะวันตกดินนะ....จะได้ไม่ชวดเชยโอกาสอันวิเศษที่ได้เกิดมาเป็น กรัชกาย ชาตินี้[/color]



อ้างคำพูด:
กรัชกายซิ ยังท่องเที่ยวอยู่รึใน 3 ภพ ยังไม่อยากพักถาวรซักทีรึ


พูดอะไรให้ต้องตีความอยู่เรื่อย ช้าๆ .........ชัดๆสิขอรับ หมายถึงอะไร :b1:

อ้างคำพูด:
เวลาเหลือน้อยแล้วนะ รีบๆจ้ำอ้าวๆ ไปให้ถึงสถานีที่ 1 ก่อนตะวันตกดินนะ


นี่ก็คลุมเครือ หมายถึงอะไรครับน่า :b1: :b10: พูดอะไรไม่เคยมีความมั่นใจเลยนะ คิกๆๆ

:b6: :b6: :b6:
อืม!.......เป็นเรื่องที่น่าแปลกที่นักวิชาการ รู้มากอย่างกรัชกาย ไม่เข้าใจเรื่องการท่องเที่ยวใน 3 ภพ กับ สถานีที่ 1ที่ชาวพุทธทุกคนควรไปถึงให้ได้ จึงจะไม่เสียชาติเกิด

ตะวันตกดิน ......ก็แปลความหมายไม่ออก

น่าแปลกจริงๆ น่าแปลกจริงๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
s006 s006
คงต้องขอทิ้งไว้เป็นปริศนาให้กรัชกายขบคิด ค้นหาคำตอบเอาเองแล้วละนะ มันถึงจะมีคุณค่า
:b11:
ตอนนี้มีศรัทธาในกำนันเตพเตื้อก ก็ไปตามก้นกำนันให้อิ่มให้พอเสียก่อนนะ
เตรียมประเทศใหม่ไว้อยู้ด้่วยตามที่ Amazing เชื้อเชิญไว้
:b7:



อ้างคำพูด:
ตะวันตกดิน ......ก็แปลความหมายไม่ออก

น่าแปลกจริงๆ น่าแปลกจริงๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ



ตอบก็ได้ :b32: เดี๋ยวจะว่าโง่ แต่จริงๆไม่โง่น่ะเออ :b9:

"ตะวันตกดิน" หมายถึงตอนเย็น หลัง 18.00 น.ไปแล้ว แต่จริงๆตะวันลับเหลี่ยมโลกทางทิศตะวันตกนะ (ถ้าตะวันตกดิน คงหายเงียบไปเลย คงไม่โผล่มาให้เห็นอีกหรอก คิกๆ)

ไม่เชื่อฟังนี่

http://www.youtube.com/watch?v=XxSrOoLSBsY

พอรุ่งเช้าตะวันก็โผล่ทางทิศตะวันออกอีก หมุนวนไปเงี้ยจนกว่าโลกจะแตกสลาย ถูกไหมครับน่า :b1:


3 ภพ

รูปภพ

อรูปภพ

กามภพ

สถานีที่ 1............โสดาปัตติผล

ตะวันตกดิน...........ตาย........ตะวัน 9 โมง อายุ 20 ปี....ตะวันเที่ยง อายุ 40 ปี.....ตะวันบ่ายสาม อายุ 60 ปี ตะวัน หกโมงเย็น อายุ 80 ปี




แบบเขาเรียงยังงี้ครับ :b1:

ภพ 3

กามภพ

รูปภพ

อรูปภพ

ส่วนนี้ V อโศกนั่งวาดนั่งโยงเอาเอง คิกๆ

อ้างคำพูด:
สถานีที่ 1............โสดาปัตติผล

ตะวันตกดิน...........ตาย........ตะวัน 9 โมง อายุ 20 ปี....ตะวันเที่ยง อายุ 40 ปี.....ตะวันบ่ายสาม อายุ 60 ปี ตะวัน หกโมงเย็น อายุ 80 ปี



หากจะมีคำถามว่า ผิดหรอที่อโศกคิดยังงั้นน่ะ ? ไม่ผิดๆ ยังไม่ตาย ยังคิดได็ก็คิดไป ดีกว่า นั่งนอนเปล่าๆ แต่พึงระวังตอนปั่นจักรยานไป คิดเพลินไปว่า เราจะเป็นยังงั้นยังงี้ เป็นโสดาบัน เป็นพระอรหันต์ มองหลุมบ่อข้างทางด้วย มัวคิดเพลินจักรยานตกหลุมตกร่องหัวทิ่มน่ะ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 28 ก.พ. 2014, 07:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:


กรัชกายซิ ยังท่องเที่ยวอยู่รึใน 3 ภพ ยังไม่อยากพักถาวรซักทีรึ



คิดอย่างอโศกนี่แหละ เรียกว่าคิดอย่างมีอัตตา ^ :b9:

แทนที่จะคิดแก้ปัญหาแก้ทุกข์ดับทุกข์แล้วอยู่เป็นสุขในชีวิตปัจจุบัน แต่ดันไปคิดถึงชาติหน้าว่าไม่ขอไปเกิดแก่เจ็บตายอีกแล้ว เกิดเป็นทุกข์เหลือทน คนเรานี่ชอบอยู่กับจินตนาการเพ้อๆฝันๆ ไม่ชอบความจริง เลี่ยงหนีความจริงหนีสัจธรรมตลอด เมื่อหนีความจริงอย่างนี้ มันจะรู้ความจริงของชีวิตของสังคมมนุษย์ได้อย่างไร

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 28 ก.พ. 2014, 12:01 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b6:
ทั้งเรื่องภพ 3 ตะวันจะตกดิน ล้วนแล้วแต่เตือนให้มีสติ สัมปชัญญะกลับคืนมาเร่งควมเพียรในปัจจุบันชาติให้ถึงสถานีที่1 อันเป็นที่ปิดประตูอบาย

นักวิชาการใหญ่กลับเห็นผิดสับสน จนลามเลยไปกล่าวปิสุณาวาจา น่าอายนัก นี่หละมั้งที่เขาเรียกว่า

"รู้มาก ยากนาน"
:b7:


โพสต์ เมื่อ: 28 ก.พ. 2014, 14:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b6:
ทั้งเรื่องภพ 3 ตะวันจะตกดิน ล้วนแล้วแต่เตือนให้มีสติ สัมปชัญญะกลับคืนมาเร่งควมเพียรในปัจจุบันชาติให้ถึงสถานีที่1 อันเป็นที่ปิดประตูอบาย

นักวิชาการใหญ่กลับเห็นผิดสับสน จนลามเลยไปกล่าวปิสุณาวาจา น่าอายนัก นี่หละมั้งที่เขาเรียกว่า

"รู้มาก ยากนาน"
:b7:


อ้างคำพูด:
ล้วนแล้วแต่เตือนให้มีสติ สัมปชัญญะกลับคืนมาเร่งควมเพียรในปัจจุบันชาติ


วนมาที่สติสัมปชัญญะอีก แล้วก็วนไปที่เร่งความเพียร (วายามะ) นี่เป็นคำพูด :b32: เร่งนั้นเร่งนี่ เร่งความความเพียร เร่งสติ เร่งสัมปชัญญะ เร่งอะไรต่ออะไร เป็นคำพูด

ยกตัวอย่าง เหมือนคนพูดว่าจะเร่งสร้างบ้านให้เสร็จ จะได้มีบ้านอยู่ นั่งบ่นนั่งพูดรำพันไป เร่งสร้างบ้านให้เสร็จๆๆ จะได้มีบ้านอยู่

ทีนี้มีคนตั้งคำถามว่า คุณอโศกทำบ้านเป็นไหม :b1: ที่พูดว่าจะเร่งสร้างบ้านให้เสร็จน่ะ อโศกตอบว่า ทำไม่เป็นหรอก เขาก็ถามต่อว่า แล้วอโศกมีเงินไหม ? (จะได้จ้างเขาทำ) ไม่มี เงินก็ไม่มี ทำก็ไม่เป็น อ้าว แล้วยังงี้บ้านจะเสร็จได้ยังไง ฉันใดก็ฉันนั้น

อโศกว่า พูดเตือนให้มีสติเร่งความเพียร โอเค ท่อนนี้พอฟังได้ แต่ขั้นต่อไป อโศกเร่งเพียรยังไงล่ะ ...ไม่รู้ นี่ไงถึงว่า นั่นมันคำพูด พอเข้าใจไหมขอรับ :b32: (ข้อนี้ถึงมีเงินก็จ้างเขาทำไม่ได้ ต้องทำเอง ทำเองก็ทำไม่เป็น ถ้างั้นจบ :b1: )


เขาเป็นอะไร

อ้างคำพูด:
สงสัยว่า เวลานั่งสมาธิแล้วเป็นแบบนี้จะเป็นอันตรายมั๊ยคะ

เวลานั่งไปสักพักจะรู้สึกผ่าวๆ ไม่รู้ว่าเรียกแบบนี้รึเปล่า คือเราจะรู้สึกได้ว่า มีความเคลื่อนไหวแถวๆ หน้าผาก ตรงบริเวณใต้ไรผมแต่อยู่เหนือบริเวณคิ้วทั้งสองข้าง มีความรู้สึกถึงอาการวูบๆ วาบๆ จากช่วงกลางๆ ของคิ้วเคลื่อนตัวเข้าไปหาทางหัวคิ้ว เป็นพร้อมๆกันทั้งสองข้างซ้ายและขวา แต่ไม่เป็นที่อื่นๆ ไม่ปวดหัวหรือปวดอะไรทั้งนั้นไม่มีผลข้างเคียงอะไรในชีวิตประจำวันด้วย

ตอนแรกก็กำหนดลมหายใจต่อไปเรื่อยๆ ก็ยังรู้สึกอยู่ เปลี่ยนมากำหนดรู้หนอที่ลิ้นปี่ ก็ยังรู้สึกอีก เลยเปลี่ยนใหม่ไปคอยดูที่จุดเกิดเหตุบริเวณที่เป็น (ไม่ได้เพ่งแต่คอยดูอารมณ์ประมาณว่าจะเป็นอะไรก็เป็นไปดูดิจะเป็นมากแค่ไหน นานเท่าไรจะเป็นไงก็เป็นกัน) ปรากฏว่าความรู้สึกนั้นมันหายไป ดีใจมากเลย นั่งต่อก็รู้สึกอีก เลยคิดว่า สงสัยนั่งนานเกินไป (ประมาณครึ่ง ชม.เอง) มาคิดได้ทีหลังว่า การทำอะไรโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์แบบเป็นไงเป็นกันนี่ไม่ถูก ต้องเลยลองไปหาดูในเน็ต ก็หาไม่เจอเคสแบบนี้ก็ไม่รู้จะทำไง เลยมาขอถามผู้รู้ ในนี้ รบกวนช่วยแนะนำด้วยนะคะ อย่างน้อยก็ขอให้รู้ว่าจะไม่เป็นอันตรายอะไร

ปกตินั่งสมาธิเองที่บ้านไม่มีครูบาอาจารย์สอนตัวต่อตัวนะคะ อาศัยฟังหรืออ่านหนังสือธรรมะมาบ้าง ที่ๆอยู่ไม่มีพระหรือของอะไรทั้งนั้น (แบบกุมารอะไรเงี้ยนะ) เคยคิดว่า อาจนั่ง ผิดท่าเลยเปลี่ยนท่านั่งในวันถัดมาก็ยังเป็นอีก ต่อมาก็ดูว่าเป็นการทำงานของระบบประสาทเวลาจิตสงบนิ่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ว่า ทำไมถึงเกิดแต่ที่หน้าผากเท่านั้น หัวกับตัวและหน้ายังปกติดี ดูเส้นเลือดที่คอเต้นตุ๊บๆ มันก็รู้สึกไม่เหมือนกันเลย และจะเกิดเฉพาะเวลานั่งสมาธิเท่านั้น เวลาเดินจงกรมหรือเวลาที่เราทำงานหรือทำอะไรด้วยสมาธิจะไม่มีความรู้สึกนี้ เลย

ปล. สมัยเราเป็นวัยรุ่นตอนนั้นยังไม่มีอินเตอร์เน็ต เคยนั่งสมาธิเองที่บ้านสักพักก็รู้สึกตัวลอยติดแหงกๆอยู่แถวคอกับไหล่ซ้าย ของตัวเอง ประมาณว่าลอยและหมุนไปทางซ้าย เป็นอยู่นาน ทำยังไงก็ไม่หาย ต้องลืมตา ไปเที่ยวถามใครก็ไม่มีใครรู้ ที่บ้านเลยให้เลิก


ทำนะมันไม่ง่ายเหมือนพูดหรอก อุปสรรคเยอะแยะ มาติดตันกันที่นี่ ไปไหนไม่ได้วนไปวนมา อย่างที่บอกก่อนหน้าว่า ชีวิต หรือขันธ์ ๕ หรือรูปนาม หรือกายใจ ลึกซึ้งซับซ้อนยิ่งนัก

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 28 ก.พ. 2014, 17:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
เฮ้อ.......

คุยกับนักวิชาการ มันก็ยุ่งยาก เรื่องมาก ชักช้า ร่ำไรยังงี้แหละ มีแง่มุมฟุ้งซ่านไปได้เรื่อยๆ

ก็ลงมือทำในชีวิตจริงวันนี้เลยสิ จะได้ไม่มีอะไรต้องพูดมาก

"สำรวมกายใจ มานิ่งรู้ นิ้่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ จนละความเห็นผิดว่ากาย จนี้เป็นอัตตา ตัวกู ของกู

พอกพูนความเห็นถูกต้องว่ากายใจนี้เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวกู ของกู

ทุกวัน เวลา นาที วินาที ที่ระลึกได้และมีโอกาส"

ลงมือทำเร้ว อย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง
:b4:


โพสต์ เมื่อ: 01 มี.ค. 2014, 09:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
เฮ้อ.......

คุยกับนักวิชาการ มันก็ยุ่งยาก เรื่องมาก ชักช้า ร่ำไรยังงี้แหละ มีแง่มุมฟุ้งซ่านไปได้เรื่อยๆ

ก็ลงมือทำในชีวิตจริงวันนี้เลยสิ จะได้ไม่มีอะไรต้องพูดมาก

"สำรวมกายใจ มานิ่งรู้ นิ้่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ จนละความเห็นผิดว่ากาย จนี้เป็นอัตตา ตัวกู ของกู

พอกพูนความเห็นถูกต้องว่ากายใจนี้เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวกู ของกู

ทุกวัน เวลา นาที วินาที ที่ระลึกได้และมีโอกาส"

ลงมือทำเร้ว อย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง
:b4:


เห็นท่องมานานแระ กายใจไม่ใช่ตัวกู ไม่ใช่ของกู เป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ คิกๆๆๆ :b1:

นั่นเขาเป็นอะไรขอรับอโศก :b10: :b14:



ทำไงดีค่ะ ! เมื่อคืนนั่งเจริญอานาปานสติไปได้ประมาณ 2 ชม. ช่วงหนึ่งรู้สึกว่า จิตกำลังวืดสู่อะไรสิ่งหนึ่งแต่..


แต่เจ้รู้สึกจิตมันว่างจนเจ้กลัวค่ะ ! ว่าจะไปต่อดีไหม! บรรลุธรรมคืออะไร! บรรลุแล้วจะอยู่อย่างไร? จิตเลยเกิดการกลัวลังเล.

จิตมันเลยอ่อนกำลังลง! มันคืออาการอะไรค่ะ?

ควรทำต่อดีไหมโดยไม่ลังเลว่าจิตจะพาไปไหน.




อ้างคำพูด:
....กายใจนี้เป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวกู ของกู ทุกวัน เวลา นาที วินาที ที่ระลึกได้และมีโอกาส


ที่ขีดเส้นใต้นั่นแหละเป็นลักษณะการบีบบังคับความรู้สึกนึกคิดว่า กายใจมันเป็นยังงั้น ตามที่ตนเองเคยได้ยินได้ฟังมา แล้วอโศกก็เชื่อตามเหตุผลนั้น อโศกก็จึงเก็บมาท่อง มาคิดๆๆเอา คิกๆๆ ว่ากายใจเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวกู ไม่ใช่ของกู อิๆๆ :b13: แต่จริงๆ อโศกยังไม่เคยสัมผัสสิ่งที่ตนเองคิดถึงนั่นเลย :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 01 มี.ค. 2014, 15:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b12:
1.บริกรรมว่า "กลัวหนอ ๆ ๆ ๆ ๆ ไปจนความกลัวดับไปหรือเกิดอารมณ์ปัจจุบันใหม่มาแทน

ไม่ช้านานผ่านด่านความกลัวได้ การภาวนาก็จะก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป

2.ทุกวัน เวลา นาที วินาที ที่ระลึกได้และมีโอกาส เป็นการบอกให้รู้วิธีที่จะเจริญวิปัสสนาภาวนาในชีวิตประจำวัน อย่าแปลความเป็นอื่น

การเจริญวิปัสสนาภาวนาในชีวิตจริงประจำวันก็คือ

เมื่อใดที่ระลึกได้ว่าเราต้องเจริญภาวนา และโอกาสเปิด

ตั้งสติ ปัญญาขึ้นมา นิ่งรู้ นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ทันที

ความสังเกตเป็นเงื่อนไขสำคัญของวิปัสสนาภาวนา เมื่อใดสังเกตปัจจุบันอารมณ์ เมื่อนั้นวิปัสสนาภาวนาเกิดขึ้นทันที

ส่วนเรื่องที่เดาสุ่มเอาว่าอโศกะไม่เคยสัมผัสความจริงนั้น น่าจะเป็นกรัชกายมากกว่า

ความเห็นผิดว่าเป็นกูเป็นเรานั้นอโศกะได้เผชิญหน้าและสู้กันมาตลอดสมัยก่อน บัดนี้ไม่เป็นภาระแล้ว ไม่ต้องห่วงนะกรัชกาย พึงห่วงตัวเองให้มากๆ เพราะภาระที่จะต้องชำระอุปาทานที่ผูกยึดไว้ในใจกรัชกายอย่างมากมายท่วมท้นนั้น มันจะส่งเป็นวิบากเป็นงานให้กรัชกายฟุ้งซ่าน แก้ไขมันไปอีกนานกว่าจะผ่านเข้าไปถึงแดนสงบ
:b4:


โพสต์ เมื่อ: 01 มี.ค. 2014, 17:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
1.บริกรรมว่า "กลัวหนอ ๆ ๆ ๆ ๆ ไปจนความกลัวดับไปหรือเกิดอารมณ์ปัจจุบันใหม่มาแทน

ไม่ช้านานผ่านด่านความกลัวได้ การภาวนาก็จะก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป

2.ทุกวัน เวลา นาที วินาที ที่ระลึกได้และมีโอกาส เป็นการบอกให้รู้วิธีที่จะเจริญวิปัสสนาภาวนาในชีวิตประจำวัน อย่าแปลความเป็นอื่น

การเจริญวิปัสสนาภาวนาในชีวิตจริงประจำวันก็คือ

เมื่อใดที่ระลึกได้ว่าเราต้องเจริญภาวนา และโอกาสเปิด

ตั้งสติ ปัญญาขึ้นมา นิ่งรู้ นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ทันที

ความสังเกตเป็นเงื่อนไขสำคัญของวิปัสสนาภาวนา เมื่อใดสังเกตปัจจุบันอารมณ์ เมื่อนั้นวิปัสสนาภาวนาเกิดขึ้นทันที

ส่วนเรื่องที่เดาสุ่มเอาว่าอโศกะไม่เคยสัมผัสความจริงนั้น น่าจะเป็นกรัชกายมากกว่า

ความเห็นผิดว่าเป็นกูเป็นเรานั้นอโศกะได้เผชิญหน้าและสู้กันมาตลอดสมัยก่อน บัดนี้ไม่เป็นภาระแล้ว ไม่ต้องห่วงนะกรัชกาย พึงห่วงตัวเองให้มากๆ เพราะภาระที่จะต้องชำระอุปาทานที่ผูกยึดไว้ในใจกรัชกายอย่างมากมายท่วมท้นนั้น มันจะส่งเป็นวิบากเป็นงานให้กรัชกายฟุ้งซ่าน แก้ไขมันไปอีกนานกว่าจะผ่านเข้าไปถึงแดนสงบ
:b4:



อ้างคำพูด:
สงสัยว่า เวลานั่งสมาธิแล้วเป็นแบบนี้จะเป็นอันตรายมั๊ยคะ

เวลานั่งไปสักพักจะรู้สึกผ่าวๆ ไม่รู้ว่าเรียกแบบนี้รึเปล่า คือเราจะรู้สึกได้ว่า มีความเคลื่อนไหวแถวๆ หน้าผาก ตรงบริเวณใต้ไรผมแต่อยู่เหนือบริเวณคิ้วทั้งสองข้าง มีความรู้สึกถึงอาการวูบๆ วาบๆ จากช่วงกลางๆ ของคิ้วเคลื่อนตัวเข้าไปหาทางหัวคิ้ว เป็นพร้อมๆกันทั้งสองข้างซ้ายและขวา แต่ไม่เป็นที่อื่นๆ ไม่ปวดหัวหรือปวดอะไรทั้งนั้นไม่มีผลข้างเคียงอะไรในชีวิตประจำวันด้วย

ตอนแรกก็กำหนดลมหายใจต่อไปเรื่อยๆ ก็ยังรู้สึกอยู่ เปลี่ยนมากำหนดรู้หนอที่ลิ้นปี่ ก็ยังรู้สึกอีก เลยเปลี่ยนใหม่ไปคอยดูที่จุดเกิดเหตุบริเวณที่เป็น (ไม่ได้เพ่งแต่คอยดูอารมณ์ประมาณว่าจะเป็นอะไรก็เป็นไปดูดิจะเป็นมากแค่ไหน นานเท่าไรจะเป็นไงก็เป็นกัน) ปรากฏว่าความรู้สึกนั้นมันหายไป ดีใจมากเลย นั่งต่อก็รู้สึกอีก เลยคิดว่า สงสัยนั่งนานเกินไป (ประมาณครึ่ง ชม.เอง) มาคิดได้ทีหลังว่า การทำอะไรโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์แบบเป็นไงเป็นกันนี่ไม่ถูก ต้องเลยลองไปหาดูในเน็ต ก็หาไม่เจอเคสแบบนี้ก็ไม่รู้จะทำไง เลยมาขอถามผู้รู้ ในนี้ รบกวนช่วยแนะนำด้วยนะคะ อย่างน้อยก็ขอให้รู้ว่าจะไม่เป็นอันตรายอะไร

ปกตินั่งสมาธิเองที่บ้านไม่มีครูบาอาจารย์สอนตัวต่อตัวนะคะ อาศัยฟังหรืออ่านหนังสือธรรมะมาบ้าง ที่ๆอยู่ไม่มีพระหรือของอะไรทั้งนั้น (แบบกุมารอะไรเงี้ยนะ) เคยคิดว่า อาจนั่ง ผิดท่าเลยเปลี่ยนท่านั่งในวันถัดมาก็ยังเป็นอีก ต่อมาก็ดูว่าเป็นการทำงานของระบบประสาทเวลาจิตสงบนิ่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ว่า ทำไมถึงเกิดแต่ที่หน้าผากเท่านั้น หัวกับตัวและหน้ายังปกติดี ดูเส้นเลือดที่คอเต้นตุ๊บๆ มันก็รู้สึกไม่เหมือนกันเลย และจะเกิดเฉพาะเวลานั่งสมาธิเท่านั้น เวลาเดินจงกรมหรือเวลาที่เราทำงานหรือทำอะไรด้วยสมาธิจะไม่มีความรู้สึกนี้ เลย

ปล. สมัยเราเป็นวัยรุ่นตอนนั้นยังไม่มีอินเตอร์เน็ต เคยนั่งสมาธิเองที่บ้านสักพักก็รู้สึกตัวลอยติดแหงกๆอยู่แถวคอกับไหล่ซ้าย ของตัวเอง ประมาณว่าลอยและหมุนไปทางซ้าย เป็นอยู่นาน ทำยังไงก็ไม่หาย ต้องลืมตา ไปเที่ยวถามใครก็ไม่มีใครรู้ ที่บ้านเลยให้เลิก



เขาเป็นอะไร จะต้องแก้ไขยังไง :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 01 มี.ค. 2014, 17:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
:b12:
1.บริกรรมว่า "กลัวหนอ ๆ ๆ ๆ ๆ ไปจนความกลัวดับไปหรือเกิดอารมณ์ปัจจุบันใหม่มาแทน

ไม่ช้านานผ่านด่านความกลัวได้ การภาวนาก็จะก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป

2.ทุกวัน เวลา นาที วินาที ที่ระลึกได้และมีโอกาส เป็นการบอกให้รู้วิธีที่จะเจริญวิปัสสนาภาวนาในชีวิตประจำวัน อย่าแปลความเป็นอื่น

การเจริญวิปัสสนาภาวนาในชีวิตจริงประจำวันก็คือ

เมื่อใดที่ระลึกได้ว่าเราต้องเจริญภาวนา และโอกาสเปิด

ตั้งสติ ปัญญาขึ้นมา นิ่งรู้ นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์ทันที

ความสังเกตเป็นเงื่อนไขสำคัญของวิปัสสนาภาวนา เมื่อใดสังเกตปัจจุบันอารมณ์ เมื่อนั้นวิปัสสนาภาวนาเกิดขึ้นทันที

ส่วนเรื่องที่เดาสุ่มเอาว่าอโศกะไม่เคยสัมผัสความจริงนั้น น่าจะเป็นกรัชกายมากกว่า

ความเห็นผิดว่าเป็นกูเป็นเรานั้นอโศกะได้เผชิญหน้าและสู้กันมาตลอดสมัยก่อน บัดนี้ไม่เป็นภาระแล้ว ไม่ต้องห่วงนะกรัชกาย พึงห่วงตัวเองให้มากๆ เพราะภาระที่จะต้องชำระอุปาทานที่ผูกยึดไว้ในใจกรัชกายอย่างมากมายท่วมท้นนั้น มันจะส่งเป็นวิบากเป็นงานให้กรัชกายฟุ้งซ่าน แก้ไขมันไปอีกนานกว่าจะผ่านเข้าไปถึงแดนสงบ
:b4:


เน้นย้ำพูดอยู่นั่น ไม่ใช่ตัวกู ไม่ใช่ของกู คิกๆๆ :b1:

ว่าโดยปรมัตถ์ อัตตา ตัว ตน เรา เขา มันไม่มีมาแต่เดิมแล้ว แล้วจะไปค้นหาตัวกูที่ไหนเล่าอโศก :b14: ก็มันไม่มี เมื่อรู้ว่ามันไม่มี เรื่องอัตตา เรื่องตัวกู ก็จบ ก็เท่านี้

ท่านก็จำแนกให้เห็นแล้วว่า ชีวิตเนี่ย เมื่อจำแนกแจกแจงก็เพียงประกอบด้วยขันธ์ ด้วยธาตุต่า่งมากมาย .... แต่อโศกน่ะไปอ่านหนังสือที่พุทธทาสเขียน อ่านไปอ่านมา อ่านมาอ่านไป อ่านแล้วก็อิน ก็เชื่อ เมื่อเชื่อก็นำมาพูดๆไป ไม่ใช่ตัวกู ไม่ใช่ของกู กายใจเป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ :b32: คิกๆๆ

ตัวอย่างของอโศกทำนองนี้ คือ ในชีวิตประจำวันอโศกทำนั่นทำนี่ไป นึกได้ ว่าเออๆ...กายใจ เป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวกูของกู อโศกเป็นยังงี้เข้าใจตัวเองไหม เห็นไหมทั้งที่ตัวเองท่องๆ กายใจ เป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวกูของกู .... พอประสบของจริง คือ รูปนาม หรือกายใจ หรือชีวิต ซึ่งมันเป็นไตรลักษณ์เข้าจริงๆ อโศกก็ไม่รู้ ก็ว่าเสียว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวร เป็นนั่นเป็นนี่ไป ซึ่งไม่เกี่ยวกับธรรมดาของไตรลักษณ์อะไรเลย...นึกออกไหม :b1: ที่นำภาคปฏิบัติมาถามมาให้ดู นั่นแหละลักษณะที่รูปนามหรือชีวิตหรือกายใจเป็นไตรลักษณ์ เป็นอาการของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้ นึกออกไหมขอรับ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสต์ เมื่อ: 01 มี.ค. 2014, 20:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
กรัชกาย
:b7:
ว่าโดยปรมัตถ์ อัตตา ตัว ตน เรา เขา มันไม่มีมาแต่เดิมแล้ว แล้วจะไปค้นหาตัวกูที่ไหนเล่าอโศก
:b14:
ก็มันไม่มี เมื่อรู้ว่ามันไม่มี เรื่องอัตตา เรื่องตัวกู ก็จบ ก็เท่านี้
:b34:

55555555555
เป็นเสียอย่างงี้แหละนักวิชาการ

ว่าโดยปรมัตถ์ อัตตา ตัว ตน เรา เขา มันไม่มี......นี่เป็นความจริงตามตัวหนังสือ

แต่ในจิตของปุถุชนทุกคน ความเห็นผิดอันนี้มันมีอยู่จริงๆ....บาลีท่านเรียกว่า "สักกายทิฏฐิ"

ถ้ามันไม่มีอยู่จริงอย่างปากว่า ใจคิดเอา ของกรัชกาย ปุถุชนก็ไม่มี เพราะ ทุกคนไม่มีสักกายทิฏฐิ เป็นโสดาบันบุคคลกันไปหมดแล้ว

แต่ความจริง ความเห็นผิดมันมี

การนำเอาความเห็นผิด หรือ สักกายทิฏฐิออกจากใจได้นั้นต้องเจริญมรรค เจริญวิปัสสนาภาวนาไปจนได้ที่ มีโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นจึงจะทำลายความเห็นผิด หรือสักกายทิฏฐินี้ได้

มันไม่ง่ายๆ โดยคิดเอาตามหลักทฤษฏีหรอกนะ กรัชกาย

แม้ขณะกำลังอ่านข้อความนี้อยู่ กรัชกายก็เอาความเห็นผิดเป็นกูเป็นเรานั่นแหละมาอ่านและตัดสินข้อความ ลองสังเกตดูดีๆ กู มันเกิดขึ้นมาตอบโต้ ตอบสนองต่อสิ่งเร้า ตลอดเวลา

สังเกตดูให้ดีๆนะ

อย่าลืม "สักกายทิฏฐิ ไม่หมดไปได้ด้วยการคิดเอา หรือใช้เหตุผลตามหลักทฤษฎี มันต้องทำเอาอย่างจริงๆจังๆ"
:b34:
:b7:
s004


โพสต์ เมื่อ: 01 มี.ค. 2014, 20:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


asoka เขียน:
อ้างคำพูด:
กรัชกาย
:b7:
ว่าโดยปรมัตถ์ อัตตา ตัว ตน เรา เขา มันไม่มีมาแต่เดิมแล้ว แล้วจะไปค้นหาตัวกูที่ไหนเล่าอโศก
:b14:
ก็มันไม่มี เมื่อรู้ว่ามันไม่มี เรื่องอัตตา เรื่องตัวกู ก็จบ ก็เท่านี้
:b34:

55555555555
เป็นเสียอย่างงี้แหละนักวิชาการ

ว่าโดยปรมัตถ์ อัตตา ตัว ตน เรา เขา มันไม่มี......นี่เป็นความจริงตามตัวหนังสือ

แต่ในจิตของปุถุชนทุกคน ความเห็นผิดอันนี้มันมีอยู่จริงๆ....บาลีท่านเรียกว่า "สักกายทิฏฐิ"

ถ้ามันไม่มีอยู่จริงอย่างปากว่า ใจคิดเอา ของกรัชกาย ปุถุชนก็ไม่มี เพราะ ทุกคนไม่มีสักกายทิฏฐิ เป็นโสดาบันบุคคลกันไปหมดแล้ว

แต่ความจริง ความเห็นผิดมันมี

การนำเอาความเห็นผิด หรือ สักกายทิฏฐิออกจากใจได้นั้นต้องเจริญมรรค เจริญวิปัสสนาภาวนาไปจนได้ที่ มีโสดาปัตติมรรคเกิดขึ้นจึงจะทำลายความเห็นผิด หรือสักกายทิฏฐินี้ได้

มันไม่ง่ายๆ โดยคิดเอาตามหลักทฤษฏีหรอกนะ กรัชกาย

แม้ขณะกำลังอ่านข้อความนี้อยู่ กรัชกายก็เอาความเห็นผิดเป็นกูเป็นเรานั่นแหละมาอ่านและตัดสินข้อความ ลองสังเกตดูดีๆ กู มันเกิดขึ้นมาตอบโต้ ตอบสนองต่อสิ่งเร้า ตลอดเวลา

สังเกตดูให้ดีๆนะ

อย่าลืม "สักกายทิฏฐิ ไม่หมดไปได้ด้วยการคิดเอา หรือใช้เหตุผลตามหลักทฤษฎี มันต้องทำเอาอย่างจริงๆจังๆ"

s004



อ้างคำพูด:
ว่าโดยปรมัตถ์ อัตตา ตัว ตน เรา เขา มันไม่มี......นี่เป็นความจริงตามตัวหนังสือ

แต่ในจิตของปุถุชนทุกคน ความเห็นผิดอันนี้มันมีอยู่จริงๆ....บาลีท่านเรียกว่า สักกายทิฏฐิ


ก็เพราะเข้าใจผิดน่าซี่ ดังนั้น จึงต้องเข้าใจให้ถูก พระพุทธเจ้าจึงแยกชีวิตจิตใจนี้ออก เป็นขันธ์ เป็นอายตนะ เป็นธาตุ :b1:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 120 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร