วันเวลาปัจจุบัน 27 ก.ค. 2025, 21:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 42 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2014, 12:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เด็กๆ ทุกวันนี้ ฉลาดกันเยอะ นะ อโสกะ พูดมากๆ เยิ่นเย้อ คนฉลาดจะรำคาญเอา

จะไม่เหมือนคนเฒ่าๆ อย่างเราๆ หรอก ต้องว่ากันมากๆ
:b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2014, 12:37 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เด็กๆ ทุกวันนี้ ฉลาดกันเยอะ นะ อโสกะ พูดมากๆ เยิ่นเย้อ คนฉลาดจะรำคาญเอา

จะไม่เหมือนคนเฒ่าๆ หรอก ต้องว่ากันมากๆ ดูดีมีระดับ
:b13: :b13:

:b12:
อวิชชา......ความไม่รู้......ความไม่สว่าง

เพราะไม่รู้....จึงเห็นผิด....

เห็นผิด ....คือเห็นว่า กาย ใจ นี้ เป็นอัตตา ตัวกู ของกู

วิธีปฏิบัติเพื่อดับอวิชชา

"สำรวมกายใจมานิ่งรู้ นิ่งสังเกตปัจจุบันอารมณ์
จนละความเห็นผิดว่า กายใจนี้ เป็นอัตตา ตัวกู ของกู

พอกพูนความเห็นถูกต้องว่า กายใจนี้เป็น อนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ใช่ตัวกูขิองกู

ทุกวัน เวลา นาที วินาที ที่ระลึกได้และมีโอกาส"
:b27:
อย่างนั้นสั้นและได้ใจความตรงประเด็น เป็นวิธีปฏิบัติง่ที่พอรู้พอเข้าใจได้ง่าย สำหรับยายสาย ตามี ป้าสี ลุงคำ เด็กรุ่นใหม่ใจงามสนการประพฤติธรรมได้ไหมคุณกบ
s004


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2014, 12:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่สำรวมได้มั้ย อโสกะ

คือ พิจารณาตรงๆ ไปเลย

ให้เห็นว่า ไหน...มีเราอยู่ที่ตรงไหน
เรา คือความไม่เที่ยงหรอ?
เรา คือความสลายหรอ?

ในเมื่อร่างกายนี้ หรือร่างกายไหน หรือ วัตถุธาตุไหนก็แล้วแต่...เมื่อยามต้องพรัดลัดพราก..ต้องสลาย...แล้วใยเราต้องเสียใจ

ก็ดูความผิดปกติตรงนี้แค่นั้นเอง...แล้วก็หาคำตอบให้ตัวเองซะ

เมื่อได้คำตอบแล้ว แต่ใจยังไม่หมดกำหนัด ยังไม่คลายความยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเราอยู่อีก ก็มาตรวจสอบตัวเองว่าตัวเองยังติดอะไรอยู่....อะไรทำให้ติด...ก็ค้นคว้าว่าจะต้องทำอย่างไร...ธรรมที่พระองค์ตรัสใว้ดีแล้ว...ไม่ว่าจะเป็นหัวข้อหลักการเช่น โพชฌงค์7 หรือจะไล่มาตั้งแต่ โพธิปักขิยธรรม 37 ก็ไล่มา...พระองค์ตรัสใว้ดีแล้ว..นี้ จะเอาอะไรอีก อโสกะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2014, 20:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
ไม่สำรวมได้มั้ย อโสกะ

คือ พิจารณาตรงๆ ไปเลย

ให้เห็นว่า ไหน...มีเราอยู่ที่ตรงไหน
เรา คือความไม่เที่ยงหรอ?
เรา คือความสลายหรอ?

ในเมื่อร่างกายนี้ หรือร่างกายไหน หรือ วัตถุธาตุไหนก็แล้วแต่...เมื่อยามต้องพรัดลัดพราก..ต้องสลาย...แล้วใยเราต้องเสียใจ

ก็ดูความผิดปกติตรงนี้แค่นั้นเอง...แล้วก็หาคำตอบให้ตัวเองซะ

เมื่อได้คำตอบแล้ว แต่ใจยังไม่หมดกำหนัด ยังไม่คลายความยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเราอยู่อีก ก็มาตรวจสอบตัวเองว่าตัวเองยังติดอะไรอยู่....อะไรทำให้ติด...ก็ค้นคว้าว่าจะต้องทำอย่างไร...ธรรมที่พระองค์ตรัสใว้ดีแล้ว...ไม่ว่าจะเป็นหัวข้อหลักการเช่น โพชฌงค์7 หรือจะไล่มาตั้งแต่ โพธิปักขิยธรรม 37 ก็ไล่มา...พระองค์ตรัสใว้ดีแล้ว..นี้ จะเอาอะไรอีก อโสกะ

:b16:
คำว่าสำรวมกายใจ ในที่นี้หมายถึงศีล นั่นเลยทีเดียว

ถามว่าไม่สำรวมได้มั้ย

ตอบว่า ...ไม่ได้....เพราะถ้าขาดสำรวมหรือศีล จิตจะไม่สงบ สมาธิจะไม่ควรแก่งาน การพิจารณาจะกลับกลายเป็นการคิดฟุ้งซ่านไปหรือที่เขาเรียกว่า "วิปัสสนึก".....เพราะรูป - นามจะแยกออกจากกันไม่ชัด เลยพิจารณากันไม่ได้ ไม่ถูกต้อง
:b20:
พึงสังเกตคำนี้ให้ดีๆ

"ใยเราต้องเสียใจ"

"ตัวเองยังติดอะไรอยู่"
:b10:
ทั้งหมดที่ทำนั่นอยู่ใต้อำนาจของเรา หรือ กู ทั้งนั้น ไม่ใช่ การทำงานของ สติ ปัญญา
:b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2014, 22:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เล่นคำ..ซะเหลือเกิน...

รึ..อโสกะ...หมดความเสียใจ..แล้ว...อิอิ

หากยังไม่หมด....แล้วทำไมอโสกะถึงเสียใจ

:b13: :b13:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2014, 08:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
เล่นคำ..ซะเหลือเกิน...

รึ..อโสกะ...หมดความเสียใจ..แล้ว...อิอิ

หากยังไม่หมด....แล้วทำไมอโสกะถึงเสียใจ

:b13: :b13:

:b12:
ชี้ให้ดูคำว่า "เรา".....กับ "ตัวเอง".เพื่อให้รู้ตัวว่าที่พูดบอกวิธีการมาทั้งหมดนั้นมันพูดออกมาภายใต้อำนาจของ กู หรือ เรา หาใช่เพราะอำนาจของสติ ปัญญา อันเป็นธรรมกลางๆและบริสุทธิ์
s006
กบกับวิเคราะห์บิดเบี้ยวไปเป็นเรื่องเสียใจไม่เสียใจของอโศกะ
นี่ผิดประเด็นไปแล้วนะกบ

อันชื่อ อโศกะนั้น ตรงกับมงคลข้อท้ายๆที่ว่า

อโศกัง.....จิตไร้โศก

วิรัชชัง....จิตปราศจากธุลี

เขมัง.....จิตเกษม

นั้นเป็นการเข้าใจถูกต้องแล้วของกบ
:b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2014, 10:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ธ.ค. 2009, 00:22
โพสต์: 223

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ :b46: :b8: :b8: :b8: :b46:

โมคคัลลานสูตร

[๕๘] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ
ป่าเภสกลา มิคทายวันใกล้สุงสุมารคีรนคร แคว้นภัคคะ

ก็สมัยนั้นแล
ท่านมหาโมคคัลลานะนั่งโงกง่วงอยู่ ณ
บ้านกัลลวาลมุตตคาม แคว้นมคธ

พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตร เห็นท่านพระมหาโมคคัลลานะนั่งโงกง่วงอยู่ ณ
บ้านกัลลวาลมุตตคาม แคว้นมคธ

ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุมนุษย์
ครั้นแล้วทรงหายจากเภสกลามิคทายวัน
ใกล้สุงสุมารคีรนคร แคว้นภัคคะ
เสด็จไปปรากฏเฉพาะหน้าท่านพระมหาโมคคัลลานะ ณ
บ้านกัลลวาลมุตตคาม แคว้นมคธ
เปรียบเหมือนบุรุษมีกำลังเหยียดแขนที่คู้
หรือคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น

พระผู้มีพระภาคประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดแล้ว
ครั้นแล้วได้ตรัสถามท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า
ดูกรโมคคัลลานะ เธอง่วงหรือ ดูกรโมคคัลลานะ เธอง่วงหรือ

ท่านพระมหาโมคคัลลานะกราบทูลว่า อย่างนั้น พระเจ้าข้า ฯ


ดูกรโมคคัลลานะ
เพราะเหตุนั้นแหละ เมื่อเธอมีสัญญาอย่างไรอยู่
ความง่วงนั้นย่อมครอบงำได้
เธอพึงทำไว้ในใจซึ่งสัญญานั้นให้มาก
ข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้

ถ้าเธอยังละไม่ได้

แต่นั้นเธอพึงตรึกตรองพิจารณาถึงธรรมตามที่ตนได้สดับแล้ว
ได้เรียนมาแล้วด้วยใจ
ข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละ ความง่วงนั้นได้

ถ้ายังละไม่ได้

แต่นั้นเธอพึงสาธยายธรรมตามที่ตนได้สดับมาแล้ว
ได้เรียนมาแล้วโดยพิสดาร
ข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้

ถ้ายังละไม่ได้

แต่นั้นเธอพึงยอนช่องหูทั้งสองข้าง
เอามือลูบตัว
ข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้

ถ้ายังละไม่ได้

แต่นั้นเธอพึงลุกขึ้นยืน
เอาน้ำล้างตา
เหลียวดูทิศทั้งหลาย
แหงนดูดาวนักษัตรฤกษ์
ข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้

ถ้ายังละไม่ได้

แต่นั้นเธอพึงทำในใจถึงอาโลกสัญญา
ตั้งความสำคัญในกลางวัน ว่า
กลางวันอย่างไร กลางคืนอย่างนั้น กลางคืนอย่างไร กลางวันอย่างนั้น
มีใจเปิดเผยอยู่ฉะนี้
ไม่มีอะไรหุ้มห่อ
ทำจิตอันมีแสงสว่างให้เกิด

ข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้

ถ้ายังละไม่ได้

แต่นั้นเธอพึงอธิษฐานจงกรม
กำหนดหมายเดินกลับไปกลับมา
สำรวมอินทรีย์
มีใจไม่คิดไปในภายนอก
ข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้

ถ้ายังละไม่ได้

แต่นั้นเธอพึงสำเร็จสีหไสยา คือ
นอนตะแคงเบื้องขวา
ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า
มีสติสัมปชัญญะ
ทำความหมายใน อันจะลุกขึ้น
พอตื่นแล้วพึงรีบลุกขึ้น
ด้วยตั้งใจว่า เราจักไม่ประกอบความสุขในการนอน
ความสุขในการเอนข้าง
ความสุขในการเคลิ้มหลับ
ดูกรโมคคัลลานะเธอพึงศึกษาอย่างนี้แล ฯ


ดูกรโมคคัลลานะ เพราะเหตุนั้นแหละ เธอพึงศึกษาอย่างนี้อีกว่า

เราจักไม่ชูงวง (ถือตัว) เข้าไปสู่ตระกูล
ดูกรโมคคัลลานะ เธอพึงศึกษาอย่างนี้แล

ถ้าภิกษุชูงวงเข้าไปสู่ตระกูล และในตระกูลมีกรณียกิจหลายอย่าง
ซึ่งจะเป็นเหตุให้มนุษย์ไม่ใส่ใจถึงภิกษุผู้มาแล้ว
เพราะเหตุนั้น ภิกษุย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า
เดี๋ยวนี้ใครหนอยุยงให้เราแตกในสกุลนี้
เดี๋ยวนี้ดูมนุษย์พวกนี้ มีอาการอิดหนาระอาใจในเรา
เพราะไม่ได้อะไร
เธอจึงเป็นผู้เก้อเขิน
เมื่อเก้อเขิน ย่อมคิดฟุ้งซ่าน
เมื่อคิดฟุ้งซ่าน ย่อมไม่สำรวม
เมื่อไม่สำรวม จิตย่อมห่างจากสมาธิ ฯ

เพราะฉะนั้นแหละ โมคคัลลานะ
เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า
เราจักไม่พูดถ้อยคำซึ่งจะเป็นเหตุให้ทุ่มเถียงกัน
ดูกรโมคคัลลานะ เธอพึงศึกษาอย่างนี้แล
เมื่อมีถ้อยคำซึ่งจะเป็นเหตุให้ทุ่มเถียงกัน
ก็จำต้องหวังการพูดมาก
เมื่อมีการพูดมาก ย่อมคิดฟุ้งซ่าน
เมื่อคิดฟุ้งซ่าน ย่อมไม่สำรวม
เมื่อไม่สำรวม จิตย่อมห่างจากสมาธิ ฯ


ดูกรโมคคัลลานะ อนึ่ง เราหาสรรเสริญความคลุกคลีด้วยประการทั้งปวงไม่
แต่มิใช่ว่าจะไม่สรรเสริญความคลุกคลี
ด้วยประการทั้งปวงก็หามิได้
คือ เราไม่สรรเสริญความคลุกคลีด้วยหมู่ชนทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต
ก็แต่ว่า เสนาสนะอันใดเงียบเสียง
ไม่อื้ออึง ปราศจากการสัญจรของหมู่ชน
ควรเป็นที่ประกอบกิจของผู้ต้องการความสงัด
ควรเป็นที่หลีกออกเร้น
เราสรรเสริญความคลุกคลีด้วยเสนาสนะเห็นปานนั้น ฯ


เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระมหาโมคคัลลานะทูลถาม
พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
โดยย่อ ด้วยข้อปฏิบัติเพียงไรหนอ
ภิกษุจึงเป็นผู้หลุดพ้นแล้วเพราะสิ้นตัณหา มีความสำเร็จล่วงส่วน มีธรรมเป็นแดน
เกษมจากโยคะล่วงส่วน เป็นพรหมจารีล่วงส่วน มีที่สุดล่วงส่วน ประเสริฐกว่า
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ฯ


พ. ดูกรโมคคัลลานะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ได้สดับว่า
ธรรมทั้งปวงไม่ควรถือมั่น
ครั้นได้สดับดังนั้นแล้ว
เธอย่อมรู้ชัดธรรมทั้งปวง
ด้วยปัญญาอันยิ่ง
ครั้นรู้ชัดธรรมทั้งปวง
ด้วยปัญญาอันยิ่งแล้ว
ย่อมกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง
ครั้นกำหนดรู้ธรรมทั้งปวงแล้ว
ได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง
สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ดี
ย่อมพิจารณาเห็น ความไม่เที่ยงในเวทนาเหล่านั้น
พิจารณาเห็นความคลายกำหนัด
พิจารณาเห็นความดับ
พิจารณาเห็นความสละคืน
เมื่อเธอพิจารณาเห็นอย่างนั้นๆ อยู่ ย่อมไม่ยึดมั่นอะไรๆ ในโลก
เมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะดุ้ง
เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมปรินิพพานเฉพาะตัวทีเดียว
ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
ดูกรโมคคัลลานะ
โดยย่อด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้แล
ภิกษุจึงเป็นผู้หลุดพ้นแล้วเพราะสิ้นตัณหา
มีความสำเร็จล่วงส่วน
เป็นผู้เกษมจากโยคะล่วงส่วน
เป็นพรหมจารีล่วงส่วน
มีที่สุดล่วงส่วน
ประเสริฐกว่าเทวดา
และมนุษย์ทั้งหลาย ฯ
จบสูตรที่ ๘


:b47: http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=23&A=1873&Z=1938


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2014, 13:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8:
smiley
tongue
:b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2014, 15:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


คือ...ผมก็สื่อสารธรรมดา...ๆ...ใช้คำว่าเราเสียใจ

กบนอกกะลา เขียน:
ไม่สำรวมได้มั้ย อโสกะ

คือ พิจารณาตรงๆ ไปเลย
ให้เห็นว่า ไหน...มีเราอยู่ที่ตรงไหน
เรา คือความไม่เที่ยงหรอ?
เรา คือความสลายหรอ?
ในเมื่อร่างกายนี้ หรือร่างกายไหน หรือ วัตถุธาตุไหนก็แล้วแต่...เมื่อยามต้องพรัดลัดพราก..ต้องสลาย...แล้วใยเราต้องเสียใจ
ก็ดูความผิดปกติตรงนี้แค่นั้นเอง...แล้วก็หาคำตอบให้ตัวเองซะ


แต่..อโสกะ...กลับ..เอาคำว่า.."เรา"...มาเล่นในฐานะของสภาวะธรรม..

asoka เขียน:

พึงสังเกตคำนี้ให้ดีๆ
"ใยเราต้องเสียใจ"
"ตัวเองยังติดอะไรอยู่"
:b10:
ทั้งหมดที่ทำนั่นอยู่ใต้อำนาจของเรา หรือ กู ทั้งนั้น ไม่ใช่ การทำงานของ สติ ปัญญา
:b6:

ผมสื่อสารธรรมดา...
แต่อโสกะ...เล่นเอาไปใช้เป้นสภาวะธรรม
ผมจึงถามกลับว่า..อโสกะ..ยังเสียใจอยู่มั้ย

เรายังเสียใจ...ก็คือ..เรายังเสียใจ..มันเป็นการพูดคุยกัน...แต่อโสกะเล่นเอาสภาวะธรรมมาพูด..แล้วชาตินี้จะคุยกันรู้เรื่องมั้ย..นี้
:b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2014, 15:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
คือ...ผมก็สื่อสารธรรมดา...ๆ...ใช้คำว่าเราเสียใจ

กบนอกกะลา เขียน:
ไม่สำรวมได้มั้ย อโสกะ

คือ พิจารณาตรงๆ ไปเลย
ให้เห็นว่า ไหน...มีเราอยู่ที่ตรงไหน
เรา คือความไม่เที่ยงหรอ?
เรา คือความสลายหรอ?
ในเมื่อร่างกายนี้ หรือร่างกายไหน หรือ วัตถุธาตุไหนก็แล้วแต่...เมื่อยามต้องพรัดลัดพราก..ต้องสลาย...แล้วใยเราต้องเสียใจ
ก็ดูความผิดปกติตรงนี้แค่นั้นเอง...แล้วก็หาคำตอบให้ตัวเองซะ


แต่..อโสกะ...กลับ..เอาคำว่า.."เรา"...มาเล่นในฐานะของสภาวะธรรม..

asoka เขียน:

พึงสังเกตคำนี้ให้ดีๆ
"ใยเราต้องเสียใจ"
"ตัวเองยังติดอะไรอยู่"
:b10:
ทั้งหมดที่ทำนั่นอยู่ใต้อำนาจของเรา หรือ กู ทั้งนั้น ไม่ใช่ การทำงานของ สติ ปัญญา
:b6:

ผมสื่อสารธรรมดา...
แต่อโสกะ...เล่นเอาไปใช้เป้นสภาวะธรรม
ผมจึงถามกลับว่า..อโสกะ..ยังเสียใจอยู่มั้ย

เรายังเสียใจ...ก็คือ..เรายังเสียใจ..มันเป็นการพูดคุยกัน...แต่อโสกะเล่นเอาสภาวะธรรมมาพูด..แล้วชาตินี้จะคุยกันรู้เรื่องมั้ย..นี้
:b6:

:b12:
ก็น่าจะคุยกันรู้เรื่อง ถ้ากบยอมรับสภาวธรรม
เพราะสภาวธรรมก็คือความจริงที่ปรากฏ

มันมีความเห็นผิด ยึดผิดว่าเป็นกูเป็นเรา บงการพฤติกรรมทั้งหมดอยู่จึงได้บอกให้สังเกต พิจารณาให้ดีๆ
:b38:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2014, 16:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


อโสกะ..ครับ...ดูอย่างที่พระพุทธองค์ทรงคุยกับพระโมคคัลลานะซิครับ...อย่างนี้ซิครับ..คุยกันรู้เรื่อง...

ถ้าเป็นอโสกะไปคุยกับพระโมคคัลลานะ..ว่า...เราง่วง..กูง่วง..เพราะท่านมีเรา..มีกู..อยู่

อย่างนี้หรือครับ..ที่อโสกะว่าต้องยอมรับ..ก็จะรู้เรื่อง..นะ

:b32: :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2014, 22:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


กบนอกกะลา เขียน:
อโสกะ..ครับ...ดูอย่างที่พระพุทธองค์ทรงคุยกับพระโมคคัลลานะซิครับ...อย่างนี้ซิครับ..คุยกันรู้เรื่อง...

ถ้าเป็นอโสกะไปคุยกับพระโมคคัลลานะ..ว่า...เราง่วง..กูง่วง..เพราะท่านมีเรา..มีกู..อยู่

อย่างนี้หรือครับ..ที่อโสกะว่าต้องยอมรับ..ก็จะรู้เรื่อง..นะ

:b32: :b32:

เรา ของพระพุทธเจ้าและพระโมคคัลลาน

กับ เรา ของกบ มันคนละอันกัน

อันหนึ่ง พูด เรา โดยไม่มี เรา

แต่ของกบ พูด เรา โดยมี เราอยู่ภายใน จึงได้พยายามเน้น ชี้ ที่คำว่า

เรา....กับตัวเอง ที่มีในเรื่องที่กบยกมา ให้เห็นว่า เหตุและงานที่จะต้องทำมันอยู่ตรงนี้
:b16:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 42 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร